กากีบริสุทธิ์
-
เขียนโดย เพียงเรียงรัก
วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 11.59 น.
4 ตอน
1 วิจารณ์
5,752 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2563 15.25 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) บทที่ 1 (50%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑
“พรุ่งนี้ แม่เลี้ยงพรรณีก็จะมาแล้วนะลูก” นางผินเอ่ยบอกกับลูกสาวตน ด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าที่ปิดไม่มิด “ว่าแต่เอ็งจะอยู่ในเมืองได้แน่หรือ เอ็งเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ ถ้าเราอดให้มากๆ หน่อย ก็น่าจะพออยู่ได้ ส่วนเรื่องที่แม่บอกเอ็งว่า หากเอ็งไปทำงานในเมืองได้ ครอบครัวเราก็อาจจะดีขึ้น อันนั้น แม่แค่หลุดปากพูดไป เอ็งไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังหรอก”
“บัวคิดดีแล้วจ้ะแม่ คนอื่นๆ ก็ไปกันตั้งเยอะ ดูอย่างบ้านลุงทองสิ แค่พี่เอี้ยงลูกสาวแกไปไม่กี่เดือน แกถึงกลับมีเงินมีทองมาซื้อข้าวซื้อปลากินกัน บัวก็อยากให้เราเป็นแบบนั้นบ้าง เพื่อพ่อแม่ บัวคิดว่าอยู่ได้จ้ะ”
เมื่อทัดทานการตัดสินใจของบุตรสาวไม่ได้ นางผินก็ทำได้แต่ถอนหายใจ “ดีแล้วละลูก” มารดาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่ ทั้งที่ในอกรู้สึกสะท้าน...จะมีพ่อแม่สักกี่คน ที่อยากจะให้ผู้เป็นลูก ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น หากด้วยฐานะทางครอบครัวอัตคัดขัดสนความจนบีบบังคับ สิ่งที่ทำได้ ก็คงมีเพียงให้บุตรสาวไปหาเงินจากในเมืองเท่านั้น เพียงแค่ในหมู่บ้านนี้ งานที่ทำแล้วพอมีอยู่มีกิน ชั่งหาได้ยากนัก
ผู้เป็นบิดาถอนหายใจ “นี่ก็ดึกแล้ว เอ็งไปนอนเสียเถอะบัวเอ๊ย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้ามาจัดเตรียมเสื้อผ้า เพื่อเดินทางไปในเมืองอีก”
“จ้ะพ่อ งั้นบัวไปนอนก่อนนะจ๊ะ” เด็กสาวพูดพลางลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนอย่างว่าง่าย
เมื่อบัวตองเดินเข้ามาในห้อง เด็กสาวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณหน้าต่าง สายตาทอดมองออกไปท่ามกลางความมืดข้างนอกตัวบ้าน ท้องฟ้าในคืนนี้ชั่งดูมืดมนยิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเธอในยามนี้ สำหรับเด็กสาวบ้านป่าอย่างเธอ ไม่มีอะไรจะน่ากังวลไปกว่าการที่เธอจะต้องไปทำงานภายในเมืองอีกแล้ว เช่นนี้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทำเช่นไร…จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ในที่ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีแม้กระทั่งคนรู้จักเลยสักคน นายหน้า ที่จะมาพาเธอไปทำงาน ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่า แล้วหากนายหน้า ที่พาไปเป็นคนไม่ดี เด็กสาวควรจะทำอย่างไร ความคิดเหล่านี้สับสนปนเปกันไปหมด
