Snow Strike

-

เขียนโดย Etherian

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 20.09 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,355 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 13.02 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ปฐมบทของการเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                ทวีปกลาเฮน่าเป็นทวีปที่เต็มไปด้วยแร่คริสตันพลังงาน พบได้แม้แต่บนดิน แต่จะพบมาในชั้นใต้ดิน ยิ่งลึก ยิ่งมาก มีราคาดีและให้พลังงานที่เยอะ คริสตันบางชิ้นสามารถสร้างชีวิตได้ ถ้าฝังลงไปในดิน จะเปลี่ยนผืนทรายให้กลายเป็นป่าได้ไม่ยาก ถ้าฝังเข้าไปในคนจะเสริมพลังอย่างมาก แต่ต้องแลกกับการสูญเสียจิตใจและเปลี่ยนเป็นมอนสเตอร์ ส่วนใต้ดินจะเต็มไปด้วยโพรงเล็กใหญ่มากมาย พลังเวทย์ของทวีปนี้มีแหล่งกำเนิดมาจากใต้ดิน ซึ่งถ้ามันไปกระจุกอยู่ที่ไหนมากเกินไป ถ้ามันไม่รวมตัวกันจนกลายเป็นคริสตัล มันก็จะกลายเป็น     มอนสเตอร์ เจ้าพวกนั้นจะพยายามขึ้นมายังผิวดินเพื่อความอยู่รอด ซึ่งมันก็เป็นอันตรายต่อทุกเผ่าบนผิวดินเช่นกัน

                นอกจากนั้นทวีปนี้ยังเป็นทวีปที่มีจำนวนประชากรเทพมากที่สุดในโลก พวกเขาเป็นที่เคารพนับถือของคนธรรมดายิ่งกว่ากษัตริย์หรือเจ้าเมืองของพวกเขาเสียอีก ปีศาจไม่เป็นที่ยอมรับในทวีปนี้ ถ้ามีความสามารถมากพอก็จะแอบอยู่อาศัยได้ ส่วนมารนั้นแทบจะไม่มีอยู่ในทวีปนี้เลย เมื่อใดก็ตามที่โผล่มา พวกเทพทั้งทวีปจะร่วมกันล่าอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันเป็นกิจกรรมยอดนิยมของทวีปนี้ นอกจากนี้การนำสาวกของตัวเองมาโชว์ความสามารถหรือไม่ก็ทำสงครามปลอมๆกันก็เป็นกิจกรรมแก้เบื่อของเหล่าเทพ พบเห็นได้ทั่วไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามประชากรส่วนใหญ่นิยมทำการเกษตร แต่อาชีพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ นักผจญภัย นักผจญภัยมักรวมตัวกันไปหลายๆคน แล้วจะเดินทางไปพร้อมกับช่างขุดแร่เพื่อเข้าไปในดันเจี้ยนที่เรียกว่า เหมือง เพื่อเก็บคริสตันขึ้นมาขาย

                ฮิลโบร่า คือเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของทวีปกลาเฮน่า ตั้งอยู่ในอาณาจักรควิกเกียร์ ปกครองโดยเหล่าเทพ ที่นี้มีเหมืองคริสตันพลังงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความลึกกว่า 300 ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทำการขุดเจาะอย่างต่อเนื่องหลายร้อยหลายพันปี

                เอริน สาวชาวเอลฟ์ก็เป็นนักผจญภัย นางเป็นที่รู้จัก แม้จะอายุได้ 240 ปีแล้ว แต่สำหรับชาวเอลฟ์ที่มีอายุยืนเป็นพันปีก็นับว่ายังสาวได้อยู่ ฉายาผู้นำความตายของนางไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ และไม่ได้มีไว้ประดับเล่นๆ ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับนางจะต้องตายอย่าอนาถและทรมาน  แต่ใครจะรู้ว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว แม้ว่าจริงๆแล้วเอรินเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อน ดื้อรั้นเงียบ และเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ในบางมุมนางก็แอบขี้อ้อน ขี้เล่น รวมทั้งค่อนข้างเกรงใจคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กับบรรดาทาสเอกของจักรพรรดิปีศาจ เพราะตัวนางจัดอยู่ในชั้นทาสชั้นรอง ตอนนี้เอรินอาศัยอยู่ในตัวเมืองเนนางร์ฟิลล์หรือที่คนในเมืองฮิลโบร่าเรียกกันว่าเมืองปีศาจ เมืองที่ประชากรกว่าพันคนที่ผสมทุกเผ่าพันธุ์จากทั่วโลกเข้าด้วยกันโดยไม่แบ่งแยก มันตั้งอยู่แผนดินเดียวกับเมืองฮิลโบร่าซึ่งเป็นเมืองที่เหล่าเทพมารวมตัวและอยู่อาศัยเป็นพันคน ที่ดินตรงนั้นมันเป็นที่ดินส่วนตัวของเทพบางคน แต่ตอนนี้มันตกเป็นของนายท่านของนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้มาจากการชนะเหล่าเทพผ่านเกมส์การละเล่นและกฎของพวกเขาเอง ทั้งสองเมืองมีระยะห่างกันประมาณ 6 กิโลเมตร ต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันในการเดินทางไป การจะเดินทางไปมาระหว่างสองเมืองนี้ ปัจจุบันมีเพียงแค่รถม้าให้ใช้งานได้ เนื่องจากคนของทวีปนี้ค่อนข้างจะล้าหลังที่สุดในโลก มันเป็นประสงค์ของเหล่าเทพ ยิ่งผู้คนโง่งมงายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งสะดวกสบายและมีสิทธิพิเศษมากขึ้นเท่านั้น

                ปกติจะไม่ค่อยเห็นนางในตัวเมืองฮิลโบร่า เพราะถนนหนทางเมืองฮิลโบร่าทำให้นึกถึงเรื่องเก่าๆที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ลงเหมืองคริสตัลเพื่อเข้าไปเก็บของออกมาขาย ก็จะไม่เข้าไปในเมืองเลย แต่ถ้ามีของที่อยากได้ จะฝากเพื่อนทาสคนอื่นให้ซื้อมาฝาก อย่างไรก็ตาม นางมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในเมืองปีศาจไปกับการนอน เดินเล่นไปเรื่อยๆภายในและสนามรอบๆปราสาทของนายท่าน ไม่ค่อยจะทำอะไรที่มีสาระหรือคิดจะพัฒนาตนเองเท่าไหร่ นานๆครั้งนางก็จะไปวิ่งเล่นแถวสนามต่อสู้เพื่อดูคนอื่นๆเขาฝึกการต่อสู้กัน ถ้าวันไหนโชคไม่ดี ก็จะโดนเพื่อนทาสฉุดลงสนามไปสู้กันกระชับมิตรกันจนเนื้อตัวเหนียวไปหมด แต่นี้มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เรื่องที่จะเล่า มันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่เอลฟ์สาวของเรายังเป็นเด็ก

                เอรินเกิดในตระกูลเอลฟ์ขนาดกลาง พ่อเป็นช่างต่อเรือ แม่เป็นแพทย์ มีพี่สาว 1 คน และน้องชายอีก 1 คน พวกเขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ติดทะเลในประเทศเมธาดาร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของควิกเกียร์ การจะไปมาต้องนั่งเรือข้ามฟาก ในวัยเด็กมีโอกาสนั่งเรือของที่บ้านมายังเมืองรีโอพุซึ่งที่นั้นที่เป็นเมืองท่าของฮิลโบร่าอยู่บ่อยครั้ง ถ้าครั้งไหนโชคดีมีแม่มาด้วย แม่ก็จะเข้าไปซื้อยาในเมืองฮิลโบร่าเพื่อกลับไปเติมที่โรงพยาบาล แม้ว่าเอรินจะเกิดไม่ทันช่วงเวลาที่นายท่านมาเที่ยวฮิลโบร่าครั้งแรก แต่ก็พอเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้างจากชาวรีโอพุมาบ้าง พวกเขาเชื่อว่ามีปีศาจแอบแทรกซึมอยู่ในเมืองเพื่อรอเวลายึดครองและหวังจะจับผู้หญิงทั้งหมด โดยเฉพาะเด็กสาวที่อายุยังน้อยไปเป็นของเล่นด้วย ด้วยความที่เป็นเด็กจึงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน แต่สิ่งที่นางเข้าใจคือ ถ้าถูกจับได้ จะถูกเอาไปทำเป็นตุ๊กตาหนังคน นางจึงกลัวมาก และสาบานว่าชีวิตนี้จะไม่ไปเหยียบฮิลโบร่าอีกและไม่ไปข้องแวะกับพวกปีศาจอย่างเด็ดขาด

                ชีวิตวัยเด็กของนางไม่ได้มีอะไรพิเศษ บางวันก็ไปเรียนหนังสือ วันหยุดก็เล่นกับเด็กๆในละแวกบ้าน บางวันก็ไปโบสถ์ นานๆครั้งก็ไปช่วยคนในหมู่บ้านจัดงานเทศกาล สิ่งที่นางชอบทำตอนเด็กๆคือการวิ่งลงไปที่ชายหายในตอนเย็นแล้วเก็บเปลือกหอยสวยๆกลับบ้าน เรียนจบแพทย์พื้นบ้านได้ด้วยอายุเพียง 18 ปี หลังจากนั้นก็ไปทำที่โรงพยาบาลกับแม่ เมืองของเอรินนานครั้งๆก็จะมีมอนสเตอร์โผล่ขึ้นมาจากใต้พิภพ แม้จะเป็นพวกชั้นต่ำ แต่เพราะคนในเมืองแทบทั้งหมดไม่ใช่นักผจญภัยหรือคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ จึงทำให้การจัดการพวกมันในรวดเดียวเป็นเรื่องยาก บ่อยครั้งมักจบลงด้วยการมีคนบาดเจ็บจำนวนมาก น้อยครั้งมากที่จะมีคนตาย การทำงานที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับนาง แต่มันก็ไม่ได้แย่ไปหมดซะทุกเรื่อง เพราะที่นั้นเป็นที่ที่ทำให้ เอรินได้เจอและพบรักกับดีแลนท์ พ่อหนุ่มนักรบประจำเมือง ดีแลนท์เป็นชายหนุ่มที่ค่อยข้างมีชื่อเสียงในแถบนั้น ด้วยความเก่งและหน้าตาดี จึงทำให้เป็นที่หมายปองของสาวๆ เป็นธรรมดาที่หนุ่มหล่อเท่จะมีสาวๆซุกไว้หลายคน แม้จะรู้เรื่องนี้ดีอยู่เต็มอก แต่ก็มิอาจห้ามใจตนเองได้ หลังจากพยายามอย่างหนัก ลำบากตรากตรำต่อสู้ต่อเนื่องเกือบเดือนก็ได้ชัยชนะมาครอง นางได้ชายในฝันมาเคียงคู่ ทั้งสองตัดสินใจแต่งงานกันในปีต่อมา แต่เรื่องนี้ถ้าจบลงสวยก็คงจะดี ด้วยอายุที่ยังน้อย จึงขาดความเด็ดขาด ไม่กล้าตัดใจเรื่องใหญ่ในชีวิต และเจ้าอารมณ์ จึงทำให้หนุ่มหล่อหมดรักนางอย่างรวดเร็ว (จริงๆก็ไม่ใช่อะไร แค่อยากฟันแล้วทิ้งเฉยๆ โชคดีที่ไม่ท้อง)

                พ่อตายตอนนางอายุได้ 25 ด้วยโรคร้าย แต่เนื่องจากคนในสมัยนั้นไม่รู้จักโรคนี้แม้แต่แม่ที่เป็นหมอที่เก่งกาจเองก็ตาม  จึงพากันคิดว่าตายเพราะคำสาปอะไรสักอย่าง เอรินจึงตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาล แล้วหันมาศึกษาด้านเวทมนตร์แทน พอนางอายุได้ 28 แม่แต่งงานใหม่ หลังจากนั้นปีเดียวนางก็ได้น้องสาวอีกคน หลังจากศึกษาเวทย์จริงจังอยู่เกือบสิบปี ในที่สุดก็จบสักทีแต่ก็ไม่อาจค้นพบสาเหตุการตายของพ่อได้ เอริน จึงตัดสินใจที่จะกลับบ้าน นางพบว่าที่บ้านมีเด็กเพิ่มมาอีกคน เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แค่แม่มีความสุขดีก็พอแล้ว พออายุได้ 40 พวกพี่สาวก็แต่งงานแล้วย้ายออกจากบ้านไป ส่วนน้องชายพอเห็นเช่นนั้น จึงออกเดินทางเพื่อไปสร้างที่อยู่ใหม่ของตน สภาพความเป็นอยู่หลังจากนั้นเรียกได้ว่าอึมครึม เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ส่วนเกินของครอบครัว แม่และพ่อเลี้ยงดูมีความสุขกันมาก พวกน้องๆร่วมสายเลือดก็ด้วย

เวลาดำเนินไปอย่างเรื่อยเปื่อยผ่านล่วงเลยไปจนอายุได้ 42 ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นยะเยือกไปจนถึงวิญญาณ เอรินเดินเตะทรายอยู่ริมชายหาด แทบไม่อยากจะกลับไปคฤหาสน์เลย ไม่อยากเห็นภาพทุกคนมีความสุขกัน พ่อแม่ลูกล้อมวงกันแล้วยิ้ม หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ตัวนางเป็นได้เพียงแค่ส่วนเกินเท่านั้นหรือ ไม่กี่วันหลังจากนั้น จึงตัดสินใจออกเดินทางจากบ้านเกิดไปยังฮิลโบร่าเพื่อเป็นนักผจญภัย แม้ทางบ้านจะห้ามแต่ก็ไม่อาจหยุดนางได้ แม้ครอบครัวใหม่จะดีสักแค่ไหน แต่มันก็ไม่ใช่ครอบครัวอันแสนอบอุ่นที่นางเคยรู้จัก

                ความเป็นอยู่ช่วงแรกในฮิลโบร่านั้นลำบากมาก นางออกจากคฤหาสน์มาด้วยความโกรธจึงไม่ได้มีการเตรียมการที่ดีนัก แถมยังเป็นหน้าหนาวซึ่งขาดแคลนอาหาร งานก็ไม่มี จะลงเหมืองตอนนี้เลยก็ไม่ได้ เพราะยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเป็นนักผจญภัยเลย จึงทำได้เพียงอดทนและหวังว่าจะผ่านไปได้เท่านั้นเอง หน้าหนาวผ่านไป (เงินในกระเป๋าเองก็เช่นกัน) ฤดูใบไม้ผลิก็เข้ามา ช่วงเวลาของการตักตวงความสุข (และเงิน) ก็เริ่มต้นขึ้น การใช้ชีวิตแบบนักผจญภัยนั้นมีความเสี่ยงสูง รายได้ไม่แน่นอน เพื่อนในทีมก็เปลี่ยนไปมาแทบจะรายสัปดาห์เลยก็ว่าได้ ไหนจะเรื่องฝีมือที่ตนมีฝีมืออยู่ในระดับต่ำ เคยอ่านแต่ในตำรา ไม่เคยใช้จริง นั้นยังไม่นับรวมความไม่เข้าใจ ความไม่เข้ากัน ความอยากดีอยากเด่น ความเห็นแก่และตัวของแต่ละคนในทีม มันส่งผลกระทบด้านลบอย่างมาก การเลือกลัทธิเองก็สำคัญ เพราะเทพแต่ละคนจะให้พรแก่สาวกไม่เหมือนกัน บางลัทธิที่มีเทพเอาใจใส่หน่อยก็จะสบาย แต่เลือกผิดไปเข้าลัทธิที่มีเทพหื่น นอกจากจะเปลืองเวลา ยังต้องเปลืองตัวด้วย มีการตั้งกฎเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ไม่งั้นจะมีเด็กเข้าออกลัทธิเป็นว่าเล่น ห้ามไม่ให้ย้ายลัทธิเป็นเวลา 3 ปี นับจากวันที่เข้า       เอรินเลือกสังกัดเทพผู้หญิง ท่านเป็นเทพแห่งความเยาว์วัย มันจะให้พรความแข็งแรงทางกายและใจแก่สาวก เหมาะกับนางที่มีอายุขัยยืนยาว แต่เพราะไม่ใช่ลัทธิเกี่ยวกับการต่อสู้ พรที่ได้จึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากมังกรดำโบราณถูกปราบไปแล้วเมื่อ 500 ปีก่อนโดยผู้กล้า จำนวนคนที่มีประสบการณ์เข้าเหมืองจริงจังในฮิลโบร่าค่อยๆลดลง ไม่ใช่เพราะไม่มีคนมีฝีมือ แต่จำนวนคนตายนั้นเพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาตะหาก นักผจญภัยในฮิลโบร่าส่วนใหญ่เป็นพวกเห็นแก่ตัวอยู่ อยากดังหรือไม่ก็แค่ลงไปเล่นๆแล้วหวังรวย ยิ่งในช่วงร้อยปีมานี้มีพวกหันมาโจมตีคนแทนที่จะโจมตีมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้การทำอาชีพนี้เป็นเรื่องยากขึ้นไปอีกระดับ นับวันคนยิ่งอยากเข้าไปในเหมืองยิ่งน้อยลง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับนักผจญภัยเสียจริง

                แต่เพราะมีม่านหมอก จึงทำให้เราเห็นแสงสว่างได้ง่ายกว่าเสมอ แม้แสงจะริบหรี่เพียงใดก็จะพุ่งเข้าหา ต่อให้เป็นภาพลวงตาก็ไม่หวัง ขอแค่ได้คว้าเอาไว้ ผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ช่าง ตลอดเวลาทีเป็นนักผจญภัย นางได้ที่ปรึกษาหนุ่ม แฮโรลด์ คอยให้คำปรึกษา แม้หน้าตาจะธรรมดาแต่ก็คอยเป็นกำลังใจและเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตเสมอมา เวลาผ่านล่วงเลยไป ในที่สุดทั้งคูจึงตัดสินใจแต่งงานกัน ตอนนั้นนางอายุได้ 46 ส่วนฝ่ายชายอายุได้ 28 แม้ทั้งคู่อายุจะห่างกันมาก แต่เพราะเอรินเป็นเอลฟ์ นางจึงยังดูสาวและสวยอยู่ตลอดเวลา ค่ำคืนและวันวานอันแสนสุขของทั้งคู่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลออึดใจเดียวก็มีเจ้าตัวเล็กออกมาเสียแล้ว ทั้งคู่ดีใจและมีความสุขมาก แน่นอนว่าที่บ้านรู้เรื่องนี้ และคอยให้คำปรึกษามาโดยตลอด  พวกเขาจึงแสดงความยินดีเป็นการใหญ่ แต่ช่วงเวลาอันแสนสุข มักอยู่กับเราไม่นาน  เจ้าตัวน้อยเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมด้วยวัยเพียง 3 ขวบ เนื่องสภาพอากาศอันเลวร้ายในช่วงหน้าหนาว ปีนั้นมันทรหดจริงๆ แม้แต่ผู้ใหญ่ที่แข็งแรงหลายคนยังเอาตัวไม่รอดเลย

                เวลาผ่านไปอีก 14 ปี แต่เหตุการณ์ที่เสียเจ้าตัวน้อยไปยังเป็นเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่นาทีนี้เอง แม้ว่าทั้งคู่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่นางกลับรู้สึกโรยราอย่าบอกไม่ถูก ตอนนี้อายุ 63 ปีแล้ว ยังทำงานเป็นนักผจญภัยอยู่ แต่สามีนั้นเกษียร ออกจากงานมาอยู่บ้าน ไม่ได้ทำงานงานให้กิลล์แล้ว จึงมีเวลามากมายให้คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ภรรยาที่ยังคงสวยเหมือนเดิม แต่สามีนั้นแก่ตัวลงทุกวัน มันเหมือนกันเป็นการนับรอวันตายของเขาก็ไม่ปาน เนื่องด้วยสภาพของชายหนุ่มที่แก่และเหี่ยวลงทุกวัน บวกกับความต้องการของภรรยาที่สามีก็รู้ดีแก่ใจว่าบ่อยแค่ไหนแต่ก็ค่อยๆลดลงจนไม่มีเลยในที่สุด มันจึงเป็นสาตุให้ทะเลาะกันบ่อยครั้ง ในที่สุดทั้งคู่จึงตัดสินใจแยกห้องนอนกัน ชีวิตของเอรินกลับมาอึมครึมอีกครั้ง ด้วยสภาพการณ์ตอนนี้แทบไม่อยากจะกลับบ้านเลย พอกลับบ้านไปสามีก็ชวนทะเลาะ พอนอนบนเตียงเก่าก็จะนึกถึงลูกน้อยที่จากไป พอเดินวนรอบเมืองไปก็จะนึกถึงบรรยากาศเก่าอันหอมว่าที่จางหายไปตามกาลเวลา ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ก็ได้แต่ทำใจ แต่คำว่า ทน กับคำว่า พอ นั้นมีให้ใช้ได้อย่างจำกัด ในที่สุดทั้งคู่จึงตัดสินใจแยกทางกัน สาเหตุหลักนั้นมาจากข่าวลือที่แฮโรลด์ ได้ฟังมาจากเหล่าคนใช้ ว่านายหญิงของพวกตนกลับบ้านดึกทุกคืน บางคืนก็เมา บางคืนก็มีผู้ชายมาส่ง ด้วยอาการหึงหวง ชายแก่จึงไล่ภรรยาที่อยู่กินด้วยกันมานานออกจากบ้านอย่างไม่มีใยดี ไม่พูดคุยและไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

