กากีบริสุทธิ์
-
เขียนโดย เพียงเรียงรัก
วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 11.59 น.
4 ตอน
1 วิจารณ์
5,753 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2563 15.25 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) บทที่ 1 (100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตามครรลองที่มันควรจะเป็น ดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสงโลมเลียไปทั่วหมู่บ้านและไร่นาใกล้เคียง อากาศอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ ขณะนั้นเอง มีรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่วิ่งตามถนนเปื้อนฝุ่นเข้ามาในหมู่บ้าน ทางตอนหลังของรถ ถูกออกแบบมาให้กลายเป็นที่สำหรับคนนั่ง โดยติดโครงหลังคาไว้กันแดด ทั้งสองฝั่งมีเบาะยาวราวกับรถสองแถวก็มิปาน
รถสองแถวคันนั้นควบกุเลงผ่านหน้าบ้านหลายหลังไปด้วยความเร็วไม่มากนัก กระทั่งไปจอดสนิทลงตรงลานกลางหมู่บ้าน ซึ่งมีไว้สำหรับให้คนในหมู่บ้านใช้ทำกิจกรรมต่างๆ หรือไว้พบปะพูดคุยกันในเวลาว่าง
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สี่คนกระโดดลงมาจากรถในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหนึ่งในสี่แยกตัวเดินออกไปเปิดประตูให้กับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งนั่งคู่มากับคนขับ ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่า หญิงวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานคนนี้ จะต้องเป็นเจ้านายของคนกลุ่มนี้แน่นอน
หญิงวัยกลางคนมีรูปร่างค่อนข้างท้วม ทว่าด้วยหน้าตาผิวพันขาวนวลตามแบบฉบับผู้ดีในเมืองกรุง ประกอบกับชุดที่ใส่ เครื่องประดับจำพวกสร้อยคอ ต่างหู กำไล รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ บนกายเธอ ทำให้คนมองเห็นว่าเธอเป็นสาวใหญ่ทรงเสน่ห์คนหนึ่ง
หญิงวัยกลางคนพูดคุยหารือกับบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งสี่อยู่ครู่ใหญ่ เหล่าบุรุษร่างใหญ่จึงแยกย้ายกันเดินออกไปตามเส้นทางสายเล็กสายน้อยในหมู่บ้าน ส่วนตัวเธอเอง เลือกที่จะย่างท้าวไปยืนอยู่บริเวณหน้าร้านขายของประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีหลังคาสังกะสียื่นออกมา พอให้หลบแดดได้บ้าง
เมื่อนางอ้อย หญิงวัยใกล้ชราผู้เป็นเจ้าของร้านมองเห็นหญิงผู้มาใหม่ก็จำได้ทันที รีบเดิมออกมาหา
“อ้าว แม่เลี้ยงพรรณีนี่เอง วันนี้เข้ามาเร็วดีนะจ๊ะ ฉันนึกว่าจะเข้ามาบ่ายแก่ๆ เสียอีกแน่ะ เข้ามานั่งกินน้ำกินท่าในร้านฉันก่อนไหมล่ะ”
“ไม่เป็นไรป้าอ้อย เดี๋ยวรอให้ลูกน้องเข้าไปประกาศตามซอยในหมู่บ้านกลับมา ฉันก็จะเดินไปคุยกับพวกที่อยากจะเข้าไปทำงานในเมืองแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงมา”