ไม่รู้ว่าบัวตองยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนานแค่ไหน เธอถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเมื่อเด็กสาวตระหนักได้ว่าหากเธอทำแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เธอจึงฝืนเก็บความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวนไว้ในส่วนลึก ก่อนจะบังคับเรือนร่างอันระโหยโรยแรงเดินมาล้มตัวนอนลงบนเสื่อบางๆ ซึ่งถูกปูไว้กับพื้นไม้
“เพื่อครอบครัว เราจะต้องทำได้” เด็กสาวพูดกับตนเองด้วยเสียงแผ่ว ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาต่อมา
เสียงคนพูดคุยระคนกับเสียงไก่ สุนัข และวัวควาย ที่บรรดาคนในหมู่บ้านเลี้ยงเอาไว้ ดังเซ็งแซ่แทรกอากาศเย็นจัดในเวลาเช้าตรู่ ปลุกให้สาวน้อยร่างอ้อนแอ้นบอบบางค่อยๆ รู้สึกตัวอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เด็กสาวทำเมื่อตื่นขึ้นมา คือขดตัวด้วยความหนาวจับจิต เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน เงินซื้อผ้าห่มดีๆ เลยไม่มี มี เพียงผ้าผืนบางๆ ที่เธอใช้ห่ม มีหรือจะกันอากาศหนาวจัดในทางตอนเหนือของประเทศไทยในยามนี้ได้
บัวตองรอให้ร่างกายปรับสภาพอยู่อีกพักใหญ่ จึงได้ใช้มือผลักร่างลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ เด็กสาวสางผมที่ปลกใบหน้าได้รูปไปทัดไว้ตรงใบหู เมื่อเธอมองลอดหน้าต่างออกไป จึงได้พบว่า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัวให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้บ้างแล้ว
เสียงผู้เป็นมารดาเรียกชื่อเธอดังแว่วมาจากบริเวณใต้ถุนบ้าน ทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะขานตอบออกไป เพื่อให้รู้ว่ายามนี้เธอตื่นแล้ว
“รีบเก็บเสื้อผ้าอาบน้ำได้แล้ว จะได้มากินข้าวกัน ” นางผินตะโกนกำชับมา
“จ้ะแม่” บัวตองรีบตอบ ก่อนจะเร่งมือเก็บเสื้อผ้าสองสามตัว โดยเธอพยายามเลือกเอาตัวที่เธอคิดว่าใหม่และสวยที่สุดเข้ากระเป๋าไป หากเธอดูดีน่ามอง ไม่แน่แม่เลี้ยงพรรณี ผู้ที่มักจะหางานเข้ามาให้กับชาวบ้านแถบนี้เสมอ อาจจะถูกใจเธอ แล้วเลือกเธอให้เข้าไปทำงานในเมืองก็ได้ เด็กสาวคิดเช่นนั้น
ร่างเล็กบอบบางเดินลงมาตามบันไดไม้หยาบอย่างไม่เร็วไม่ช้า ถึงแม้ในยามนี้ตัวเด็กสาวจะอยู่ในชุดกันหนาวตามแบบฉบับชาวบ้านธรรมดา ซึ่งแต่งตามแบบชนเผ่าทางภาคเหนือทั่วไป แต่ด้วยดวงหน้าจิ้มลิ้ม ประกอบกับผิวขาวเนียนตามแบบฉบับสาวเหนือ จึงส่งให้เด็กสาวดูน่ารักสมวัยตามประสาวัยแรกแย้ม
เสียงน้ำค้างตกกระทบใบไม้ดังเปาะแปะดังมาเป็นระยะ หมอกยามเช้าเริ่มจางลงเป็นลำดับ บัวตองกวาดตามองหาบุพการีทั้งสองไปรอบๆ เมื่อพบว่าบิดาและมารดานั่งคอยเธออยู่ตรงแค่ไม้ไผ่ใต้ถุนเรือน เด็กสาวจึงเร่งฝีท้าวเข้าไปหา
“มาลูก มากินข้าวกัน” นางผินเอ่ยชวนผู้เป็นบุตรสาว พลางชี้มือให้นั่งลงข้างข้างตน ซึ่งยังว่างอยู่
เมื่อเด็กสาวนั่งลงตามคำชวน ครอบครัว พ่อแม่ลูก จึงเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ด้วยความจน ส่วนใหญ่อาหารที่มี จึงเป็นประเภทผัก ในจานของแต่ละคน มีข้าวสวยร้อนๆ อยู่ไม่มากนัก
