อัตวินิบาต
-
เขียนโดย Carxelius
วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.25 น.
1 ตอน
0 วิจารณ์
3,227 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562 21.43 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ตอนแรกและตอนสุดท้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอัตวินิบาต
ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องสี่เหลี่ยม ‘มายา’ยังนั่งคดคู้อยู่ข้างๆภาพวาดกองโต เธอนั่งนิ่งอย่างนั้นอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่ร่างของเธอค่อยๆสั่นเทาแล้วห้องสีเหลืองสว่างตอนนี้ปนเคล้าไปด้วยบรรยากาศสีเทาจากเสียงสะอื้นไห้ ใบหน้าแดงระเรื่อแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเงยขึ้น
‘มีอยู่ไปเพื่ออะไรกันนะ ชีวิตของฉัน ทำไมกันหละ ไอ้เฮงซวยนั่น’
แววตาที่แข็งกร้าวผุดขึ้นมาเพียงเสี้ยววิเท่านั้นก่อนจะกลับกลายเป็นดวงตาอันเลื่อนลอยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตานั้นดูไร้ชีวิตราวกับว่าเป็นเพียงดวงตาของซากศพ
‘ทำไมกันหละ... ทำไม ทำไมฉันยังเห็นภาพเธออยู่อีก ฉันไม่อยากรับรู้มันอีกแล้ว’
‘พระเจ้า ฉันขอเถอะ ฉันจะขอท่านเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น แล้วฉันจะไม่ขออะไรอีก ...ได้โปรด... มอบความตายให้กับฉันที’
เธออ้อนวอนไปทั้งที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่า แล้วพระเจ้าจะมอบพรนั้นให้เธอหรือไม่ เธอเพียงหวังให้ชีวิตนี้จบลงไปเสียที และนี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่เธอต้องทนฝืนข่มตาให้หลับลง
ดวงตาอันหนักอึ้งของเธอลืมขึ้น ไม่ทันที่เธอจะได้ร้องไห้หรือคิดถึงภาพแย่ๆทั้งหมดนั่นอีกครั้ง เธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยความมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสีใดๆ
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับ คุณผู้ถูกเลือก กระผมมัจจุน เป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า ผู้จะมามอบของขวัญสุดพิเศษให้กับคุณ คิกๆๆ”
หญิงสาวหันหน้าไปตามแหล่งกำเนิดเสียงที่เธอได้ยินก็ปรากฎร่างของเด็กชายในสูทสีดำ เขาลอยสูงเหนือจากพื้นสีดำแห่งความว่างเปล่าประมาณหนึ่งฟุต เธอมองไปที่เด็กคนนั้นด้วยแววตาตื่นกลัว
“โอ๊ะโอ๋ ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับ คุณมาที่นี่ด้วยประสงค์แห่งพระเจ้า กระผมเองก็เช่นกัน”
“ประสงค์... แห่งพระเจ้า?” ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่แล้วเธอก็คลายความสงสัยนั้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอคิดก่อนจะท่องราตรีไปในความฝัน
“คำร้องขอของคุณหนะ ท่านทราบแล้วครับ กระผมก็เลยมาที่นี่ตามประสงค์ของท่าน”
มัจจุนพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า ราวกับคำขอนั้นเป็นเพียงคำขอเพื่อให้ชีวิตของเธอสงบสุข ก่อนที่เขาจะผายมือยังโต๊ะตัวหนึ่ง แสงสว่างวาบเพียงจุดเดียวในความมืดนี้
“ดังที่คุณเห็นนะครับ ตรงนั้นเป็นโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่ง”
“สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ เดินไปยังโต๊ะนั่น แล้วคุณจะพบกับสิ่งของที่จะทำให้คุณได้เดินทางสู่ห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ คิกๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วสาวเท้าของตัวเองเพื่อไปยังจุดหมายนั้นอย่างไม่ลังเล หวังเพียงปลิดชีพตนเองแล้วเริงร่าอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล
ในขณะที่เธอย่างก้าวเข้าสู่ความมืดมิดเธอเริ่มได้ยินเสียงประหลาดแทรกเข้ามา แต่น่าแปลกใจที่เสียงนั้นมันช่างดูคุ้นเคยนัก เสียงเล็กแหลมเสียดหู มันกล่าวถ้อยคำอันน่าจงเกลียดจงชังออกมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ไม่นานนักระหว่างที่เธอกำลังเดินไปท่ามกลางความว่างเปล่า พื้นสีดำก็ยกตัวสูงขึ้นจนปรากฎคฤหาสถ์หลังโต พื้นสนามหญ้าสีเขียวเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางหญ้าเขียวขจีปรากฎดอกไม้มากมายแต่ดอกไม้เหล่านั้นไม่ได้มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปรอบๆสถานที่แห่งนั้นด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง แต่ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่อื่นใด มันเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคยเป็นที่สุด
“มาอยู่นี่เองเหรอ นังตัวดี!”
เสียงที่เธอได้ยินมาตลอดแผดขึ้นอีกครั้งจนทำให้เธอต้องหลุดออกจากภวังค์ เจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน เธอทำผมทรงตีกระบังราวคุณนายไฮโซทั่วไป แต่กิริยาและมารยาทของเธอมันช่างต่างจากคนกลุ่มนั้นเสียจริง และคนคนนี้เป็นคนที่มายาวิ่งหนีมาตลอดชีวิต..