อีกด้านหนึ่ง เหล่าชายฉกรรจ์ที่ได้รับมอบหมายให้เที่ยวเดินป่าวประกาศไปตามหมู่บ้าน เรื่องที่ว่า หากลูกหลานใครอยากทำงาน ก็ให้พากันไปพูดคุยตกลงกันที่ลานกลางหมู่บ้าน ครั้นพอเดินมาถึงหน้าเรือนของครอบครัวบัวตอง ชายฉกรรจ์ก็ประกาศย้ำขึ้นอีก ทำให้ครอบครัวของเด็กสาวได้ยินกันอย่างชัดเจน
“ได้เวลาแล้วละผินเอ๊ย ข้าว่าเราพาลูกไปลานกลางหมู่บ้านกันเถอะ” คำปันที่นั่งเงียบมานานพลันถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยขึ้นกับผู้เป็นเมียตน
“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะไม่ถามเอ็งอีกแล้วบัวเอ๊ย ในเมื่อเอ็งจะไปจริงๆ ก็ลุกขึ้นเถอะลูก” นางผินพูดเสียงระโหยอยู่ในที พลางจับมือบุตรสาวลุกขึ้นจากแคร่ไม้
บัวตองพยายามเกร็งขาเอาไว้ไม่ให้สั่นเพราะความประหม่า ฝืนขยับท้าวตามแรงจูงของผู้เป็นมารดาไป นี่เธอถึงเวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้วหรือ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เด็กสาวก็อดทำใจไม่ได้ นี่เธอจะต้องไปเจออะไรต่อจากนี้กันหนอ บัวตองถามตัวเองในใจ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีคำตอบ
เมื่อถึงลานกลางหมู่บ้าน บิดาและมารดา ก็สั่งให้เธอยืนรออยู่ห่างๆ ก่อน ส่วนตัวคนทั้งสอง จะเข้าไปพูดคุยตกลงกับแม่เลี้ยงพรรณีเอง
พ่อและแม่จะพูดคุยกันอย่างไรนั้นบัวตองไม่ได้ยิน เด็กสาวเห็นเพียงแม่พูดอะไรกับหญิงวัยกลางคนแต่งตัวดีอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ชี้มือมาทางเธอ หญิงวัยกลางคน ซึ่งเด็กสาวคิดว่าคงเป็นแม่เลี้ยงพรรณีหันมองตาม บัวตองเห็นสายตาของแม่เลี้ยงจ้องมองเธอเหมือนจะประเมินอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เธอก็อธิบายไม่ถูก มันเหมือนคนพบกับสิ่งของมีค่าบางอย่าง ซึ่งบัวตองไม่ชอบใจกับสายตาแบบนี้เลย
แม่เลี้ยงพรรณีกวักมือเรียกมาทางเด็กสาว ทำให้เธอรีบเดินเข้าไปอย่างว่องไว
“ชื่ออะไรฮะเราน่ะ ดูสิ เด็กสาวบ้านป่าอะไร ผิวพันผ่องใสไร้ราคี บริสุทธิ์น่าหลงใหลเหลือเกิน รูปร่างก็ชั่งเล็กบอบบางหน้าทะนุถนอม มองผ่านๆ อย่างกับสาวๆ จากจีนแผ่นดินใหญ่เลย แบบนี้ฉันชอบนัก”
แม่เลี้ยงพรรณีจ้องมองบัวตองไม่วางตา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดีเหลือล้น มือลูบไปตามลำแขนเด็กสาว “ผิวก็นุ่มลื่นมือดีจริงๆ ” หญิงวัยกลางคนกล่าว
“ตกลงแม่เลี้ยงจะรับนางบัวไปทำงานหรือเปล่าจ๊ะ” นางผินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
