โรคล้างโลก
-
เขียนโดย ปั้นปึ่งยิ้ม
วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 09.04 น.
2 ตอน
1 วิจารณ์
3,028 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2564 14.12 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) -
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ สายลมพัดใบไม้เอื่อย ๆ ราวกับกำลังร้องเพลงตามเสียงเพลงที่เธอกำลังตั้งใจฟัง วันนี้ช่างเงียบเหงาเช่นเคย ทั้งที่เป็นวันทำงาน สาเหตุหลักสำคัญคือ ช่วงนี้กำลังเกิดโรคระบาด Virus Corona-19 (COVID-19) ทำให้ทางมหาวิทยาลัยมีคำสั่ง Work From Home หากแปลแบบตรงตัวก็คือให้นำงานกลับไปทำที่บ้าน ไม่ต้องมาทำงานที่สำนักงานของตัวเอง มหาวิทยาลัยได้มีมาตรการให้พนักงานทุกคนผลัดกันมาเฝ้าสำนักงานวันเว้นวัน ซึ่งวันศุกร์นี้เป็นเวรที่ปาลิตาต้องมาเปิดร้านขายของ
กล่าวถึงไวรัสโคโรนา เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ในสัตว์เป็นพาหะ พบครั้งแรกในอู่ฮั่น นครรัฐหนึ่งในประเทศจีน จากการรับประทานงูเห่าจีนและงูสามเหลี่ยมจีน ซึ่งล่าค้างคาวเป็นอาหาร จึงสันนิษฐานได้ว่า งูเป็นตัวกลางนำเชื้อโรคจากสัตว์ป่ามาสู่คน ผู้ที่มีอาการติดเชื้อจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองป่วยหรือไม่ เพราะอาการเริ่มแรกนั้นไม่แสดงอาการ แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งสัปดาห์อาการป่วยจะเริ่มแสดงออกมา เริ่มจากมีไข้สูงกว่า 37.5 องศา ไอแห้ง ๆ อ่อนเพลีย และอาการที่บ่งชี้ว่าอาจกำลังติดโควิด 19 ได้แก่ การตรวจพบว่าปอดติดเชื้อ ทำให้หายใจลำบากและหายใจถี่ เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก และสูญเสียการเคลื่อนไหว การระบาดของโรคทำให้ผู้คนมากมายต่างหวาดหวั่นและกลัว จึงกลับมาดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น พยายามไม่ออกจากบ้านหากไม่จำเป็น ล้างมือด้วยเจลล้างมือหรือสบู่บ่อย ๆ สวมใส่หน้ากากทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ผู้คนต้องมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก และไม่อยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงมากเกินไป ให้ยืนหรือนั่งห่างกันสองเมตร
ขณะที่เธอกำลังวางใจว่า การป้องกันอย่างรัดกุมสามารถช่วยให้เธอรอดพ้นจากเชื้อโรคไวรัสโคโรนาได้ และหวังอย่างยิ่งว่าครอบครัวเธอจะต้องปลอดภัยเช่นกัน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแทรกเพลงโปรดของเธอ เธอรับสายแล้วเธอก็ต้องไม่สบายใจ ปาลิตาได้ยินข่าวไม่ค่อยดีจากปลายสาย ประยงค์ แม่ของเธอบอกเธอว่า...พ่อติดเชื้อไวรัสโคโรนา เธอรีบปิดร้านและขับรถออกไปในทันที ในใจร้อนรุ่มกังวล เป็นห่วงพ่อยิ่งนัก แม้ความกลัวในโรคโควิด 19 ที่มีในตอนแรกยังต้องยอมแพ้ความรักที่เธอมีต่อพ่อ ยามนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อย ผู้คนจึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็นเท่าใดนัก สายลมที่พัดเบา ๆ ราวคนเกียจคร้านทวีความรุนแรงขึ้นตามความเร็วรถหรู ด้วยโรงพยาบาลที่พ่อไปตรวจโรคอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ทำงานของเธอเท่าไร ปาลิตาจึงมาถึงได้ในเวลาไม่นาน
ผู้คนยังคงหนาแน่น ทั้งผู้ป่วย ผู้เยี่ยม หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ แตกต่างจากเมื่อก่อนก็ตรงที่ตอนนี้ทุกคนสวมใส่หน้ากากผ้าหน้ากากอนามัยปิดปากปิดหน้า เจลล้างมือและแอลกอฮอล์วางอยู่แทบทุกที่ที่มีโต๊ะวางอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ก็จะมีการวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจหาความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนา ผ่านจอโทรทัศน์ LCD ครั้นตรวจผ่านถึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังตึกผู้ป่วยได้ ปาลิตาจ้ำเท้าอย่างร้อนใจ ผ่านห้องฉุกเฉิน...ผ่านแผนกตรวจโรคทั่วไป... เสียงคุ้นเคยเรียกเธอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "นิต้า..."