                เวลาก็ยังคงผ่านไปแบบไม่ใยดี เวลาเป็นสิ่งเดียวที่ฆ่าคนได้ แต่อาจไม่ใช่กับเอลฟ์ ตอนนี่อายุได้ 76 แล้ว ผิวพรรณก็ยังเต่งตึงชวนมองเหมือนเดิม กลิ่นหอมอ่อนที่ลอยมา      ตามลมทำให้หนุ่มๆหลงผิดเข้ามาจีบอยู่เรื่อยๆ แต่นางก็ไม่สนใจหรือให้ความสำคัญใครเป็นพิเศษ ช่วงนี้ไม่ลงเหมืองทุกวันเหมือนเมื่อก่อน งานตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นรับจ้างลงแบบทีมใหญ่เท่านั้น ไม่ลงเป็นทีมเล็กๆอีกต่อไป นอกจากจะไม่คุ้มเงิน ไม่คุ้มเวลาแล้ว ยังทะเสียอารมณ์กับการทะเลาะกับพวกมือใหม่ด้วย ตัวนางตอนนี้ไม่มีกลุ่ม ไม่มีทีม ไม่สังกัดลัทธิไหน โดดเดี่ยวเป็นหมาป่าเดียวดายมาหลายปี มีรับงานประจำจากกลุ่มเดิมๆอยู่บ้างแต่ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย ปลายปีมาเยือน ข่าวเศร้าก็เข้ามาอีกครั้ง คราวนี้น้องชายที่ไปเป็นนักผจญภัยที่อาณาจักรอันห่างไกล ตายในหน้าที่ แต่เนื่องจากที่ที่เขาตายนั้นอยู่หากกบฮิลโบร่ามาก ใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อเดินทาง ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะหน้าหนาวแล้ว จึงไม่เหมาะกับการเดินทางอย่างยิ่ง งานศพของเขาถูกจัดขึ้นโดยไม่ญาติคนใดได้ไปร่วม ได้แต่นั่งเศร้าอยู่ข้างแม่ที่ทรุดลงไปกับพื้นราวพร้อมหัวใจที่แตกสลาย

                เวลามิอาจไหล่ย้อนคืน มีแต่ไหลไปข้างหน้า ไหลไปเรื่อยๆ ไหลไปจนพรากคนสำคัญในชีวิตเราไปมากมาย คนรู้จักมากมายตามล้มตายไปตามกาลเวลา ตอนนี้ เอริน อายุได้ 79 แล้ว พ่อเลี้ยงนางตายไปเมื่อปีก่อน ปีนี้แฮโรลด์ก็เพิ่งจะตายตามไปอีกคน นี้ก็ไม่รู้ว่าใครจะตายอีก ช่วงนี้เลิกทำงานที่ฮิลโบร่าแล้วกลับมาอยู่บ้าน น้องสาว 2 คนแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ตอนนี้ที่บ้านเหลือแค่นางกับแม่ และเหล่าคนใช้ กิจการต่อเรือเล็กๆของพ่อที่แม่พายามพยุงนั้นได้ปิดตัวลงไปในที่สุด เพราะขาดช่างที่มีฝีมือและหัวเรือที่มีความชำนาญ โชคดีที่ไม่ขาดทุนเท่าไหร่ เวลาผ่านไป อาการอึมครึมกลับมาอีกครั้ง แม่ได้สามีใหม่(อีกแล้ว) มิหนำซ้ำยังมีเด็กในท้องอีกด้วย ความนี้เป็นเด็กหญิงแฝด 2 คน อย่างไรก็ตามฝ่ายชายหนีหายไปโดยไม่รับผิดชอบ ทั้งเอรินและแม่จึงทำเป็นว่ารับเด็กกำพร้ามาเลี้ยงไว้ในบ้านแก้เหงา ชีวิตช่วงนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ นั่งมองเด็กทารกคลานไปมาก็ทำให้เพลินดี หนำซ้ำเด็กทั้งคู่ยังช่วยรักษาอาการฝันร้ายที่เกิดจากการเสียลูกคนแรกของเอรินไปอีกด้วย

                เวลาผ่านไป 20 ปี เร็วเหมือนโกหก แต่ที่โกหกกว่าคือในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม่หาแฟนใหม่ได้เกิน 111 คน ก็ไม่รู้จะเรียกว่าแฟนได้ไหม แต่ตอนนี้ชักเริ่มสงสัยว่าสมัยที่พ่อยังอยู่แม่เป็นแบบนี้หรือเปล่า ในขณะที่แม่ฉายแสงเจิดจ้า เอรินกลับไม่เจอใครที่น่าสนใจเลย เคยมีคุยจริงๆจังแค่คนสองคน แต่ก็ไม่เกินเดือนก็เลิกคุย เพราะคนพวกนั้นไม่มีอะไรเลยที่แตกต่างจากคนที่ผ่านๆมา เอรินมีชีวิตมาอย่างยาวนานถึง 100 ปีแล้วตอนนี้ ทุกคนในบ้านร่วมกันฉลองวันครบรอบให้นาง ทุกคนต่างร่วมกันแสดงความยินดี งานเลี้ยงก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มันก็รู้สึกอบอุ่นดี จนกระทั้งนางเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่ง นางคุ้นๆว่าเคยเห็นเข้าออกบ้านบ่อยๆเมื่อนางยังเด็ก นางแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่มีทางที่มนุษย์จะอายุยืนได้ขนาดนั้น หลังงานเลี้ยงจบลงทุกคนต่างแยกย้ายกันไป พวกเด็กๆเข้านอน ตอนนี้ในบ้านมีสมาชิกอีก 4 คน นอกจากแม่ เอริน น้องสาวแฝดและเหล่าคนใช้ เด็กพวกนั้นเกิดจากเหล่าแฟนของแม่ที่ไม่รับผิดชอบ วางไข่แล้วหนีหายไป แม่ที่กำลังเมาหลับคาโต๊ะเหมือนอยู่ในสภาพที่ถูกวางยา เอลฟ์ของเราจึงเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มบทสนทนา เรื่องบางเรื่องที่นางไม่เคยคิดจะสงสัย เรื่องบางเรื่องที่นางไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรจะถามออกไปเลยจริงๆ เรื่องบางเรื่องที่จะเปลี่ยนชีวิตของนางไปตลอดกาล

                แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนนางเจอกับพ่อของนางอายุได้ 514 ปี แต่เอรินเชื่อมาตลอดว่าพ่อแม่อายุเท่ากัน ก่อนหน้าที่จะเจอกับพ่อของ เอริน คุณแม่ก็ทำตัวอย่างนี้อยู่แล้ว แต่เพราะนางหลงรักชายคนนั้นจริงๆ นางจึงงดพฤติกรรมดังกล่าวไปช่วงหนึ่ง แต่หลังจากที่ เอริน โตได้ 2 – 3 ปี นางก็ไม่อาจห้ามใจนางไว้ได้จึงกลับไปทำอย่างเดิมอีก พวกคนใช้ในบ้านที่เป็นผู้ชายทั้งหมดนางก็ไม่เว้น พวกคนในหมู่บ้านเองนางก็กินเรียบ เรื่องนี้สมัยเด็กเคยสงสัยว่าทำไมพวกผู้หญิงในเมืองถึงได้มองนางแปลกๆ เอาเข้าจริงทำไมไม่ช่วยกันห้ามพวกสามีหรือญาติของพวกนาง แม่คุยโวออกมาอย่างภาคภูมิใจว่า แม่กับตระกูลเจ้าเมืองมีสัมพันธ์อันดีกันมาหลานรุ่น นางจึงมีศักดิเหมือนเจ้าเมืองเช่นกัน ไม่เพียงแค่แม่เท่านั้น พวกพี่สาวนางเองก็ใช่ย่อย วนเวียนเวียนวนกันไปไม่รู้จบ นั้นเป็นเหตุว่าทำไมคนใช้ในบ้านถึงมีการเปลี่ยนเข้าออกอยู่บ่อยๆ รุ่นแรกๆก็มีผู้หญิงเข้ามาบ้าง แต่รุ่นหลังๆนั้นมีแต่ชายหื่นๆเพียงเท่านั้น แต่ที่กระชากใจกว่านั้น แฟนเก่าของเอรินทั้ง 2 คนที่เคยพามาบ้าน คุณแม่ก็เคยลองชิมมาแล้วเหมือนกัน ผู้ชายคนแรก เลิกกับเอรินแล้วมาเป็นทาสของแม่ ส่วนผู้ชายคนที่สองนั้นกังวลอยู่ในใจตลอดว่าวันหนึ่งที่เขาแก่หรือใช้งานไม่ได้ ตัวนางก็จะทำเช่นเดียวกับแม่ หลังจากบทสนทนาอันแสนเร้าใจจบลง นางก็พิงพนักเก้าอี้แล้วหอยหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                นั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เอรินได้กลับไปคฤหาสน์หลังนั้น มันเคยเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันหอมหวาน แต่บัดนี้มันกลับถูกย้อมไปด้วยความทรงจำอันแสนปวดร้าว ได้แต่เฝ้าภาวนา ขออย่าให้ชีวิตนี้ได้พอเจออะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกเลย หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปอย่างไร้จุดหมายแล้วกลับมาใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยในฮิลโบร่าจนเวลาไหลผ่านไป 100 ปี นางไม่กลับบ้าน ไม่คุย ไม่พบและไม่ติดต่อกับแม่หรือคนในควิกเกียร์อีกเลย ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆในฐานะนักผจญภัยคนหนึ่ง แน่นอนว่าก็ต้องลงเหมือง การเข้าไปในเหมืองก็ต้องมีทีม ซึ่งช่วงนี้นางสนิทกับกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ กลุ่มกุหลาบดำ สมาชิกมี 8 คนและทั้งหมดเป็นผู้หญิง ทุกคนในทีมอยู่คนละลัทธิ แม้ไม่สนิทกันมากแต่ก็ร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ทุกคนเคารพในความเป็นส่วนตัวของกันและกัน ไม่ยุ่งและไม่ถามเรื่องในอดีตของเพื่อนสมาชิก จึงทำให้อยู่ร่วมกันได้โดยไม่อึดอัด แต่เพราะพวกเขาไม่รู้จักกันดีพอ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องที่ต้องเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล

                ย้อนกลับไปหลายปีก่อนหน้าที่เอรินจะเข้ากลุ่มกุหลาบดำ หนึ่งในสมาชิกทีมเป็นนักฆ่าเผ่ามนุษย์แมวที่มีฝีมือเก่ง แต่เพราะเก่งกาจจนมั่นใจในฝีมือมากเกินไป จึงไปรับงานที่ยากจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว เป็นเหตุให้ไม่สามารถปลิดชีพเป้าหมายได้ในเวลาอันสั้นจนพรรคพวกของเป้าหมายเข้าร่วมการต่อสู้ สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว ความได้เปรียบในตอนแรกนั้นหายไป นักฆ่าต้องรีบหนีหางจุกตูดและรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ต้องแลกกับการที่ตัวจริงของนางถูกเปิดเผย เป้าหมายและพวกจึงเตรียมและรอเวลาที่จะล้างแค้น แม้ว่านั้นจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วก่อนเอรินจะเข้ากลุ่มกุหลาบดำก็ตาม แต่การแก้แค้น พันปีก็ไม่สาย

                เรื่องมันเริ่มต้นที่จู่ๆก็มีคนเอาเควส 50 ปีมาเสนอให้กลุ่มกุหลาบดำ มอนสเตอร์เป้าหมายเป็นกิ้งก่ายักษ์ ลิ้นยาว มีความสามารถในการเปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับธรรมชาติ แถมยังสาปให้ศัตรูหยุดนิ่งได้นานหลายนาทีด้วย การจะจัดการมันไม่ใช่เรื่องยากเพราะสมาชิกกุหลาบดำทั้งหมดระดับชั้นเกิน 5 กันแล้วทั้งนั้น แถมบางคนขึ้นหิ้งเป็นระดับตำนานแล้วด้วย แต่ที่เควสมันยากไม่ใช้เพราะมอนสเตอร์เป้าหมาย แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของถิ่นที่อยู่ต่างหาก ทั้งแสงแดดร้อนระอุจนเหมือนถูกเผาในเวลากลางวัน อากาศที่หนาวจนจับแข็งในเวลากลางคืน แรงลมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มันแรงพอจะพัดถล่มกำแพงเมืองได้ง่ายๆ แหล่งน้ำในพื้นที่ที่พ่นไอพิษออกมาตลอดเวลา รวมทั้งพื้นที่แถบนั้นไม่มีที่ที่สามารถหาแหล่งอาหารเพิ่มเติมได้หากอาหารที่เตรียมมาหมด ไม่มีพืชขึ้นในพื้นที่เหล่านั้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีแม้แต่มอนสเตอร์ระดับต่ำ แต่เพราะพื้นที่มันเป็นแบบนั้นเอง เลยทำให้มอนสเตอร์เป้าหมายต้องออกมาล่าต่างถิ่นแล้วคาบอาหารสำรองกลับรังไป บางครั้งมันไม่สามารถหาสัตว์ได้ มันจึงเลือกที่จะกินคนแทน ด้วยเหตุนั้นเองจึงไม่มีใครคิดหรือพยายามจะไปที่นั้น เควสนี้ถูกปฏิเสธไปในทันทีที่มีคนมาเสนอ ไม่มีใครสามารถมาตำหนิพวกนางได้ แม้แต่ขนาดลัทธิใหญ่ที่ติด 10 อันดับ ยังไม่มีใครสนใจจะไม่เควสเหล่านั้นเลย

                จุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อสมาชิกกุหลาบดำได้รับข่าวว่าบ้านเกิดของนักธนูประจำทีมโดนเจ้าเกล็ดยักษ์ถล่มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความแค้น นางจึงขอถอดตัวออกจากกลุ่มเพื่อไปล้างแค้นคนเดียว แต่มีหรือเพื่อนจะทิ้งเพื่อน พวกนางจึงตัดสินใจที่จะไปกันทั้งหมด แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแผนที่คู่แค้นเตรียมเอาไว้ ที่ถล่มหมู่บ้านไม่ใช่มอนสเตอร์แต่เป็นพวกมันเอง ส่วนคนที่ปล่อยข่าวลือก็คือพวกมันนี่ละ

                การเดินทางที่แสนยากลำบากในดินแดนมรณะได้เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะเดินทางไปถึงที่หมาย ไม่ใช่เพราะระยะทางที่ไกลแต่เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง โจรบุกปล้นบ้าง มอนสเตอร์เข้าโจมตีกลางคืนบ้าง หรือไม่ก็มีคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมในเมืองที่พวกนางพักระหว่างทาง แน่นอนว่าพวกนางผ่านไปได้แม้จะไม่ใช่ในแบบที่ชอบนัก ทันทีที่เข้าแดนมรณะ สมาชิกในทีมก็ร่วงไปสองเพราะสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีในช่วงการเดินทางที่ผ่านมาทำให้ร่างกายอ่อนแอ มันทำให้ง่ายต่อการเจ็บปวดและมีโอกาสสูงที่จะตายเพราะการขาดอาหารในอีกไม่กี่วัน สมาชิกทั้งหมดจึงตัดสินใจตั้งแคมป์ในหุบเขาเพื่อรอให้อาการของเพื่อนดีขึ้น แผนเดิมคือรีบพุ่งไปจัดการเจ้าตัวเขียวแล้วรีบมุ่งหน้าออกนอกโซนมรณะภายในสามวัน แต่หลายวันผ่านไปก็แล้วอาการของเพื่อนร่วมทีมก็ไม่ดีขึ้น แถมสภาพทีมโดยรวมถือว่าแย่ลงอย่างมาก มีคนบาดเจ็บหลายคน ไม่มียารักษาเหลือ อาหารก็เกลี้ยง หนำซ้ำยังเหนื่อยอ่อนเพราะมีมอนสเตอร์ค่อยมาโจมตีอยู่ประปราย แถมทุกคนยังมีอาการขาดน้ำอย่างหนัก นั้นไม่นับรวมการที่ทุกคนหายใจเอาอากาศที่เป็นพิษเข้าไปในร่างติดต่อกันตลอดเวลาที่พวกนางอยู่ในโซนมรณะ

                หลังจากเดินมาเนินนาน ในที่สุดพวกนางก็ได้พบเจ้ากิ้งก่ายักษ์เสียที แต่เจ้าสิ่งนั้นมันไม่เหมือนกับที่ได้ยินมา เกล็ดมันไม่ได้สีเขียวเหมือนกับที่มีคนเคยบันทึกไว้ อาจฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระหรืองี่เง่า แต่สีเกล็ดของกิ้งก่ายักษ์นั้นบอกได้ถึงอายุ ความแข็งแกร่งและความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณโดยรอบ รวมทั้งสุขภาพจิตด้วย โดยปกติเผ่าของมันจะมีสีเขียวอ่อน อายุมากหน่อยจะเป็นเขียวแก่ ถ้าแก่หน่อยจะเป็นสีเขียวปนดำ แต่ถ้าอายุมันเกินร้อยปีไปแล้วจะเป็นสีดำแต่มีแต้มสีเขียวจางๆอยู่ทั่วตัว แต่ตัวนี้เป็นสีน้ำตาลดำ นั้นหมายความว่า ขาดอาหารมานาน คงเพราะบริเวณโดยรอบมันยิ่งกว่าไม่สมบูรณ์  ขอบตาคล้ำ แยกเขี้ยวตลอดเวลาแถมกรอกตาไปมา นั้นหมายความว่ามันอารมณ์เสียและจะดุร้ายแบบสุด แม้ตัวมันจะไม่ใหญ่มากแถมหนังหุ้มกระดูกเพราะขาดอาหาร แต่ดูจากขนาดของโครงสร้างกระดูก แล้วอายุมันน่าจะเกิน 60 ปี การจะฆ่าตัวพรรณ์นั้นได้ต้องใช้นักผจญภัยระดับสูงที่มีประสบการณ์เท่านั้น อย่างน้อยต้องการระดับ 7 อย่างน้อย 6 คน จึงจะสู้ได้อย่างสูสี หลังจากสังเกตการณ์อยู่นาน ทั้งหมดจึงเลือกถอยไปตั้งหลัก

                จะถอยก็ไม่ได้เพราะกระเสือกกระสนกันมาจนถึงขนาดนี้ ยังไงก็ต้องไปให้สุด แต่จะบุกก็ไม่ได้เพราะ ยาก็ไม่มี อาหารก็หมด ทั้งเหนื่อยล้า บาดเจ็บและติดพิษด้วย การตัดสินใจหลังจากนี้จึงเป็นการชี้ชะตาชีวิตของทุกคนในกลุ่ม โชคดีที่กลุ่มนี้ไม่มีคนที่ชอบโวยวายโทษคนนู้นโทษคนนี้เมื่อเข้าตาจน อย่าไรก็ตามกลุ่มนี้ไม่มีหัวหน้า การจะทำอะไรต้องอาศัยความพึงพอใจและเห็นยอมของสมาชิกทุกคนในทีมซะก่อน แต่ครั้งนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะในทีมมีคนที่ดื้อรั้นอยู่ 2 หน่อ เหนื่อยจนเบลอ 2 หน่อ สาหัสปางตาย 2 หน่อและพอเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้างแค่ 2 หน่อเท่านั้นเอง จะปล่อยให้พวกหัวรั้นเข้าไปตายก็กระไรอยู่ แต่ครั้งจะลากเพื่อนทั้งหมดไปตายก็ใช่ที่ สุดท้ายทั้งหมดจึงขอให้มีการโหวต ผลออกมาคือ ถอย แม้ปากของนักฆ่าและนักธนูจะบอกว่าเคารพในการตัดสินใจของทุกคน แต่ก็ดูออกว่าเจ็บใจกันมากที่เลือกถอย มีแต่ก็ต้องยอมทำใจ นักรบกับอัศวินนั้นอยู่ในสภาพร่อแร่ นักเวทย์ฮีลกับนักแม่นปืนก็ไม่ค่อยจะเหลือเค้าความเป็นคน เหลือแค่นักเวทย์โจมตี (เอริน) กับ นักดาบนั้นที่ยังพอทำอะไรได้ดีอยู่ หลังจากทั้งหมดพยายามลากสังขารออกจากโซนก็มาถึงทางออกจนได้ ที่นั้นมาชาวบ้านรอต้อนรับอยู่ พวกเขาไม่เคยคิดหรอกว่าคนพวกนี้จะผ่านเควสระดับนี้ได้ แค่มายืนรอรับกลับไปเท่านั้น

                งานเลี้ยงส่งท้ายจึงถูกจัดขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง แม้จะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ แต่ทุกคนก็ดูมีความสุข กุหลาบดำร่วมงานเต้นรำกับคนในหมู่บ้าน มันไม่ใช่งานที่กินเวลานาน ไม่นานก็เลิกรากันไป เหล่าผู้คนต่างแยกย้าย กุหลาบดำเองก็ทยอยกลับที่พักกันไปนอน พรุ่งนี้คงต้องกลับฮิลโบร่า เมื่อทุกคนถึงห้อง แต่ละคนก็ล่มตัวลงนอน บางคนก็หลับไปในทันที บางคนก็คุยกันถึงสิ่งที่จะทำในอนาคต ดูเหมือนมีบางคนที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมแพ้ ประชุมวางแผนการรบใหม่เพื่อที่จะพิชิตเควสนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่ว่าครั้งหน้าทุกคนจะมาด้วยกันหรือไม่ ยังไงทีมมันก็ต้องใหญ่กว่าเดิม สาเหตุที่รอบนี้พวกนางทำไม่สำเร็จเพราะน้ำ อาหารและยาเตรียมมาไม่เพียงพอที่จะถึงที่หมาย แถมศัตรูยังเก่งกว่าที่บันทึกครั้งล่าสุดไปไกลโข การประชุมสุดเข้มข้นต้องจบลงเพราะสมาชิกทุกคนผล็อยหลับกันไป

                ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนงง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว จำไม่ได้แม้กระทั้งตัวเองเป็นใคร รวมทั้งอาการปวดหัวและปวดตามตัวแบบแปลก มองไปรอบๆ ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น ทุกอย่างในห้องยังอยู่ดี ทุกคนก็ยังนอนหลับกันอยู่ทุกคน หลับกันอยู่ทุกคน ทุกคนจริงๆ ไม่มีใครตื่น นักรบที่มันจะเสียงดังทุกเช้าแล้วโว้ยวายเรื่องท้องหิว นักธนูที่มันจะเข้าป่าไปอาบน้ำตอนเช้าวันนี้ก็ยังไม่ตื่น นี่ยังไม่นับรวมท่านอัศวินผู้สูงศักดิ์ที่ก็หลับอยู่เช่นกัน วันไหนไม่ได้ฝึกดาบตอนเช้าเป็นอันต้องโวยวายบ้านแตก ทุกคนหลับกันได้นิ่ง เงียบ ไม่ไหวติงมากจนผิดปกติ เอรินพยายามตั้งสติและรวบรวมพลังเพื่อลุกขึ้นแต่ไม่สามารถทำได้ ร่างกายหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่มาทับร่างเอาไว้ แต่ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละ ในที่สุดนางก็คลานไปจนถึงตัวนักแม่นปืน พอดูใกล้ๆสภาพของทุกคนก็ดูแปลกๆ เสื้อผ้าดูยุ่งเหยิงแต่ไม่ใช่เพราะนอนดิ้นไปมาแน่ๆ แถมตัวยังดูซีดและเย็นกว่าปกติด้วย แม้แต่จอมเลือดร้อนอย่าง    นักฆ่าก็เช่นกัน เอลฟ์ของเราตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดมันออก ภาพที่เห็นนั้นไม่ผิดไปจากที่คาด ทุกคนผิดกายซีดเผือด กล้ามเนื้อดูแข็งผิดปกติ เสื้อผ้าและผมดูยุ่งเหยิง แต่บางคนมีรอยช้ำตามตัวด้วย โดยเฉพาะนักฆ่า ยังดูไงรอยช้ำที่หน้านั้น ไม่โดนชกก็โดยตบหลายครั้งอย่างแน่นอน เสียงกรีดร้องของเอลฟ์สาวดังไปทั่วผืนป่าโดยรอบราวกับเสียงกรีดร้องของปีศาจแห่งความแค้น

                งานศพถูกจัดขึ้นในอีกวันหลังจากนั้น จากปากของชาวบ้านโดยรอบ พวกเขาบอกว่า ไม่อยากรบกวน จึงปล่อยให้พวกนางนอนกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ผ่านมาอย่างน้อย 2 วัน แต่ที่มันใจกันมากเลยคือไม่มีใครบุกเข้าไปในห้องแน่ๆ ที่ที่พวกนางอยู่นั้นเป็นบ้านของคนในหมู่บ้านที่ให้ยืมเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกนางลำบากเดินทางไกลเพื่อมาถึงนี้ เจ้าของบ้านจึงไปอาศัยอยู่กับเพื่อน บ้านหลังนั้นเข้าออกได้ทางเดียวคือทางถนนสายหลัก ถ้ามีใครเดินเข้าไป ต้องมีคนเห็นอย่างแน่นอน แต่เพราะมันเป็นบ้านสองชั้น จึงไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าคนร้ายจะปีนเข้าทางหน้าต่าง หรือปีนเข้าทางหลังค่า เพราะบ้านนั้นใช้หลังค่าฟางกับเพดานเก่าๆ การจะพังเป็นเรื่องง่าย ถ้าชำนาญหน่อยก็อาจไม่เกิดเสียงเลยด้วยซ้ำ แม้เอรินจะคิดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดออกมาแต่อย่างใด แต่ที่สงสัยคือพวกนางโดนวางยากันได้อย่างไรมากว่า งานเลี้ยงทุกคนช่วยกันจัด จึงเป็นเรื่องยากที่จะวางยาแบบเฉพาะเจาะจงได้ เว้นเสียแต่ชาวบ้านทุกคนรู้เห็นเป็นใจ ต่อให้รู้เห็นเป็นใจแต่ทำไมพวกเขาต้องฆ่ากุหลาบดำทั้งทีมด้วย อย่างน้อยที่สุดตัวนางกับนักเวทย์ฮีลไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใครมาก่อนอย่างแน่นอน แม้คนส่วนใหญ่จะสรุปกันว่านางจะเป็นผลมาจากการสูดเอาพิษในอากาศของแดนมรณะมากกว่า แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือเอรินเกิดในตระกูลหมอที่มีชื่อเสียง ต่อให้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวมานานแล้ว แต่แค่แยกแยะพิษมันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับนาง ก็ไม่รู้จะพูดได้ว่าโชคดีหรือเปล่าที่นางรอดมาได้ แต่ที่ดีกว่านั้นคือ งานเลี้ยงวันนั้นมีคนเข้าร่วมจำนวนมาก แต่ตอนนี้พวกเขาหายไป แม้ชาวบ้านจะพยายามบอกว่าคนพวกนั้นไปทำงานต่างถิ่น นานๆครั้งจึงจะกลับ แต่อะไรจะบังเอิญอยู่ในช่วงเดียวกับที่เกิดเรื่อง แถมหายไปก่อนเรื่องจะแดงเสียอีก ยิ่งคิดยิ่งสงสัย ยิ่งคิดยิ่งงุนงง แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานอะไรได้มากกว่านั้น มิหนำซ้ำเจ้าของบ้านยังอ้างว่าต้องการจะล้างพิษที่ตกค้างอยู่ในบ้าน เขาจึงเผาบ้านตัวเองที่อยู่มานานหลายสิบโดยไม่มีท่าทีลังเล ชาวบ้านคนอื่นก็ไม่ได้ช่วยกันห้าม แถมยังให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ช่วยกันเผาบ้านคนอื่นอย่างขยันขันแข็ง หลังจากไฟไหม้บ้านทั้งหลังแล้วก็ยังช่วยกัน กันดับไฟไม่ให้ลามไปบ้านอื่นและดับมันอย่างรวดเร็วอย่างกับเตรียมการมาแล้วหลายวัน นั้นยังไม่นับรวมอาการอึกอักของชาวบ้านหลายคน บางคนพยายามหลบหน้า บางคนซ่อนไม่ออกจากบ้าน พอเดินผ่านไปก็ทำท่าทีจะไปจัดและกวาดบ้านทั้งที่มันก็เรียบร้อยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม นางจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นตัวอีกหลายวันจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อ อาการแปลกๆของชาวบ้านก็ยังคงอยู่ แต่เอริน ตัดสินใจที่จะไม่สนใจ เมื่ออาการดีขึ้นแล้วมุ่งหน้าออกเดินทางกลับฮิลโบร่า ตอนมาใช้เวลาเป็นเดือน พบเจอแต่เรื่องแปลกๆยากลำบากมากมาย แต่กลับถนนดันโล่งมาก ไม่เจอใครหรืออะไรเลย แถมใช้เวลาแค่สิบกว่าวันก็กลับถึงบ้านโดยปลอดภัย ทันทีที่เดินเข้าไปในตึกกิลล์ คนที่อยู่ที่นั้นดีใจกันยกใหญ่ที่เห็นนางกลับมาอย่างปลอดภัย แต่หลังจากที่รออีกสักพักก็ไม่เห็นคนอื่นเดินเข้ามาบวกกับสภาพนางที่มองยังไงก็รู้ว่าไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่ ความเงียบกริบและอึมครึมจึงเข้าครอบคลุมพื้นที่อย่างรวดเร็ว เอรินเล่าเรื่องที่นางไปเจอมาให้พนักงานกิลล์ฟังเพื่อทำบันทึก มันจะได้เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังต่อไป ความเป็นจริงเกี่ยวกับทีมกุหลาบดำ นางไม่ได้บอกสิ่งที่นางคิด แต่ปล่อยให้ถูกบันทึกไปว่าตายเนื่องจากสูดพิษในอากาศเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว เมื่อการบันทึกเสร็จสิ้น นางจึงเดินออกจากตึกกิลล์ด้วยท่าทีที่อ่อนล้า ระหว่างทางนางเจอคนที่ไม่รู้จักเขามาพูดจากวนประสาท แต่นางก็ไมได้ใส่ใจอะไร จนถึงคำพูดคำพูดหนึ่ง มันสะกิดใจนางมากๆ เอริน จึงหยุดนิ่งแล้วปล่อยให้พวกมันพล่ามต่อไป

                นักเลงชายกลุ่มนั้นก็พูดไปเรื่อยส่วนใหญ่หาสาระไม่ได้ แต่จากคำพูดมันสื่ออกมาราวกับว่าพวกมันรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างราวกับว่าออกเดินทางไปด้วยกัน พวกมันคงแอบตามพวกนางไปแบบติดๆแล้วคอยเฝ้าดูแน่นอน แต่พวกมันจะทำแบบนั้นไปทำไม มีประโยคหนึ่งที่ทำเอาเอรินฉุนขาด มีหนึ่งในพวกมันบอก นักเวทย์ฮีลอร่อยที่สุดในกลุ่ม ส่วนนางนั้นเหม็นเน่าเหมือนยายแก่ค้างปี เมื่อสิ้นคำพูดเอลฟ์สาวก็เลือดขึ้นหน้า โชว์ระบำเพลิงเผากลุ่มนักเลงจนวอดในเวลาอันรอดเร็วกลางเมืองโดยไม่ได้คิด เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของคนที่ถูกย่างสดออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงมันดังสนั่นดังก่องไปทั่วบริเวณ ไม่นานหลังจากนั้นทีมช่วยเหลือก็มา พวกนั้นทั้งหมดรอดชีวิต แต่เอรินถูกจับขังข้อหาทำร้ายร่างกายโดยตั้งใจและกระทำเกินกว่าเหตุ

                โดนจับขังอยู่หลายวันในคุกที่สกปรกเหมือนรูหนู ก่อนจะถูกย้ายไปที่ไหนก็ไม่รู้เพราะถูกปิดตาไว้ตลอดทาง จากที่ดูน่าจะเป็นเรือนจำที่ไหนสักแห่ง คาดว่าเอาไว้ขังพวกนักโทษที่ทำเรื่องร้ายแรง ฆาตกรรมหมู่ ฆาตกรต่อเนื่อง หรือแม้แต่พวกจิตวิปริต คงเพราะเป็นเรื่องจำที่อยู่ไกลเมืองหลวงอย่างฮิลโบร่าออกไป การจัดการเลยแย่นัก เงินที่ได้มาพัฒนาคงเข้ากระเป๋าใครบางคนไปหมด อาหารที่นักโทษที่นี่กินกัน อาหารหมายังอร่อยกว่า มีห้องขังหลายห้อง มีแดนขังหลายแดน แดนทุกห้องทุกแดนเปิดเชื่อมถึงกันหมด อยู่ปนกันทั้งชายหญิง บางคนบางกลุ่มเล่นสนุกกันไม่สนใจคนรอบข้าง พวกผู้คุมก็ดูกันอย่างสนุกสนาน ถ้าคนไหนอารมณ์ดี อาจมีลงมาร่วมวงด้วย ถ้าคนไหนอารมณ์ไม่ดีอาจมีการถุยน้ำลาย สาดน้ำ ฉี่ใส่หรืออะไรก็ตามที่หยิบมาปาใส่ได้ก็จะปามา ทุกทนที่ถูกทำให้เป็นเหมือนสัตว์ ดำรงชีวิตอยู่เพื่อตอบสนองตัณหาและความสนุก คนที่คุมที่นี้ก็คงบ้าพอกัน กลิ่นเหม็นเน่าของคนตาย กลิ่นเหม็นสาบของเพื่อนร่วมคุก รวมทั้งพฤติกรรมต่ำๆของผู้คุมที่นั้น ไม่ชวนให้น่าพิสมัยเอาเสียเลย วันคืนเดินผ่านไปเรื่อยอย่างรวดเร็ว บางวันเพื่อนราวห้องก็ขอให้นางทำอะไรแปลกๆ นางจึงจัดไป 3 ดอก กระอักเลือดกันเลยทีเดียว บางวันก็โดนพวกผู้คุมลงมาก่อกวน บอกให้เลียเท้าบ้าง บอกให้เลียอย่างอื่นบ้าง บอกให้เต้นท่าแปลกๆบ้าง ถ้าไม่ยอมทำตามก็จะถูกรุม แน่นอนว่าบางครั้งนักโทษคนอื่นที่รอจังหวะอยู่ก็จะเข้ามาช่วยซ้ำ พอลองมาอยู่ในจุดนี้แล้ว สิ่งที่แม่ทำกับนางนั้นกลายเป็นแค่เรื่องล้อเล่นไปเลย

                วันคืนผ่านไป ฤดูกาลใหม่ก็เข้ามา ตอนนี้เป็นฤดูหนาว มันก็เหมือนกับที่อื่นๆเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจ แต่ที่มันต่างจากที่อื่นคือเรือนจำที่นี่จะปิดตาย พวกผู้คุมจะไม่อยู่เฝ้าระวังหรือคอยมาเดินกวนๆให้หงุดหงิดเลย ปล่อยให้อยู่กันเอง แน่นอนว่าจะออกไปก็ไม่มีใครว่า คนที่จืดจางก็มักจะถูกลืม จึงง่ายต่อการหลบหนี แต่คนที่ทำตัวเด่นๆอย่างเช่น เอริน ต่อให้หนีออกไปได้ ก็จะถูกหน่วยพิเศษ หน่วย Hound ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อล่านักโทษหลบหนีโดยเฉพาะออกไปตามกลับมาอยู่ แน่นอนว่าถ้ากลับมาเพราะแบบนั้น สภาพนี่เละกว่าปุ๋ยคอกอีก ซึ่งไม่แปลกเป็นที่เด็กใหม่จะไม่รู้อะไรพวกนั้นเลย ทันที่ฤดูใบไม้ผลิจบลง พวกผู้คุมก็เตรียมตัวและขนของกลับบ้านกัน นางรู้ว่ามันปลกแต่ที่แปลกกว่าคือ ปกติพวกนักโทษจะเล่นสนุกกันข้างทางเหมือนสัตว์ ตีกันโดยไร้เหตุผล หรือตะโกนด่ากันแบบพวกไร้การศึกษา ตอนนี้พวกนี่รวมกลุ่มกันเป็นทีม ร่วมมือร่วมใจกันทำอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนไร้เหตุผล แต่ถ้าสังเกตพวกเขาดีๆตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา พวกมันมีสังกัดกันอยู่แล้ว เพียงแต่แยกกันจองพื้นที่ทำกิน มีการทำงานทำการกันอย่างเป็นระเบียบ มีการปลุกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำอาหารรวมไปถึงการค้าขายกันภายในคุกอย่างครบวงจร มีขายแม้กระทั้งเหล่า แทนที่จะเรียนกว่าคุก เรียกว่าเขตกักกันยังเห็นภาพง่ายกว่า ตอนนี่ทุกคนรักกันดีทั้งชายหญิง บางกลุ่มเริ่มตั้งแคมป์ ก่ออิฐ รวบรวมฟืน ทำที่นอนเตรียมผ้าห่ม บางกลุ่มกลับเตรียมอาวุธเหมือนกำลังจะสู้กับอะไรสักอย่าง บางกลุ่มเร่งขุดดินกันใหญ่เหมือนพยายามขุดลอดกำแพงออกไปซะอย่างนั้น แน่นอนว่าผู้คุมเห็น แต่แทนที่จะเข้ามาขัดขวาง กลับยืนดูอยู่นิ่งๆ มีทั้งหัวเราะ มีทั้งส่ายหัวไปมา ก็ไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

                ลมหนาวพัดมาพร้อมกับหิมะโปรยปราย ลายลมที่พัดมานั้นกระทบกับผิวที่บางและแห้งของเอลฟ์สาวแบบเต็มๆ มันหนาวไปถึงกระดูก ที่แย่ไปกว่านั้นคืออาหารหมดก่อนจะเข้าหน้าหนาวเสียอีก แน่นอนว่าพวกที่อยู่มานานย่อมรู้ดีและเตรียมตัวการสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว มีแค่เพียงพวกหน้าใหม่และพวกบ้าเท่านั้นที่ไม่ได้เตรียมการ ตอนนี้ทุกคนรวมตัวกันเป็นกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด มองผ่านๆจะเห็นได้ว่ามีกลุ่มใหญ่อยู่ 3 กลุ่ม คือ

                กลุ่มของ ขนดำแบล็คด๊อก นำโดยมนุษย์หมาป่า โบนครัช ร่างกายสูงใหญ่กำยำ มีจำนวนสมาชิกเยอะที่สุด ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีครบทุกอย่าง ทั้งอาหารที่ใช้เวลาทั้งปีในการจัดเตรียม มีที่พักที่ดีกว่าคุกเปล่าๆ เรือนนอนที่อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้คงอยู่มานาน ทำให้ผนังเริ่มบางขนาดเจาะทะลุได้ง่าย เป็นเหตุให้ความเย็นมันแทรกเข้าไปทุกที ปกติทุกคนก็ต้องนอนอยู่บนพื้นหินอยู่แล้ว ถ้านอนบนพื้นในสภาพนี้ ได้หนาวตายแน่ นอกจากนี้ยังมีอาวุธประดิษฐ์เองครบมือแม้จะไม่ได้ทนทานอะไรนัก แต่ก็สามารถใช้ตีหัวคนที่เดินผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือพวกนั้นมีผู้หญิงมากพอที่จะแบ่งใช้กัน แม้การขายตัวเพื่อความอยู่รอดอาจไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรตินัก แต่ก็ยังดีกว่าการตายข้างถนน

                กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มซิลเวอร์ทูธ นำโดยโอกะ อันเดธ จากที่ดูภายนอก น่าจะเป็นแวมไพร์ สมาชิกส่วนใหญ่เป็นพวกศพคืนชีพหรอไม่ก็พวกกินซาก เพราะงั้นอากาศหนาวไม่น่าจะสร้างปัญหาใดๆแก่พวกเขาได้ พวกนี้เป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด ส่วนผู้หญิงก็เป็นกระเภทกล้ามเป็นมัดๆ ไม่น่าจะเอาไว้กระตุ้นอารมณ์ผู้ชายเป็นแน่ แต่ที่เห็นได้เด่นชัดสองอย่างคือ พวกนี้ไม่มีการเตรียมอาหาร มีการเตรียมฟืนนิดหน่อย ที่เหลือก็เป็นอาวุธกับเกราะเสียมากกว่า อาวุธทั้งหมดเป็นประเภททุบมากกว่าตัด คงมีอะไรสักอย่างกวนใจเขาจึงทำให้ห่วงชีวิตมากกว่าการอยู่รอด การจะเข้ากลุ่มนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจากที่สังเกตมา พวกนี้ไม่สนใจเรื่องเพสเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกนั้นทำส่วนมากคือต่อตีกันเองหรือไม่ก็ไปหาเรื่องกลุ่มอื่นเสียมากกว่า

                กลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มพลังหญิงแบดแมร์ ผู้หญิงที่มีร่างกายปกติที่จิตไม่ปกติ นำโดยอเมซอนกล้ามใหญ่ 2-3 คน สมาชิกส่วนใหญ่ผู้หญิง จากที่ดูผ่านหลายคนน่าจะเป็นนักผจญภัย เคยเห็นหน้าในวงการมาบางแต่ไม่รู้ถูกจับมาเพราะสาเหตุอะไร เพราะเป็นกลุ่มเล็ก จึงมีการเตรียมการที่รวดเร็วแต่ไม่ค่อยได้ผล มีการกักตุนเสบียงกับฟืนไว้น้อย แต่มีผ้าอย่างเยอะ  เยอะมาก คิดว่าทั้งหมดในเรือนจำน่าจะอยู่ที่กลุ่มนี้เลยมั่ง ส่วนพวกผู้ชายกลุ่มนี้ดูไม่ค่อยมีแรงยังไงไม่รู้ เหมือนเหม่อๆ อย่างกับเล่นยา กลุ่มนี้เข้าร่วมได้ง่ายสุด แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกอยากเข้าร่วมกลุ่มนี้เลย

                ส่วนที่เหลือก็เป็นกลุ่มเล็กๆ กระจายกันไปตามที่ต่างๆ กลุ่มขุดอุโมงค์ดินลอดกำแพง กลุ่มรอความตายเพราะไม่ได้เตรียมการ กลุ่มที่ดูเหมือนจะรอปล้นทีมอื่น กลุ่มแหกคุกออกทางประตูหน้า และกลุ่มเตรียมปีนกำแพง เอาเข้าจริงถ้าพวกนี้ร่วมมือกัน น่าจะแหกคุกออกไปได้ง่ายๆเลยแท้ๆ ด้วยจำนวนนักโทษทั้งหมดมีมากกว่าผู้คุมถึง 3 เท่า แถมแข็งแกร่งกว่าด้วย โดยเฉพาะ 3 กลุ่มที่พยายามจะหนี ถ้าหนีไปทางเดียวกันให้หมดก็น่าจะรอดได้ง่ายกว่า