“รับแน่นอน ฉันรับ ส่วนเรื่องเงินค่าแรง ฉันจ่ายให้ก่อนได้นะ สนใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงพรรณีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ดีว่าสำหรับชาวบ้านป่าแบบนี้ เงินคือปัจจัยสำคัญ มิฉะนั้นก็คงไม่พาเด็กสาวมาหาเธอเป็นแน่ เพราะแบบนั้น พรรณีจึงหว่านเหยื่อลงไป
“ได้เงินก่อนเหรอจ๊ะ” นางผินโพล่งถามอย่างคาดไม่ถึง เป็นแบบชาวบ้านว่าเอาไว้จริงๆ ว่าก่อนพาตัวคนไปทำงาน แม่เลี้ยงจะใจดีจ่ายเงินข้าแรงให้ก่อน แบบนี้เธอและสามีคงจะไม่ลำบากเท่าแต่ก่อนแน่แล้ว
“จริงสิ ฉันให้หมื่นหนึ่งเลย พอใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงพรรณีถามมาอีก พลางขยับมือล้วงหยิบเงินในกระเป๋าสะพายข้าง
“ฉันว่าแม่เลี้ยงใจดีแปลกๆ นะ คงไม่เอานางบัวไปต้มยำทำแกงที่ไหนใช่หรือเปล่า” คำปันถามขึ้นอย่างไม่ค่อยวางใจเท่าใดนัก
“คิดมาก ฉันจะเอาบัวไปต้มยำทำแกงอะไร ลูกสาวเธอน่ารักขนาดนี้ มีแต่ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีละสิไม่ว่า เชื่อฉันเถอะ ให้บัวไปอยู่กับฉันแล้วจะสบาย มีอยู่มีกินไม่อดตาย หากทำงานดีฉันก็เพิ่มเงินให้อีก ถึงเวลานั้น บัวก็ค่อยส่งเงินมาให้ทางบ้าน คนที่บ้านก็ไม่ต้องอดๆ อยากๆ แบบนี้ไม่ดีเหรอ”
คำปันนิ่งคิด ใครบ้างที่ต้องการให้ลูกอดอยากปากแห้ง หากบุตรสาวอยู่กับตน ก็คงหนีไม่พ้นต้องกินผักกินหญ้า แต่ถ้าเป็นอย่างที่แม่เลี้ยงพูดจริง ลูกสาวก็จะสบาย มีอยู่มีกิน อยากกินเนื้อก็คงจะได้กิน ไม่ต้องอดอยากอีก ส่วนตัวคำปันเอง ถ้าลูกสาวไม่ส่งเงินมาก็ไม่เป็นไร ทว่าหากบัวตองส่งเงินมาจริง ก็จะช่วยครอบครัวได้มาก
“ได้ แต่จ่ายก่อนจริงๆ นะ” คำปันตัดสินใจในที่สุด
เหมือนรออยู่แล้ว พรรณีหยิบธนบัตรออกมาปึกใหญ่ พลางส่งให้คำปันรับไปดู
คำปันตรวจดูธนบัตรฉบับแล้วฉบับเล่าด้วยมือสั่นๆ กับจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากสำหรับชาวบ้านป่า เมื่อตรวจดูจนพอใจจึงพูดกับแม่เลี้ยงพรรณี “ครบหนึ่งหมื่นบาทถ้วน ยังไงพานางบัวไปแล้ว ก็ช่วยดูมันให้ดีด้วย ไม่งั้นแล้ว ฉันจะไปเอาลูกฉันคืน”
หลังจากพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ แม่เลี้ยงพรรณีก็สั่งให้ครอบครัวล่ำลากันให้เรียบร้อย ส่วนตัวของแม่เลี้ยงเอง ยังต้องทำการพูดคุยอยู่กับอีกหลายครอบครัว ที่พาบุตรสาวเข้ามาฝากทำงาน
“บัวไปก่อนนะจ๊ะ พ่อกับแม่ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวบัวหาเงินได้มากๆ บัวจะรีบกลับมา” บัวตองเอ่ยลาบิดามารดาทั้งน้ำตาที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อถึงเวลารถใกล้ออก ขณะนี้ เด็กสาวนั่งอยู่บนรถกระบะที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นรถสองแถว บนรถยังมีเหล่าหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าอยู่อีกห้าหกคนนั่งไปด้วย