"แม่..." เธอโผกอดพลางลูบหลังแม่ "ไม่เป็นไรนะแม่"
"แม่เจ็บใจ...เจ็บใจตรงที่พ่อไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ทำไมถึงติดเชื้อได้"
ได้รับเชื้อมาจากเพื่อนในวงเหล้าที่ชวนมากินเลี้ยงปีใหม่ที่ผ่านมาแหง ๆ หญิงสาวนึกในใจ
"แล้วตอนนี้พ่ออยู่ไหนหรอจ๊ะ"
"หมอกักตัวไว้ที่ห้องปลอดเชื้อ ไม่รู้อาการป่วยจะยังไง แค่ผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อแม่ก็เครียดจะแย่แล้ว"
"ยังไงพ่อก็ถึงมือหมอแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงนะ บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ แม่นั่นแหละกินมาอะไรมาหรือยัง"
"กินแต่กล้วยรองท้อง แม่มัวแต่คิดเรื่องพ่อ" ถึงแม่จะชอบกัดพ่อ แต่นั่นอาจเป็นเพียงการแสดงความรักของพ่อกับแม่
"หิวมั้ย" ปาลิตาคลายวงแขนจากประยงค์ มองแม่ด้วยความห่วงใย
"ไม่ค่อย... นิต้าล่ะกินข้าวมาหรือยังลูก"
"ยังเลยจ้ะแม่ พอหนูรู้ข่าวก็รีบบึ่งมาทันทีเลย" เธอหัวเราะแหะ ๆ
"งั้นเราไปโรงอาหารกัน"
กล่าวถึงไวรัสโคโรนา เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ในสัตว์เป็นพาหะ พบครั้งแรกในอู่ฮั่น นครรัฐหนึ่งในประเทศจีน จากการรับประทานงูเห่าจีนและงูสามเหลี่ยมจีน ซึ่งล่าค้างคาวเป็นอาหาร จึงสันนิษฐานได้ว่า งูเป็นตัวกลางนำเชื้อโรคจากสัตว์ป่ามาสู่คน ผู้ที่มีอาการติดเชื้อจะไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองป่วยหรือไม่ เพราะอาการเริ่มแรกนั้นไม่แสดงอาการ แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งสัปดาห์อาการป่วยจะเริ่มแสดงออกมา เริ่มจากมีไข้สูงกว่า 37.5 องศา ไอแห้ง ๆ อ่อนเพลีย และอาการที่บ่งชี้ว่าอาจกำลังติดโควิด 19 ได้แก่ การตรวจพบว่าปอดติดเชื้อ ทำให้หายใจลำบากและหายใจถี่ เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก และสูญเสียการเคลื่อนไหว การระบาดของโรคทำให้ผู้คนมากมายต่างหวาดหวั่นและกลัว จึงกลับมาดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น พยายามไม่ออกจากบ้านหากไม่จำเป็น ล้างมือด้วยเจลล้างมือหรือสบู่บ่อย ๆ สวมใส่หน้ากากทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ผู้คนต้องมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก และไม่อยู่ใกล้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงมากเกินไป ให้ยืนหรือนั่งห่างกันสองเมตร
ขณะที่เธอกำลังวางใจว่า การป้องกันอย่างรัดกุมสามารถช่วยให้เธอรอดพ้นจากเชื้อโรคไวรัสโคโรนาได้ และหวังอย่างยิ่งว่าครอบครัวเธอจะต้องปลอดภัยเช่นกัน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแทรกเพลงโปรดของเธอ เธอรับสายแล้วเธอก็ต้องไม่สบายใจ ปาลิตาได้ยินข่าวไม่ค่อยดีจากปลายสาย ประยงค์ แม่ของเธอบอกเธอว่า...พ่อติดเชื้อไวรัสโคโรนา เธอรีบปิดร้านและขับรถออกไปในทันที ในใจร้อนรุ่มกังวล เป็นห่วงพ่อยิ่งนัก แม้ความกลัวในโรคโควิด 19 ที่มีในตอนแรกยังต้องยอมแพ้ความรักที่เธอมีต่อพ่อ ยามนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อย ผู้คนจึงไม่ค่อยปรากฏให้เห็นเท่าใดนัก สายลมที่พัดเบา ๆ ราวคนเกียจคร้านทวีความรุนแรงขึ้นตามความเร็วรถหรู ด้วยโรงพยาบาลที่พ่อไปตรวจโรคอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ทำงานของเธอเท่าไร ปาลิตาจึงมาถึงได้ในเวลาไม่นาน
ผู้คนยังคงหนาแน่น ทั้งผู้ป่วย ผู้เยี่ยม หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ แตกต่างจากเมื่อก่อนก็ตรงที่ตอนนี้ทุกคนสวมใส่หน้ากากผ้าหน้ากากอนามัยปิดปากปิดหน้า เจลล้างมือและแอลกอฮอล์วางอยู่แทบทุกที่ที่มีโต๊ะวางอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ก็จะมีการวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจหาความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนา ผ่านจอโทรทัศน์ LCD ครั้นตรวจผ่านถึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังตึกผู้ป่วยได้ ปาลิตาจ้ำเท้าอย่างร้อนใจ ผ่านห้องฉุกเฉิน...ผ่านแผนกตรวจโรคทั่วไป... เสียงคุ้นเคยเรียกเธอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "นิต้า..."
"แม่..." เธอโผกอดพลางลูบหลังแม่ "ไม่เป็นไรนะแม่"
"แม่เจ็บใจ...เจ็บใจตรงที่พ่อไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ทำไมถึงติดเชื้อได้"
ได้รับเชื้อมาจากเพื่อนในวงเหล้าที่ชวนมากินเลี้ยงปีใหม่ที่ผ่านมาแหง ๆ หญิงสาวนึกในใจ
"แล้วตอนนี้พ่ออยู่ไหนหรอจ๊ะ"
"หมอกักตัวไว้ที่ห้องปลอดเชื้อ ไม่รู้อาการป่วยจะยังไง แค่ผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อแม่ก็เครียดจะแย่แล้ว"
"ยังไงพ่อก็ถึงมือหมอแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงนะ บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ แม่นั่นแหละกินมาอะไรมาหรือยัง"
"กินแต่กล้วยรองท้อง แม่มัวแต่คิดเรื่องพ่อ" ถึงแม่จะชอบกัดพ่อ แต่นั่นอาจเป็นเพียงการแสดงความรักของพ่อกับแม่
"หิวมั้ย" ปาลิตาคลายวงแขนจากประยงค์ มองแม่ด้วยความห่วงใย
"ไม่ค่อย... นิต้าล่ะกินข้าวมาหรือยังลูก"
"ยังเลยจ้ะแม่ พอหนูรู้ข่าวก็รีบบึ่งมาทันทีเลย" เธอหัวเราะแหะ ๆ
"งั้นเราไปโรงอาหารกัน"
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