                ค่ำคืนอันหนาวเหน็บก็ยังคงดำเนินต่อไป วันนี้เป็นวันที่สามแล้วนับจากวันที่หิมะตกอย่างหนักจนทุกอย่างขาวโพลน ตอนนี้ยังไม่มีกลุ่มไหนที่ออกไปข้างนอกเลย ส่วนกลุ่มขุดดินก็ไม่วิ่งเข้าออกเหมือนช่วงแรกแล้ว ตอนนี้คาดว่าน่าจะออกไปกันหมดแล้ว เอรินจึงตัดสินใจเดินลงไปดู ในขณะที่กำลังจะกระโดดลงหลุมนั้น นางก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆจึงหันไปมอง เห็นชายวัย 50 กลุ่มอเมซอนโบกมือเรียกพร้อมกับส่งเสียงเบาๆอยู่ในลำคอว่า “อย่าลงไป ถ้าลงไปแล้วชาตินี้จะไม่มีวันได้กลับขึ้นมาอีก” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แต่ก็ทำเหมือนไม่ได้ยินแล้วเตรียมจะกระโดดลงไปอีก แต่ก็ได้ยินเสียงเพื่อนๆของลุงพูดแบบเดียวกัน ในเมื่อถูกห้ามขนาดนั้น จะให้ดันทุกรังต่อก็ใช่ที่ จึงตัดสินในเดินเข้าไปถามว่าทำไม พวกลุงแกเลือกที่จะเงียบแล้วส่งแก้วที่มีน้ำครำต้มอุ่นๆกับเมล็ดข้าวโพดแห้งมาให้ เหตุผลที่กินน้ำครำกันเพราะที่นี้ไม่มีบ่อน้ำ แถมน้ำที่อยู่ในถังหรือในอ่างก็โดนคนอื่นจองหรือไม่ก็ตักเก็บไปหมดแล้ว ใจจริงก็ไม่อยากรับแต่ตอนนี้จะทำอวดดีก็ใช้ที่ มีแต่ต้องรับแล้วกินไป

                เมื่อเริ่มกิน เรื่องเล่าในวงเหล้า(?) ก็เริ่มต้นขึ้น พวกลุงแกเล่าว่า เมื่อ 20 ปีก่อนพวกแกเคยเป็นนักผจญภัยที่มีชื่อแต่ต้องถูกจับเพราะคนของเจ้าเมืองมาหาเรื่องแถมยึดเมียพวกแกไปด้วย พวกแกเลยเอาคืน สุดท้ายโดนจับมาโยนไว้ในนี้ หลังจากที่อยู่นี้มานานทำให้รู้ว่าไม่มีทางออกไปจากนี้ได้เลย เรือนจำสร้างทับบ่อพิษขนาดใหญ่ แก๊สพวกนั้นไม่มีทางงระบายจึงทำให้แทรกแผ่นดินขึ้นมาด้านบนรอยแยกของดินที่เกิดจากแรงดัน ตอนนี้มีโพลงขนาดใหญ่แล้ว คิดว่าพิษพวกนั้นคงมีอยู่เต็มในอุโมงค์ นั้นคือเหตุผลว่าทำไมที่นี้ไม่สร้างบ่อน้ำกิน สำหรับกำแพงถ้ามองจากด้านในสูงแค่ตึก 5 ชั้น แต่สถานที่นี้สร้างอยู่บนเขาสูงที่ล้อมรอบไปด้วยเหวลึก ดังนั้นมันคงจะสูงคงจะสูง  20 – 30 ชั้นอย่างน้อย ส่วนทางเข้าออกมีอยู่ 2 ทาง คือทางเข้าหลักที่ปกติพอเดินออกนอกประตูใหญ่ออกไปแล้ว จะต้องเดินข้ามสะพานยกต่อไปอีกจนถึงชายป่า นอกจากนี้มีไวท์วูฟอยู่เต็มป่าไปหมด มันเป็นมอนสเตอร์ที่ถ้าเทียบกับคนก็คงชั้น 3 แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่า 20 ตัว ต่อให้เป็นคนระดับชั้น 7 ก็รอดยาก ยกเว้นว่าจะบินได้ แต่ต่อให้บินได้ พวกมันก็สามารถวิ่งตามได้เป็นสัปดาห์โดยไม่หยุดพัก แถมมันปีนต้นไม้หรือโขดหินได้ชำนาญมาก ไม่มีทางที่จะรอด ส่วนอีกทางคือทางเข้าลับ เพราะว่ามันลับ ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าอยู่ไหน ไม่แน่ใจด้วยว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า แต่มีคนที่ออกไปทางนั้นแล้วรอดไปเที่ยวข้างนอกอยู่หลายปี ก่อนจะถูกล่าตัวกลับมา แต่คนที่เคยใช้จริงๆ ไม่ตายหมดก็หมดโทษแล้ว หลังเล่าจบ เอลฟ์ของเราจึงถามหาสาเหตุที่ห้ามนาง พวกเขาบอกว่าไม่อยากให้สาวน้อยต้องตายอย่างทรมาน ฟังไปก็ขำไป สาวน้อย....ใช่ได้

                วันคืนหมุนเวียนอีกครั้ง ตื่นขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ พบว่ากำลังห่มมีผ้าขาดๆของใครไม่รู้อยู่แต่มันเหม็นมากเปียกด้วย โชคดีวันนี้หิมะไม่ตก กลุ่มปีนเหมือนจะออกนอกกำแพงไปแล้ว ดูเหมือนพวกที่ออกทางประตูหน้าก็ออกเดินทางไปแล้วเมื่อคืน คนของแบล็คด๊อกเดินวนไปมาบนกำแพงเหมือนกำลังลาดตระเวน คนของซิลเวอร์ทูธเดินไปดูกลุ่มนู้นกลุ่มนี้เหมือนจะตรวจว่าพวกเขามีชีวิตอยู่หรือเปล่า ก็พวกกินศพนะน่ะ แต่กลุ่มแบดแมร์กลับไม่ทำอะไรนอนกองทับกันแล้วคลุมด้วยผ้าจำนวนมาก เหมือนจะอุ่นแต่ดูอึดอัดยังไงไม่รู้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องลั่นของผู้คนจำนวนมากจากไกล คาดว่าน่าจะเป็นของกลุ่มที่ออกไปทางประตูหน้า หลังเสียงร้องโอดโอยสงบลง ทุกคนก็กลับไปเป็นปกติ ไม่ใช่พวกเขาตื่นตระหนก แต่เมื่อส่วนใหญ่จะหัวเราะเยอะเสียมากกว่า ดูเหมือนจะมีบางส่วนที่พนันกันว่าจะมีคนรอดกลับมากี่คน ช่างเป็นการละเล่นที่เหมาะกับเหล่าคนบ้าจริงๆ

                สองสามวันต่อมาก็มีเสียงของคน  2 – 3 ตะโกนอยู่ที่ประตูหน้าขอให้เปิดประตูใหญ่ให้พวกเขาเข้าไป คนของแบล็คด๊อกที่เฝ้าประตูอยู่มองดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆเมื่อมองมดปลวก คนข้างนอกเห็นแบบนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นจึงปั้นหิมะเป็นก้อนกลมแล้วปาขึ้นมาบนกำแพง ปาโดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่คนบนกำแพงก็ยืนรับเฉยๆอย่างนั้นไม่หลบ แถมเริ่มมีบางคนสวดภาวนาอะไรสักที่ฟังแล้วชวนขนลุกด้วย เสียงเอะอะโวยวายดังต่อเนื่องไม่ยอมหยุดจนทำให้หัวหน้าแบดแมร์ 3 คนตื่นขึ้นมาจากการจำศีล(?) พวกนั้นตักน้ำครำเย็นๆขึ้นมาดื่มเหมือนเป็นเรื่องปกติ จากนั้นพวกนางทั้งสามจึงวิ่งหน้าตั้งไปยังประตูหน้าแล้วกระโดดไต่ขึ้นกำแพงไปเรื่อยๆจนถึงยอดแล้วกระโจนเข้าหาพวกคนที่ส่งเสียงโว้ยวาย ไม่นานเสียงทั้งหมดก็เงียบลง พวกนั้นปีนกำแพงกลับเข้ามาด้านใน ร่างกายโชกและชุ่มไปด้วยสีแดงราวกับตกลงไปในบ่อเลือดยังไงยังงั้น พวกแวมไพร์กรูกันเข้าไปหานางเพื่อดื่มและเลียเลือด เป็นอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พวกนางจะเดินกลับเข้าที่อาณาเขตแล้วเล่นพวกผู้ชายของนางต่อ ดูเหมือนมันเป็นเรื่องปกติและเข้ากับบรรยากาศของที่นี้ดีจริงๆ ตอนนี้ฤดูหนาวสุดหฤโหดก็ผ่านมาได้ 3 เดือนแล้ว คิดว่าอีกไม่นานก็ผ่านพ่นไป ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ คือ นอน ตื่นมากิน แล้วก็นอน แน่นอนว่า เอรินไม่ได้กักตุนอาหารเอาไว้ เพราะงั้นจึงต้องไปขอแบบจากคนอื่น ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ทำให้รอดไปได้ แต่ที่แย่คือช่วงนี้หิมะตกหนักติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน อาหารของทุกกลุ่มเริ่มหมดลง แม้แต่พวกกินซากเองก็เริ่มมีอาการหงุดหงิดเพราะไม่มีซากเหลือ แม้จะมีคนทยอยตายลงไปบ้างแต่ศพส่วนใหญ่หนังหุ้มกระดูกไม่พอแบ่ง พวกแบล็คด๊อกเองในช่วงที่ผ่านมาก็เริ่มฆ่าของเล่นแล้วแบ่งกันกินมาบ้าง แต่ยังไงก็คงไม่คิดจะกินจนหมด ต้องเหลือเก็บไว้ใช้งาน แบดแมร์ก็ทำเช่นเดียวกัน พวกลุงแก่ๆที่ไม่ฮึดสู้หรือไม่ลุกแล้วต่างก็โดนจับกินกันหมด พวกกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็ตายกันเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เอรินกับกลุ่มกอดคอกันตายแต่ไม่ตายสักที เหลือ 3 จาก 52 คน เท่าที่ดูผ่านๆ พวกนี้น่าจะกินคนในกลุ่มแถมยังเอาเสื้อผ้าของพวกเขามาทำฟืนและเครื่องห่มด้วย ส่วนกลุ่มที่รอปล้นทีมอื่น นั้นแม้จะมีจำนวนเยอะ แต่อ่อนแอมาก โดนเฉพาะในสภาพอากาศแบบนี้ พวกอันเดธกับพวกขนหนาได้เปรียบมาก ทำให้โดนรุมจัดการก่อนใคร

                หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่องตลอด 2 วัน ดูเหมือนพวกเขาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนของทั้ง 3 ฝ่าย เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ต่อสู้ ต่อให้เป็น      อันเดธก็ใช่ว่าจะเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก พวกโบนครัชเองก็เริ่มเชื่องช้า ส่วนพวกอเมซอนเดิมนั้นมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้เข้าสู้ด้วยสมาชิกเพียง 5 คน จึงทำให้ไม่สามารถต่อกรกับกลุ่มอื่นได้ การต่อสู้จบลงโดยที่ทักสามฝ่ายมีคนตายกันเพียงน้อยนิด พวกโบนครัชที่ตายไปนั้นแม้จะดูตัวใหญ่แต่ก็มีเนื้อนิดเดียวแม้ว่าขนยังพอเอามาทำเครื่องห่มได้ก็ตาม กลับกันอันเดธนั้นกินไม่ได้ แถมพวกที่ตายบางตัวนั้นสลายไปเลย ส่วนฝ่ายอเมซอนไม่มีคนตาย แต่เจ็บกับสาหัสอย่างละคน ดังนั้นทั้งหมดจึงพร้อมใจกันหันหน้ามาทางเอรินและกลุ่มกอดคอรอความตาย        ชิบหาย ยังไม่ทันได้มีชีวิตสดใสกับเขาเลย จะกลายเป็นอาหารสัตว์ซะแล้ว ความแค้นที่มียังไม่ได้ชำระเลยด้วย ต้องทำอะไรได้ก็ต้องทำแล้ว เวทย์ไฟที่แสนถนัดก็ใช้ไม่ได้ในอากาศเย็นถึงขั้วหัวใจแบบนี้ อาวุธก็ไม่มี เวทย์อย่างอื่นที่ใช้ได้ ก็คือสายฟ้า ลมและดิน แต่ติดตรงที่มานาไม่พอ การใช้เวทย์แบบจัดเต็มด้วยมานาตอนนี้ การจะชนะด้วยจำนวน 1 ต่อ 73 นั้นก็เป็นไม่ได้ แถมถ้ามานาหมดเมื่อไหร่ก็นับถอยหลังรอวันแข็งตายได้เลย ส่วนเจ้ากอดคอนั้นดูเหมือนไม่คิดจะสู้ เจ้าโอกะและเจ้าหมาดำพุ่งเข้าหาเป้าหมายด้วยเร็ว เจ้าเขี้ยวใช้ท่าแทงด้วยแขนอันทรงพลัง ถ้าโดนเข้าไปตรงๆอกเอลฟ์เป็นรูแน่ๆ แต่ดูเหมือนเจ้าเขี้ยวจะเร็วกว่า คมเขี้ยวงับเข้าไปตรงคอหอยพอดี ร่างของนางห้อยต่องแต่งไปมา ชัยชนะเป็นของแบล็คด๊อก

                ซะที่ไหน พอมาถึงตรงนี้ก็ต้องเล่าฉากย้อยอดีตหรือไม่ก็สิ่งที่คาใจแหล่ะ แต่พอดีขี้เกียจ ขอเล่าต่อไปเลยแล้วกัน เหมือนขนดำจะรู้ตัวจึงอ้าปากคายแล้วทิ้งร่างของเอรินไว้อย่างนั้นโดยไม่สนใจ เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนางมาขออาหารแล้วแท้ๆ ตัวนางเย็นผิดปกติ ร่างกายที่เย็นชื่น ผิวที่ขาวจนซีดและไม่นุ่ม บางส่วนเองก็ไม่ชุ่มชื่นราวกับขาดน้ำเลี้ยง ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพราะอากาศหนาวจัด พวกเอลฟ์ตัวบางๆไม่มีทางที่จะทนไหว พอได้กัดแบบเต็มๆลงไปคำหนึ่งถึงได้รู้ รสชาติห่วย กลิ่นเหม็นเลือดสาปที่ติดจมูก และเนื้อหยาบจนรู้สึกเหมือนเคี้ยวทราย อะไรที่ให้ความรู้สึกแบบนั้นมีอยู่เผ่าเดียว พวกซอมบี้

                เอริน หัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความสะใจที่พวกเขาไม่สมหวัง ต่อให้ฆ่านางได้ก็กินนางไม่ได้ นี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโลงใจ มีความสุข และหัวเราะได้อย่างสบายใจที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ย้อนกลับไปตอนที่ตอนที่ไปทำเควสล่าเจ้ากิ้งก่ายักษ์ ทุกคนโดนวางยาพิษแน่นอน เอรินก็เช่นกัน แต่นางไม่เป็นอะไร เพราะนางตายอยู่ก่อนแล้วนานมาก ที่เจ้าพวกกุ๋ยข้างถนนนั้นพูดก็ไม่ผิด ที่บอกเหม็นเน่าเหมือนยายแก่ค้างปีนั้นไม่ได้เกินเลยไปจริงๆ เรื่องที่นางตายไปนั้น แม้แต่แม่ของนางเองก็ยังไม่เคยบอก ปกติถ้าไม่เข้ามาดมใกล้ๆหรือแนบชิดจะไม่มีทางรู้อย่างเด็ดขาด แต่เจ้าคนนั้นมันรู้ ถ้าออกไปเมื่อไหร่คงต้องไปทำความรู้จักเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย จริงๆ  เอริน เองก็ไม่รู้เวลาตายของตนแน่ชัด แต่ก็เดาได้จากความต้องการทางเพศที่ลดลงจนถึงไม่มี คงเป็นช่วงเวลาและโรคเดียวกันกับที่ลูก ว่ากันตามตรงแล้วการจะรู้สึกได้นั้น เลือดจึงเป็นเลี้ยงจุดจุดหนึ่งให้มาก มันจึงจะเกิดอารมณ์ หัวใจควรจะเต้นแรงและเร็วเมื่อมีความต้องการ แต่หัวใจนางไม่เคยเต้น ต้องให้วิ่งให้ตาย ยังไงมันก็ไม่เต้น ไม่เคยเหนื่อย ไม่มีเหงื่อ ไม่เคยหิวและไม่เคยง่วง ที่ทำตลอดมานี้ก็เพื่อทำตัวให้เนียนไปกับคนอื่นเท่านั้นเอง

                หลังจากที่รู้ว่าเอรินกินไม่ได้ เจ้าโบนครัชก็สั่งให้กลุ่มของมันเดินกลับอาณาเขต แต่เจ้าเขี้ยวยังไม่ยอมแพ้ หันไปเล่นงานพวกกลุ่มกอดคอแทน พวกนั้นพอเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วแก้ผ้าแล้วอ้าแขนหรา คนหนึ่งเป็นสเกตเลตอนแพ้หญิง ซึ่งไม่มีเนื้อ คนถัดมาเป็นโกเลมหิน แข็งแป๊ก กินไม่ได้ คนสุดท้ายเป็นเผ่าชาโดว์ ซึ่งเกิดจากพลังมืด กินไม่ได้ แถมทันทีที่ตายก็จะสลายไป พอรู้อย่างนั้นทุกคนก็เซ็งไปตามๆกัน แต่หลังจากก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากสามสาวแบดแมร์ ไม่นานนักพวกลูกน้องนางก็หัวเราะ จากนั้นทุกคนรวมทั้ง     เอริน เองก็หัวเราะ ช่างเป็นตลกร้ายจริงๆ ตอนแรกทุกคนก็สงสัยว่าทำไมมีแค่ 4 คนนี้ที่ไม่ตายสักทีทั้งที่ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว พวกนี้ทั้งหมดไม่ต้องกิน ไม่ตายต่อให้อากาศหนาวยังไงก็ตาม ส่วนเจ้าโกเลม ดูเหมือนจะหยิบหินมากัดอยู่บ่อยๆ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนบ้าเฉยๆ แต่มันกินหิน กินอิฐ กินปูนไปเรื่อยต่างหาก หลังจากเรื่องบ้าๆจบลง ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มทำใจได้ว่ารอบนี้ได้ตายกันหมดยกเว้นพวกอันเดธกับ 3 ตัวนั้นแน่ๆ หลายคนจึงเริ่มสั่งเสียและเล่าเรื่องในอดีต ช่วงเวลาแห่งการร่ำลาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั้งเอลฟ์ของเรายืนขึ้นแล้วเอ่ยปากพูดเรื่องหนึ่งออกมา

                ซอมบี้ของเราเสนอทางรอดให้แก่ทุกคน แต่มีสิ่งแลกเปลี่ยนคือพวกเขาต้องช่วยให้นางรอดออกไปจากที่นี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาถึง ทีแรกเหมือนจะไม่มีใครเห็นด้วยเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากที่นี้ นอกจากนี้พวกผู้คุมก็ค่อนข้างชื่นชอบเอรินมากเป็นพิเศษ แค่นางหายไปจากสายตาเพียงครู่เดียว พวกมันทุกคนต้องออกตามหาเป็นแน่ โดยเฉพาะพวก Hound พวกนี้ต้องการตัวเอลฟ์นางนี้มากแต่ไม่สามารถเตะได้เพราะทางพัศดีไม่อนุญาต ถ้านางหนีออกไป พวกมันจะตามล่าอย่างสุดกำลังด้วยความหื่นกระหายและพอใจส่วนตัว ทันทีที่พวกมันได้ตัวนาง ไม่มีทางที่นางจะได้ไปไหนอีกเลย คงจะตัวติดกันทั้งวันทั้งคืน พอเบื่อแล้วก็โดนเผ่าทิ้งแน่ๆ แต่พวกหัวหน้าทั้งสามบอกจะช่วยเพราะพวกเขารู้ว่าทางลับที่มันใช้ออกไปจากที่นี้มันอยู่ที่ไหน ตอนฟังแรกๆ ทุกคนแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่ามันมีของแบบนั้นอยู่จริงๆ ถ้ามันใช้ได้จริง ทำไมพวกเขาถึงยังอยู่ที่นี่ เหตุก็เพราะการจะเข้าไปที่นั้นได้ ต้องเป็นที่กล้า บ้า และสติไม่ดีเอามากๆ แถมถ้าใช้ทางนั้นบ่อย พวกผู้คุมจะรู้และปิดทางนั้นถาวร เมื่อถึงเห็นการณ์สำคัญแบบนี้จะไม่มีใครได้ใช้งาน และสุดท้าย หัวหน้าทั้ง 3 ต้องร่วมมือกัน ซึ่งปกติ คนพวกนี้ไม่ค่อยอยากจะญาติดีกันเท่าไหร่ ทางลับนั้นเป็นทางที่พวก Hound คาดไม่ถึงแต่พวกมันรู้ว่าปลายทางมันไปออกตรงไหน ถ้าพวกมันรู้แผนนี้เข้าก็จบเช่นกัน ดังนั้นถ้าพวกเราทั้งหมดที่อยู่ที่นี้ตอนนี้ไม่ร่วมมือกันให้ดีมีหวังจบสิ้น