“พ่อจะถามเอ็งอีกครั้ง เอ็งจะไปจริงๆ หรือบัว” คำปันเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้น
เด็กสาวกลืนข้าวลงคออย่างยากลำบาก ใครเล่าจะอยากไปจากที่ที่ตนเคยอยู่ ทว่าด้วยอยากให้พ่อแม่สุขสบาย บัวตองจึงพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติที่สุด แล้วตอบออกไป
“บัวไม่เปลี่ยนใจจ้ะพ่อ ให้บัวไปเถอะนะจ๊ะ”
คำตอบของบุตรสาว ทำให้คำปันและนางผินถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน ความรู้สึกภายในของสองผัวเมียวัยกลางคนตีกันยุ่งไปหมด ใจหนึ่งก็อยากให้ลูกสาวไป ครอบครัวจะได้พอมีอยู่มีกินขึ้นกว่านี้บ้าง หากอีกใจหนึ่ง ก็เป็นห่วงบัวตองมันนัก ลูกตนเลี้ยงเติบใหญ่จนจะกลายเป็นสาวอยู่แล้ว มาวันนี้ จะต้องส่งไปอยู่กับใครก็ไม่รู้
เดิมทีสองผัวเมียยังไม่มีความคิดจะส่งบุตรสาวให้ไปทำงานในเมืองแม้แต่น้อย ทว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ไอ้ทองซึ่งเป็นคนรู้จักในหมู่บ้านได้มาเล่าให้ฟังว่า มีแม่เลี้ยงคนหนึ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหาเด็กไปทำงานภายในเมือง ด้วยช่วงนั้นตนขาดเงิน จึงได้ให้เอี้ยง ผู้เป็นบุตรสาวลองไปทำดู เมื่อผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ ผลปรากฏว่า มีเงินส่งมาถึงบ้านเป็นจำนวนไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ยังมีจดหมายจากแม่เลี้ยง ที่รู้ชื่อภายหลังว่าพรรณีแนบติดมาด้วย บอกว่าคนกำลังขาด หากมีใครต้องการหางาน โดยเฉพาะเด็กสาว ก็ให้รีบเตรียมตัวเอาไว้ เพราะตนกำลังจะแวะเข้าไปที่หมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงท้าย ได้ระบุวันและเวลาเอาไว้ด้วย
เพราะเหตุนี้ ไอ้ทองจึงได้เริ่มชักชวนคนในหมู่บ้านทีละคนสองคน จนในท้ายที่สุดก็มาถึงบ้านสองผัวเมียจนได้ แรกเริ่มเดิมที นางผินกับคำปันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรให้แน่นอนนัก ด้วยเพราะความห่วงอาลัยในตัวบุตรสาว ทว่าเมื่อเที่ยงวานนี้ นางผินกลับเผลอหลุดปากบอกเรื่องนี้ให้ผู้เป็นลูกฟัง เมื่อบัวตองได้รู้ข่าว จึงตัดสินใจออกมาเป็นแบบนี้
วงอาหารตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน กระทั่งคำปันถอนหายใจออกมาอีกรอบด้วยความหนักหน่วงในใจ สีหน้าแสดงออกถึงการตัดสินใจบางอย่าง
“เอาเถอะ พ่อจะให้เอ็งไป แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาบ้านเรานะลูก” ชายวัยกลางคนพูด พลางเก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ในส่วนลึก โดยระวังเพื่อไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
เมื่อเห็นคู่ชีวิตตนตัดสินใจเช่นนี้ นางผินก็ทำได้เพียงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “ถ้าพ่อให้เอ็งไป แม่ก็ไม่มีปัญหา แล้วนี่เก็บเสื้อผ้าหรือยัง เดี๋ยวสายๆ แม่เลี้ยงก็จะมาแล้วนะ”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะแม่” เด็กสาวตอบหน้านิ่ง ทั้งที่ในอกเริ่มเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นด้วยความตื่นเต้น ระคนไปกับความรู้สึกกลัว กังวล และอื่นๆ อีกมากมาย