“เอ็งก็ด้วย ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าไม่ไหวก็กลับมาบ้านเรานะลูก จะยากจะจนยังไงก็บ้านเรา” นางผินร่ำไห้พลางโอบกอดบุตรสาวแนบอก
“โชคดีลูกเอ๊ย ถ้าใครทำอะไรเอ็งมาบอกพ่อได้ พ่อจะตามไปหามันถึงในเมืองเอง” คำปันพูดอยู่ด้านล่างของตัวรถ พลางยื่นมือผ่านลูกกรงด้านข้างตัวรถเข้ามาสัมผัสไหล่เด็กสาวอย่างอ่อนโยน
“รถจะออกแล้ว ใครที่ไม่ได้ไป ขอให้ลงไปจากรถได้แล้ว” ชายผิวเข้มร่างใหญ่ตะโกนขึ้น
นางผินขยับตัว “แม่ไปก่อนนะลูก แม่รักลูกเสมอนะ ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าลืมบ้านเรานะ” นางผินเอ่ยลาพร้อมกับกำชับลูกสาว
“จ้ะแม่” บัวตองกอดแม่แน่นๆ อีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้มารดาตนเดินลงไปจากรถ
ระหว่างรถกลางเก่ากลางใหม่เคลื่อนตัวออกจากที่ เด็กสาวก็ส่งยิ้มให้ครอบครัวตน รวมไปถึงคนในหมู่บ้านที่มายืนเพื่อคอยส่ง หญิงสาวมองภาพบิดาและมารดามองตามเธอมา จนกระทังภาพเหล่านั้นหายลับไปกับมุมถนน
ตั้งแต่บัวตองจากบ้านมา นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในตอนแรก เมื่อรถวิ่งเข้ามาถึงในเมือง แม่เลี้ยงพรรณีก็สั่งให้คนงานพาเธอกับสาวๆ คนอื่นๆ ไปพักอยู่ที่เรือนพักคนงาน ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมือง พักอยู่ที่นั่นได้แค่สองวัน คนของแม่เลี้ยง ก็พาเธอขึ้นรถไฟเข้ามาในเมืองบางกอก โดยให้เหตุผลว่า แม่เลี้ยงพรรณีมีกิจการอยู่หลายที่ ซึ่งที่ที่เด็กสาวจะต้องมาทำงาน อยู่ในตัวเมืองบางกอกนี่เอง
อ่านล่วงหน้าได้ที่
https://www.keangun.com/story/53
สามารถลงงานเขียน โปรโมทงานเขียน อ่านนิยายและงานเขียนหลากหลายประเภทได้ที่
https://www.keangun.com/
รถสองแถวคันนั้นควบกุเลงผ่านหน้าบ้านหลายหลังไปด้วยความเร็วไม่มากนัก กระทั่งไปจอดสนิทลงตรงลานกลางหมู่บ้าน ซึ่งมีไว้สำหรับให้คนในหมู่บ้านใช้ทำกิจกรรมต่างๆ หรือไว้พบปะพูดคุยกันในเวลาว่าง
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สี่คนกระโดดลงมาจากรถในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหนึ่งในสี่แยกตัวเดินออกไปเปิดประตูให้กับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งนั่งคู่มากับคนขับ ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่า หญิงวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานคนนี้ จะต้องเป็นเจ้านายของคนกลุ่มนี้แน่นอน