                สถานการณ์เรื่องผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความหวัง ใจจริงก็อยากจะเก็บพวก Hound  ให้ได้ทีมก่อน แต่ตอนนี้พวกมันไม่อยู่ในหุบเขา และต่อให้พวกเราทั้งหมดร่วมมือกันแล้วรุมพวกมันยังไงก็ไม่ชนะ พวกมันมีกันแค่ 8 คนกับสโนว์เฟล็กอีก 4 ตัว ถ้าเทียบเป็นระดับพวกมันมีระดับชั้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 5 แต่ก็ไม่อาจละเลยตัวหัวหน้าที่เป็นชั้น 7 ได้ ขนาดทั้งเมือง    ฮิลโบร่าเองก็มีเพียงแค่ไม่ถึง 5 คนด้วยซ้ำในยุคนี้ ส่วนสโนว์เฟล็กเป็นขั้นพัฒนาของไวท์วูฟ  ตัวใหญ่กว่า เร็วกว่า แกร่งกว่าและฉลาดขึ้นไปอีก นอกจากนี้ทั้งคนทั้งสัตว์เลี้ยงยักติดอาวุธและหุ้มเกราะเบาของนักผจญภัยระดับสูงอีกด้วย ในทางกลับกันพวกเราไม่มีอะไรเลยนอกจากขวานหิน ดาบไม้และท่อนเหล็ก ถึงจะมีมีดทำครัวกับอุปกรณ์ทำสวนอยู่ก็เถอะ แต่นั้นมันไม่แข็งแรงพอจะตัดทะลวงเกราะของพวกนั้นได้ จะต้องหาวิธีที่ใช้ได้ผลและต้องแยบยลมากพอจะจัดการพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียว การประชุมยังคงดำเนินต่อไป หลายอย่างเริ่มลงตัว พวกนักโทษคนอื่นก็พอจะสามารถล่อพวกผู้คุมให้ได้ ส่วนพวกนักล่าของ Hound ทั้ง 7 คน มือดีจากทั้งแบดแมร์ ซิลเวอร์ทูธและแบล็คด๊อก รวมกัน 11 คนน่าจะพอสู้กันได้สูสี จะติดก็แต่จะทำยังไงกับตัวหัวหน้า แถมจะทำยังไงจึงจะล่อสโนว์เฟล็กให้ตามอย่างที่ต้องการ แต่การประชุมก็ต้องจบลงเมื่อมีเสียงท้องร้องของสมาชิกนักทาหลายคนเรื่องดังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอาบรรยากาศหนักอึ้งสลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น สมองแล่นท้องก็เลยร้องเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามทางรอดที่ เอริน เสนอนั้น ค่อนข้างเสี่ยง แต่แม้จะพลาดแต่ก็ไม่มีใครเสียอะไร แถมยังได้อะไรกลับมากินด้วย

                ทางเลือกของทุกคนในตอนนี้มีอยู่ 2 ทาง คือ นั่งกอดคอกันแล้วรอความตาย หรือออกไปนอกเรือนจำแล้วหาอาหาร แต่แทนที่จะออกไปเดินหาแบบไร้จุดหมาย ทำไมไม่สู้ล่อให้พวกมันวิ่งเข้ามาเอง สิ่งที่เอลฟ์ของเราเสนอคือ นางกับใครอีกสัก 3 คนจะไปวิ่งลากไวท์วูฟให้เข้ามาในเรือนจำแล้วปิดประตูทางออกเพื่อไม่ให้พวกมันหนี จากนั้นให้ทุกคนที่อยู่ที่นี้ปิดงานวิธีนี้ไม่ได้เสี่ยงตรงที่คนล่อจะไม่รอด เพราะคนที่จะไปมี นาง โบนครัช โอกะกับคุณลุงใกล้ตายคนหนึ่ง ซึ่งลุงแก่อาสากรีดแขนตนเพื่อให้เลือดไหล พวกลูกหมาจะได้กลิ่นแต่ไกลแล้ววิ่งตามกลิ่นมา มันเสี่ยงตรงที่คนที่รอยอยู่ข้างในตะหาก หากมันเหลือแม้เพียงตัวเดียว พวกเราทั้งหมดจะไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่การที่พวกมันเหลือได้นั้นก็หมายความว่า ทุกชีวิตที่นี้ คนทั้ง 61 คน ได้ถูกไวท์วูฟฆ่าตายเรียบ พอถึงตรงนี้หลายคนเริ่มไม่เอาด้วย เพราะแม้จะมีกัน 81 ก็จริง แต่ตัดแนวหน้าไป 4 ซึ่งพวกนั้นร่างกายแข็งแรงสุด ก็เหลือพวกที่พอสู้ได้แค่ 23 ที่เหลือนอนนิ่งเพราะหมดแรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ถ้ารอดเราก็จะรอดกันหมด ถ้าตายเราก็ตายกันหมด” ก็อยากจะให้เป็นเช่นนั้น พูดออกโดยไม่คิด แต่เหล่าผู้นำของทั้ง 3 กลุ่มกลับคิอดจริงจัง ต่างมองตากันแล้วพยักหน้า จากนั้นทุกคนสั่งให้คนของตัวเองลุกขึ้นมาเตรียมตัวและเตรียมการในทันที ใครไม่ลุกให้ถือว่าตาย ส่วนใครที่ตายให้เอามากิน คำพูดเหล่านั้นทำเอาทุกคนขนลุกกันเลยทีเดียว ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะคำสั่ง แต่เป็นเพราะทั้งสามคนพูดเหมือนกันทุกระเบียบนิ้วโดยที่ไม่ต้องปรึกษาหรือวางแผน คนที่ลุกไหวก็พากันลุก ส่วนคนที่ลุกไม่ไหวก็คงต้องบอกลากันแค่นี้ ตอนนี้มีคนเข้าร่วมมากถึง 41 คน ฟังดูน่าอุ่นใจกว่าตอนแรกมาก มันอาจฟังดูเป็นเรื่องที่โหดร้ายแต่ชีวิตมันก็แบบนี้ล่ะ จะมีใครกี่คนที่เกิดมาโชคดี ชีวิตโรยไปด้วยกลีบกุหลาบนั้นเราก็ไม่รู้แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ข้าแน่ เอรินได้แต่เก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ในใจ ไม่ได้พูดออกไป

                ทุกคนใช้เวลาเตรียมการเกือบ 2 วัน ซึ่งนานกว่าที่คาดไว้มากเพราะไม่คิดว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือกันดีขนาดนี้ นางหวังแค่ให้คนไม่กี่คนออกไปกับนาง ส่วนที่เหลือจับเหล็กหรือไม้คนละท่อนแล้วเตรียมตั้งรับ แค่นั้นจริงๆ แต่ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแผนลวกๆที่นางคิดเป็นไหนๆ มีคนคิดและวางแผนร่วมกัน มีการทำกับดัก ทำอาวุธและเกราะดีๆออกมามากมาย อย่าว่าแต่เอลฟ์สาวเลยที่แปลกใจ พวกเขาเองก็แปลกใจในตัวเองเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะทำงานร่วมกันโดยความเต็มใจโดยที่ไม่ถูกผู้คุมบังคับ แถมการญาติดีกันได้แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เรื่องพวกนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีซอมบี้สาว เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทาง

                การออกล่าเริ่มต้นขึ้น นำโดยซอมบี้เอลฟ์ เอริน ผู้นำกลุ่มแบล็คด๊อก โบนครัชที่แบกลุงถุงเลือดไว้บนหลัง แม้ลุงแก่จะดูสั่นๆ แต่ลุงแก่บอกสั่นสู้ เพราะนี้จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกและสุดท้าย ในชีวิตแกไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จหรือเป็นชิ้นเป็นอัน มีเมีย เมียก็ทิ้งไปมีผัวไหม มีลูก ลูกก็ไม่เคยเคารพ มีเพื่อน เพื่อนก็เอาเมียไป สุดท้ายที่แกมาอยู่ในเรือนจำนี้เพราะมีคนจ้างแกให้รับผิดแทนเพื่อแลกกับเงินให้ลูกเมีย พวกเขาจะได้ใช้จ่ายอย่างสบาย เงินนั้นได้รับแล้ว เมียกับผัวใหม่เอาเงินไปใช้อย่างสบายจริงๆ ส่วนลูกตอนแก่บอกเรื่องนี้ แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของลูกคือ “โง่” ถึงทุกคนจะว่าแก ดูถูกแก แต่แค่ทุกคนมีความสุข ลุงแกก็มีความสุขแล้ว แกเชื่อแบบนั้น เคยเชื่อแบบนั้นจริงๆ จนได้มาอยู่นี้ถึงได้ว่า ว่าแกมันโง่เอง ทำแบบนี้มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย สองสามคนนั้นสุขสบาย ส่วนแกถูกส่งมาตายอยู่นี่ การที่บอกว่าตัวเราจะมีความสุขเมื่อเห็นคนที่รักมีความสุขนั้นมันแค่การหลอกตัวเอง ของแบบนั้นมันเรียกว่าความสุขไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ตอนนี้แกมีความสุขที่ได้สู้ ตลอดชีวิตแก ทั้งเห็นและได้ฟังเรื่องเล่าจากผู้คนมากมายที่ทำเรื่องตื่นเต้น การผจญภัยนั้นถ้าไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวเองมันก็ไม่มีความหมาย ชีวิตที่ผ่านมานั้นมันไม่เรียกว่าชีวิต การใช้ชีวิตมันต้องทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ไม่ใช่เอาแต่จะทำเพื่อคนอื่น และครั้งนี้ที่แกของเสียสละ ไม่ใช่เพราะแกอยากให้คนอื่นรอด แต่แกแค่อย่างสร้างตำนานไว้สักบท ต่อให้ไม่มีใครจำ ต่อให้ถูกลืม ต่อให้มันเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดคนที่จะมีความสุขกับมันก็คือตัวแกเอง ทุกคนที่ฟังอยู่ก็ได้นิ่งเงียบและยิ้มให้ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไป เพราะการให้กำลังใจอย่าง “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราจะรอดไปด้วยกัน” นั้นมันเป็นคำที่แสนสะดวก หอมหวานและมักง่าย ไม่ว่าใครก็พูดกันได้ แต่จะทำได้ไหมนั้น มันก็เป็นอีกเรื่อง สายลมหน้าหนาวพัดมาอีกครั้ง ถ้าอยากรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร มีแต่จะต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น ทุกคนจึงก้าวเท้าเดินออกไป พร้อมกับความหวัง

                เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่การออกล่าดำเนินมา ผู้นำกลุ่มซิลเวอร์ทูธ โอกะ เดินเข้ามากระซิบใกล้ๆ อันเดธคนนี้มีจมูกที่ดีมาก สามารถได้กลิ่นสาบสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ไกลออกไปได้ครึ่งกิโล เขาบอกว่าหมาอยู่ที่ตีนเขา แถวนั้นมีหมู่บ้าน ชาวบ้านที่นั้นส่วนใหญ่อ่อนแอ แต่คนพวกนั้นจ่ายค่าคุ้มครองให้พัศดีทั้งเงิน เหล้า อาหาร ทุกอย่างรวมทั้งให้ยืมเมียด้วย ดังนั้นพอหน้าหนาวแบบนี้ พวกผู้คุมหลายคนจึงไปหลับนอนอยู่ที่นั้นแทนที่จะกลับบ้าน ใจจริงเอรินอยากถามว่าไปรู้มาจากไหน ซึ่งก็ไม่ได้พูดไป แต่ถึงไม่ได้ถามไป เจ้าตัวก็ตอบมาเองเลยว่าฟังมากจากที่เหล่าทหารยามมันพูดกัน พวกนั้นมักจะถามเพื่อนๆทุกปีว่าจะกลับบ้านเกิดหรือจะอยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆซึ่งทุกคนก็รู้กันดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ที่สงสัยไปมากกว่านั้นคือ ถ้ารู้ตำแหน่งของไวท์วูฟ ทำไมไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการหนี เขาตอบกลับมาว่า ทันทีที่ตัวหนึ่งหอน พวกมันที่เหลือจะหอนตามเพื่อเรียกกำลังเสริม ภูเขาทั้งลูกมีไวท์วูฟประมาณ 100 – 200 ตัว ไม่มีทางที่จะรับมือได้หมดโดยเฉพาะเมื่อพวกมันล่าพร้อมกันทั้งหมด นอกจากนี้ทางขึ้นลงเขาลูกนี้ได้อย่างปลอดภัยมีทางเดียวคือต้องเข้าผ่านหมู่บ้านไป รั้วชั้นนอกจะมียาม รวมทั้งไวท์วูฟที่ถูกเลี้ยงไว้ฝึกด้วย พวกมันจะไม่แสดงอาการอะไรเมื่ออยู่กับพวกทหาร แต่จะเริ่มเห่าหรือหอนได้กิล่นคนแปลกหน้า เอาเข้าจริงมันก็ทำให้ซอมบี้แปลกใจเล็กน้อยเหมือนกันเกี่ยวกับโอกะ เพราะปกติท่าทางไม่น่าคุยด้วย ทำหน้าเข้ม แถมดูแล้วโหดจนไม่น่าเข้าใกล้ แต่พอมาทำงานด้วยกันแบบนี้ ปรากฏว่าเขาเป็นกันเองมา ขี้คุย แถมยังไม่ถือตัว โดยเฉพาะกับโบนครัช คงเพราะอยู่ด้วยกันมานาน 

                คนต่อมาที่ตามมาด้วยคือ ลุงคนที่ให้น้ำครำต้มกับเอรินในช่วงต้นหน้าหนาว ที่ลุงแกขอตามมาด้วยคือแกเป็นมาโซ ชอบการถูกวิ่งไล่แบบจ้องเอาชีวิต ยิ่งเป็นสัตว์ได้ยิ่งดีเพราะพวกมันส่งจิตสั่งหารออกมารุนแรงมาก ลุงแกคิดไปยิ้มไปหัวเราะไปตลอดทาง แล้วก็ยังมีอีกคนที่ตามมาด้วย แม้ไม่ได้ขอให้มา ไม่ได้มีการบอกกล่าวว่าจะมา วิ่งตามมาเรื่อยๆ ตั้งแต่พวกเราออกจากเรือนจำแล้วเข้าเขตป่ามา ทีแรกนางไม่ยอมออกมาด้วยกัน ไม่รู้ว่าเขินหรือต้องวางมาดผู้นำตลอดเวลาหรืออย่างไร  คนๆนั้นคือมือซ้ายของกลุ่มแบดแมร์ ก็ไม่รู้ว่านางชื่ออะไร แต่ทุกคนเรียกนางว่า ไรเดอร์ เพราะนางชอบการควบม้าแถมยังควบเก่งมากด้วย แม่คนนี้ตั้งแต่อออกมานอกกำแพงก็ยังไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เอาเข้าจริงตอนอยู่ในกำแพงก็ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นนางคุยกับใครมาก่อน ที่ทำส่วนมากแค่พยักหน้าหรือไม่ก็สายหัวไปมา พอคิดแบบนั้นจึงหันหน้าไปมองโอกะ เขาก็มองกลับมาแล้วยิ้มแล้วทำหน้าแบบ อย่าไปยุ่งกับมัน หรือไม่ก็ ปล่อยมันไป โบนครัชกับคนอื่นๆเองก็เช่นกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้พวกเขาไม่อยากคุยกับนางขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม แค่นางตามมาด้วยพวกเราก็อุ่นใจแล้ว

การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  แต่ก็อีกแค่อึดใจเดียว จู่ๆโบนครัชก็พูดอะไรแปลกๆขึ้น

โบนครัช

“เห้ย เพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้”

เอริน

“เรื่อง?”

โบนครัช

“โอกะมันเป็นอันเดธ ซอมบี้ก็เป็นอันเดธ มันก็น่าจะคล้ายกันสิ”

เอริน

“ใช่ แล้วมันทำไม”

โบนครัช

“ข้ารู้จักโอกะมานาน แต่แทบไม่เห็นมันเล่นกับสาวๆเลย”

โอกะ

“ข้าไม่มีเลือด หัวใจก็ไม่เต้น เพราะงั้นมันเลยไม่แข็ง ใช้งานไม่ได้”

โบนครัช

“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีอารมณ์”

โอกะ

“มีอารมณ์เหมือนเจ้านั้นแหล่ะ แค่ไม่ได้ใช่ตรงนั้น แล้วเรื่องนี้ สาระมันอยู่ตรงไหน”

โบนครัช

“น่าๆ อันเดธกับซอมบี้ไม่ต้องกินอาหาร ถูกไหม สิ่งที่ต้องการจริงๆคือ มานาในร่างของสิ่งมีชีวิตตะหาก แวมไพร์ดูดมานาผ่านเลือด แต่อันเดธกับซอมบี้ที่ไม่มีเวทย์สูบมานาก็จะไม่ได้รับ      มานาผ่านการร่วมร่าง”

เอรินหลุดขำออกมาแบบไม่รู้ตัว ดูเหมือนตอนนี้นางจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโบนครัชมันถามออกมาตอนนี้ แต่คนอื่นยังงงกันอยู่

โบนครัช

“โบนครัชถ้างั้นซอมบี้ ต้องนั้นเจ้ามาขออาหารจากข้าทำไมทั้งที่รู้ว่าต้องจ่าย”

เอริน

….. (ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พยายามกลั้นขำ)

โบนครัช

“เจ้าไม่ได้หิว แค่ต้องการใช่ไหม”

ตอนนี้ทุกคนอ่อกันหมด

โบนครัช

“ใช่หรือเปล่าตอบมา มีคนให้เลือกตั้งเยอะ แต่เจ้าดันเลือกที่จะมาหาข้า แสดงว่าจะชอบคนตัวใหญ่และโบนครัชงั้นเหรอ”

ทุกคนหัวเราะลั่น

เอริน

….. (ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่พยายามกลั้นขำ)

โบนครัช

“ตอบมา”

เอริน

“ข้าแค่อยากได้แท่งอุ่น” พูดออกไปทั้งที่หัวเราะอยู่

                ทุกคนหัวเราะลั่น ครั้งนี้แม้แต่ไรเดอร์ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะได้ เสียงของนางช่างหวาน เล็กและแหลม ไม่สมกับตัวนางที่มีกล้าม หุ่นล่ำใหญ่เอาซะเลย จริงๆคนต้องบอกกว่าเอรินพิเศษหน่อย ปกติเอลฟ์จะไม่มีเวทย์สูบมานา แต่ดาร์เอลฟ์นะมี ตัวนางในตอนนี้จะนับว่าเป็นดาร์เอลฟ์ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามการสนทนาที่ไม่ค่อยมีสาระก็ได้จบลงเพียงเท่านั้น หมู่บ้านอยู่ไกลจากพวกเขาไปไม่กี่ก้าว ไม่อยากให้เสียงดังมาก ไม่งั้นพวกผู้คุมจะรู้ว่าพวกเขามาที่นี่แล้วทุกอย่างที่วางแผนกันมาจะพังลงอย่างง่ายดาย เมื่อถึงจุดที่เหมาะสม ลุงที่โดนแบกก็กรีดแขนตัวเอง แต่เหมือนจะผิดไปจากแผนนิดหน่อยตรงที่ทุกคนที่มีเลือดอุ่นๆ ดันกรีดกันหมด จึงทำให้พวกหมาบ้าตื่นตัวกันเป็นพิเศษแล้วเริ่มส่งเสียงดังมากกว่าที่ต้องการ    สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือวิ่งหน้าตั้งเข้าป่าไปอย่าให้ใครเห็น เพราะยังไงซะพวกไวท์วูฟคงตามมาด้วยกลิ่นไม่ใช่สายตา โชคดีที่เป็นไปตามแผน ฝูงหมาบ้าตามมา 10 – 12 ตัวเห็นจะได้ จำนวนกำลังดีจัดการไม่ยาก พวกคนในหมู่บ้านก็ดูจะไม่สนใจพวกเขา คงเพราะ ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงออกมาดู สู้เล่นสนุกกันต่อไปคงจะสบายกว่า  

                การถูกล่ายังคงดำเนินต่อไป พวกมันพุ่งเข้าชนบ้าง พุ่งกัดบ้าง มีคนโดนกัดบ้าง ต่อยสวนกลับไปบ้าง วนซ้ำไปมาตลอดเส้นทาง แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างหิวโหยพอกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า ไวท์วูฟคงไม่ปล่อยพวกเขาไป เพราะพวกมันมักจะออกลูกตอนฤดูใบไม้ร่าง ครอบครัวของมันคงมีเจ้าตัวเล็กจำนวนมากรออยู่รวมทั้งตัวเมียจ่าฝูงที่อ่อนแรงด้วย นอกจากนี้ พวกเขาน่าจะเป็นเหยื่อกลุ่มสุดท้ายของหน้าหนาวนี้แล้ว เพราะรอบนี้พวกทั้งผู้คุม ยามและหน่วยลาดตระเวนต่างกันพร้อมใจไม่กลับบ้านกันจำนวนมาก แถมตั้งแต่ออกมาจากเรือนจำ ยังไม่เห็นสัตว์อื่นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสัตว์ต่างๆหรืออะไรที่จับกินได้ พวกเขาคงเอาไปหมด คงหวังจะมาราธอนข้ามหน้าหนาวกันไปเลย เรื่องนี้โอกะบอกมาว่าเขาฟังมาจากยามว่าเพื่อนๆของเพื่อนบอกมาอีกที จะอย่างไรก็ดีขอแค่รอดกลับไปจนถึงเรือนจำได้พวกเขาก็ชนะ

                ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงกำแพงเรือนจำ แต่ใช่ว่าทุกคนจะรอด ลุงถุงเลือดแก่นิ่งเงียบไปแล้ว แม้ว่าจะอยู่แค่บนหลัง ไม่ได้วิ่งเอง แต่ลุงแกเล่นกรีดแผลกว้าง เปิดจนลึก ราวกับจะฆ่าตัวตาย จึงไม่รอด ดีที่ลุงอีกคนแก่ไม่หวังตาย จึงกรีดแค่พอใช้งาน ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงวิ่งเข้าไปในกำแพงแล้วภาวนาให้ลุงไปเจอสิ่งที่ดีกว่าเท่านั้นเอง เมืองพวกเขาเข้าไปในกำแพง จึงจัดแจงว่าลุงถุงเลือดลงกลางลานแล้วถอยไปหลบ ไวท์วูฟทั้งหมดต่างกรูกันเข้าไปกินศพลุงด้วยความหิวโหย โดยหารู้ไม่ว่ามีพวกที่หิวโหยกว่ารออยู่ ทันทีที่ประตูบานใหญ่ปิดลง ทุกต่างพุ่งเข้าไปรุมกระทืบพวกมันกันอย่าโหดเหี้ยมราวกับว่าโกรธแค้นกันมาหลายร้อยปี เอาเข้าจริงก็เคยได้ยินว่ามีหลายคนที่เคยพยายามหนีออกไปทางประตูหน้าแต่กลับถูกพวกนั้นรุมโจมตีจนสาหัสแต่ก็รอดกลับมาได้อยู่หลายคน นี้จึงเป็นเหมือนการล้างแค้นไปในตัว ก่อนการรุมประชาทัณฑ์จะจบลง เอรินขอให้ทุกคนหยุด ทุกคนก็หยุดแล้วมองไปมาโดยรอบ มีพวกเราบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เจ็บสาหัสไม่กี่คน แต่ไม่มีใครตาย ส่วนพวกลูกหมาตายกันไปเกินครึ่ง ที่เหลือก็สาหัส เอรินขอให้พวกเขาจับพวกมันไว้สองสามตัว ตอนแรกก็ไม่ค่อยมีใครอยากทำให้เพราะนั้นมันงานเสี่ยงตายชัดๆ เขี้ยวจึงถามเหตุผล ซอมบี้บอกจะเอาไว้เล่นสนุก ของโบนครัชมันใหญ่ไป ไม่พอดีกับช่องท้องของนาง พูดไปพร้อมกับเอามือลูบท้องน้อย ทุกคนหัวเราะ โดยเฉพาะโบนครัชยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะถอยออกมาห่างๆแล้วตั้งโล่ตรงบันไดเพื่อปิดทางขึ้น พวกมันจะได้ปีนมาหาพวกเขาไม่ได้ จากนั้นจึงระดมปาของ หยิบอะไรได้ก็ปาหมดจนพวกมันล้มลง แล้วจึงเข้าจับตามที่น้องเอลฟ์ต้องการ นางเลือกไปสามตัว ที่เหลือปล่อยให้ทุกคนเอาไปกิน

                หลังจากเรื่องจบแล้ว ทุกคนก็ช่วยกันทำศพให้ลุง มีการสวด ทำป้ายจารึก และสลักอักษรไว้บนกำแพงจนทั่วเรือนจำ ไม่เคยมีการทำแบบนี้มากก่อน คนที่เดินผ่านไปมาจะได้รำลึกถึงลุง อย่างน้อยก็จนกว่ากำแพงจะพังลง เมื่องานศพจบลง ทุกคนต่างแยกย้าย เอรินกำลังนั่งเล่นกับเจ้าพวกลูกหมาอยู่ หัวหน้าอเมซอนเดินเข้ามาหานาง แล้วเริ่มพูดคุยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ นางบอกว่า ทุกคนเรียกนางว่า เจ้ากรม เพราะผู้ชายทุกคนที่นี้ต้องผ่านมือนางก่อน ใครไม่ยอมต้องตาย โชคดีที่เอรินเป็นผู้หญิงเลยรอด เจ้ากรมถามถึงสิ่งที่เอรินทำอยู่ ตอนนี้เอรินกำลังบรรจงและค่อยๆกรีดเข้าไปที่เส้นเอ็นที่ขาของพวกมันอย่างช้า ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นบวกกับมีดที่เพิ่งไปแช่น้ำในบ่อมา มันจึงเย็นมาก นั้นเป็นการทำให้เลือดของพวกมันแข็งตัวได้เร็วพอจะปิดบาดแผลก่อนที่เลือดจะไหลออกจากตัวจนหมด ทำแบบนั้นทั้งสี่ขาและทุกตัว ที่ต้องทำแบบนั้นเพื่อมันจะได้ไม่หนีเมื่อถึงเวลาต้องใช้งาน เพื่อไม่ให้เสียดังนางจึงมัดปากพวกมันไว้ด้วยเชือก แต่นางมัดไว้แน่นมากราวกับว่าไม่คิดจะให้พวกมันเปิดปากอีกต่อไป แม้อเมซอนจะเป็นพวกที่โหดแต่ไม่เหี้ยม ชอบการข่มขืนผู้ชายแต่ไม่เคยทารุณ การกระทำของเอรินในตอนนี้ทำเอานางขนลุกไปเลย แน่นอนว่าทุกคนก็ดูอยู่ มีคนถามขึ้นมาว่าแล้วจะเอาอาหารจากไหนให้ นางบอกว่าเจ้าพวกนี้ไม่รอดทุกตัวหรอก ตัวไหนตายก็จะกลายเป็นอาหารให้ตัวที่เหลือ ไม่ต้องเป็นห่วง นางจะไม่เอาอาหารของทุกคนมาแบ่งให้เจ้าพวกนี้

                จากนั้นเจ้ากรมจึงถามชื่อเอริน นางจึงบอกให้ทุกคนตั้งให้นางบาง นางไม่ค่อยชอบชื่อที่แม่ตั้งให้ เพราะตั้งแต่ใช้ชื่อนี้มาไม่เคยเจอเรื่องดีๆเลย ทุกคนต่างมองหน้ากัน จู่ๆการประชุมเล็กๆที่ดูไร้สาระก็เกิดขึ้น มันเหมือนกับว่าในหมู่บ้านมีเด็กเกิดใหม่ พ่อแม่ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรแล้วไปถามคนในหมู่บ้าน จากนั้นทุกคนก็จะมาเสนอชื่อ ถูกใจชื่อไหนก็เอาชื่อนั้น ถึงคิดไปแบบนั้นแต่ความเป็นจริงนี้มันไม่ใช่ ทุกคนหันหน้ามาหาเอรินพร้อมกับพูดชื่อเดียวกันออกมา “ฟรอสต์” นางคิดว่ามันจากเพราะนางพาออกไปตายตอนหน้าหนาวหรือนางมาตอนใกล้หน้าหนาวพอดี แต่ทุกคนบกว่ามันไม่ใช่ แต่มันมาจากการที่นาง “เย็นชาเหมือนศพแช่แข็ง” เอรินฟังแล้วก็หัวเราะ ทุกคนก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่พูดอะไร

                วันเวลายังคงหมุนวนต่อไป อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว อากาศจึงเริ่มอุ่นขึ้น พอหิมะหายไป พวกผู้คุมก็จะกลับ ซึ่งก็จะมาก่อกวนนางอีกเหมือนเดิม นักโทษกลุ่มใหม่ก็จะเข้ามา รวมทั้งวันชี้ชะตาของพวกนางด้วย วันนี้พวกนางก็ออกมาล่าไวท์วูฟกันอีกเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ไม่ต้องใช่คนเป็นเหยื่อล่อ ใช้เลือดของลูกหมาที่เอรินเลี้ยงเอาไว้มาทาตัวแทน กรีดเพื่อแบ่งมาจากทุกตัว ตัวละนิด แผนนี้ใช้ได้ดี และคงใช้ได้อีกนาน หลายคนเริ่มเล็งเห็นความฉลาดของนางแล้วตอนนี้ บางคนถึงขนาดยอมแบ่งส่วนของตัวเองมาให้พวกมันกินเพื่อให้พวกมันอิ่ม ถ้าพวกมันรอด พวกเขาก็รอด สมาชิกที่มาวันนี้มีกัน 6 คน นั้นคือ ฟรอสต์ โบนครัช โอกะ ไรเดอร์ ลุงมาโซและน้องโครงกระดูก คนอื่นไม่แปลกใจแต่กระดูกมาทำไม เอาเข้าจริงเป็นภาระมาก เพราะน้องไม่มีกล้ามเนื้อจึงวิ่งช้า แถมน้องไม่มีกล่องเสียง จึงคุยกันไม่รู้เรื่อง นั้นยังไม่นับรวมที่น้องแบกอะไรมาก็ไม่รู้ดูไม่ออกเพราะมัดมันไว้ในหอผ้า ไอ้ที่หนักกว่านั้นคือน้องเล่นหิมะตลอดทาง เนื่องจากพวกนางออกมาล่ากันหลายครั้งแล้ว จำนวนของพวกไวท์วูฟจึงลดลงอย่างมาก ตอนนี้น่าจะเหลือแค่ร้อยนิดๆ พวกมันฉลาด ไม่พลาดซ้ำซ้อน พวกที่ตามไป   ไม่เคยมีตัวไหนกลับมารัง แค่ดูก็คิดก็รู้แล้วว่าไม่คุ้ม แต่ต่อให้ไม่คุ้มยังไง พวกมันก็ต้องกิน แต่พวกมันก็ไม่ได้โง่ซ้ำซากมากพอที่จะโดนหลอกด้วยแผนเดิมตลอด ครั้งนี้พวกมันเกาะกลุ่มกันเกิน 50 ตัว เรียกได้ว่าเป็นงานยากและหยาบสำหรับพวกนักโทษที่มากัน 6 คน(?) กับสัมภาระอีก 1 กระสอบ ใหญ่ๆเลย ทุกคนคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดไป

                ในที่สุดทั้งหมดก็เข้าใกล้เป้าหมาย อยู่ในระยะ 30 เมตรเห็นจะได้ โอกะบอกให้ทุกคนเตรียมตัว จู่ๆสเกลเลอน ก็ดึงแขนโบน พร้อมกับทำท่าทางที่สื่อความหมายบางอย่าง แต่ไม่มีใครเข้าใจ ใช้เวลาอยู่นั้นก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง น้องออกอาการหัวร้อนอย่างเห็นได้ชัดแล้วทำท่าสั่งให้ทุกคนนั่งอยู่นี้ ส่วนนางเดินลากกระสอบแล้วมุ่งหน้าไปที่เนินเขา เขี้ยวเห็นว่าต่อให้ใช้เวลาเป็นวันก็คงไปไม่ถึง จึงลากไปพร้อมกันทั้งกระสอบทั้งกระดูก เมื่อไปถึงยอดเนิน น้องตบไล่เพื่อนที่มาส่งให้กลับที่ไปเดิม จึงจำใจเดินกลับลงมาแบบงงๆ สเกลเลตอนกำลังเปิดหอผ้าออกมา ก็ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างใน แต่ตอนนี้ในมือน้องมีธนูกับลูกศรจำนวนหนึ่ง ตอนนี้พอจะเดาได้แล้วว่าน้องเอาอะไรมา หลังตั้งท่าเตรียมยิงอยู่พักใหญ่น้องก็ปล่อยลูกแรกไป ก็ไม่รู้ว่าโดนหรือเปล่า แต่ได้ยินเสียงพวกมันร้อง นัดที่สอง สาม สี่ผ่านไป เสียงพวกมันดังขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าคงโดนบางแหล่ะ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมพวกมันไม่วิ่งมาหาน้อง สเกลเลตอนไม่มีเลือดหรือเนื้อ มิหนำซ้ำเหมือนโครงกระดูกยังเอาหิมะถูกตัวตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อวาน ตลอดทางมาก็ด้วย มันเหมือนการอาบน้ำขจัดกลิ่นนั้นเอง พวกหมาจึงไม่ได้กลิ่นแม้ว่าสเกลเลตอนจะอยู่เหนือลม โชคดีที่ไม่มีใครในกลุ่มเผลอปากพล่อยพุดอะไรไม่คิดออกไป ไม่งั้นหมาเลย งานนี้น้อง MVP เห็นๆ

                หลังจากระดมยิงแบบสุ่มอยู่นาน โบนครัชบอกว่าเริ่มได้กลิ่นเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ คงยิ่งโดนหลายตัว แต่โอกะบอกว่าไม่ใช่ นางยิงโดนก็จริงแต่เลือดมันออกมามากเกินไปจนเขาแสบจมูกเลย คาดว่าพวกมันคงรุมกัดตัวที่บาดเจ็บ หลังจากนั้นพักหนึ่ง โครงกระดูกก็ทำท่าเหมือน “ลูกศรหมด” “ข้าจะรออยู่ตรงนี้” “พวกเจ้าลุยได้แล้ว” จากนั้นร่วงหมอบนอนลงกับพื้น เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น พวกที่เหลือจึงค่อยๆ ย่องไปหากลุ่มเป้าหมาย แม้จะใช่เวลาหน่อยแต่ก็ปล่อยภัยกว่า เมื่อเห็นกลุ่มเป้าหมายเขี้ยวกับปุยเตรียมพุ่งเข้าไปทันแต่ แต่เอรินห้ามไว้ก่อน    นางบอกดูรอบๆให้ดีก่อนลงมือ ทุกคนจึงหยุด รอบๆมีไวท์วูฟเหลือ 28 ตัวที่ยังวิ่งไปมาได้อยู่แต่ก็ มี 27 ตัวที่สาหัสแทบจะขยับไม่ได้หรือไม่ก็ตายไปแล้ว แค่ 28 ถ้าจะเอาแค่ล่อกลับไปนั้นไม่น่าจะยาก แต่เสียดาษพวกตัวที่นอนอยู่ เพื่อนอุสาพยายามอย่างหนักขนาดนั้นทักที่นางไม่จำเป็นต้องกินเลยแท้ๆ จะให้บุกเลยก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปทุกคน คงมีตายกันบ้างละ            แม้อากาศจะอุ่นขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่มากพอจะใช้เวทย์ไฟที่แสนถนัดได้ หนำซ้ำตั้งแต่ติดคุกนี้มานายังไม่ได้ฟื้นตัวเลยแม้แต่นอน ถ้าอยู่ในเมืองยังพอจะซื้อยาฟื้นฟูมากิน แต่ป่าเขาแบบนี้จะหายาได้ที่ไหนกัน ถึงบ่นไปก็ไม่ได้อะไร มาคิดเรื่องที่ทำได้ดีกว่า รอบๆไม่มีอะไร มีแต่ทุ่งโล่ง ต้นไม้หนา หิมะขาวกับหินก้อนใหญ่ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ตอนนี้ถึงช่วงเวลาที่เอรินเกลียดที่สุด จะถอยก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไม่ได้ แถมถ้าใช้เวลานานไป พวกมันจะกินกันจนอิ่ม จนไม่เหลืออะไรไว้ให้เราอีก...  อิ่ม ... หืม... กินอิ่มก็ต้องนอน จะนอนก็ต้องกลับบ้าน บ้านของมันเป็นถ้ำไม่ก็โพรงดิน อืม....น่าคิด พอคิดได้แล้ว จึงสั่งให้ทุกคนไปประจำที่ ตอนนี้ใกล้มืดแล้วแต่ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะ 2 คนที่สูงใช้จมูกมกว่าตา อีกคนหนึ่งก็จับจิตสังหารได้ ส่วนลุงเป็นสายสนับสนุนคงเอาไปลุยไม่ได้จึงให้ไปอยู่กับสเกลเลตอนก่อน กว่าพวกมันจะกินกันอิ่มก็ฟ้ามืด จริงๆต้องบอกว่าพวกเอรินใช้เวลาในการเตรียมการนานมาก กว่าโครงกระดูกจะล้างตัวเสร็จด้วยหิมะ        กินเวลาไปครึ่งวันกว่าจะมาถึงที่หมาย กว่าจะยิงลูกธนูจนหมดก็ใช้เวลามากโข ที่พูดมานี้ไม่ใช่จะโทษ แต่จะบอกว่าช่วงเวลามันเหมาะและลงตัวเกินไปตะหาก หลังจากรอต่ออีกหน่อย พวกมันก็เริ่มกระจายตัว ตอนนี้เริ่มเห็นชัดแล้วว่ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหน เหมือนจะมี 4 กลุ่ม กลุ่มแรกกลับไปแล้ว ไม่ได้ลากซากเพื่อนไปด้วย กลุ่มที่สองเอาซากไปตัวสองตัว กลุ่มที่สามยังไม่ได้กินในตอนกลางวัน ตอนนี้พวกมันกำลังเริ่มลงมือกิน ส่วนกลุ่มที่สี่ดูเหมือนจะนอนอยู่แถวๆนั้น เหมือนพวกมันจะรู้ว่าพวกเอริมมา แต่ก็ไม่คิดจะหนี แต่เล่นนอนท่าว่า  “มาเลย” “พวกข้าอยู่นี้” “แน่จริงก็เข้ามาดี้” เอลฟ์ไม่สามารถเข้าใจพวกไวท์วูฟคิดได้หรอก แต่ดูจากอาการของโบนครัชที่มาด้วยกัน กำลังกำหมัดก็พอจะเดาได้

                เวลาผ่านไปนานพอสมควร ตอนนี้พวกมันเหลืออยู่แค่ 13 ตัวกับอีก 5 ศพ เป็นจำนวนที่พอดี ไม่มาก ไม่น้อย ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีเมฆ หิมะไม่ตก ถือว่าโชคดี ตอนนี้บางตัวเริ่มหลับไปแล้ว พวกเราเองก็เช่นกัน รอจนหลับ แต่การต่อสู้มักจะเริ่มขึ้นโดยไม่คาดคิดเสมอ เอรินฟรอสต์ยืนขึ้นพร้อมกับยิงเวทย์สายฟ้าไป มันเข้าเป้าอย่างจังแต่ไม่รุนแรงพอที่จะฆ่ามันในนัดเดียว ไวท์วูฟสะดุ้งกันใหญ่ พวกเราเองก็เช่นกันเพราะเริ่มต้นกันโดยไม่มีการบอกนัดหรือส่งสัญญาณ แต่เพราะไม่มีการบอกกล่าวนี้แหล่ะจึงทำให้เพื่อนเราสามคนพุ่งเข้าประชิดตัวศัตรูได้โดยง่ายก่อนที่พวกมันจะตั้งตัว ตู้มเดียวเก็บไปสาม นางเอลฟ์ยิงสายฟ้าใส่ศัตรูอีกครั้งแต่ไม่ใช่เป้าเดิม ที่นางต้องการไม่ใช่การฆ่า แต่เป็นการทำให้พวกมันตกใจกับกลัวคิดไปเองว่าฟ้าแลบ ส่วนตัวที่โดนนั้นเกิดอาการชาจนขยับไม่ได้ ซึ่งแค่นั้นก็มากพอที่จะลดทอนกำลังเป้าหมาย การต่อสู้ไม่ได้ยืดเยื้ออย่างที่คาดการณเอาไว้ หนีไป 2 ตัว ชัยชนะเป็นของเรา ได้มา 12 ศพที่ยังพอนับเป็นอาหารได้ ที่เหลือเละเกินกว่าจะรับได้และยากแก่การนำกลับ คืนนี้ทุกคนตัดสินใจที่จะพักกันตรงนี้ เอาซากหมาบ้ามากองรวมกันแล้วนอนทับเอาก็พอถูๆไถๆได้ ในขณะที่เหล่าผู้เหนื่อยอ่อนผล็อยหลับไป พวกที่อยากหลับแต่ก็หลับไม่ได้ก็ต้องหาอะไรทำแก้เบื่อ นางหูแหลมตัดสินใจเดินสำรวจป่ารอบๆโดยมีเจ้าผีดิบเดินตามมาอย่างเงียบๆ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกัน ไม่ได้คิดจะเล่นกันด้วย เพราะของพี่แกตายสนิทไปแล้ว  

                การเดินชมดาวใต้แสงจันทร์กับเพื่อนพ้องก็ไม่ได้แย่นัก เดินมาเรื่อยๆจนเห็นแสงแปลกๆส่องสว่างอยู่บนพื้น หันไปมองโอกะด้วยท่าทีประหลาดใจ แต่เขากลับทำหน้าเรียบเฉยๆ นั้นทำให้พอจะเดาได้ว่าไม่เป็นอันตราย ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นได้ชัด มันคือดอกไม้รูปร่างประหลาด สีกลีบสีฟ้า เกสรสีเหลือง แต่ที่แปลกคือมันส่องแสงทั้งตัวกลีบและเกสร สีฟ้าอ่อนกับสีเหลืองทองที่ส่องออกมามันเข้ากันดีจริงๆ แม้ไม่ได้ถามอะไรแต่เขี้ยวก็พูดออกมาเอง มันคือ ดอกมูนคริฟ ปกติจะไร้สี ไร้กลิ่น กินไม่ได้เพราะมีพิษร้ายแรง แต่ที่เราเห็นมันส่องแสงเป็นสีฟ้าเหลืองเพราะมันเป็นแสงจันทร์ตะหากที่สะท้อนกลีบของมันเข้ามายังดวงตาของเรา ถ้าพบตอนกลางวัน กลีบจะใสเหมือนเกล็ดหิมะ มันจะโตเฉพาะบนเขาเขตหนาวเย็น ตรงที่ที่แสงจันทร์ส่องกระทบมันนานที่สุด มันเป็นดอกไม้ที่เพื่อนเก่าของเขาชอบตรงที่ความแปลกนี่ละ เป็นการบอกเป็นนัยๆว่าเพื่อนบอกมาแหละ สวยขนาดนี้ต้องเด็ดกลับบ้านสิ รอไร ผีดิบเองก็ไม่ได้ห้ามหรือทักท้วงแต่อย่างใด หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเดินหาดอกไม้นั้นต่อยันเช้าเลย แต่ได้มาแค่ 4 ดอก เอาเข้าจริง ไม่ได้เดินเก็บดอกไม้เล่นๆ เอรินเดินตามรอยหมาบ้าไปจนถึงโพรงของพวกมัน จากนั้นเอาไฟเผาดอกไม้พิษ 2 ดอกแล้วโยนเข้าโพรงไปแล้วใช้เวทย์ดินปิดทางออก รอบนี้ไม่ได้ดะจะเอาไว้กิน แต่จะฆ่าเพื่อลดจำนวนเฉยๆ จะได้ง่ายต่อแผนในอนาคต

                หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวัน พวกเขาก็กลับมาถึงเรือนจำจนได้ จำนวนของไวท์วูฟลดลงอย่างมาก ทั้งที่ถูกฆ่าและทั้งที่อดตายด้วย ตอนนี้ทั้งเขาน่าจะเหลือไม่ถึง 80 ตัวด้วยซ้ำ มันช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ในการหนีมากขึ้น รอบนี้ไม่มีใครตาย มีคนได้แผลมาแต่ก็ไม่ร้ายแรงมาก แต่สเกลเลนิ่งไปแล้ว คงเพราะขยับมากไป นางเองก็เป็นอีกคนที่ต้องการมานาอย่างด่วน แต่สำหรับโครงกระดูกคงยากหน่อย เพราะนางไม่มีช่วงท้อง จึงสามารถกินยาได้เหมือนเอริน เหมือนเข้าคุกมาสร้างประโยชน์ให้คนอื่นแล้วตายจากไปแบบเท่ๆเหมือนลุงถุงเลือด      ทุกคนร่วมกันจัดงานศพแล้วสลักชื่ออีกครั้ง ที่นี่มีตำนานให้เล่าต่อแล้ว 2 บท อย่างน้อยทุกคนก็คิดแบบนั้น

                ฤดูหนาวผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิกำลังเข้ามา หิมะเริ่มละลาย พร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าผู้คุมกลุ่มที่ต้องมาประจำการและเก็บกวาดพื้นที่ก่อนคนอื่น พวกเขาบอกว่าสภาพเรือนจำไม่แย่นักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ครั้งนั้นศพเกลื่อน ไม่มีใครเก็บกวาด แต่รอบนี้พวกนักโทษเก็บกันเกลี้ยง (ทำลายหลักฐานแหละ) ส่วนเรื่องหลุม พวกเขาบอกจะจัดการเอง แต่เอรินเสนอจะเก็บกวาดหลุมเอง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ขออาหารให้พวกนางหน่อย ตอนแรกผู้คุมไม่ตกลง แต่เหมือนทุกคนจะรู้งาน เลยบอกจะช่วย แถมผู้หญิงบางคนบอกต้องการความอบอุ่น พวกนั้นจึงยอมออกไปหาอะไรมาให้กิน ตอนนี้ทุกคนร่วมมือกันเป็นอย่างดีแม้จะไม่ต้องมีการบอกกล่าว แต่เพื่อความเนียน ทุกคนจึงต้องกลับไปตีกันเองเหมือนเดิม ดังนั้นงานถมหลุมทำกันอย่างลวกๆ เอาแผ่นไม้จำนวนมากเรียงซ้อนกันเฉยๆ แล้วกลบด้วยดินหนาๆ ดินที่เหลือก็ขนแล้วเทลงเหวนอกกำแพงไป เสร็จอย่างเร็วและง่ายดาย ปกติพวกผู้คุมที่นี้ก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอะไรอยู่แล้ว งานเผาแบบนี้ของถนัดและชอบนัก เวลาผ่านไปครึ่งวัน พวกผู้คุมก็กลับมาพร้อมกับอาหารจำนวนหนึ่ง ทหารยามและพลลาดตระเวนด้วย

                ในขณะที่ทุกคนร่วมกันดื่ม กินอาหารที่ถูกจัดมาให้อย่างสนุกสาน ก็ถึงเวลาจานหลักเสียที พวกผู้คุมเดินเข้าไปนั้นข้างพวกผู้หญิงแล้วเริ่มลงมือ มือที่ซุกซนของพวกเขาจับนี้ล้วงโน่นไปเรื่อยอยู่ไม่นิ่งจริงๆ ส่วนใหญ่โดนกันหมด ยกเว้น 3 อเมซอนเพราะไปคุกคามคนอื่นเขา จริงๆเอรินมักเป็นเป้าหมายแรกๆที่จะโดนรุมก่อน แต่ตอนนี้โดนโบนครัช โอกะกับพวกลุงๆอุ้มไปซะแล้ว แม้ว่าปกติจะร่วมมือและจัดลำดับกันดี แต่ถ้าจำนวนขนาดนั้น พวกทหารเองก็ไม่อยากเสี่ยง ได้แต่เลียปากแล้วมองด้วยหางตา เอาเข้าจริงพวกนี้ไม่ได้ทำอะไรกัน แค่ล้อมเอาไว้เฉยๆ มีการวนกันไปมาเพื่อความเนียน เล่นตัวและทำเสียงนิดหน่อยเพื่อความสมจริง ทุกคนพยายามกลั้นหัวเราะ เพราะเอรินส่งเสียงออกมาเหมือนมีใจ แต่หน้าตาไม่มีอยู่ในอารมณ์ร่วม กิจกรรมหรรษาลากยาวไปจนถึงกลางคืน ตอนนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน แน่นอนมีคนที่นอนไม่หลับจำนวนหนึ่ง จึงตั้งวงกันเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ฟรอสต์จึงถามเรื่องการตั้งท้องขึ้นมา ทั้งที่เล่นกันทั้งวันและทุกวันด้วย ไม่มีคนท้องเลยเหรอ พวกเขาตอบว่ามี คนไหนที่ไม่มีใครเล่นด้วยแล้วจะถูกเอาไปปล่อยป่า จะรอดไม่รอดก็แล้วแต่ชะตากำหนด คนที่เป็นที่นิยมหน่อยก็จะได้พักในห้องขังเดียว แต่จะมีผู้คุมวนไปหาทุกวัน แต่คนที่เป็นที่ถูกใจจะได้อยู่หอคอยสูง ซึงมีอยู่ 2 หอเท่านั้น หอแรกทางขวาของประตูหน้า มีใครอยู่ก็ไม่รู้ ไม่มีใครเคยเห็น แต่พวกยามจะถืออาหารขึ้นไปเสิร์ฟทุกวัน ส่วนหอทางซ้ายวางอยู่ แต่เอรินก็ยังสงสัยว่านางจะผ่านหน้านายไปได้ยังไง เพราะ ไม่มีใครขึ้นไปเลย พอถึงจุดนี้คนที่แอบฟังอยู่แต่ไม่ได้เข้าร่วมวงแต่แรกก็พูดออกมา “ในหอนั้นมีอันเดธสาวแสนสวยอยู่” “และนางคนนั้นเป็นของพัศดีเพียงคนเดียว” ไรเดอร์พูดออกมาจากข้างหลัง ทำเอาทุกคนสะดุ้งโหยงพร้อมขนลุกกันเลยที่เดียว ไม่น่าแปลกใจที่นางรู้ได้ เพราะพวกนางชอบปีนตรงนู้นตรงนี้อยู่บ่อย พอถึงตรงนี้นางพอจะจับเคล็ดอะไรได้ แต่ก็ไม่ได้พูดไปได้แต่นิ่งเงียบ ทุกอย่างเริ่มลงตัวและเข้าทางมากขึ้น ซอมบี้จึงขอให้หนุ่มๆรุมจัดนางทุกวันแบบจริงๆ ทุกคนขำกันใหญ่ แม้แต่ 

โบนที่หลับก็ยังตื่นขึ้นมาในทันที

โบนครัช

“นี่ไม่ใช่หน้าหนาวแล้วนะ”

ทุกคนหัวเราะ เอรินได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร

เอริน

“นี้ก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว อยากจะฟื้นมานาให้ได้มากที่สุด ที่หาได้ง่ายที่สุด ยาบำรุงที่พวกเจ้ามีก็หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”

โบนครัช เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา

                “สมแล้วที่เป็นฟรอสต์”

                ก็ไม่รู้ว่าเพราะว่าอยากหรืออะไร ทุกคนกระหน่ำจัดหนักเอรินทั้งวันทั้งคืนจริงๆ จะให้ความร่วมมือกันดีเกินไปแล้ว ดีมากซะจน ผู้หญิงคนอื่นเริ่มหมั่นไส้เพราะผู้ชายคนไหนสนใจพวกนางเลย กลางวันนักโทษ กลางคืนผู้คุม วนไปเรื่อยๆจนครบเดือน ท้องของนางนูนออกมาจนเห็นได้ชัด อันเดธไม่สามารถท้องได้ แต่พวกผู้คุมไม่รู้ว่าว่านางเป็นซอมบี้ เพราะงั้นแผนนี้คงใช้ได้ผล เมื่อหมากทุกตัวพร้อม แผนการจึงเดินหน้าเข้าสู่ขั้นต่อไป เอรินตะโกนขอพบพัศดี แน่นอนว่านางได้พบเพราะเป็นคนโปรด แต่เป็นช่วงเวลาเกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เล่นกับนางเลย ตอนนี้เขาจึงต้องการนางอย่างมาก และมากไปอีกเมื่อเห็นว่านางท้องเพราะถูกจัดมาตลอดหน้าหนาว เอาเข้าจริงก็โดนรับน้องตั้งแต่เข้ามาวันแรกแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น เขาอยากจะจู่โจมนางบัดเดี่ยวนั้น แต่เอรินทำเป็นเล่นตัวพร้อมบอกว่าจะให้เล่นสนุกได้เท่าที่ต้องการ แต่นางของเล่นกันในห้องส่วนตัว ขอชุดใหม่ เหล้าแพงๆ อาหารดีๆรวมทั้งขออาบน้ำก่อน มีหรือเจ้าหื่นจะยอมพลาด โอกาสทองกำลังมา สาวเจ้าพร้อมใจจะเล่นด้วย แบบนี้ยิงสนุก ยิงได้หลายนัดด้วย เจ้าอ้วนจึงรับปากพร้อมนัดเวลาเป็นพรุ่งนี้ค่ำที่ห้องของเขา ซึ่งคืนนี้น้องเอลฟ์ไม่ต้องไปนอนใต้ดินแล้วแต่ได้นอนเตียงนุ่มๆหอมๆแทน แม้คืนนี้จะไม่ได้แอ้ม แค่ได้นอนกอดพี่แกก็พอใจแล้ว แต่กลายเป็นว่าพี่แกไม่ได้นอน มังกรผงาดทั้งคืน นอนไม่หลับ วันนี้จึงเรียกนักโทษหญิงคนอื่นไปลงโทษสัก 3 - 4  คน โทษฐานพยายามล่อลวงพวกผู้คุม ส่วนพวกผู้คุมทั้งหมดโดนลงโทษด้วยการห้ามเล่นกับพวกนักโทษสาวทั้งวัน เดือดร้อนกันยาวเลยคราวนี้

                ในที่สุดค่ำคืนที่รอคอยก็มาถึง พี่อ้วนแกทำตามสัญญาทุกอย่าง น้องเอลฟ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาในชุดคลุมท้องสีขาวลายดอกไม้ กลิ่นหอมของดอกไม้และสมุนไพรที่ผสมในอ่างอาบน้ำช่างยั่วยวนใจยิ่งนัก นั้นยังไม่นับท่าทีเล่นตัวที่น้องไม่เคยทำให้ใครเห็นมาก่อน แค่เห็นพัศดีก็น้ำลายสอแล้ว พุ่งเข้ากอดนางแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ทั้งลูบทั้งเลียอย่างเอร็ดอร่อย จัดหนักทั้งคืนไม่หยุดยันเช้า วันต่อมา เอรินเดินออกมาจากหอพักกลาง ใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะออกมาได้ เพราะโดนตลอดทาง เจอใคร ใครก็แกล้งน้องหมด แทบจะเดินออกมาเองไม่ไหว ต้องเรียกโบนครัชไปอุ้มออกมา ทุกคนมองมาที่ซอมบี้สาว แต่ไม่ใครพูดอะไร นางส่งยิ้มให้ ทุกคนก็ยิ้มกลับ หลังจากนั้นกิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม เหมือนตอนที่เพิ่งเจ้ามาใหม่ๆ โดนคนโน้นแกล้ง คนนี้แกล้ง โบนครัชตีกับโอกะ อเมซอนวิ่งไปจับพวกทหารมากิน วนไปเรื่อยเหมือนทุกวัน แต่ที่แตกต่างคือ พักหลังๆ นางได้รับอนุญาตให้ไปที่ไหนก็ได้ในเรือนจำ เข้าออกได้ทุกห้อง โดยเฉพาะห้องพัศดี โดนกำชับว่าต้องเข้าทุกวัน แต่นั้นก็ไม่ใช่สาระ ส่วนสำคัญมันอยู่ตรงที่เอรินสามารถเดินไปหอคอยทางขวาของเรือนจำเพื่อพบซอมบี้สาวอีกคนตะหาก ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงที่นั้น มองเข้าไปในห้องผ่านประตูลูกกรงมองไม่เห็นใคร จึงตัดสินใจเขย่าประตูดู แต่มันดันเปิดออกเหมือนไม่ได้ล็อค ประตูเปิดเองแบบนี้หมายถึงการเชื้อเชิญให้เข้ามา มีหรือจะไม่เข้าไป ว่าแล้วเอรินก็เดินไปจริงๆ ดูจากภายนอกมันก็แค่ห้องที่ว่างเปล่า แต่ทันทีที่เข้าไปก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างทุบเข้าที่หัวนางอย่างแรงจนสลบไป

                ตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงงและสับสน มองไปรอบๆไม่เห็นใครมีแต่กำแพง คาดว่าน่าจะอยู่ในอีกหอคอยหนึ่ง เหตุที่ไม่คิดว่าเป็นหอเดิมเพราะประตูของห้องนี้นั้นมิดชิด ไม่ใช่ประตูลูกกรงโทรมๆเก่าๆแบบที่นางเคยเปิด แต่ที่แปลกคือตอนี้นางถูกโซ่มัดแขนทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน แถมเสื้อผ้าถูกถอดออกหมด ท้องเองก็ไม่ได้นูนออกมาแล้วแถมมีรอยเหมือนถูฏซ้อมอย่างหนักด้วย ลูกยางอุดไว้ภายในช่วงท้องก็ถูกดึงออก น้ำที่ถูกเติมจนเต็มเพื่อให้ท้องนูนจึงไหลออกมาจนหมด สถานการณ์ตอนนี้ถึงตะโกนร้องให้เพื่อนมาช่วยไปก็คงไม่มีความหมาย จะดิ้นยังก็คงไม่หลุด สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่การรอ แม้จะไม่ได้เห็นข้างนอกชัดเจนนัก แต่เสียงที่ตะโกนโหวกเหวกนั้นก็ทำให้คาดเดาเวลาได้ น่าจะผ่านไปสัก 2 วันได้แล้วโดนที่ไม่ได้รับน้ำหรืออาหาร แต่นั้นใช่ปัญหาสำหรับซอมบี้ ผ่านไปอีก 3 วัน จากที่ดูเหมือนจะถูกขังแล้วปล่อยให้แห้งตายในนี้เป็นแน่ แต่พอคิดแบบนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เย็นวันนั้นพัศดีเดินเข้ามาในห้องคนเดียวพร้อมสั่งให้ลูกน้องออกไปแล้วปิดประตู สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือซอมบี้ถูกเตะเข้าที่หน้าอย่างแรง แน่นอนว่านางไม่เจ็บเพราะเส้นประสาทไม่ทำงาน จากนั้นก็โดนกระทืบ โดนนู้นโดนนี้ แต่จบลงด้วยการถูกเอาท้องเหล็กหวดเข้าที่ท้องอย่างจัง ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมจุกยางที่อยู่ข้างในตัวถึงได้หลุด จริงๆพวกเขาไม่รู้ แต่แค่หวดท้องไปเรื่อยๆ น้ำมันก็ดันจุกออกมาเอง จากนั้นเจ้าอ้วนก็เดินวนไปวนมาในห้องพร้อมพล่ามอะไรออกมามากมาย ซึ่งก็ไม่ได้มีสาระอะไรแต่ที่จับใจความได้ก็คือ เขาโกรธมากที่นางหลอกเขาว่าท้อง จริงๆนางไม่เคยบอกเขาเลยว่าท้อง บริบทที่พูดออกไปกับท้องที่นูนออกมามันชวนให้คิดไปเอง อย่างไรก็ตามที่เขาอยากจะรู้คือนางทำแบบนั้นทำไม แต่ที่ฉุนขาดกว่าคือหลายคืนที่ผ่านมา เขาสมสู่กับหมาตัวเมียอย่างเอริน เขาได้ยินเรื่องที่นางเลี้ยงไวท์วูฟเอาไว้เป็นของเล่น เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้ที่สุด ตอนนี้หมาพวกนั้นโดนฆ่าตายหมดแล้ว เอาเข้าจริงที่เขาไม่รู้คือ       ไวท์วูฟที่เลี้ยงเอาไว้นั้นมันเป็นตัวเมียทั้งหมดซึ่งจะเอาไว้ล่อสโนว์เฟล็กตัวผู้ที่ Hound เลี้ยงเอาไว้ต่างหาก ตอนนี้แผนที่วาดเอาไว้ดิบดีพังลงในพริบตา นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป จึงพูดไปเรื่อย

“ก็แค่อยากได้ที่พักสบายๆ ไม่ต้องทำงาน และอยากอยู่ในหอคอย จึงได้เดินไปดูแต่ไม่ทันได้ดูก็โดนอะไรไม่รู้ทุบเข้าอย่างจัง”

เจ้าหื่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะลั่นเหมือนคนบ้าอยู่นานก่อนจะเรียกคนที่อยู่หอคอยขวาออกมา คนที่เดินเข้ามานั้นทำให้นางแปลกใจได้นิดหน่อย คนๆนั้น คือ ไรเดอร์ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงได้ปีนไปตรงไหนก็ได้โดยไม่มีใครห้าม พอถึงตรงนี้นางก็เข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมานั้น นางถูกจับตามองอยู่ตลอด อย่างใกล้ชิด้วย แผนที่วางไว้ทุกอย่างพังหมด ส่วนเสียดังโวยวายข้างนอกหลายวันมานี้คนเป็นเสียงที่พวกเพื่อนๆโดน พวก Hound เหนี่ยวเต็มแรงแหงๆ แต่ที่เจ็บใจกว่านั้นคือ พัศดีดันไปปล่อยข่าวนาง ขายเพื่อนเพื่อแลกกันการได้เป็นอิสระ ซึ่งทุกคนก็เชื่อ แต่ต่อให้นางอยากตะโกนออกไปก็ไม่มีใครได้ยินเพราะที่นี้ไม่ใช่หอคอย แต่เป็นคุกใต้ดินลับตะหาก นอกจากนี้หอคอยกับเรื่องสิทธิพิเศษถูกแต่งเอาไว้หลอกพวกสาวโง่สมองกรวงให้หลงเชื่อจะได้ใช้งานแบบง่ายๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาต้องคอยมาบริการผู้หญิงชั้นต่ำและสกปรกแบบเอริน คนแบบที่ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้ทุกอย่างที่ต้องการ พอมันพูดจบก็เตะเข้าไปที่ท้องเอรินอีกหนึ่งครั้งก่อนจะเดินจากไป แต่ไรเดอร์ยังคงยืนดูอยู่

ไรเดอร์

                “จริงๆ ถ้าเจ้าไม่เข้ามาแย่งความสุขและความสนุกของข้า ก็คงไม่ต้องมาจบลงแบบนี้หรอก”

เอริน

                “ข้าจะโดนทรมานหรือไง”

ไรเดอร์

                “ไม่ ไม่ใช่ ซอมบี้มันไม่รู้สึกเจ็บปวดหรอก ใช่ไหม มันไม่รู้หรอกว่าการถูกแย่งทุกๆอย่างไป มันรู้สึกอย่างไร”

เอริน

                “หึ”

ไรเดอร์ เตะเอรินอย่างแรงจนร่างกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง หลังจากนั้นก็เริ่มพล่ามอะไรต่อมิอะไรออกมา ไม่ค่อยมีสาระเหมือนระบายความในใจมากกว่า

เอริน

                “เหมือนเหงานะเจ้านะ อยากได้เพื่อนคุยหรือไง ตอนอยู่ข้างบน ไม่เห็นพูดมากขนาดนี้เลย”

ไรเดอร์

                “จะได้ไม่หลุดพุดอะไรออกมาไง”

เอริน

                “แปลว่าทีผ่านมาพูดเรื่องจริงทั้งหมดงั้นเหรอ”

ไรเดอร์

                “ใช่ ข้าพูดความจริงเสมอ”

เอริน

                “เรื่องทางลับที่จะออกจากที่นี้ด้วยงั้นเหรอ”

ไรเดอร์ฟังแล้วหัวเราะลั่น หัวเราะนานด้วย ก่อนจะมองไปที่เอรินด้วยสายตาที่เวทนา

ไรเดอร์

                “ช่างน่าสังเวช” พูดด้วยน้ำเสียงที่ลากยาวพร้อมกดริมฝีปาก “ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าทางลับนั้นมันคืออะไร”

เอริน

                “บอกหน่อยสิ คนมันโง่”

ไรเดอร์

                “’งั้นข้าจะบอกให้ก็ได้เจ้าคนโง่” เมื่อพูดจบก็ก้มลงมาใกล้พวกเอามือกระชากผมด้านหน้าแล้วดึงเอรินให้ลอยขึ้น “ความตายไงล่ะ วิธีเดียวที่จะออกจากที่นี้”

เอริน

                “…”

ไรเดอร์

                “ไม่มีใครเข้ามาที่นี้แล้วได้ออกไป” พูดพร้อมเดินวนไปมา “ไอ้คนที่เอาเรื่องพวกนั้นมาพูด มันก็แค่คนที่ถูกจ้างให้พูดเพื่อแลกกันขยะเล็กน้อยเท่านั้น”

เอริน

                “…”

ไรเดอร์

                “ดีใจด้วย อีกไม่นานเจ้าก็จะได้ผัวคนใหม่แล้ว” พูดจบพร้อมมองมาที่เอรินแล้วแสยะยิ้ม “เจ้าตุ่นมันชอบเจ้านะสาวน้อย แต่ถ้าคิดไม่ออกว่ามันเป็นใคร มันก็คือหัวหน้าของ Hound นั้นละ มันดูน่ากลัวก็จริง แต่เรื่องคือมันอ่อนกว่าข้าเยอะ ต้องขอบคุณเจ้าขยะนั้นที่เล่นปล่อยข่าวโคมลอยซะใหญ่โตว่า Hound เก่งอย่างนั้น Hound เก่งอย่างนี้ พวกนักโทษข้างนอกกลัวกันขี้ขึ้นหัวเลยละ จริงๆมันก็แค่พวกสวะใส่เกราะราคาแพงที่ดูน่ากลัวนั้นแหล่ะ”