สามารถลงงานเขียน โปรโมทงานเขียน อ่านนิยาย และงานเขียนหลากหลายประเภทได้ที่
https://www.keangun.com/
“พรุ่งนี้ แม่เลี้ยงพรรณีก็จะมาแล้วนะลูก” นางผินเอ่ยบอกกับลูกสาวตน ด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าที่ปิดไม่มิด “ว่าแต่เอ็งจะอยู่ในเมืองได้แน่หรือ เอ็งเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ ถ้าเราอดให้มากๆ หน่อย ก็น่าจะพออยู่ได้ ส่วนเรื่องที่แม่บอกเอ็งว่า หากเอ็งไปทำงานในเมืองได้ ครอบครัวเราก็อาจจะดีขึ้น อันนั้น แม่แค่หลุดปากพูดไป เอ็งไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังหรอก”
“บัวคิดดีแล้วจ้ะแม่ คนอื่นๆ ก็ไปกันตั้งเยอะ ดูอย่างบ้านลุงทองสิ แค่พี่เอี้ยงลูกสาวแกไปไม่กี่เดือน แกถึงกลับมีเงินมีทองมาซื้อข้าวซื้อปลากินกัน บัวก็อยากให้เราเป็นแบบนั้นบ้าง เพื่อพ่อแม่ บัวคิดว่าอยู่ได้จ้ะ”
เมื่อทัดทานการตัดสินใจของบุตรสาวไม่ได้ นางผินก็ทำได้แต่ถอนหายใจ “ดีแล้วละลูก” มารดาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่ ทั้งที่ในอกรู้สึกสะท้าน...จะมีพ่อแม่สักกี่คน ที่อยากจะให้ผู้เป็นลูก ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น หากด้วยฐานะทางครอบครัวอัตคัดขัดสนความจนบีบบังคับ สิ่งที่ทำได้ ก็คงมีเพียงให้บุตรสาวไปหาเงินจากในเมืองเท่านั้น เพียงแค่ในหมู่บ้านนี้ งานที่ทำแล้วพอมีอยู่มีกิน ชั่งหาได้ยากนัก
ผู้เป็นบิดาถอนหายใจ “นี่ก็ดึกแล้ว เอ็งไปนอนเสียเถอะบัวเอ๊ย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้ามาจัดเตรียมเสื้อผ้า เพื่อเดินทางไปในเมืองอีก”
“จ้ะพ่อ งั้นบัวไปนอนก่อนนะจ๊ะ” เด็กสาวพูดพลางลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนอย่างว่าง่าย
เมื่อบัวตองเดินเข้ามาในห้อง เด็กสาวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณหน้าต่าง สายตาทอดมองออกไปท่ามกลางความมืดข้างนอกตัวบ้าน ท้องฟ้าในคืนนี้ชั่งดูมืดมนยิ่งนัก ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเธอในยามนี้ สำหรับเด็กสาวบ้านป่าอย่างเธอ ไม่มีอะไรจะน่ากังวลไปกว่าการที่เธอจะต้องไปทำงานภายในเมืองอีกแล้ว เช่นนี้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทำเช่นไร…จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ในที่ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีแม้กระทั่งคนรู้จักเลยสักคน นายหน้า ที่จะมาพาเธอไปทำงาน ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่า แล้วหากนายหน้า ที่พาไปเป็นคนไม่ดี เด็กสาวควรจะทำอย่างไร ความคิดเหล่านี้สับสนปนเปกันไปหมด
ไม่รู้ว่าบัวตองยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนานแค่ไหน เธอถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเมื่อเด็กสาวตระหนักได้ว่าหากเธอทำแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เธอจึงฝืนเก็บความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวนไว้ในส่วนลึก ก่อนจะบังคับเรือนร่างอันระโหยโรยแรงเดินมาล้มตัวนอนลงบนเสื่อบางๆ ซึ่งถูกปูไว้กับพื้นไม้
“เพื่อครอบครัว เราจะต้องทำได้” เด็กสาวพูดกับตนเองด้วยเสียงแผ่ว ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาต่อมา
เสียงคนพูดคุยระคนกับเสียงไก่ สุนัข และวัวควาย ที่บรรดาคนในหมู่บ้านเลี้ยงเอาไว้ ดังเซ็งแซ่แทรกอากาศเย็นจัดในเวลาเช้าตรู่ ปลุกให้สาวน้อยร่างอ้อนแอ้นบอบบางค่อยๆ รู้สึกตัวอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เด็กสาวทำเมื่อตื่นขึ้นมา คือขดตัวด้วยความหนาวจับจิต เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน เงินซื้อผ้าห่มดีๆ เลยไม่มี มี เพียงผ้าผืนบางๆ ที่เธอใช้ห่ม มีหรือจะกันอากาศหนาวจัดในทางตอนเหนือของประเทศไทยในยามนี้ได้
บัวตองรอให้ร่างกายปรับสภาพอยู่อีกพักใหญ่ จึงได้ใช้มือผลักร่างลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ เด็กสาวสางผมที่ปลกใบหน้าได้รูปไปทัดไว้ตรงใบหู เมื่อเธอมองลอดหน้าต่างออกไป จึงได้พบว่า ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัวให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้บ้างแล้ว
เสียงผู้เป็นมารดาเรียกชื่อเธอดังแว่วมาจากบริเวณใต้ถุนบ้าน ทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะขานตอบออกไป เพื่อให้รู้ว่ายามนี้เธอตื่นแล้ว
“รีบเก็บเสื้อผ้าอาบน้ำได้แล้ว จะได้มากินข้าวกัน ” นางผินตะโกนกำชับมา
“จ้ะแม่” บัวตองรีบตอบ ก่อนจะเร่งมือเก็บเสื้อผ้าสองสามตัว โดยเธอพยายามเลือกเอาตัวที่เธอคิดว่าใหม่และสวยที่สุดเข้ากระเป๋าไป หากเธอดูดีน่ามอง ไม่แน่แม่เลี้ยงพรรณี ผู้ที่มักจะหางานเข้ามาให้กับชาวบ้านแถบนี้เสมอ อาจจะถูกใจเธอ แล้วเลือกเธอให้เข้าไปทำงานในเมืองก็ได้ เด็กสาวคิดเช่นนั้น
ร่างเล็กบอบบางเดินลงมาตามบันไดไม้หยาบอย่างไม่เร็วไม่ช้า ถึงแม้ในยามนี้ตัวเด็กสาวจะอยู่ในชุดกันหนาวตามแบบฉบับชาวบ้านธรรมดา ซึ่งแต่งตามแบบชนเผ่าทางภาคเหนือทั่วไป แต่ด้วยดวงหน้าจิ้มลิ้ม ประกอบกับผิวขาวเนียนตามแบบฉบับสาวเหนือ จึงส่งให้เด็กสาวดูน่ารักสมวัยตามประสาวัยแรกแย้ม
เสียงน้ำค้างตกกระทบใบไม้ดังเปาะแปะดังมาเป็นระยะ หมอกยามเช้าเริ่มจางลงเป็นลำดับ บัวตองกวาดตามองหาบุพการีทั้งสองไปรอบๆ เมื่อพบว่าบิดาและมารดานั่งคอยเธออยู่ตรงแค่ไม้ไผ่ใต้ถุนเรือน เด็กสาวจึงเร่งฝีท้าวเข้าไปหา
“มาลูก มากินข้าวกัน” นางผินเอ่ยชวนผู้เป็นบุตรสาว พลางชี้มือให้นั่งลงข้างข้างตน ซึ่งยังว่างอยู่
เมื่อเด็กสาวนั่งลงตามคำชวน ครอบครัว พ่อแม่ลูก จึงเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ด้วยความจน ส่วนใหญ่อาหารที่มี จึงเป็นประเภทผัก ในจานของแต่ละคน มีข้าวสวยร้อนๆ อยู่ไม่มากนัก
“พ่อจะถามเอ็งอีกครั้ง เอ็งจะไปจริงๆ หรือบัว” คำปันเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้น
เด็กสาวกลืนข้าวลงคออย่างยากลำบาก ใครเล่าจะอยากไปจากที่ที่ตนเคยอยู่ ทว่าด้วยอยากให้พ่อแม่สุขสบาย บัวตองจึงพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติที่สุด แล้วตอบออกไป
“บัวไม่เปลี่ยนใจจ้ะพ่อ ให้บัวไปเถอะนะจ๊ะ”
คำตอบของบุตรสาว ทำให้คำปันและนางผินถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน ความรู้สึกภายในของสองผัวเมียวัยกลางคนตีกันยุ่งไปหมด ใจหนึ่งก็อยากให้ลูกสาวไป ครอบครัวจะได้พอมีอยู่มีกินขึ้นกว่านี้บ้าง หากอีกใจหนึ่ง ก็เป็นห่วงบัวตองมันนัก ลูกตนเลี้ยงเติบใหญ่จนจะกลายเป็นสาวอยู่แล้ว มาวันนี้ จะต้องส่งไปอยู่กับใครก็ไม่รู้
เดิมทีสองผัวเมียยังไม่มีความคิดจะส่งบุตรสาวให้ไปทำงานในเมืองแม้แต่น้อย ทว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ไอ้ทองซึ่งเป็นคนรู้จักในหมู่บ้านได้มาเล่าให้ฟังว่า มีแม่เลี้ยงคนหนึ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อหาเด็กไปทำงานภายในเมือง ด้วยช่วงนั้นตนขาดเงิน จึงได้ให้เอี้ยง ผู้เป็นบุตรสาวลองไปทำดู เมื่อผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ ผลปรากฏว่า มีเงินส่งมาถึงบ้านเป็นจำนวนไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ยังมีจดหมายจากแม่เลี้ยง ที่รู้ชื่อภายหลังว่าพรรณีแนบติดมาด้วย บอกว่าคนกำลังขาด หากมีใครต้องการหางาน โดยเฉพาะเด็กสาว ก็ให้รีบเตรียมตัวเอาไว้ เพราะตนกำลังจะแวะเข้าไปที่หมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง โดยในช่วงท้าย ได้ระบุวันและเวลาเอาไว้ด้วย
เพราะเหตุนี้ ไอ้ทองจึงได้เริ่มชักชวนคนในหมู่บ้านทีละคนสองคน จนในท้ายที่สุดก็มาถึงบ้านสองผัวเมียจนได้ แรกเริ่มเดิมที นางผินกับคำปันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรให้แน่นอนนัก ด้วยเพราะความห่วงอาลัยในตัวบุตรสาว ทว่าเมื่อเที่ยงวานนี้ นางผินกลับเผลอหลุดปากบอกเรื่องนี้ให้ผู้เป็นลูกฟัง เมื่อบัวตองได้รู้ข่าว จึงตัดสินใจออกมาเป็นแบบนี้
วงอาหารตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน กระทั่งคำปันถอนหายใจออกมาอีกรอบด้วยความหนักหน่วงในใจ สีหน้าแสดงออกถึงการตัดสินใจบางอย่าง
“เอาเถอะ พ่อจะให้เอ็งไป แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาบ้านเรานะลูก” ชายวัยกลางคนพูด พลางเก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ในส่วนลึก โดยระวังเพื่อไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
เมื่อเห็นคู่ชีวิตตนตัดสินใจเช่นนี้ นางผินก็ทำได้เพียงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “ถ้าพ่อให้เอ็งไป แม่ก็ไม่มีปัญหา แล้วนี่เก็บเสื้อผ้าหรือยัง เดี๋ยวสายๆ แม่เลี้ยงก็จะมาแล้วนะ”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะแม่” เด็กสาวตอบหน้านิ่ง ทั้งที่ในอกเริ่มเต้นเป็นจังหวะถี่ขึ้นด้วยความตื่นเต้น ระคนไปกับความรู้สึกกลัว กังวล และอื่นๆ อีกมากมาย
สามารถลงงานเขียน โปรโมทงานเขียน อ่านนิยาย และงานเขียนหลากหลายประเภทได้ที่
https://www.keangun.com/
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