หญิงวัยกลางคนมีรูปร่างค่อนข้างท้วม ทว่าด้วยหน้าตาผิวพันขาวนวลตามแบบฉบับผู้ดีในเมืองกรุง ประกอบกับชุดที่ใส่ เครื่องประดับจำพวกสร้อยคอ ต่างหู กำไล รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ บนกายเธอ ทำให้คนมองเห็นว่าเธอเป็นสาวใหญ่ทรงเสน่ห์คนหนึ่ง
หญิงวัยกลางคนพูดคุยหารือกับบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งสี่อยู่ครู่ใหญ่ เหล่าบุรุษร่างใหญ่จึงแยกย้ายกันเดินออกไปตามเส้นทางสายเล็กสายน้อยในหมู่บ้าน ส่วนตัวเธอเอง เลือกที่จะย่างท้าวไปยืนอยู่บริเวณหน้าร้านขายของประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีหลังคาสังกะสียื่นออกมา พอให้หลบแดดได้บ้าง
เมื่อนางอ้อย หญิงวัยใกล้ชราผู้เป็นเจ้าของร้านมองเห็นหญิงผู้มาใหม่ก็จำได้ทันที รีบเดิมออกมาหา
“อ้าว แม่เลี้ยงพรรณีนี่เอง วันนี้เข้ามาเร็วดีนะจ๊ะ ฉันนึกว่าจะเข้ามาบ่ายแก่ๆ เสียอีกแน่ะ เข้ามานั่งกินน้ำกินท่าในร้านฉันก่อนไหมล่ะ”
“ไม่เป็นไรป้าอ้อย เดี๋ยวรอให้ลูกน้องเข้าไปประกาศตามซอยในหมู่บ้านกลับมา ฉันก็จะเดินไปคุยกับพวกที่อยากจะเข้าไปทำงานในเมืองแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงมา”
อีกด้านหนึ่ง เหล่าชายฉกรรจ์ที่ได้รับมอบหมายให้เที่ยวเดินป่าวประกาศไปตามหมู่บ้าน เรื่องที่ว่า หากลูกหลานใครอยากทำงาน ก็ให้พากันไปพูดคุยตกลงกันที่ลานกลางหมู่บ้าน ครั้นพอเดินมาถึงหน้าเรือนของครอบครัวบัวตอง ชายฉกรรจ์ก็ประกาศย้ำขึ้นอีก ทำให้ครอบครัวของเด็กสาวได้ยินกันอย่างชัดเจน
“ได้เวลาแล้วละผินเอ๊ย ข้าว่าเราพาลูกไปลานกลางหมู่บ้านกันเถอะ” คำปันที่นั่งเงียบมานานพลันถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยขึ้นกับผู้เป็นเมียตน
“ถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะไม่ถามเอ็งอีกแล้วบัวเอ๊ย ในเมื่อเอ็งจะไปจริงๆ ก็ลุกขึ้นเถอะลูก” นางผินพูดเสียงระโหยอยู่ในที พลางจับมือบุตรสาวลุกขึ้นจากแคร่ไม้
บัวตองพยายามเกร็งขาเอาไว้ไม่ให้สั่นเพราะความประหม่า ฝืนขยับท้าวตามแรงจูงของผู้เป็นมารดาไป นี่เธอถึงเวลาที่ต้องไปจากที่นี่แล้วหรือ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เด็กสาวก็อดทำใจไม่ได้ นี่เธอจะต้องไปเจออะไรต่อจากนี้กันหนอ บัวตองถามตัวเองในใจ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีคำตอบ
เมื่อถึงลานกลางหมู่บ้าน บิดาและมารดา ก็สั่งให้เธอยืนรออยู่ห่างๆ ก่อน ส่วนตัวคนทั้งสอง จะเข้าไปพูดคุยตกลงกับแม่เลี้ยงพรรณีเอง
พ่อและแม่จะพูดคุยกันอย่างไรนั้นบัวตองไม่ได้ยิน เด็กสาวเห็นเพียงแม่พูดอะไรกับหญิงวัยกลางคนแต่งตัวดีอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ชี้มือมาทางเธอ หญิงวัยกลางคน ซึ่งเด็กสาวคิดว่าคงเป็นแม่เลี้ยงพรรณีหันมองตาม บัวตองเห็นสายตาของแม่เลี้ยงจ้องมองเธอเหมือนจะประเมินอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เธอก็อธิบายไม่ถูก มันเหมือนคนพบกับสิ่งของมีค่าบางอย่าง ซึ่งบัวตองไม่ชอบใจกับสายตาแบบนี้เลย