                เมื่อพูดจบไรเดอร์ก็กระหน่ำชกหน้าเอรินอย่างเมามันพลางหัวเราะเหมือนคนบ้า เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วก็เดินจากไป สิ่งที่เอรินทั้งได้ตอนนี้คือการหัวเราะทั้งน้ำตาถ้ามันมีให้ไหล ทั้งเจ็บใจ พยายามมาตลอดแต่ไม่เคยมีอะไรที่เห็นผลเลย โกรธแค้นที่โดนหลอกแล้วตกม้าตายเอาง่าย เสียใจที่ไม่อาจช่วยเพื่อนที่อยู่ข้างนอกได้แถมพวกเขาต้องตายไปทั้งที่เข้าใจนางผิดอยู่อย่างนั้น และที่แย่ที่สุดคือไม่เอะใจเรื่องไรเดอร์เลย มันแปลกอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมยัยนั้นถึงได้ทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยทุกคน ทั้งที่นางไม่ใช่คนประเภทนั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้นเอรินน่าจะรู้สึกตัวได้ตั้งแต่เข้ามาที่นี้ว่าพวกผู้หญิงคนอื่นอิจฉาในความสาวของนาง พวกนางน่าจะดูออกว่านางนะแก่แล้ว แต่พวกผู้ชายก็คอยแต่เอาอกเอาใจ ยอมทำตามที่นางสั่งทุกอย่าง คอยปกป้องนางเสมอมา ก็เคยคิดว่าสักวันหนึ่งก็คงต้องโดนแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าคนที่ทำจะเป็นกอลิล่าบ้าตัวผู้แบบนี้ อย่างน้อยก็ขอเป็นสาวธรรมดาๆ ร่างกายผอมบาง หน้าเป็นฝ้า ใส่แว่นหนา ขี้อายแถมคุยไม่เก่ง... เถอะ ได้แค่คิดเอาไว้ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดไป

                เป็นอีกวันที่จบลงได้ไม่สวยนัก สภาพของคนข้างบนเป็นไงไม่รู้แต่ตอนนี้เอรินยับเยินและเละเทะมาก หลังเงียบหายไปหลายวันก็มีคนมาพาตัวออกไปจากคุกใต้ดิน พัศดีอ้วนเสียชีวิต สาเหตุมาจากได้รับสารพิษมากเกินไปติดต่อกัน ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน แต่เหมือนจะรอดไปเปราะหนึ่ง พอคิดแบบนั้นทีไร เรื่องมันไม่เคยเป็นแบบที่ต้องการเสียที คนที่เป็นพัสดีคนใหม่คือ เจ้าตุ่น ด้วยความบ้าและโรคจิตของมัน มันจึงสั่งให้ทหารจับพวกผู้หญิงทั้งมายืนเรียงกันรวมทั้งเอรินด้วยแล้วเปลื้องผ้าต่อหน้าทุกคน จากนั้นมันจะลงโทษทีละคนไปจนครบทุกคนด้วยไม้กายสิทธิที่เล็กและมีรูปร่างผิดปกติ ต่างจากรูปร่างของร่างกายมันที่สูงใหญ่และน่ากลัว ตอนนี้เข้าใจแล้ว่าทำไมทุกคนเรียกมันว่าตุ่น เล็กสั้น ซึ่งพวกผู้ชายไม่ได้เห็นของมันเลยไม่รู้ แต่พวกผู้หญิงต่อให้ไม่เห็นเพราะมันเอาผ้าคลุมไว้แต่ก็รู้สึกได้ ใครเผลอหัวเราออกมาจะถูกโยนให้สโนว์เฟล็ก เอาไปแทะเล่นทันที นั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณที่ถูกมันจับไปไม่มีใครเคยกลับมา อย่างน้อยตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าเอรินไม่ได้หนีไปอย่างที่เจ้าอ้วนประกาศ แถมยังโดนอัดจนยับด้วย  ทุกคนเห็นซอมบี้เป็นแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะดีใจที่นางไม่ได้ไปไหนโดยไม่บอกลาหรือเสียใจที่เห็นนางโดนมาหนักมากดี พวกเขาตามมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ตอนนี้เจ้าตุ่นมาเดินถึงน้องเอลฟ์ของเราแล้ว เพราะสภาพของนางตอนนี้ดูไม่ได้ เจ้าตุ่นถึงกับถุยน้ำลายใส่หน้าแล้วบอกให้เอาไปโยนให้สัตว์เลี้ยง 4 ตัว ที่ยืนจ้องอยู่ เจ้าสโนว์เฟล็กก็คว้านางไว้ทันทีแต่ก็จับไว้ได้ไม่นาน พวกมันก็ถอยห่าง ทำเอาทุกคนตะลึงไปตามๆกัน คนอื่นพากันงง แต่เจ้า       โบนครัชหัวหน้าแบล็กด๊อกนั้นรู้ดี รู้มาตลอด วันที่กลับมาจากการล่าครั้งล่าสุด นางเอาดอกมูนดริฟมาด้วย ปกติแล้วคนทั่วไปจะไม่ได้กลิ่น แต่สำหรับพวกสัตว์ มอนสเตอร์และอมนุษย์แล้วกลิ่นมันแรงมาก เหมือนเอรินจะเพาะพันธุ์เอาไว้จำนวนหนึ่ง พอมันโตได้เต็มนี่แล้ว นางก็เอามาบดแล้วผสมในน้ำอาบทุกวัน ตอนนี้พิษมันซึมเข้าไปในตัวนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นแบบทาไม่ใช่แบบกิน มันจึงออกฤทธิ์ช้า จำเป็นต้องลากยาวหลายวันเพื่อให้แสดงผล โชคดีที่หลังจากวันทีเอรินเข้าไปอยู่กับเจ้าอ้วน ไม่นักโทษคนไหนยุ่งกับนางเลย มีแต่พวกผู้คุม ทหารยาม และพลลาดตระเวน      

พวกเขาชนะแล้ว         

แม้พิษจะไม่ใครเขาตายในทันที แต่พวกมันส่วนใหญ่ก็เริ่มมีอากรแปลกๆมาหลายวันแล้วเช่นกัน เมื่อมาถึงจุดนี้ สิ่งที่ต้องทำมีเพียงแค่สิ่งเดียว นั้นคือการปลดแอก แน่นอนว่าเรื่องที่เจ้าตุ่นมันอ่อน พวกหัวหน้าของสามกลุ่มรู้ดี เรื่องที่ไรเดอร์ทรยศ พวกเขาก็รู้อยู่เต็มอกตั้งแต่แรก เพราะงั้นโอกะจึงได้พยายามบอกมาตลอดว่า “อย่าไปยุ่งกับมัน” เอรินพลาดเองที่ลืมเรื่องนั้น ถ้าใจเย็นกว่านี้ รอบคอบกว่านี้ก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้หรอก แต่เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ช่างมัน ทำเรื่องที่ต้องทำต้องนี้ดีกว่า

                การต่อสู้จึงได้เริ่มต้นขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่หน้าหนาว มานาก็เต็มแถมศัตรูทั้งหมดก็อ่อนแอด้วย งานนี้จัดเต็ม เผาทุกอย่างมันให้วอดวายไปเลย ในเมื่อสโนว์เฟล็กไม่กล้าเข้าใกล้   ซอมบี้ นางจึงเดินเข้าไปใกล้ๆพร้อมร่ายเวทย์ชุดใหญ่ได้อย่างสบายโดยไม่กลัวโดนมันโจมตี แม้จะมีห่าธนูยิงมาหานาง นางก็ไม่หวั่น ของแค่นั้นฆ่านางไม่ได้หรอก ส่วนพวกทหารที่พยายามเข้ามาใกล้ก็โดนเพื่อนๆเก็บไปหมด ส่วนเจ้าตุ่นโดนอัดหมัดคู่หน้าหลังชุดเดียวตาย คนที่ลงมือก็ไม่ใช่ใคร โบนครัชสีดำกับโอกะจอมโหด ส่วนทหารที่เหลือก็ค่อยทยอยร่วงเหมือนใบไม้ คนที่ไม่อย่าสู้ก็ต้องหนี แต่ทางเข้าออกมีแค่ทางเดียวนั้นคือประตูหน้าที่มีเหล่าไวท์วูฟรออยู่ พวกมันมาเพราะได้กลิ่นเลือด การต่อสู้ในครั้งนี้ยืดได้มากพอจนพวกมันตามกลิ่นมาถึงหน้าบ้าน ทุกย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะโชค แต่เป็นการคำนวณมาอย่างดีตะหาก พลาดแผนหนึ่ง ก็ใช้แผนสอง พลาดแผนสองก็ใช้แผนสาม พลาดแผนสามก็คิดสดกันตรงนั้นเลย

                หลังจากจัดการพวกทหารที่ตกค้างหมดแล้ว พวกเราที่เหลือที่ยังสู้ได้ก็ออกไปจัดการพวกหมาบ้ากันต่อ กว่าจะจบใช้เวลาเป็นวัน ฝ่ายศัตรูตายหมด พวกของเราที่ร่อแร่ตั้งแต่ปีที่แล้วตอนนี้ก็ได้ตายไปจริงๆ ตามที่คาด คนที่ยังไหวอยู่เริ่มทำการเก็บกวาด ส่วนคนที่ไม่ก็แยกย้ายกันไป เอรินยืนนิ่งหักและดันธนูจำนวนมากที่ปักอยู่ในร่างของนาง แต่เพราะนางไม่รู้สึกเจ็บจึงดึงแรงมาก แผลที่เกิดจากธนูจึงเปิดออกมาเหวอะหวะ ตอนนี้นางดูเหมือนศพเดินได้เข้าไปทุกที แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อันเดธเพื่อนรักมิอาจทนได้ จึงรีบพุ่งเข้าไปหยุดนาง สั่งให้ไปนั่งนิ่งๆเดียวเข้าจะค่อยๆดึงพวกมันออกเอง

“นี่คือสิ่งที่ผู้กล้าควรได้รับงั้นหรือ”

นางได้แต่แล้วหัวเราะ ซอมบี้ไม่เหมือนแวมไพร์ ไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายตนเองได้ เเผลเปิดอยู่อย่างไรก็จะเปิดอยู่อย่างนั้นตลอด หน้าที่บวมและปูดเปี้ยวเพราะโดนทุบตีอย่างหนักจึงผิดรูปแบบนั้นไปตลอดกาล แน่นอนว่าเขี้ยวพยายามจัดกระดูกหน้าให้เพื่อนรักคนนี้ใหม่ ถึงจะเข้ารู้แต่แผลชำดำเขียว แผลแตก และแผลเปิด มันก็ไม่อาจรักษาได้

“ก็อยากจะพูดว่าแผลบนหน้ามันไม่ทำให้ความสวยของเจ้าลดลงเลยอยู่หรอก” โบนครัชเดินมาแซว

“ถึงพวกเราจะไม่สนิทแต่ก็รู้จักกันนานพอจะรู้ว่าเจ้ามันบ้า” หัวหน้าอเมซอนเดินมา

“คงไม่มีใครหรอกที่ยอมแลกตัวเองขนาดนี้”

“แต่ถ้าไม่ได้คนบ้านี้พวกเราทั้งหมดคงตายไปตั้งแต่หน้าหนาวแล้ว”

                ทุกคนหันหน้ามาหาเอรินแล้วพูดขอบคุณ นางได้แต่ยิ้มแบบเศร้าๆ ชีวิตนางตอนนี้สนใจอย่างเดียวคือการแก้แค้น ร่างกายของตนเองจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ลูกธนูทั้งหมดโดยดึงออก การทำแผลทั้งหมดก็จบลง อเมซอนเอาผ้ามันแผลมาพันรอบตัวนางทุกที่ที่แผลเปิด ไม่ใช่สาวถึกไม่มีความสามารถในการทำแผล แต่แผลมันมีเยอะเกินไป ตอนนี้เอลฟ์เถื่อนมีสภาพแทบไม่ต่างจากมัมมี่ ทั้งตัวอยู่ใต้ด้วยผ้าพันแผล โผล่มาแค่มือสองข้าง ดวงตาแวววาวปนช้ำเลือด และริมฝีปากที่แตก ลุงมาโซเดินมาสรุปผลการต่อสู้ ฝ่ายเราเหลือ 23 คน ฝ่ายศัตรูในเรือนจำตายหมด ศพทหารทั้งหมดและซากสโนว์เฟล็ก 4 ตัวโดนโยนลงไปในอุโมงค์พิษและฝังกลบทับอย่างดีแล้ว ส่วนเจ้าไรเดอร์นั้นปีนกำแพงหนีไปตั้งแต่เจ้าตุ่นสั่งให้ทุกคนมายืนเรียงกัน จะเหลือก็แค่พวกมันอีกไม่ถึง 20 คน ที่รอให้อากาศอุ่นกว่านี้แล้วค่อยมาตรงหมู่บ้านด้านนอก ตอนนี้คงเอาเรื่องนี้ไปบอกกับเจ้าเมืองเพื่อขอกำลังเสริมแล้ว ทางรอดของพวกเราทางเดียวคือต้องหนีออกจากนี้ให้เร็วที่สุด แต่ไม่สามารถออกไปทางหมูบ้านได้ แม้มันจะเป็นแค่หมูบ้านเล็กๆแต่ก็มีคนอาศัยอยู่พอสมควร ไม่มีทางที่จะลงเขานี้ไปได้โดยไม่มีใครเห็น ถ้าถูกเห็นเมื่อไหร่ก็จะถูกจำหน้าแล้วหมายหัวทันที คงต้องเริ่มคิดแผนใหม่กันตอนนี้เลย แต่จู่โบนครัชก็พูดขัดขึ้นมา

โบนครัช

“เรายังมีทางลับอยู่นะ อย่าได้ลืม”  

เอริน

                “มันมีจริงๆหรือ ของแบบนั้น”

โบนครัช

                “มีสิ มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้”

เอริน

                “ความตายงั้นเหรอ ก็ไม่เลวนะ” พูดไปพร้อมถอนหายใจ

โอกะ

                “ก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินอะไรมา แต่มันมีจริงๆ ตามมาสิจะพาไปดู”

โบนครัช

                “ตอนนี้ไม่มีพวกมันแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ถึง 3 หัวหน้าแล้วด้วย”

เจ้าขนดำอุ้มเอรินแล้วพาเดินไป โดยมีมีแวมไพร์เดินตามมา มันเป็นห้องน้ำร้างๆเก่าๆ ที่เรียงติดกันหลายห้อง ปกติพวกนักโทษจะไม่สามารถเข้ามาที่นี้ได้เพราะมันเป็นห้องน้ำของพวกทหาร มีแค่ 3 หัวหน้าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ สำหรับพวกเขาถ้าอยากจะทำธุระต้องทำเอาข้างทางเหมือนสัตว์

เอริน

                “ใช้เวลาทำแบบนี้ไหมเนี้ย” พูดไปพร้อมถอนหายใจ

โบนครัช

“ไม่ทำตอนนี้ แล้วจะตอนไหน” มันปล่อยนางลงบนพื้นอย่างทะนุถนอม

โอกะ

                “มาเริ่มกัน”

                เอรินยืนนิ่งแล้วหลับตา ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วหัวเราะ ก่อนจะชี้ไปที่กำแพงห้องน้ำ แล้วบอกให้นางระเบิดกำแพง 3 ห้องที่ติดกันให้หมด นานมาแล้วมีปีศาจดินเคยขุดเข้ามาช่วยเพื่อนๆของมันเข้ามาถึงเรือนจำแต่ดันมาโผล่ในห้องน้ำ ทางเดินเป็นอุโมงค์ทอดยาวไปจนถึงตีนเขาซึ่งแถวนั้นเป็นป่าทึบ ที่ไม่ใช้ทางนี้หนีตั้งแต่ต้นเพราะป่าแถวนี้เต็มไปด้วยไวท์วูฟและสโนว์เฟล็กอีก 2 ตัว แต่ช่วยที่ผ่านมาพวกมันโดนนักโทษลดจำนวนลงไปมาก ตอนนี้จึงไม่ใช่ปัญหา ส่วนเรื่องพิษก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะอุโมงค์มันมีโพลงเล็กๆหลายแห่งที่เชื่อมต่อกับผืนดิน พิษในนั้นจึงถูกระบายอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกที่บอกจะใช้ 3 หัวหน้าคือจะให้แอบขุดเงียบๆกัน 3 คน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว แถมขุดเสร็จก็ใช้เวทย์ดินปิดต่อได้เลย อย่างน้อยก็น่าจะถ่วงเวลาพวกที่ตามมาได้ช่วงหนึ่ง ที่ทั้งสองคนพูดมาเป็นเรื่องที่ดีแต่เอรินกลับไม่พอใจนิด ไม่รู้ทำไม เมื่อการพูดคุยจบลงจึงเริ่มดำเนินตามแผน ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาด พวกเขาทั้งหมดออกมาถึงชายป่าจนได้ เจอพวกลูกหมานิดหน่อยแต่ไม่ใช่ปัญหา หลังจากนั้นทุกคนก็ใช้เวลาร่วมกันอีกไม่กี่วันก่อนจะมาถึงจุดที่ต้องแยกกัน เหมือนสมาชิกจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันต่อเพราะไม่มีเป้าหมายและไม่มีที่ไป คงจะไปตั้งหมู่บ้านที่ไหนสักแห่งแล้วอยู่กันเหมือนเดิมแต่คงไม่มีใครตีกันแล้ว คนที่กลับฮิลโบร่ามีแค่เอรินกับใครก็ไม่รู้อีกคน แต่เข้าอาสาจะแบกนางไปจนถึงเมือง หลังจากที่ทุกคนรำลากัน จึงได้เวลาออกเดินทาง คนที่มาด้วยมาส่งซอมบี้ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งพร้อมกับจ่ายเงินจ้างให้ชาวบ้านไปส่งนางที่เมืองหลวง แถมให้เงินเพื่อนไปมากพอที่จะตั้งตัวด้วย เงินทั้งหมดนั้นก็เงินที่ปล้นมาจากศพผู้คุมนั้นละ เมื่อบอกลากันแล้วทั้งหมดจึงไปตามทางของตนเอง

                ที่ผ่านมาน้องเอลฟ์ของเราเจอเรื่องยากลำบากมามากมาย แต่ที่ต้องเจอข้างหน้าเองก็คงไม่น้อยไปกว่ากัน ฮิลโบร่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นแหล่งอยู่อาศัยของเหล่าทวยเทพ ไม่ใช่ที่ที่ปีศาจสกปรกและโสมมอย่างนางจะมาอาศัยอยู่ ถ้าถูกจับรอบนี้คงรอดยาก มีคดีติดตัวตั้ง 3 คดีใหญ่ จงใจทำร้ายคนด้วยวิธีโหดเหี้ยมในที่สาธารณชน ทำลายเรือนจำและฆ่าผู้คุมจำนวนมากซึ่งเป็นทรัพย์สินของอาณาจักร และข้อสุดท้ายที่หนักกว่าข้ออื่น นั้นคือ นางเป็นปีศาจ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทางรอดของนางในเมืองนี้มีทางเดียวนั้นการหาพรรคพวกที่น่าจะ(?)เชื่อถือได้ หรือไม่อย่างน้อย ต่อรู้ว่านางเป็นตัวอะไรก็ไม่ไล่ฆ่านาง คนๆเดียวที่นางไม่อยากเขาใกล้ที่สุดตั้งแต่เด็ก คนๆเดียวที่น่ากลัว กล้าและบ้ามากพอที่ประกาศตัวออกไปว่าเป็นมารในขณะที่ตนเองกิน เล่นและหลับอยู่ใจกลางดินแดนของเหล่าศัตรู คนๆเดียวต้องให้ทุกคนรู้หรือเกลียดแค่ไหนก็ไม่กล้าลงมือ ใช่แล้วคนๆนั้น จักรพรรดิปีศาจ ผู้ซึ่งอยู่เหนือเหล่าจอมมารทั้งปวง การหาตัวเขานั้นไม่ยาก คนแบบนั้นและระดับนั้นเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว ถามใคร ใครก็ตอบได้ จะที่เดินไล่ถามมาปรากฏว่าตอนนี้เขาชอบไปนั่งเล่นที่ร้านเหล้าร้านหนึ่งเป็นพิเศษ คิดว่าถ้าไปดักรอที่นั้นก็คงได้เจอ

                ใช้เวลาเฝ้าวนเวียนอยู่แถวร้านนั้นเกือบสัปดาห์ในทีสุดเขาก็มา ท่าทางการเดินที่ดูกร่างจนมากเกินไปเหมือนจงใจ วิธีการพูดที่ดูโอ้อวดและชวนให้หงุดหงิดมากเกินไปจนดูเหมือนแกล้ง รวมทั้งมีการโชว์และใช้พลังข่มคนที่อยู่รอบๆบางเป็นครั้งคราวที่ดูเหมือนเป็นสูตรสำเร็จของพวกจอมมารนั้นก็ดี ชัดเลยว่าต้องคนนี้แน่ๆ เมื่อเจอแล้วจึงไม่รอช้า เดินตรงดิ่งเข้าไปหาเขาในทันทีแล้พุ่งขึ้นมาว่า

“เที่ยวไหมพี่” “มองหน้าหาเรื่องหรืออีหนู” ทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกัน

ช่างเป็นการพบกันครั้งแรกที่น่าประทับใจเสียจริง

 

 

---- จบตอนแรก (1/3) ---

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา