คีสการ์ kiisaka
-
เขียนโดย gilos
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 22.33 น.
1 ตอน
0 วิจารณ์
3,251 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 20.16 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) คีสการ์ kiisaka
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"ราชาวาตีกะเจ้าปรารถนาสิ่งใด"
ชายเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ ณ หน้าผา ด้านหลังของเขามีแต่ศพของคนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อพรวิเศษจากเทพีสุริยันมันเป็นพรวิเศษที่ขออะไรก็ได้จะเป็นสิ่งใดก็ได้ทุกสิ่งอย่างที่สามารถพูดออกมาจากปาก กฎของการแข่งขันก็คือการอยู่เป็นคนสุดท้ายโดยที่การแข่งขันจะกินเวลากว่า2เดือนเต็มๆโดยไม่ได้หยุดพักแล้วชายหนุ่มคนที่ชนะนั้นคือราชาวาตีกะแห่งแคว้นมะรกคี
"ข้าต้องการบุตรของข้าที่ได้มาจากท่าน"
คำขอที่น่าตกใจออกมาจากปากของราชาวัยเยาว์ที่สามารถเอาชนะการการแข่งขันได้และด้วยคำขอของราชาแห่งมะรกคีอยู่ในกฏของสิ่งที่ขอได้เทพีแห่งสุริยันจึงได้หลับนอนกับราชาแห่งมะรกคีเพื่อทีจะได้บุตรมา พอรุ่งเช้าเทพีบอกกับราชาแห่งมะรกคีว่าในอีก8วันให้มารับบุตรโดยมีเงื่อนไขว่าต้องมาด้วยตนเองและถ้าหากบุตรคนนั้นเป็นบุตรชายให้นำไปล้างตัวที่แม่น้ำแล้วห่อตัวด้วยผ้าสีแดงแต่ถ้าเป็นบุตรหญิงให้เช็ดตัวแล้วห่อตัวด้วยผ้าสีเขียว ราชาแห่งมะรกคีรับปากแล้วกลับไปยังเมือง ผ่านไป7วันราชาแห่งมะรกคีได้รับบาดเจ็บจากการรบกับแคว้นใกล้เคียงเป็นผลทำให้ราชาแห่งมะรกคีต้องพักรักษาตัวเป็นวาลานาน พอถึงวันที่8ราชาแห่งมะรกคีส่งคนไปแต่กลับไม่เจออะไรนั้นเป็นเพราะไม่ตรงกับเงื่อนไขที่เทพีบอกเอาไว้แล้วราชาแห่งมะรกคีก็ยังส่งคนไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบนั่นทำให้ราชาแห่งมะรกคีเสียใจอย่างมากจนเขาทำอะไรไม่ได้เป็นเวลาหลายเดือนและต่อมาราชาแห่งมะรกคีก็พบรักกับเจ้าหญิงของแคว้นพันธมิตร ส่วนบุตรที่ได้มาจากเทพีแห่งสุริยันนั้นเป็นบุตรชายผิวสีขาวเผือกถูกห่อตัวด้วยผ้าสีแดงแล้วคนที่มาเก็บคือคู่ตายายนักพยากรณ์ชื่อว่า อังรี และ เมนยุ ที่บังเอิญเห็นตะกร้าของทารกคนนี้ไหลมาตามน้ำจึงได้เก็บเอามาเลี้ยงดูแล้วด้วยความที่เป็นนักพยากรณ์เมนยุผู้เป็นยายได้เห็นถึงอนาคตอันเจ็บปวดและปานที่บริเวณคอที่มีรูปร่างเหมือนกับพระอาทิตย์ที่แสดงถึงความชัดเจนและแจ่มแจ้งจึงตั้งชื่อให้ว่าคีสการ์(ในภาษาของที่นั้นแปลว่า แสงตะวัน) แล้วเลี้ยงดูเรื่อยมาด้วยความเอ็นดูจนคีสการ์เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มผมสีแดงและหน้าตาของคีสการ์นั้นก็คล้ายคลึงกับราชาวาติกะแห่งแคว้นมะรกคีในวัยหนุ่มเป็นอย่างมาก ช่วงวัยเด็กของคีสการ์นั้นคีสการ์เป็นเด็กที่มีคุณธรรมสูงมากเกินกว่าที่จะเป็นเด็กทั่วไปและคีสการ์ยังสามารถเรียนรู้หลายๆสิ่งได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องการพยากรณ์ก็จัดว่าเป็นนักพยากรณ์ที่มีความสามารถมากคนหนึ่งในด้านการต่อสู้คีสการ์ก็สามารถใช้อาวุธได้ทุกชนิดอย่างเชี่ยวชาญจนครูที่ฝึกให้ยังต้องขอร้องให้คีสการ์สอนเขาอีกต่อหนึ่งถึงแม้คีสการ์จะเก่งกาจมากเพียงใดเขาก็ไม่เคยทำตัวอวดเก่งเกินเลยผู้อื่นไปและยังเคารพความสามารถของผู้อื่นนั่นทำให้เขาถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดและมักถูกคนในหมู่บ้านมองด้วยสายตารังเกลียดแต่คีสการ์ก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรใครถึงแม้ว่าจะถูกปฏิบัติแบบ2มาตรฐานก็ตาม แล้วในวันที่คีสการ์อายุครบ22ปีตามประเพณีหนุ่มสาวที่อายุถึง22ปีจะต้องไปงานเลี้ยงเพื่อรับพรจากพระเจ้าให้มีความสุขและความเจริญ คีสการ์จึงเดินทางไปยังเมืองหลักของดินแดนตอนเหนือที่ยิ่งใหญ่อย่างแคว้นมะรกคีที่ได้รวมดินแดนอิงกาคุบไว้เป็นปึกแผ่นเมื่อหลายปีก่อนด้วยฝีมือของราชาวาตีกะ เมื่อเดินทางไปถึงคีสการ์ก็กลายเป็นจุดเด่นเพราะหน้าตาที่คล้ายคลึงกับราชาแห่งมะรกคีและผิวกลายสีขาวเผือกกับผมสีแดงนั้นทำทุกคนในงานมองเขาเหมือนกับตัวประหลาดแต่นั้นกับทำให้มินะยูเจ้าชายแห่งแคว้นอังสารีสนใจแล้วเข้ามาทักทายและทำความรู้จัก ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอจน3ที่น้องแห่งมะรกคีลูกของราชาวาตีกะมาถึงงานพร้อมกับราชาวาตีกะทุกคนต่างโค้งคำนับ ราชาวาตีกะได้พูดกับหนุ่มสาวที่มางานเพื่อรับพรจากพระเจ้าและได้สะดุดตากับหนุ่มผมสีแดงผิวกายสีขาวเข้าจึงเข้าไปทักทาย ราชาที่เข้ามาคุยก็คุยกันถูกคอกับคีสการ์เพราะคีสการ์ที่เป็นคนที่อยู่ชนชั้นด้อยกว่ากลับมีความสง่าและมีมารยาทที่ดีจนราชาวาตีกะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในวัยหนุ่มออกมาจากคีสการ์จนหลุดปากไปว่าถ้าได้คีสการ์มาเป็นลูกคงจะดี แต่สิ่งที่ราชาพูดกลับทำให้หนึ่งใน3พี่น้องแห่งมะรกคีอย่างราเนกะไม่พอใจและได้ไปบอกกับพวกพี่น้องทั้ง2ของตนเหล่าพี่น้องแห่งมะรกคีที่ได้ยินคำพูดจากราเนกะก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมากเพราะพ่อของพวกเขาอย่างราชาวาตีกะไม่เคยเอ่ยปากชมพวกเขาเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา 3พี่น้องคิดที่จะกลั้นแกล้งคีสการ์โดยท้าคีสการ์ที่คิดว่าเป็นแค่นักพยากรณ์ธรรมดามาแข่งยิงธนูระยะไกลกันคีสการ์ที่เห็นกิริยาที่ไม่พอใจของ3พี่น้องแห่งมะรกคีก็ยอมแข่งด้วยและได้แกล้งแพ้เพื่อมำให้พวกเขาสบายใจแต่กลับทำให้พวก3พี่น้องแห่งมะรกคีอย่างราเนกะและพานยุหัวเราะชอบใจและได้ดูถูกความสามารถของคีสการ์แต่คีสการ์ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรจนกระทั้งปานลพบอกกับคีสการ์ว่าเขาขี้ขลาดและอ่อนแอและเขาก็ยิงธนูใส่ผ้าคลุมใหล่สีแดงของคีสการ์จนเป็นรอยทำให้เขาโมโหที่ปานลพทำอย่างเพราะผ้าคลุมอันนี้เป็นของที่ตายายบอกเขาว่าเป็นของที่พ่อแม่เขาทิ้งไว้ให้นั้นเขาจึงได้ท้าเหล่าพี่น้องแห่งมะรกคีไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้พวกนี้น้องแห่งมะรกคีกลับไม่รับคำท้าและได้ดูถูกเกี่ยวกับชนชั้นและฐานะของเขารวมถึงครอบครัวของเขาด้วย ทำให้คีสการ์โกรธจัดเพราะถ้าดูถูกแค่คีสการ์คนเดียวเขาก็คงไม่ได้โกรธอะไรแต่พวกพี่น้องกลับดูถูกถึงผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขาเขาจึงตะโกนออกไปว่า
“สิ่งที่ข้าเป็นไม่ได้น่ะบอกถึงสิ่งที่ข้ามี”
เขาหยิบมาธนูขึ้นมาเตรียมจะยิง ทำให้คนในงานเลี้ยงหัวเราะเยาะเย้ยเขาเพราะก่อนหน้านี้เขายิงธนูได้ห่วยมากและจากระยะที่ไกลมากขนาดนี้คงไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถยิงได้แน่แต่คีสการ์กลับยิงไปโดนจุดกลางพอดีและเขาก็ยิงซ้ำเขาไปจนลูกธนูก่อนหน้าโดนผ่าซีกด้วยความแม่นยำแต่ก็มีลูกธนูจากปานลพที่ยิงมาทีหลังปักเข้าใกล้ๆกับลูกธนูของคีสการ์ แล้วทั้งคู่ก็ทำถ้าเหมือนจะมีการชกต่อยกันแต่ราชาแห่งมะรกคีก็มาห้ามเอาไว้และได้ดำเนินพิธีจนจบแล้วพอตะวันใกล้ตกดินคีสการ์ได้ร่ำลามินะยูแล้วกลับหมู่บ้านไป หลังจากนั้น3เดือนคีสการ์ต้องไปที่แคว้นอังสารีเพราะได้รับคำเชิญจากมินะยูสหายต่างถิ่น คีสการ์จึงออกเดินทางไกลไปที่อังสารีเพื่อพบกับมินะยูที่ต้องการจะพูดคุยกับเขาระหว่างทางคีสการ์ได้พบกับเทพแห่งพงไพรที่มีศักดิ์เป็นอาของคีสการ์ที่ได้แปลงเป็นพราหมณ์ที่กำลังขนเพื่อทดสอบหลานของตนเองว่าเป็นคนอย่างไรคีสการ์ที่เห็นพราหมณ์ที่กำลังแบกของจึงรับขึ้นม้าแล้วได้รู้ว่าพราหมณ์คนนั้นก็กำลังจะไปที่อังสารีเหมือนกัน เพราะนิสัยของคีสการ์ที่มีน้ำใจและมีความเมตาจึงทำให้เทพแห่งพงไพรซาบซึ้งในน้ำใจจึงมอบต่างหูสีทองรูปพระอาทิตย์ให้กับคีสการ์เพื่อบอกใบ้ถึงชาติกำเนิดแล้วพอตกเย็นก็มีฝนตกลงมาทำให้การเดินทางต้องหยุดลงเทพแห่งพงไพรที่อยู่ในรูปพราหมณ์บอกกับคีสการว่าชะตากรรมของคีสการ์นั้นน่าสงสารแล้วบอกให้คีสการ์รู้จักปฏิเสธบ้างแต่คีสการ์กลับบอกกับพราหมณ์คนนั้นว่า
“ตัวข้านั้นเป็นคนที่ถูกพ่อแม่ทิ้งข้าไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาของพวกท่านแต่พวกท่านคงมีเหตุผลที่ทิ้งข้าไป แต่โชคดีที่ข้าได้ท่านตาและท่านยายก็ยังเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่โดยทั้งๆที่ข้าไม่ได้เป็นสายเลือดของพวกท่านเลยเพราะฉะนั้นข้าจะต้องไม่ทำให้ผู้ที่ให้กำเนิดข้าและผู้เลี้ยงดูข้ามาต้องผิดหวัง”
เทพแห่งพงไพรนั้นเห็นความกตัญญูของคีสการ์ที่มีต่อผู้ที่เลี้ยงดูและผู้ให้กำเนิดถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นพ่อแม่และพวกเขายังจะทิ้งคีสการ์ไปแต่ในน้ำเสียงและคำพูดกลับไม่มีความเกลียดชังอยู่เลยแม่แต่น้อยแต่กลับกันในน้ำเสียงที่พูดออกมากลับมีแต่ความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมา พราหมณ์คนนั้นจึงแปลงกายกลับเป็นเทพแห่งพงไพรแล้วบอกถึงความสามารถของต่างหูและผ้าคลุมสีแดงว่า ต่างหูนั้นเป็นต่างหูของเทพีสุริยันเทพแห่งพงไพรบอกว่าต่างหูนั้นสามารถป้องกันคีสการ์จากคำสาปและมนต์ดำได้ส่วนผ้าคลุมสีแดงนั้นมีชื่อว่าอูรังเป็นชายกระโปงของเทพีสุริยันเมื่อคีสการ์สวมผ้าคลุมนี้ไว้ร่างกายของคีสการ์จะมีความคงทนทนทานไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำลายได้แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีแสงแดดเท่านั้นคีสการ์ขอบคุณเทพแห่งพงไพรแล้วก็ออกเดินทางอีกครั้งเมื่อแสงอาทิตย์ส่องตา พอมาถึงที่อังสารีมินะยูก็ต้อนรับคีสการ์อย่างดีแล้วก็คุยกันถึงเรื่องราวต่างๆใน3เดือนที่ไม่ได้เจอกันและขณะที่คุยกันก็มีนกตัวหนึ่งบนมาเกาะที่แขนของคีสการ์มันเป็นนกของอังรีตาของเขามันบอกว่าตอนนี้โกสินหมู่บ้านของคีสการ์ถูกเผาจนคนในหมู่บ้านตายกันหมดแล้ว คีสการ์ที่ได้ยินแบบนั้นก็เข่าทรุดลงกับพื้นเพราะว่าทุกคนก็รวมถึงตากับยายที่เป็นที่พึ่งทางใจของคีสการ์ก็คงตายไปแล้วมินะยูเห็นโอกาศที่จะล้มล้างมะรกคีที่เข้ามาแบบนั้นก็เข้าไปพูดคุยและโยงไปยัง3พี่น้องแห่งมะรกคีคีสการ์ที่มีความบาดหมางกันอยู่แล้วจึงปักใจเชื่ออย่างสุดใจว่ามะรกคีเป็นคนทำสั่งให้เผาหมู่บ้านของเขาจึงได้ให้คำมั่นสัญญากับมินะยูว่าจะโค้นล้มมะรกคีให้จงได้หลังจากนั้นคีสการ์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจอมทัพแห่งอังสารีแล้วเข้าตีเมืองที่เป็นพันธมิตรกับมะรกคีไปหลายเมืองจนเข้าหูของราชาแห่งมะรกคีเข้าก็เกิดความเสียดายเพราะว่าคีสการ์นั้นเป็นคนที่มีความสามารถมากแต่กลับไม่ได้มาอยู่ฝั่งตนจึงสั่งให้สินธุนักปราชญ์ประจำตัวไปเจรจากับคีสการ์โดยให้ปานลพไปด้วยเพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พอไปถึงสินธุก็ได้คุยกับคีสการ์โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องคีสการ์ก็ตอบรับฝ่ายสินธุพยามเล่นด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่มีแต่คีสการ์ก็รู้ทันหมดทั้งคู่โต้เถียงกันเป็นเวลานานจนฝ่ายสินธุทนไม่ไหวแล้วได้ตะโกนด่าคีสการ์ไปนั้นถือว่าผิดกฏคีสการ์จึงเป็นฝ่ายชนะในการพูดคุยครั้งนี้ส่วนปานลพที่ดูอยู่พอกลับไปถึงค่ายก็สังหารสินธุแล้วกลับไปทูลกับพ่อของตนว่าสินธุถูกสังหารทั้งๆที่ยังไมได้เจรจาทำให้ราชาแห่งมะรกคีโมโหและได้ประกาศสงครามทันที เวลาผ่านไปสงครามก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องคีสการ์นั้นได้ทำลายหัวเมืองชั้นนอกและเมืองที่เป็นพันธมิตรกับมะรกคีไปมากมายส่วนมะรกคีนั้นทำได้เพียงป้องกันการบุกมาของมินะยูที่จัดทัพไว้ใกล้ๆกับหัวเมืองชั้นใน ด้วยสถานะการณ์ที่ย่ำแย่ทำให้ราชาแห่งมะรกคีทำงานหักโหมจนล้มป่วยทำให้ทำฝ่ายของอังสารีวสามารถบุกทำลายหัวเมืองชั้นในได้และได้เรียกคีสการ์มาร่วมทัพเพื่อจบศึก แต่ฝ่ายของมะรกคีก็สามารถต่อต้านการบุกของอังสารีได้ถึง13ครั้งและได้เสียทหารไปมากมายทั้งของมะรกคีเองหรือแม้แต่ทหารของแคว้นพันธมิตรที่ยังอยู่ก็ตาม ปานลพและเหล่าพี่น้องได้ปะทะกับคีสการ์หลายต่อหลายครั้งก็รู้ได้ว่าจุดจบของการปะทะกับคีสการ์นั้นคือความตายอย่างแน่นอนถึงแม่ว่าจะใช้คำสาปของฤาษีที่ปานลพรวบรวมมาก็ไม่สามารถทำอะไรได้และคนที่พอจะต่อกรกับคีสการ์ได้บ้างก็คือปานลพที่เป็นลูกครึ่งเทพเหมือนกันก็ยากที่จะต่อกรเพราะพลังเพลิงของคีสการ์นั้นสามารถเผาผาญได้แม้แต่เวทย์สายฟ้าที่ได้มาจากแม่ของตนที่เป็นเทพีแห่งสายฟ้าอินดรา จนกระทั้งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะมาถึงในคืนก่อนที่จะเข้าสู่ศึกตัดสินขณะที่คีสการ์กำลังหลับอยู่ก็ได้พบเทพีแห่งสุริยันก็มาหาลูกชายของตนแล้วเล่าถึงประวิติความเป็นมาของคีสการ์และนั้นทำให้คีสการ์รู้ว่าตนนั้นเป็นครึ่งเทพและ3พี่น้องแห่งมะรกคีก็เป็นน้องชายของตนและได้ขอให้คีสการ์หยุดทำสงครามแต่คีสการ์ก็ปฏิเสธไปเพราะคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับสหายอย่างมินะยูทำให้เทพีแห่งสุริยันรู้ว่าคีสการ์นั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่างยิ่งเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ของตนมาขอร้องก็ไม่ยอมเสียคำสัตย์เทพีจึงให้พรแล้วกลับไป พอรุ่งเช้าคีสการ์ได้ออกทัพไปเพื่อจะจบสงครามฝนก็ตกลงมาเพราะเทพีแห่งสายฟ้าลงมาเพื่อช่วยลูกชายและขณะที่เดินทางไปก็พบกับแม่ลูกที่กำลังหนาวสั่นเพราะความหนาวโดยนั้นคือเทพีแห่งสายฟ้าอินดราที่แปลงกายมานั่นเอง คีสการ์ที่ไม่รู้จึงถอดผ้าคลุมออกแล้วคลุมให้กับแม่ลูกคู่นั้นและพอเดินทางไปอีกก็พบกับขอทานขอทานคนนั้นที่ก็คือเทพีแห่งสายฟ้าคนเดิม ขอทานได้เอ่ยปากขอต่างหูสีทองของคีสการ์เพราะว่าเขาจะได้นำไปแลกกับข้าวคีสการ์ได้ยินดังนั้นจึงถอดต่างหูออกแล้วมอบให้ขอทานคนนั้นพอขอทานคนนั้นเห็นว่าต่างหูที่แสนสำคัญกลับถูกมอบให้กับคนที่แปลกหน้าได้อย่างเต็มใจจึงได้รู้ว่าคีสการ์นั้นเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงามอย่างมากเทพีจึงแปลงกายกลับเป็นเทพีดังเดิมพร้อมกับยกย่องคีสการ์ว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจอันสูงส่งอย่างมากและได้มอบธนูสายฟ้าเพื่อแลกกับของที่เทพีในร่างอวตารของไปคีสการ์เติมใจรับมาทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่รออยู่คงเป็นความตายอย่างแน่นอน พอเข้าสู่สนามรบการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดทั้งฝ่ายของมะรกคีก็ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านการบุกของอังสารีและปานลพกับคีสการ์ก็ได้ปะทะกันอีกครั้งทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างสูสีแต่ฝ่ายที่ได้เปรียบคือคีสการ์ที่สามารถใช้อาวุธได้หลากหลายกว่ามากและช่วงสุดท้ายของการปะทะคีสการ์ได้ง้างคันศรของธนูสาฟ้าออกและเล็งไปยังปานลพที่พลาดพลั่งโดนคีสการ์ฟันขาจนเดินไม่ไหวและในตอนที่จะยิงนั้นคีสการ์ได้นึกถึงสิ่งที่เทพีแห่งสุริยันบอกกับตนว่าเหล่า3พีน้องแห้งมะรกคีคือน้องชายของตนทำให้คีสการ์ลังเลจนวิธีของสายฟ้านั้นเบี้ยงไปโดนภูเขาใกล้ๆทำภูเขานั้นหายไปด้วยพลังทำลายอัยมหาศาลและในจังหวะที่คีสการ์ยิงพลาดปานลพก็ยิงธนูเข้าไปกลางหัวใจของคีสการ์ทำให้คีสการ์ร่วงลงจากอากาศพอชาวมะรกคีเห็นแบบนั้นก็ต่างลุกฮือและสามารถปราบทัพของอังสารีได้สำเร็จ และในขณะที่คีสการ์กำลังจะตายเทพสูงสุดศะกะนุได้แปลงกายมาเป็นขอทานเพื่อขอสิ่งของจากคีสการ์แต่ตัวคีกสาร์นั้นไม่มีสิ่งใดให้แล้วแต่ขอทานคนนั้นบอกว่าในปากของคีสการ์นั้นมีฟันทองอยู่คีสการ์จึงใช้แรงเฮิอกสุดท้ายหักฟันนั้นออกมาแล้วมอบให้ขอทานคนนั้นเทพสูงสุดได้เห็นในสิ่งที่อัศจรรย์มากจึงได้นำวิญญาณของคีสการ์ไปสู่สวรรค์ที่ๆเขาควรอยู่ และหลังจากจบสงครามเทพีแห่งสุริยันได้บอกความจริงกับราชาแห่งมะรกคีและเหล่าพี่น้องแห่งมะรกคีนั้นทำให้พวกเขาเสียใจอย่างมากกับสิ่งที่เขาทำต่อคีสการ์ คีสการ์ที่อยู่บนสวรรค์ได้ให้อภัยกับเหล่าน้องชายของตนเองจะได้อวยพรให้พวกเขามีความสุข ต่อมาปานลพก็ได้เดินตามรอยของพี่ชายและได้นำธนูมาใช้โดนใช้ชือว่าคีสการ์ตามชื่อของพี่ชายแล้วก็กลายเป็นสุดยอดนักรบแห่งอิงกาคุบในที่สุด
“สิ่งที่เป็นไม่ได้บอกถึงสิ่งที่มีหรอก”
“คีสการ์”
ชายเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ ณ หน้าผา ด้านหลังของเขามีแต่ศพของคนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อพรวิเศษจากเทพีสุริยันมันเป็นพรวิเศษที่ขออะไรก็ได้จะเป็นสิ่งใดก็ได้ทุกสิ่งอย่างที่สามารถพูดออกมาจากปาก กฎของการแข่งขันก็คือการอยู่เป็นคนสุดท้ายโดยที่การแข่งขันจะกินเวลากว่า2เดือนเต็มๆโดยไม่ได้หยุดพักแล้วชายหนุ่มคนที่ชนะนั้นคือราชาวาตีกะแห่งแคว้นมะรกคี
"ข้าต้องการบุตรของข้าที่ได้มาจากท่าน"
คำขอที่น่าตกใจออกมาจากปากของราชาวัยเยาว์ที่สามารถเอาชนะการการแข่งขันได้และด้วยคำขอของราชาแห่งมะรกคีอยู่ในกฏของสิ่งที่ขอได้เทพีแห่งสุริยันจึงได้หลับนอนกับราชาแห่งมะรกคีเพื่อทีจะได้บุตรมา พอรุ่งเช้าเทพีบอกกับราชาแห่งมะรกคีว่าในอีก8วันให้มารับบุตรโดยมีเงื่อนไขว่าต้องมาด้วยตนเองและถ้าหากบุตรคนนั้นเป็นบุตรชายให้นำไปล้างตัวที่แม่น้ำแล้วห่อตัวด้วยผ้าสีแดงแต่ถ้าเป็นบุตรหญิงให้เช็ดตัวแล้วห่อตัวด้วยผ้าสีเขียว ราชาแห่งมะรกคีรับปากแล้วกลับไปยังเมือง ผ่านไป7วันราชาแห่งมะรกคีได้รับบาดเจ็บจากการรบกับแคว้นใกล้เคียงเป็นผลทำให้ราชาแห่งมะรกคีต้องพักรักษาตัวเป็นวาลานาน พอถึงวันที่8ราชาแห่งมะรกคีส่งคนไปแต่กลับไม่เจออะไรนั้นเป็นเพราะไม่ตรงกับเงื่อนไขที่เทพีบอกเอาไว้แล้วราชาแห่งมะรกคีก็ยังส่งคนไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่พบนั่นทำให้ราชาแห่งมะรกคีเสียใจอย่างมากจนเขาทำอะไรไม่ได้เป็นเวลาหลายเดือนและต่อมาราชาแห่งมะรกคีก็พบรักกับเจ้าหญิงของแคว้นพันธมิตร ส่วนบุตรที่ได้มาจากเทพีแห่งสุริยันนั้นเป็นบุตรชายผิวสีขาวเผือกถูกห่อตัวด้วยผ้าสีแดงแล้วคนที่มาเก็บคือคู่ตายายนักพยากรณ์ชื่อว่า อังรี และ เมนยุ ที่บังเอิญเห็นตะกร้าของทารกคนนี้ไหลมาตามน้ำจึงได้เก็บเอามาเลี้ยงดูแล้วด้วยความที่เป็นนักพยากรณ์เมนยุผู้เป็นยายได้เห็นถึงอนาคตอันเจ็บปวดและปานที่บริเวณคอที่มีรูปร่างเหมือนกับพระอาทิตย์ที่แสดงถึงความชัดเจนและแจ่มแจ้งจึงตั้งชื่อให้ว่าคีสการ์(ในภาษาของที่นั้นแปลว่า แสงตะวัน) แล้วเลี้ยงดูเรื่อยมาด้วยความเอ็นดูจนคีสการ์เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มผมสีแดงและหน้าตาของคีสการ์นั้นก็คล้ายคลึงกับราชาวาติกะแห่งแคว้นมะรกคีในวัยหนุ่มเป็นอย่างมาก ช่วงวัยเด็กของคีสการ์นั้นคีสการ์เป็นเด็กที่มีคุณธรรมสูงมากเกินกว่าที่จะเป็นเด็กทั่วไปและคีสการ์ยังสามารถเรียนรู้หลายๆสิ่งได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องการพยากรณ์ก็จัดว่าเป็นนักพยากรณ์ที่มีความสามารถมากคนหนึ่งในด้านการต่อสู้คีสการ์ก็สามารถใช้อาวุธได้ทุกชนิดอย่างเชี่ยวชาญจนครูที่ฝึกให้ยังต้องขอร้องให้คีสการ์สอนเขาอีกต่อหนึ่งถึงแม้คีสการ์จะเก่งกาจมากเพียงใดเขาก็ไม่เคยทำตัวอวดเก่งเกินเลยผู้อื่นไปและยังเคารพความสามารถของผู้อื่นนั่นทำให้เขาถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดและมักถูกคนในหมู่บ้านมองด้วยสายตารังเกลียดแต่คีสการ์ก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรใครถึงแม้ว่าจะถูกปฏิบัติแบบ2มาตรฐานก็ตาม แล้วในวันที่คีสการ์อายุครบ22ปีตามประเพณีหนุ่มสาวที่อายุถึง22ปีจะต้องไปงานเลี้ยงเพื่อรับพรจากพระเจ้าให้มีความสุขและความเจริญ คีสการ์จึงเดินทางไปยังเมืองหลักของดินแดนตอนเหนือที่ยิ่งใหญ่อย่างแคว้นมะรกคีที่ได้รวมดินแดนอิงกาคุบไว้เป็นปึกแผ่นเมื่อหลายปีก่อนด้วยฝีมือของราชาวาตีกะ เมื่อเดินทางไปถึงคีสการ์ก็กลายเป็นจุดเด่นเพราะหน้าตาที่คล้ายคลึงกับราชาแห่งมะรกคีและผิวกลายสีขาวเผือกกับผมสีแดงนั้นทำทุกคนในงานมองเขาเหมือนกับตัวประหลาดแต่นั้นกับทำให้มินะยูเจ้าชายแห่งแคว้นอังสารีสนใจแล้วเข้ามาทักทายและทำความรู้จัก ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอจน3ที่น้องแห่งมะรกคีลูกของราชาวาตีกะมาถึงงานพร้อมกับราชาวาตีกะทุกคนต่างโค้งคำนับ ราชาวาตีกะได้พูดกับหนุ่มสาวที่มางานเพื่อรับพรจากพระเจ้าและได้สะดุดตากับหนุ่มผมสีแดงผิวกายสีขาวเข้าจึงเข้าไปทักทาย ราชาที่เข้ามาคุยก็คุยกันถูกคอกับคีสการ์เพราะคีสการ์ที่เป็นคนที่อยู่ชนชั้นด้อยกว่ากลับมีความสง่าและมีมารยาทที่ดีจนราชาวาตีกะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในวัยหนุ่มออกมาจากคีสการ์จนหลุดปากไปว่าถ้าได้คีสการ์มาเป็นลูกคงจะดี แต่สิ่งที่ราชาพูดกลับทำให้หนึ่งใน3พี่น้องแห่งมะรกคีอย่างราเนกะไม่พอใจและได้ไปบอกกับพวกพี่น้องทั้ง2ของตนเหล่าพี่น้องแห่งมะรกคีที่ได้ยินคำพูดจากราเนกะก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมากเพราะพ่อของพวกเขาอย่างราชาวาตีกะไม่เคยเอ่ยปากชมพวกเขาเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา 3พี่น้องคิดที่จะกลั้นแกล้งคีสการ์โดยท้าคีสการ์ที่คิดว่าเป็นแค่นักพยากรณ์ธรรมดามาแข่งยิงธนูระยะไกลกันคีสการ์ที่เห็นกิริยาที่ไม่พอใจของ3พี่น้องแห่งมะรกคีก็ยอมแข่งด้วยและได้แกล้งแพ้เพื่อมำให้พวกเขาสบายใจแต่กลับทำให้พวก3พี่น้องแห่งมะรกคีอย่างราเนกะและพานยุหัวเราะชอบใจและได้ดูถูกความสามารถของคีสการ์แต่คีสการ์ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรจนกระทั้งปานลพบอกกับคีสการ์ว่าเขาขี้ขลาดและอ่อนแอและเขาก็ยิงธนูใส่ผ้าคลุมใหล่สีแดงของคีสการ์จนเป็นรอยทำให้เขาโมโหที่ปานลพทำอย่างเพราะผ้าคลุมอันนี้เป็นของที่ตายายบอกเขาว่าเป็นของที่พ่อแม่เขาทิ้งไว้ให้นั้นเขาจึงได้ท้าเหล่าพี่น้องแห่งมะรกคีไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้พวกนี้น้องแห่งมะรกคีกลับไม่รับคำท้าและได้ดูถูกเกี่ยวกับชนชั้นและฐานะของเขารวมถึงครอบครัวของเขาด้วย ทำให้คีสการ์โกรธจัดเพราะถ้าดูถูกแค่คีสการ์คนเดียวเขาก็คงไม่ได้โกรธอะไรแต่พวกพี่น้องกลับดูถูกถึงผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขาเขาจึงตะโกนออกไปว่า
“สิ่งที่ข้าเป็นไม่ได้น่ะบอกถึงสิ่งที่ข้ามี”
เขาหยิบมาธนูขึ้นมาเตรียมจะยิง ทำให้คนในงานเลี้ยงหัวเราะเยาะเย้ยเขาเพราะก่อนหน้านี้เขายิงธนูได้ห่วยมากและจากระยะที่ไกลมากขนาดนี้คงไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถยิงได้แน่แต่คีสการ์กลับยิงไปโดนจุดกลางพอดีและเขาก็ยิงซ้ำเขาไปจนลูกธนูก่อนหน้าโดนผ่าซีกด้วยความแม่นยำแต่ก็มีลูกธนูจากปานลพที่ยิงมาทีหลังปักเข้าใกล้ๆกับลูกธนูของคีสการ์ แล้วทั้งคู่ก็ทำถ้าเหมือนจะมีการชกต่อยกันแต่ราชาแห่งมะรกคีก็มาห้ามเอาไว้และได้ดำเนินพิธีจนจบแล้วพอตะวันใกล้ตกดินคีสการ์ได้ร่ำลามินะยูแล้วกลับหมู่บ้านไป หลังจากนั้น3เดือนคีสการ์ต้องไปที่แคว้นอังสารีเพราะได้รับคำเชิญจากมินะยูสหายต่างถิ่น คีสการ์จึงออกเดินทางไกลไปที่อังสารีเพื่อพบกับมินะยูที่ต้องการจะพูดคุยกับเขาระหว่างทางคีสการ์ได้พบกับเทพแห่งพงไพรที่มีศักดิ์เป็นอาของคีสการ์ที่ได้แปลงเป็นพราหมณ์ที่กำลังขนเพื่อทดสอบหลานของตนเองว่าเป็นคนอย่างไรคีสการ์ที่เห็นพราหมณ์ที่กำลังแบกของจึงรับขึ้นม้าแล้วได้รู้ว่าพราหมณ์คนนั้นก็กำลังจะไปที่อังสารีเหมือนกัน เพราะนิสัยของคีสการ์ที่มีน้ำใจและมีความเมตาจึงทำให้เทพแห่งพงไพรซาบซึ้งในน้ำใจจึงมอบต่างหูสีทองรูปพระอาทิตย์ให้กับคีสการ์เพื่อบอกใบ้ถึงชาติกำเนิดแล้วพอตกเย็นก็มีฝนตกลงมาทำให้การเดินทางต้องหยุดลงเทพแห่งพงไพรที่อยู่ในรูปพราหมณ์บอกกับคีสการว่าชะตากรรมของคีสการ์นั้นน่าสงสารแล้วบอกให้คีสการ์รู้จักปฏิเสธบ้างแต่คีสการ์กลับบอกกับพราหมณ์คนนั้นว่า
“ตัวข้านั้นเป็นคนที่ถูกพ่อแม่ทิ้งข้าไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตาของพวกท่านแต่พวกท่านคงมีเหตุผลที่ทิ้งข้าไป แต่โชคดีที่ข้าได้ท่านตาและท่านยายก็ยังเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่โดยทั้งๆที่ข้าไม่ได้เป็นสายเลือดของพวกท่านเลยเพราะฉะนั้นข้าจะต้องไม่ทำให้ผู้ที่ให้กำเนิดข้าและผู้เลี้ยงดูข้ามาต้องผิดหวัง”
เทพแห่งพงไพรนั้นเห็นความกตัญญูของคีสการ์ที่มีต่อผู้ที่เลี้ยงดูและผู้ให้กำเนิดถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นพ่อแม่และพวกเขายังจะทิ้งคีสการ์ไปแต่ในน้ำเสียงและคำพูดกลับไม่มีความเกลียดชังอยู่เลยแม่แต่น้อยแต่กลับกันในน้ำเสียงที่พูดออกมากลับมีแต่ความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมา พราหมณ์คนนั้นจึงแปลงกายกลับเป็นเทพแห่งพงไพรแล้วบอกถึงความสามารถของต่างหูและผ้าคลุมสีแดงว่า ต่างหูนั้นเป็นต่างหูของเทพีสุริยันเทพแห่งพงไพรบอกว่าต่างหูนั้นสามารถป้องกันคีสการ์จากคำสาปและมนต์ดำได้ส่วนผ้าคลุมสีแดงนั้นมีชื่อว่าอูรังเป็นชายกระโปงของเทพีสุริยันเมื่อคีสการ์สวมผ้าคลุมนี้ไว้ร่างกายของคีสการ์จะมีความคงทนทนทานไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำลายได้แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีแสงแดดเท่านั้นคีสการ์ขอบคุณเทพแห่งพงไพรแล้วก็ออกเดินทางอีกครั้งเมื่อแสงอาทิตย์ส่องตา พอมาถึงที่อังสารีมินะยูก็ต้อนรับคีสการ์อย่างดีแล้วก็คุยกันถึงเรื่องราวต่างๆใน3เดือนที่ไม่ได้เจอกันและขณะที่คุยกันก็มีนกตัวหนึ่งบนมาเกาะที่แขนของคีสการ์มันเป็นนกของอังรีตาของเขามันบอกว่าตอนนี้โกสินหมู่บ้านของคีสการ์ถูกเผาจนคนในหมู่บ้านตายกันหมดแล้ว คีสการ์ที่ได้ยินแบบนั้นก็เข่าทรุดลงกับพื้นเพราะว่าทุกคนก็รวมถึงตากับยายที่เป็นที่พึ่งทางใจของคีสการ์ก็คงตายไปแล้วมินะยูเห็นโอกาศที่จะล้มล้างมะรกคีที่เข้ามาแบบนั้นก็เข้าไปพูดคุยและโยงไปยัง3พี่น้องแห่งมะรกคีคีสการ์ที่มีความบาดหมางกันอยู่แล้วจึงปักใจเชื่ออย่างสุดใจว่ามะรกคีเป็นคนทำสั่งให้เผาหมู่บ้านของเขาจึงได้ให้คำมั่นสัญญากับมินะยูว่าจะโค้นล้มมะรกคีให้จงได้หลังจากนั้นคีสการ์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจอมทัพแห่งอังสารีแล้วเข้าตีเมืองที่เป็นพันธมิตรกับมะรกคีไปหลายเมืองจนเข้าหูของราชาแห่งมะรกคีเข้าก็เกิดความเสียดายเพราะว่าคีสการ์นั้นเป็นคนที่มีความสามารถมากแต่กลับไม่ได้มาอยู่ฝั่งตนจึงสั่งให้สินธุนักปราชญ์ประจำตัวไปเจรจากับคีสการ์โดยให้ปานลพไปด้วยเพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พอไปถึงสินธุก็ได้คุยกับคีสการ์โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องคีสการ์ก็ตอบรับฝ่ายสินธุพยามเล่นด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่มีแต่คีสการ์ก็รู้ทันหมดทั้งคู่โต้เถียงกันเป็นเวลานานจนฝ่ายสินธุทนไม่ไหวแล้วได้ตะโกนด่าคีสการ์ไปนั้นถือว่าผิดกฏคีสการ์จึงเป็นฝ่ายชนะในการพูดคุยครั้งนี้ส่วนปานลพที่ดูอยู่พอกลับไปถึงค่ายก็สังหารสินธุแล้วกลับไปทูลกับพ่อของตนว่าสินธุถูกสังหารทั้งๆที่ยังไมได้เจรจาทำให้ราชาแห่งมะรกคีโมโหและได้ประกาศสงครามทันที เวลาผ่านไปสงครามก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องคีสการ์นั้นได้ทำลายหัวเมืองชั้นนอกและเมืองที่เป็นพันธมิตรกับมะรกคีไปมากมายส่วนมะรกคีนั้นทำได้เพียงป้องกันการบุกมาของมินะยูที่จัดทัพไว้ใกล้ๆกับหัวเมืองชั้นใน ด้วยสถานะการณ์ที่ย่ำแย่ทำให้ราชาแห่งมะรกคีทำงานหักโหมจนล้มป่วยทำให้ทำฝ่ายของอังสารีวสามารถบุกทำลายหัวเมืองชั้นในได้และได้เรียกคีสการ์มาร่วมทัพเพื่อจบศึก แต่ฝ่ายของมะรกคีก็สามารถต่อต้านการบุกของอังสารีได้ถึง13ครั้งและได้เสียทหารไปมากมายทั้งของมะรกคีเองหรือแม้แต่ทหารของแคว้นพันธมิตรที่ยังอยู่ก็ตาม ปานลพและเหล่าพี่น้องได้ปะทะกับคีสการ์หลายต่อหลายครั้งก็รู้ได้ว่าจุดจบของการปะทะกับคีสการ์นั้นคือความตายอย่างแน่นอนถึงแม่ว่าจะใช้คำสาปของฤาษีที่ปานลพรวบรวมมาก็ไม่สามารถทำอะไรได้และคนที่พอจะต่อกรกับคีสการ์ได้บ้างก็คือปานลพที่เป็นลูกครึ่งเทพเหมือนกันก็ยากที่จะต่อกรเพราะพลังเพลิงของคีสการ์นั้นสามารถเผาผาญได้แม้แต่เวทย์สายฟ้าที่ได้มาจากแม่ของตนที่เป็นเทพีแห่งสายฟ้าอินดรา จนกระทั้งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะมาถึงในคืนก่อนที่จะเข้าสู่ศึกตัดสินขณะที่คีสการ์กำลังหลับอยู่ก็ได้พบเทพีแห่งสุริยันก็มาหาลูกชายของตนแล้วเล่าถึงประวิติความเป็นมาของคีสการ์และนั้นทำให้คีสการ์รู้ว่าตนนั้นเป็นครึ่งเทพและ3พี่น้องแห่งมะรกคีก็เป็นน้องชายของตนและได้ขอให้คีสการ์หยุดทำสงครามแต่คีสการ์ก็ปฏิเสธไปเพราะคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับสหายอย่างมินะยูทำให้เทพีแห่งสุริยันรู้ว่าคีสการ์นั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์อย่างยิ่งเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ของตนมาขอร้องก็ไม่ยอมเสียคำสัตย์เทพีจึงให้พรแล้วกลับไป พอรุ่งเช้าคีสการ์ได้ออกทัพไปเพื่อจะจบสงครามฝนก็ตกลงมาเพราะเทพีแห่งสายฟ้าลงมาเพื่อช่วยลูกชายและขณะที่เดินทางไปก็พบกับแม่ลูกที่กำลังหนาวสั่นเพราะความหนาวโดยนั้นคือเทพีแห่งสายฟ้าอินดราที่แปลงกายมานั่นเอง คีสการ์ที่ไม่รู้จึงถอดผ้าคลุมออกแล้วคลุมให้กับแม่ลูกคู่นั้นและพอเดินทางไปอีกก็พบกับขอทานขอทานคนนั้นที่ก็คือเทพีแห่งสายฟ้าคนเดิม ขอทานได้เอ่ยปากขอต่างหูสีทองของคีสการ์เพราะว่าเขาจะได้นำไปแลกกับข้าวคีสการ์ได้ยินดังนั้นจึงถอดต่างหูออกแล้วมอบให้ขอทานคนนั้นพอขอทานคนนั้นเห็นว่าต่างหูที่แสนสำคัญกลับถูกมอบให้กับคนที่แปลกหน้าได้อย่างเต็มใจจึงได้รู้ว่าคีสการ์นั้นเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงามอย่างมากเทพีจึงแปลงกายกลับเป็นเทพีดังเดิมพร้อมกับยกย่องคีสการ์ว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจอันสูงส่งอย่างมากและได้มอบธนูสายฟ้าเพื่อแลกกับของที่เทพีในร่างอวตารของไปคีสการ์เติมใจรับมาทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่รออยู่คงเป็นความตายอย่างแน่นอน พอเข้าสู่สนามรบการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดทั้งฝ่ายของมะรกคีก็ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านการบุกของอังสารีและปานลพกับคีสการ์ก็ได้ปะทะกันอีกครั้งทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างสูสีแต่ฝ่ายที่ได้เปรียบคือคีสการ์ที่สามารถใช้อาวุธได้หลากหลายกว่ามากและช่วงสุดท้ายของการปะทะคีสการ์ได้ง้างคันศรของธนูสาฟ้าออกและเล็งไปยังปานลพที่พลาดพลั่งโดนคีสการ์ฟันขาจนเดินไม่ไหวและในตอนที่จะยิงนั้นคีสการ์ได้นึกถึงสิ่งที่เทพีแห่งสุริยันบอกกับตนว่าเหล่า3พีน้องแห้งมะรกคีคือน้องชายของตนทำให้คีสการ์ลังเลจนวิธีของสายฟ้านั้นเบี้ยงไปโดนภูเขาใกล้ๆทำภูเขานั้นหายไปด้วยพลังทำลายอัยมหาศาลและในจังหวะที่คีสการ์ยิงพลาดปานลพก็ยิงธนูเข้าไปกลางหัวใจของคีสการ์ทำให้คีสการ์ร่วงลงจากอากาศพอชาวมะรกคีเห็นแบบนั้นก็ต่างลุกฮือและสามารถปราบทัพของอังสารีได้สำเร็จ และในขณะที่คีสการ์กำลังจะตายเทพสูงสุดศะกะนุได้แปลงกายมาเป็นขอทานเพื่อขอสิ่งของจากคีสการ์แต่ตัวคีกสาร์นั้นไม่มีสิ่งใดให้แล้วแต่ขอทานคนนั้นบอกว่าในปากของคีสการ์นั้นมีฟันทองอยู่คีสการ์จึงใช้แรงเฮิอกสุดท้ายหักฟันนั้นออกมาแล้วมอบให้ขอทานคนนั้นเทพสูงสุดได้เห็นในสิ่งที่อัศจรรย์มากจึงได้นำวิญญาณของคีสการ์ไปสู่สวรรค์ที่ๆเขาควรอยู่ และหลังจากจบสงครามเทพีแห่งสุริยันได้บอกความจริงกับราชาแห่งมะรกคีและเหล่าพี่น้องแห่งมะรกคีนั้นทำให้พวกเขาเสียใจอย่างมากกับสิ่งที่เขาทำต่อคีสการ์ คีสการ์ที่อยู่บนสวรรค์ได้ให้อภัยกับเหล่าน้องชายของตนเองจะได้อวยพรให้พวกเขามีความสุข ต่อมาปานลพก็ได้เดินตามรอยของพี่ชายและได้นำธนูมาใช้โดนใช้ชือว่าคีสการ์ตามชื่อของพี่ชายแล้วก็กลายเป็นสุดยอดนักรบแห่งอิงกาคุบในที่สุด
“สิ่งที่เป็นไม่ได้บอกถึงสิ่งที่มีหรอก”
“คีสการ์”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