แม่เลี้ยงพรรณีกวักมือเรียกมาทางเด็กสาว ทำให้เธอรีบเดินเข้าไปอย่างว่องไว
“ชื่ออะไรฮะเราน่ะ ดูสิ เด็กสาวบ้านป่าอะไร ผิวพันผ่องใสไร้ราคี บริสุทธิ์น่าหลงใหลเหลือเกิน รูปร่างก็ชั่งเล็กบอบบางหน้าทะนุถนอม มองผ่านๆ อย่างกับสาวๆ จากจีนแผ่นดินใหญ่เลย แบบนี้ฉันชอบนัก”
แม่เลี้ยงพรรณีจ้องมองบัวตองไม่วางตา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดีเหลือล้น มือลูบไปตามลำแขนเด็กสาว “ผิวก็นุ่มลื่นมือดีจริงๆ ” หญิงวัยกลางคนกล่าว
“ตกลงแม่เลี้ยงจะรับนางบัวไปทำงานหรือเปล่าจ๊ะ” นางผินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
“รับแน่นอน ฉันรับ ส่วนเรื่องเงินค่าแรง ฉันจ่ายให้ก่อนได้นะ สนใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงพรรณีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ดีว่าสำหรับชาวบ้านป่าแบบนี้ เงินคือปัจจัยสำคัญ มิฉะนั้นก็คงไม่พาเด็กสาวมาหาเธอเป็นแน่ เพราะแบบนั้น พรรณีจึงหว่านเหยื่อลงไป
“ได้เงินก่อนเหรอจ๊ะ” นางผินโพล่งถามอย่างคาดไม่ถึง เป็นแบบชาวบ้านว่าเอาไว้จริงๆ ว่าก่อนพาตัวคนไปทำงาน แม่เลี้ยงจะใจดีจ่ายเงินข้าแรงให้ก่อน แบบนี้เธอและสามีคงจะไม่ลำบากเท่าแต่ก่อนแน่แล้ว
“จริงสิ ฉันให้หมื่นหนึ่งเลย พอใจหรือเปล่า” แม่เลี้ยงพรรณีถามมาอีก พลางขยับมือล้วงหยิบเงินในกระเป๋าสะพายข้าง
“ฉันว่าแม่เลี้ยงใจดีแปลกๆ นะ คงไม่เอานางบัวไปต้มยำทำแกงที่ไหนใช่หรือเปล่า” คำปันถามขึ้นอย่างไม่ค่อยวางใจเท่าใดนัก
“คิดมาก ฉันจะเอาบัวไปต้มยำทำแกงอะไร ลูกสาวเธอน่ารักขนาดนี้ มีแต่ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีละสิไม่ว่า เชื่อฉันเถอะ ให้บัวไปอยู่กับฉันแล้วจะสบาย มีอยู่มีกินไม่อดตาย หากทำงานดีฉันก็เพิ่มเงินให้อีก ถึงเวลานั้น บัวก็ค่อยส่งเงินมาให้ทางบ้าน คนที่บ้านก็ไม่ต้องอดๆ อยากๆ แบบนี้ไม่ดีเหรอ”
คำปันนิ่งคิด ใครบ้างที่ต้องการให้ลูกอดอยากปากแห้ง หากบุตรสาวอยู่กับตน ก็คงหนีไม่พ้นต้องกินผักกินหญ้า แต่ถ้าเป็นอย่างที่แม่เลี้ยงพูดจริง ลูกสาวก็จะสบาย มีอยู่มีกิน อยากกินเนื้อก็คงจะได้กิน ไม่ต้องอดอยากอีก ส่วนตัวคำปันเอง ถ้าลูกสาวไม่ส่งเงินมาก็ไม่เป็นไร ทว่าหากบัวตองส่งเงินมาจริง ก็จะช่วยครอบครัวได้มาก
“ได้ แต่จ่ายก่อนจริงๆ นะ” คำปันตัดสินใจในที่สุด
เหมือนรออยู่แล้ว พรรณีหยิบธนบัตรออกมาปึกใหญ่ พลางส่งให้คำปันรับไปดู
คำปันตรวจดูธนบัตรฉบับแล้วฉบับเล่าด้วยมือสั่นๆ กับจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากสำหรับชาวบ้านป่า เมื่อตรวจดูจนพอใจจึงพูดกับแม่เลี้ยงพรรณี “ครบหนึ่งหมื่นบาทถ้วน ยังไงพานางบัวไปแล้ว ก็ช่วยดูมันให้ดีด้วย ไม่งั้นแล้ว ฉันจะไปเอาลูกฉันคืน”
หลังจากพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่ แม่เลี้ยงพรรณีก็สั่งให้ครอบครัวล่ำลากันให้เรียบร้อย ส่วนตัวของแม่เลี้ยงเอง ยังต้องทำการพูดคุยอยู่กับอีกหลายครอบครัว ที่พาบุตรสาวเข้ามาฝากทำงาน
“บัวไปก่อนนะจ๊ะ พ่อกับแม่ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวบัวหาเงินได้มากๆ บัวจะรีบกลับมา” บัวตองเอ่ยลาบิดามารดาทั้งน้ำตาที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อถึงเวลารถใกล้ออก ขณะนี้ เด็กสาวนั่งอยู่บนรถกระบะที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นรถสองแถว บนรถยังมีเหล่าหญิงสาวที่เธอคุ้นหน้าอยู่อีกห้าหกคนนั่งไปด้วย
“เอ็งก็ด้วย ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าไม่ไหวก็กลับมาบ้านเรานะลูก จะยากจะจนยังไงก็บ้านเรา” นางผินร่ำไห้พลางโอบกอดบุตรสาวแนบอก
“โชคดีลูกเอ๊ย ถ้าใครทำอะไรเอ็งมาบอกพ่อได้ พ่อจะตามไปหามันถึงในเมืองเอง” คำปันพูดอยู่ด้านล่างของตัวรถ พลางยื่นมือผ่านลูกกรงด้านข้างตัวรถเข้ามาสัมผัสไหล่เด็กสาวอย่างอ่อนโยน
“รถจะออกแล้ว ใครที่ไม่ได้ไป ขอให้ลงไปจากรถได้แล้ว” ชายผิวเข้มร่างใหญ่ตะโกนขึ้น
นางผินขยับตัว “แม่ไปก่อนนะลูก แม่รักลูกเสมอนะ ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าลืมบ้านเรานะ” นางผินเอ่ยลาพร้อมกับกำชับลูกสาว
“จ้ะแม่” บัวตองกอดแม่แน่นๆ อีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้มารดาตนเดินลงไปจากรถ
ระหว่างรถกลางเก่ากลางใหม่เคลื่อนตัวออกจากที่ เด็กสาวก็ส่งยิ้มให้ครอบครัวตน รวมไปถึงคนในหมู่บ้านที่มายืนเพื่อคอยส่ง หญิงสาวมองภาพบิดาและมารดามองตามเธอมา จนกระทังภาพเหล่านั้นหายลับไปกับมุมถนน
ตั้งแต่บัวตองจากบ้านมา นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ในตอนแรก เมื่อรถวิ่งเข้ามาถึงในเมือง แม่เลี้ยงพรรณีก็สั่งให้คนงานพาเธอกับสาวๆ คนอื่นๆ ไปพักอยู่ที่เรือนพักคนงาน ซึ่งตั้งอยู่แถบชานเมือง พักอยู่ที่นั่นได้แค่สองวัน คนของแม่เลี้ยง ก็พาเธอขึ้นรถไฟเข้ามาในเมืองบางกอก โดยให้เหตุผลว่า แม่เลี้ยงพรรณีมีกิจการอยู่หลายที่ ซึ่งที่ที่เด็กสาวจะต้องมาทำงาน อยู่ในตัวเมืองบางกอกนี่เอง
อ่านล่วงหน้าได้ที่
https://www.keangun.com/story/53
สามารถลงงานเขียน โปรโมทงานเขียน อ่านนิยายและงานเขียนหลากหลายประเภทได้ที่
https://www.keangun.com/
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