“แกคิดว่าทำลายชีวิตรักของฉันแล้วแกจะหนีฉันรอดรึไง”
แววตาของมายาค่อยๆผุดความกลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพยายามลืมมันไปได้ประดังประเดเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง เสียงของชายที่เธอเคารพที่สุดในชีวิตกำลังตะโกนชื่อของเธอ ภาพที่เขาถูกกระแทกจนร่างกายแทบแหลก เสียงของรถคันโตที่วิ่งออกไป ความทรงจำทั้งหมดนั้นได้หวนคืนสู่มือเจ้าของ ความจริงที่เธอไม่มีวันสลัดพ้น เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขาของเธออ่อนแรงลงจนทำให้ร่างทรุดตัวลงไปอยู่กับพื้น
“แก แก เพราะแก คนเดียวนังเด็กสารเลว”
ใบหน้าของคุณหญิงไฮโซตอนนี้เริ่มบูดเบี้ยวไปราวกับว่าเป็นใบหน้าของแม่มดเฒ่า คุณนายคนนั้นได้พุ่งตัวเข้ามาหามายาหมายจะทำร้ายเธอให้แหลกสลายคามือ แต่สุดท้ายทุกสิ่งอย่างที่ปรากฎอยู่นั้นก็ได้ละลายกลายเป็นฝุ่นขึ้นไปในทันที เหลือไว้แต่เพียงเธอและความมืดมิดอีกครั้ง
“เรื่องราวของคุณมันทำให้ผมขนลุกไปหมดแล้วครับคุณผู้ถูกเลือก”
“จริงสิ... มันเป็นเพราะฉัน... ฉันทำให้คุณพ่อต้องตาย” แววตาของเธอยังคงฉายแต่เพียงความว่างเปล่าออกมา เธอไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอถูกห้อมล้อมด้วยความมืดมิดอีกครั้งแล้ว
“ทำไมหละ...ทำไมวันนั้นมันถึงไม่เป็นฉัน”
มัจจุนเดินตรงเข้าไปใกล้ๆร่างที่สั่นเทานั้นก่อนจะกระซิบที่ข้างๆหูของเธอ
“อยากให้มันจบใช่มั้ยหละครับ ไปหยิบมันมาซิ แล้วทำสิ่งที่ต้องทำเถอะครับ”
“ใช่ ฉันต้องให้มันจบ” เธอลุกขึ้นเดินด้วยความเลื่อนลอยต่อไป ครั้งนี้เธอไม่ได้ตกตะลึงอะไรเมื่อภาพรอบด้านเปลี่ยนไป น้ำตาที่ยังไหลรินกับแววตาแห่งความว่างเปล่า สมองของเธอไม่ได้โล่งขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
‘แกฆ่าผัวฉัน แกต้องตาย แกต้องตายเท่านั้น’
‘ฉันไม่น่าเบ่งแกออกมาเลย ไอ้เด็กน่าสมเพช’
‘ไปหยิบสิ่งนั้นมาสิแล้วทำให้ฉันภูมิใจสักครั้งนึง’
เสียงนั้นมันกังวาลต่อไปทั่วบริเวณโดยไม่หยุดหย่อน
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้หยุดไง!!”
เธอแผดเสียงด้วยความโกรธทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม เธอไม่อยากได้ยินเสียงที่หลุดออกมาจากปากของยัยแก่นั่นอีกแล้ว
‘อยากให้ฉันหยุดเหรอ แกก็ทำมันเลยสิ ทำมันเลย’ เสียงนั้นไม่สนใจคำพูดของเธอแม้แต่น้อยและยังคงพูดต่อไป ตาย ตาย ตาย น้ำตาที่ไหลรินอาบทั้งสองแก้มยังคงไหลต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน
อีกครั้งแล้วที่ภาพรอบข้างค่อยๆเปลี่ยนไป ครั้งนี้มันเปลี่ยนไปเป็นภายในห้องสีเหลืองสว่าง มีภาพวาดมากมายถูกแขวนอยู่ทั่วบริเวณ ภาพวาดเหล่านั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยสีทึมทึบ เธอมองไปรอบๆ จึงได้เห็นตัวเองกำลังพาแฟนหนุ่มของเธอเข้ามาภายในห้องนอน ในคืนนั้นเองที่เธอต้องลาจากกับความบริสุทธิ์ที่เธอรักษามาร่วมยี่สิบห้าปี
“น้องก็วาดรูปสวยเหมือนกันนะครับเนี่ย”
เขาเดินดูไปรอบๆเชยชมผลงานของเธอด้วยแววตาแห่งความตื่นใจ
“ขอบคุณค่ะ” นั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนเอ่ยปากชมรูปวาดของเธอ ไม่สินี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้มองเห็นรูปวาดของเธอ
“แต่พี่ว่าเราคงไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่ดู ‘ภาพวาด’ ของน้องใช่มั้ยหละ”
ว่าจบเขาไม่รอช้าที่จะกระทำสิ่งที่ตัวเขาเองรอมานาน เขาโหยหาวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นใบหน้าของเธอ
เธอได้เห็นมันอีกครั้ง เห็นทุกการกระทำที่ไอ้ระยำนั่นมันทำกับร่างกายของเธอ
“อย่าให้มันทำอะไรสิ! ขัดขืนหน่อยสิวะ อิโง่!” เธอแผดเสียงไปหวังว่าจะให้ภาพที่อยู่ตรงหน้าหยุดลงไม่ให้มันบาดใจไปมากกว่านี้ แต่ภาพทั้งหมดนั้นยังคงดำเนินต่อไปไม่ได้สนใจคำร้องขอของเธอแม้แต่น้อย เธอจิกผมตัวเองจนยุ่งเหยิง เธอกรีดร้องอีกครั้งราวกับนั่นกำลังแผดเผาหัวใจของเธอให้มอดไหม้
“หยุดสิ หยุด!!! ไอ้สารเลวนั่นมันนอกใจแกนะ” ตอนนี้น้ำตาของเธอกลับมาไหลรินอย่างรุนแรงอีกครั้งไม่ใช่เพราะความเสียใจแต่ทั่วทั้งใจของเธอเต็มไปด้วยความคับแค้น ยิ่งเธอพยายามปิดตามากเท่าไหร่ จินตนาการของเธอยิ่งทำร้ายตัวเธอเองมากเท่านั้น ทุกสิ่งยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งร่างกายที่กำลังโดยย่ำยีไม่ใช่ร่างกายของเธออีกต่อไปหากแต่เป็นยัยผู้หญิงโสโครกที่บังอาจมาตลบหลังเธอได้ ผู้หญิงที่เธอเชื่อใจที่สุดในชีวิต
‘มายา ฉันว่าแกเลิกกับพี่เขาเหอะ’
‘มายา แกจะทนอยู่กับพี่เขาไปอีกนานแค่ไหนวะ’
‘มายา ถ้าแกเหนื่อยก็ออกมาเถอะนะ’
เสียงของเพื่อนรักสอดแทรกเข้ามาพร้อมด้วยภาพบาดตาตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้เธอปวดใจ ขาที่เคยมีแรงกลับทรุดตัวลง เธอนั่งร้องห่มร้องไห้ พร้อมทั้งยังต้องทนฟังการเสพสุขของไอ้ทุเรศพวกนั้นต่อไป และเช่นเดียวกันภาพบาดตานั้นก็ค่อยๆหายไปกลายเป็นฝุ่นไปในอากาศ ปล่อยให้หญิงสาวทุรนทุรายกับความเจ็บปวดต่อไป
“ว้าวๆ ชีวิตคุณนี่มันเต็มไปด้วยเรื่องสนุกจริงๆนะครับ คิกๆ เอาหละ หวังว่าคุณคงจะไม่ถอดใจเพียงแค่นี้นะครับ”
“ฆ่าฉันซักทีสิวะ ชีวิตเฮงซวยแบบนี้ จะให้ฉันเกิดมาทำไม ฆ่าฉันเลยสิ!!”
“อ่า เรื่องนั้นกระผมคงมอบให้ไม่ได้หรอกครับ เพราะมันมิใช่ประสงค์ของพระเจ้า ประสงค์ของท่านคือให้คุณเดินไปหยิบสิ่งนั้นทำสิ่งที่คุณต้องทำซะ แค่นั้นเองครับไม่เห็นจะยากเลย”
“แกเป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย คำก็ประสงค์ของพระเจ้า สองคำก็ประสงค์ของพระเจ้า ถ้าแน่จริงก็ลงมาสิวะ ลงมาเลย แกมอบชีวิตเส็งเคร็งนี่ให้ฉัน แกก็เอามันกลับไปได้แล้ว ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว”
“ถ้าอยากได้สิ่งนั้นก็เดินต่อไปสิครับ กระผมบอกไปแล้ว ว่าสิ่งที่รอคุณอยู่คือของขวัญสุดพิเศษจากพระเจ้า คุณจะยินดี และปลาบปลื้มในความเมตตาของพระองค์อย่างแน่นอนครับ คิกๆ”
ตอนนี้ในใจของมายาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเคียดแค้น แต่สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือทำตามที่มัจจุนบอก เธอจึงต้องเดินต่อไปเพื่อไปคว้าเอาความสุขอันเป็นนิรันดร์ที่อยู่ปลายทางข้างหน้า
‘แกมันไร้สมอง’
‘ไร้ค่าจริงๆ แกมันโง่!’
‘เสียแรงจริงๆ ที่ฉันทนเลี้ยงแกมา’
“แกเลี้ยงฉันมาที่ไหน แกไม่เคยแม้แต่จะเรียกฉันว่าลูก หุบปากไปได้แล้ว ยัยแก่โสโครก”
เธอทนฟังสิ่งที่ยัยแก่นั่นพูดไม่ได้อีกต่อไป ทุกคำพูดที่ยัยนั่นพูดออกมามันทำร้ายจิตใจของเธอเหลือเกิน เธอเหนื่อยกับการใช้ชีวิตนี้ จนกระทั่งในที่สุดสายตาของเธอเริ่มเห็นแล้วว่าอีกไม่ไกลเธอก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ภาพทำร้ายจิตใจเหล่านั้นได้ถูกวนซ้ำในทุกๆย่างก้าวที่เธอก้าวเดิน เสียงก่นด่าของหญิงชราที่เรียกตัวเองว่าแม่ เสียงครวญครางในค่ำคืนแห่งความสุข เสียงรถคันโตบดขยี้ร่างของชายผู้เป็นพ่อ เธอร้องไห้ออกมาโดยไร้จุดสิ้นสุด สภาพของเธอในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้ เธอเดินต่อไปแม้ว่าขาใกล้จะหมดแรง เธอหมายมั่นเพียงหนึ่งสิ่ง สิ่งที่เป็นความหวังหนึ่งเดียวที่เธอฝากฝังไว้
‘ทำมันซะ ทำมัน ทำให้ฉันภูมิใจ’
และในที่สุดร่างของเธอก็มาปรากฎอยู่เบื้องหน้าโต๊ะที่มัจจุนบอกจนได้ ทันทีที่เธอมาถึงโต๊ะตัวนั้นสิ่งที่เห็นและได้ยินทั้งหมดก็กลับกลายเป็นเพียงความมืดที่ว่างเปล่าอีกครั้ง
“ยินดีด้วยนะครับ คุณมาถึงที่หมายแล้ว”
มัจจุนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวน้อยกระโดดลงมาแล้วผายมือให้มายาได้เดินผ่านไป ก่อนที่เขาจะกระโดดโลดเต้นราวกับมีเรื่องสนุกสนานรออยู่ตรงหน้า บนโต๊ะเล็กๆตัวนั้นมีรูปภาพรูปหนึ่ง มันเป็นรูปของเธอและพ่อ ตอนที่เธอยังอายุ 7 ขวบ ภาพนั้นรอยยิ้มของเธอมันช่างสดใส อ้อมกอดของพ่อมันเต็มไปด้วยความรัก ชีวิตเธอเองก็เคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขสินะ เธอมองภาพนั้นอยู่นานแล้วกอดมันอย่างแน่นหนา ก่อนที่เธอจะถูกขัดจังหวะโดยเสียงของเด็กน้อยคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ?”
เธอมองกลับไปยังต้นเสียงนั้นเพื่อจะได้ตอบโต้ แล้วก็ปรากฎร่างของเด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่ง เธอยืนยิ้มแป้นอย่างมีความสุขอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มนั้นราวกับถอดแบบออกมาจากในรูปภาพที่หญิงสาวถืออยู่ เธอหลุดออกจากความคิดของตัวเองอีกครั้งหวังจะโต้ตอบกลับไป
“ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยสิคะ?”
ไม่ทันที่มายาจะได้ตอบกลับไปมายาตัวน้อยเดินเข้ามาจูงมือมายาสาวเดินไปในความมืดมิดอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือในขณะที่เธอก้าวเดินออกไป... เสียงก่นด่าของยัยแก่นั่นมันไม่มีอีกแล้ว ทั้งคู่เดินต่อไปโดยไม่รู้ว่าทางที่เดินอยู่จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่เด็กน้อยยังคงมุ่งมั่นที่จะพาเธอออกไป เธอเริ่มเดินออกไปจนไกลไปจากโต๊ะตัวนั้นเรื่อยๆ นั่นทำให้เธอทั้งกังวลและหงุดหงิด
“นี่พี่สาว รู้มั้ยว่าหนูหนะมีความฝันด้วยน้า”
เด็กน้อยเริ่มเอื้อนเอ่ยบทสนทนาแรกก่อนที่มายาจะเผยความหงุดหงิดออกมาแต่ถึงแม้ว่าเธอจะคอยให้ได้ยินเสียงตอบกลับนานเท่าไหร่ มายาก็ไม่ได้ตอบกลับไปแม้แต่น้อย
“หนู หนะน้า ชอบวาดรูปที่สุดเลย ไม่ว่าหนูจะเศร้า หรือจะมีความสุข หนูแค่วาดมันลงไป มันเป็นอิสระที่สุดเลยเนาะ”
“ก็คงงั้นแหละ”
“เพราะงั้น หนูก็เลยอยากจะเปิดแกลเลอรี่โตๆให้คนได้มาดูภาพที่หนูวาด หนูจะได้เล่าเรื่องราวที่หนูเจอให้คนอื่นได้รู้ผ่านรูปวาดของหนู มันคงจะดีสุดๆไปเลยอะ”
‘ฉันเคยมีความฝันเหมือนกันสินะ’
“แล้วถ้าเกิดว่าวันนึงดันมีเรื่องราว...ที่เธอไม่อยากรับรู้มันอีกแล้วบนรูปวาดของเธอหละ”
หญิงสาวถามไปโดยที่เธอเองก็ไม่ได้รู้ตัวว่าหลุดปากถามอะไรออกไป
“อืม ไม่รู้สิคะ หนูว่าทุกเรื่องราวมันก็ต้องมีส่วนที่ดีของมัน มันอยู่ที่เราจะเลือกมองตรงไหนมากกว่า คุณพ่อหนะสอนให้หนูยิ้มสู้ไว้เสมอ ไม่ว่าหนูจะเจอเรื่องแย่ๆแค่ไหน นี่ค่ะยิ้มแบบนี้”
‘ครั้งนึง ฉันเคยมีความสุขได้ขนาดนี้เลยเหรอ’
“นี่... พี่สาวร้องไห้อีกแล้วนะคะ เรื่องบางเรื่องทิ้งมันไปบ้างก็ได้นะคะ คุณพ่อบอกหนูว่าความทุกข์เนี่ยก็เหมือนกับก้อนหิน ยิ่งเราถือมัน เรากำมันแน่นแค่ไหนเราก็ยิ่งเจ็บนะคะ ปล่อยได้ก็ปล่อยไปเถอะค่ะ”
‘แปลกดีแฮะ ฉันที่โตเป็นผู้ใหญ่กลับกำลังโดนฉันที่เป็นเด็กสอนอยู่ซะได้’
เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งมายาตัวน้อยก็หยุดเดินแล้วปล่อยมือของเธอลงก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้เธออีกครั้ง
“เดินตรงไปอีกนิดนะคะ อีกเดี๋ยวพี่สาวก็เจอเขาแล้วค่ะ”
หญิงสาวก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ภาพรอบด้านก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจากภาพอันมืดมิด กลับกลายเป็นทางเท้าที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คน เธอเบียดเสียดเดินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อฝ่าฝูงชนไปได้แล้ว เธอได้พบกับชายคนหนึ่ง ชายที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ชายคนนี้คือบุคคลสุดพิเศษในชีวิตของเธอ
“คุณพ่อ...” เธอร้องเรียกออกมาด้วยความตกตะลึง ก่อนที่เธอจะวิ่งไปโผกอดชายผู้เป็นพ่อด้วยดวงใจที่มืดหม่นและเปี่ยมสุข
“มายา มายาของพ่อ” แววตาอันแสนอบอุ่นสอดส่องประสานเข้ากับแววตาของมายา นั่นทำให้เธอใจชื้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อ้อมกอดที่เธอไม่เคยได้รับมาเป็นระยะเวลายี่สิบปี เธอคิดถึงมันเหลือเกิน เธอร้องไห้อีกครั้งน้ำตาที่ไหลรินนั้นมันไหลออกมาเองโดยที่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้
“หนูขอโทษนะคะ...คุณพ่อ หนูขอโทษ” เธอสะอื้นไปพูดไปนั่นทำให้น้ำเสียงของเธอสั่นเทา เธอคาดหวังให้ชายผู้เป็นพ่อตบตีเธอ เธอจะได้หลุดพ้นจากบ่วงร้ายแห่งความรู้สึกผิดซักที แต่สิ่งที่ชายคนนั้นทำเขายื่นมืออันแสนอบอุ่นนั่นมาจับที่หัวของเธอแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา เขามองหน้าเธอด้วยแววตาที่เธอต้องการมันมากที่สุดอีกครั้ง เขายิ้มให้เธอด้วยความรัก
“ขอโทษพ่อทำไมเหรอ” เขายังคงส่งยิ้มอันเต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้นให้เธออยู่มายาใช้มือน้อยๆของเธอปาดน้ำตาของเธอออก
“หนูทำให้คุณพ่อ...คุณพ่อต้องตาย...คุณพ่อต้องตายก็เพราะหนู”
“พ่อไม่ได้ตายเพราะหนูซักหน่อย”
คำพูดเรียบง่ายนั้นทำให้มายารู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จิตใจของมายาได้ถูกเติมเต็มด้วยความสุขอีกครั้ง หมอกดำมืดที่บดบังจิตใจเธอมาเป็นเวลายี่สิบปีเริ่ม
“แต่ถะ...ถ้าวันนั้นหนูไม่ไปวิ่งเล่นอย่างนั้นคุณพ่อก็คง”
“นี่มายา พ่อจะบอกอะไรให้นะ พ่อไม่เคยเสียใจที่วันนั้นพ่อช่วยชีวิตหนูไว้ หนูเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตพ่อ ถ้าหนูเป็นอะไรไปนั่นแหละเป็นสิ่งที่พ่อจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปชั่วชีวิต”
แทนที่มายาจะหยุดร้องไห้คำพูดเหล่านั้นยิ่งทำให้มายาปล่อยน้ำตาที่คั่งค้างให้รินไหลออกมาราวกับนี่เป็นหยาดน้ำตาสุดท้ายในชีวิตแต่น้ำตาครั้งนี้เป็นน้ำตาแรกที่จะเกิดมาเพื่อสร้างความสุขให้มายา เธอไม่ได้ร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว เธอปล่อยให้มันรินไหลอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้เป็นที่รัก อ้อมกอดที่ล้ำค่าเหนือสิ่งอื่นใด คุณพ่อของเธอใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปลอบใจผู้เป็นลูกให้หยุดร้องไห้ได้สำเร็จ
“ดูสิเนี่ย มายาของพ่อตาบวมไปหมดแล้ว... หนูต้องรักตัวเองให้มากๆนะมายา อย่าเอาชีวิตของหนูไปผูกไว้กับใครนะ”
เขาเว้นจังหวะไว้ชั่วครู่ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าเขาสูดหายใจลึกเข้าไปจนเต็มปอด
“เอาหละพ่อว่าเวลาของพ่อน่าจะหมดแล้วหละ”
“คะ?”
“พ่อต้องไปแล้ว” เขาส่งแววตาเศร้าสร้อยให้กับผู้เป็นลูกสาวเขามอบรอยยิ้มแห่งความรักให้กับเธออีกครั้ง
“อะไรกันคะ หนูขออยู่กับคุณพ่อไปตลอดไม่ได้เหรอคะ”
“มายา ลูกต้องอย่าลืมสิ ลูกยังมีชีวิตอยู่นะ หนูยังมีอีกตั้งหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำไม่ใช่เหรอ พ่อจะรอดูอยู่นะ ลูกรักของพ่อ”
ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ รอยยิ้มยังคงแปดเปื้อนอยู่บนใบหน้าของชายผู้เป็นพ่อจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เขาจะจากไปตลอดกาล แต่ครั้งนี้ภาพที่มายาเห็นไม่ได้ทำร้ายมายาเหมือนกับครั้งที่ผ่านมาแต่อย่างใดเธอย่างก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้งพร้อมทั้งภาพของมายาตัวน้อยที่ยังคงยืนยิ้มแป้นให้เธออยู่ตรงหน้า
“เอาหละครับ มาถึงขั้นตอนที่คุณรอคอยซักทีนะครับ คุณผู้ถูกเลือก อย่างที่คุณเห็นกล่องในมือของผมมีสิ่งที่คุณต้องการอยู่ สิ่งที่จะทำให้คุณได้เข้าสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงแค่มาหยิบสิ่งนี้ไปแล้วยิงเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าคุณซะ อ๊ะ แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนไป หรือว่าคุณจะมอบอ้อมกอดแห่งความรัก ที่คุณไม่เคยมอบให้กับเด็กคนนี้ มอบกำลังใจให้เธอได้ทำตามความฝัน”
“คุณต้องเลือกระหว่างจะสร้างหรือจะทำลาย”
-จบ-
ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องสี่เหลี่ยม ‘มายา’ยังนั่งคดคู้อยู่ข้างๆภาพวาดกองโต เธอนั่งนิ่งอย่างนั้นอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่ร่างของเธอค่อยๆสั่นเทาแล้วห้องสีเหลืองสว่างตอนนี้ปนเคล้าไปด้วยบรรยากาศสีเทาจากเสียงสะอื้นไห้ ใบหน้าแดงระเรื่อแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเงยขึ้น
‘มีอยู่ไปเพื่ออะไรกันนะ ชีวิตของฉัน ทำไมกันหละ ไอ้เฮงซวยนั่น’
แววตาที่แข็งกร้าวผุดขึ้นมาเพียงเสี้ยววิเท่านั้นก่อนจะกลับกลายเป็นดวงตาอันเลื่อนลอยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตานั้นดูไร้ชีวิตราวกับว่าเป็นเพียงดวงตาของซากศพ
‘ทำไมกันหละ... ทำไม ทำไมฉันยังเห็นภาพเธออยู่อีก ฉันไม่อยากรับรู้มันอีกแล้ว’
‘พระเจ้า ฉันขอเถอะ ฉันจะขอท่านเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น แล้วฉันจะไม่ขออะไรอีก ...ได้โปรด... มอบความตายให้กับฉันที’
เธออ้อนวอนไปทั้งที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่า แล้วพระเจ้าจะมอบพรนั้นให้เธอหรือไม่ เธอเพียงหวังให้ชีวิตนี้จบลงไปเสียที และนี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่เธอต้องทนฝืนข่มตาให้หลับลง
ดวงตาอันหนักอึ้งของเธอลืมขึ้น ไม่ทันที่เธอจะได้ร้องไห้หรือคิดถึงภาพแย่ๆทั้งหมดนั่นอีกครั้ง เธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยความมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสีใดๆ
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับ คุณผู้ถูกเลือก กระผมมัจจุน เป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า ผู้จะมามอบของขวัญสุดพิเศษให้กับคุณ คิกๆๆ”
หญิงสาวหันหน้าไปตามแหล่งกำเนิดเสียงที่เธอได้ยินก็ปรากฎร่างของเด็กชายในสูทสีดำ เขาลอยสูงเหนือจากพื้นสีดำแห่งความว่างเปล่าประมาณหนึ่งฟุต เธอมองไปที่เด็กคนนั้นด้วยแววตาตื่นกลัว
“โอ๊ะโอ๋ ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับ คุณมาที่นี่ด้วยประสงค์แห่งพระเจ้า กระผมเองก็เช่นกัน”
“ประสงค์... แห่งพระเจ้า?” ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่แล้วเธอก็คลายความสงสัยนั้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอคิดก่อนจะท่องราตรีไปในความฝัน
“คำร้องขอของคุณหนะ ท่านทราบแล้วครับ กระผมก็เลยมาที่นี่ตามประสงค์ของท่าน”
มัจจุนพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า ราวกับคำขอนั้นเป็นเพียงคำขอเพื่อให้ชีวิตของเธอสงบสุข ก่อนที่เขาจะผายมือยังโต๊ะตัวหนึ่ง แสงสว่างวาบเพียงจุดเดียวในความมืดนี้
“ดังที่คุณเห็นนะครับ ตรงนั้นเป็นโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่ง”
“สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ เดินไปยังโต๊ะนั่น แล้วคุณจะพบกับสิ่งของที่จะทำให้คุณได้เดินทางสู่ห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ คิกๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วสาวเท้าของตัวเองเพื่อไปยังจุดหมายนั้นอย่างไม่ลังเล หวังเพียงปลิดชีพตนเองแล้วเริงร่าอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล
ในขณะที่เธอย่างก้าวเข้าสู่ความมืดมิดเธอเริ่มได้ยินเสียงประหลาดแทรกเข้ามา แต่น่าแปลกใจที่เสียงนั้นมันช่างดูคุ้นเคยนัก เสียงเล็กแหลมเสียดหู มันกล่าวถ้อยคำอันน่าจงเกลียดจงชังออกมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ไม่นานนักระหว่างที่เธอกำลังเดินไปท่ามกลางความว่างเปล่า พื้นสีดำก็ยกตัวสูงขึ้นจนปรากฎคฤหาสถ์หลังโต พื้นสนามหญ้าสีเขียวเริ่มเข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางหญ้าเขียวขจีปรากฎดอกไม้มากมายแต่ดอกไม้เหล่านั้นไม่ได้มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปรอบๆสถานที่แห่งนั้นด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง แต่ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่อื่นใด มันเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคยเป็นที่สุด
“มาอยู่นี่เองเหรอ นังตัวดี!”
เสียงที่เธอได้ยินมาตลอดแผดขึ้นอีกครั้งจนทำให้เธอต้องหลุดออกจากภวังค์ เจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน เธอทำผมทรงตีกระบังราวคุณนายไฮโซทั่วไป แต่กิริยาและมารยาทของเธอมันช่างต่างจากคนกลุ่มนั้นเสียจริง และคนคนนี้เป็นคนที่มายาวิ่งหนีมาตลอดชีวิต..
“แกคิดว่าทำลายชีวิตรักของฉันแล้วแกจะหนีฉันรอดรึไง”
แววตาของมายาค่อยๆผุดความกลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพยายามลืมมันไปได้ประดังประเดเข้ามาในหัวของเธออีกครั้ง เสียงของชายที่เธอเคารพที่สุดในชีวิตกำลังตะโกนชื่อของเธอ ภาพที่เขาถูกกระแทกจนร่างกายแทบแหลก เสียงของรถคันโตที่วิ่งออกไป ความทรงจำทั้งหมดนั้นได้หวนคืนสู่มือเจ้าของ ความจริงที่เธอไม่มีวันสลัดพ้น เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขาของเธออ่อนแรงลงจนทำให้ร่างทรุดตัวลงไปอยู่กับพื้น
“แก แก เพราะแก คนเดียวนังเด็กสารเลว”
ใบหน้าของคุณหญิงไฮโซตอนนี้เริ่มบูดเบี้ยวไปราวกับว่าเป็นใบหน้าของแม่มดเฒ่า คุณนายคนนั้นได้พุ่งตัวเข้ามาหามายาหมายจะทำร้ายเธอให้แหลกสลายคามือ แต่สุดท้ายทุกสิ่งอย่างที่ปรากฎอยู่นั้นก็ได้ละลายกลายเป็นฝุ่นขึ้นไปในทันที เหลือไว้แต่เพียงเธอและความมืดมิดอีกครั้ง
“เรื่องราวของคุณมันทำให้ผมขนลุกไปหมดแล้วครับคุณผู้ถูกเลือก”
“จริงสิ... มันเป็นเพราะฉัน... ฉันทำให้คุณพ่อต้องตาย” แววตาของเธอยังคงฉายแต่เพียงความว่างเปล่าออกมา เธอไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอถูกห้อมล้อมด้วยความมืดมิดอีกครั้งแล้ว
“ทำไมหละ...ทำไมวันนั้นมันถึงไม่เป็นฉัน”
มัจจุนเดินตรงเข้าไปใกล้ๆร่างที่สั่นเทานั้นก่อนจะกระซิบที่ข้างๆหูของเธอ
“อยากให้มันจบใช่มั้ยหละครับ ไปหยิบมันมาซิ แล้วทำสิ่งที่ต้องทำเถอะครับ”
“ใช่ ฉันต้องให้มันจบ” เธอลุกขึ้นเดินด้วยความเลื่อนลอยต่อไป ครั้งนี้เธอไม่ได้ตกตะลึงอะไรเมื่อภาพรอบด้านเปลี่ยนไป น้ำตาที่ยังไหลรินกับแววตาแห่งความว่างเปล่า สมองของเธอไม่ได้โล่งขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
‘แกฆ่าผัวฉัน แกต้องตาย แกต้องตายเท่านั้น’
‘ฉันไม่น่าเบ่งแกออกมาเลย ไอ้เด็กน่าสมเพช’
‘ไปหยิบสิ่งนั้นมาสิแล้วทำให้ฉันภูมิใจสักครั้งนึง’
เสียงนั้นมันกังวาลต่อไปทั่วบริเวณโดยไม่หยุดหย่อน
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้หยุดไง!!”
เธอแผดเสียงด้วยความโกรธทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม เธอไม่อยากได้ยินเสียงที่หลุดออกมาจากปากของยัยแก่นั่นอีกแล้ว
‘อยากให้ฉันหยุดเหรอ แกก็ทำมันเลยสิ ทำมันเลย’ เสียงนั้นไม่สนใจคำพูดของเธอแม้แต่น้อยและยังคงพูดต่อไป ตาย ตาย ตาย น้ำตาที่ไหลรินอาบทั้งสองแก้มยังคงไหลต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน
อีกครั้งแล้วที่ภาพรอบข้างค่อยๆเปลี่ยนไป ครั้งนี้มันเปลี่ยนไปเป็นภายในห้องสีเหลืองสว่าง มีภาพวาดมากมายถูกแขวนอยู่ทั่วบริเวณ ภาพวาดเหล่านั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยสีทึมทึบ เธอมองไปรอบๆ จึงได้เห็นตัวเองกำลังพาแฟนหนุ่มของเธอเข้ามาภายในห้องนอน ในคืนนั้นเองที่เธอต้องลาจากกับความบริสุทธิ์ที่เธอรักษามาร่วมยี่สิบห้าปี
“น้องก็วาดรูปสวยเหมือนกันนะครับเนี่ย”
เขาเดินดูไปรอบๆเชยชมผลงานของเธอด้วยแววตาแห่งความตื่นใจ
“ขอบคุณค่ะ” นั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนเอ่ยปากชมรูปวาดของเธอ ไม่สินี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้มองเห็นรูปวาดของเธอ
“แต่พี่ว่าเราคงไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่ดู ‘ภาพวาด’ ของน้องใช่มั้ยหละ”
ว่าจบเขาไม่รอช้าที่จะกระทำสิ่งที่ตัวเขาเองรอมานาน เขาโหยหาวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นใบหน้าของเธอ
เธอได้เห็นมันอีกครั้ง เห็นทุกการกระทำที่ไอ้ระยำนั่นมันทำกับร่างกายของเธอ
“อย่าให้มันทำอะไรสิ! ขัดขืนหน่อยสิวะ อิโง่!” เธอแผดเสียงไปหวังว่าจะให้ภาพที่อยู่ตรงหน้าหยุดลงไม่ให้มันบาดใจไปมากกว่านี้ แต่ภาพทั้งหมดนั้นยังคงดำเนินต่อไปไม่ได้สนใจคำร้องขอของเธอแม้แต่น้อย เธอจิกผมตัวเองจนยุ่งเหยิง เธอกรีดร้องอีกครั้งราวกับนั่นกำลังแผดเผาหัวใจของเธอให้มอดไหม้
“หยุดสิ หยุด!!! ไอ้สารเลวนั่นมันนอกใจแกนะ” ตอนนี้น้ำตาของเธอกลับมาไหลรินอย่างรุนแรงอีกครั้งไม่ใช่เพราะความเสียใจแต่ทั่วทั้งใจของเธอเต็มไปด้วยความคับแค้น ยิ่งเธอพยายามปิดตามากเท่าไหร่ จินตนาการของเธอยิ่งทำร้ายตัวเธอเองมากเท่านั้น ทุกสิ่งยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งร่างกายที่กำลังโดยย่ำยีไม่ใช่ร่างกายของเธออีกต่อไปหากแต่เป็นยัยผู้หญิงโสโครกที่บังอาจมาตลบหลังเธอได้ ผู้หญิงที่เธอเชื่อใจที่สุดในชีวิต
‘มายา ฉันว่าแกเลิกกับพี่เขาเหอะ’
‘มายา แกจะทนอยู่กับพี่เขาไปอีกนานแค่ไหนวะ’
‘มายา ถ้าแกเหนื่อยก็ออกมาเถอะนะ’
เสียงของเพื่อนรักสอดแทรกเข้ามาพร้อมด้วยภาพบาดตาตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้เธอปวดใจ ขาที่เคยมีแรงกลับทรุดตัวลง เธอนั่งร้องห่มร้องไห้ พร้อมทั้งยังต้องทนฟังการเสพสุขของไอ้ทุเรศพวกนั้นต่อไป และเช่นเดียวกันภาพบาดตานั้นก็ค่อยๆหายไปกลายเป็นฝุ่นไปในอากาศ ปล่อยให้หญิงสาวทุรนทุรายกับความเจ็บปวดต่อไป
“ว้าวๆ ชีวิตคุณนี่มันเต็มไปด้วยเรื่องสนุกจริงๆนะครับ คิกๆ เอาหละ หวังว่าคุณคงจะไม่ถอดใจเพียงแค่นี้นะครับ”
“ฆ่าฉันซักทีสิวะ ชีวิตเฮงซวยแบบนี้ จะให้ฉันเกิดมาทำไม ฆ่าฉันเลยสิ!!”
“อ่า เรื่องนั้นกระผมคงมอบให้ไม่ได้หรอกครับ เพราะมันมิใช่ประสงค์ของพระเจ้า ประสงค์ของท่านคือให้คุณเดินไปหยิบสิ่งนั้นทำสิ่งที่คุณต้องทำซะ แค่นั้นเองครับไม่เห็นจะยากเลย”
“แกเป็นบ้าอะไรของแกเนี่ย คำก็ประสงค์ของพระเจ้า สองคำก็ประสงค์ของพระเจ้า ถ้าแน่จริงก็ลงมาสิวะ ลงมาเลย แกมอบชีวิตเส็งเคร็งนี่ให้ฉัน แกก็เอามันกลับไปได้แล้ว ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว”
“ถ้าอยากได้สิ่งนั้นก็เดินต่อไปสิครับ กระผมบอกไปแล้ว ว่าสิ่งที่รอคุณอยู่คือของขวัญสุดพิเศษจากพระเจ้า คุณจะยินดี และปลาบปลื้มในความเมตตาของพระองค์อย่างแน่นอนครับ คิกๆ”
ตอนนี้ในใจของมายาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเคียดแค้น แต่สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือทำตามที่มัจจุนบอก เธอจึงต้องเดินต่อไปเพื่อไปคว้าเอาความสุขอันเป็นนิรันดร์ที่อยู่ปลายทางข้างหน้า
‘แกมันไร้สมอง’
‘ไร้ค่าจริงๆ แกมันโง่!’
‘เสียแรงจริงๆ ที่ฉันทนเลี้ยงแกมา’
“แกเลี้ยงฉันมาที่ไหน แกไม่เคยแม้แต่จะเรียกฉันว่าลูก หุบปากไปได้แล้ว ยัยแก่โสโครก”
เธอทนฟังสิ่งที่ยัยแก่นั่นพูดไม่ได้อีกต่อไป ทุกคำพูดที่ยัยนั่นพูดออกมามันทำร้ายจิตใจของเธอเหลือเกิน เธอเหนื่อยกับการใช้ชีวิตนี้ จนกระทั่งในที่สุดสายตาของเธอเริ่มเห็นแล้วว่าอีกไม่ไกลเธอก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ภาพทำร้ายจิตใจเหล่านั้นได้ถูกวนซ้ำในทุกๆย่างก้าวที่เธอก้าวเดิน เสียงก่นด่าของหญิงชราที่เรียกตัวเองว่าแม่ เสียงครวญครางในค่ำคืนแห่งความสุข เสียงรถคันโตบดขยี้ร่างของชายผู้เป็นพ่อ เธอร้องไห้ออกมาโดยไร้จุดสิ้นสุด สภาพของเธอในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้ เธอเดินต่อไปแม้ว่าขาใกล้จะหมดแรง เธอหมายมั่นเพียงหนึ่งสิ่ง สิ่งที่เป็นความหวังหนึ่งเดียวที่เธอฝากฝังไว้
‘ทำมันซะ ทำมัน ทำให้ฉันภูมิใจ’
และในที่สุดร่างของเธอก็มาปรากฎอยู่เบื้องหน้าโต๊ะที่มัจจุนบอกจนได้ ทันทีที่เธอมาถึงโต๊ะตัวนั้นสิ่งที่เห็นและได้ยินทั้งหมดก็กลับกลายเป็นเพียงความมืดที่ว่างเปล่าอีกครั้ง
“ยินดีด้วยนะครับ คุณมาถึงที่หมายแล้ว”
มัจจุนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวน้อยกระโดดลงมาแล้วผายมือให้มายาได้เดินผ่านไป ก่อนที่เขาจะกระโดดโลดเต้นราวกับมีเรื่องสนุกสนานรออยู่ตรงหน้า บนโต๊ะเล็กๆตัวนั้นมีรูปภาพรูปหนึ่ง มันเป็นรูปของเธอและพ่อ ตอนที่เธอยังอายุ 7 ขวบ ภาพนั้นรอยยิ้มของเธอมันช่างสดใส อ้อมกอดของพ่อมันเต็มไปด้วยความรัก ชีวิตเธอเองก็เคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขสินะ เธอมองภาพนั้นอยู่นานแล้วกอดมันอย่างแน่นหนา ก่อนที่เธอจะถูกขัดจังหวะโดยเสียงของเด็กน้อยคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ?”
เธอมองกลับไปยังต้นเสียงนั้นเพื่อจะได้ตอบโต้ แล้วก็ปรากฎร่างของเด็กสาวตัวน้อยคนหนึ่ง เธอยืนยิ้มแป้นอย่างมีความสุขอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มนั้นราวกับถอดแบบออกมาจากในรูปภาพที่หญิงสาวถืออยู่ เธอหลุดออกจากความคิดของตัวเองอีกครั้งหวังจะโต้ตอบกลับไป
“ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยสิคะ?”
ไม่ทันที่มายาจะได้ตอบกลับไปมายาตัวน้อยเดินเข้ามาจูงมือมายาสาวเดินไปในความมืดมิดอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือในขณะที่เธอก้าวเดินออกไป... เสียงก่นด่าของยัยแก่นั่นมันไม่มีอีกแล้ว ทั้งคู่เดินต่อไปโดยไม่รู้ว่าทางที่เดินอยู่จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่เด็กน้อยยังคงมุ่งมั่นที่จะพาเธอออกไป เธอเริ่มเดินออกไปจนไกลไปจากโต๊ะตัวนั้นเรื่อยๆ นั่นทำให้เธอทั้งกังวลและหงุดหงิด
“นี่พี่สาว รู้มั้ยว่าหนูหนะมีความฝันด้วยน้า”
เด็กน้อยเริ่มเอื้อนเอ่ยบทสนทนาแรกก่อนที่มายาจะเผยความหงุดหงิดออกมาแต่ถึงแม้ว่าเธอจะคอยให้ได้ยินเสียงตอบกลับนานเท่าไหร่ มายาก็ไม่ได้ตอบกลับไปแม้แต่น้อย
“หนู หนะน้า ชอบวาดรูปที่สุดเลย ไม่ว่าหนูจะเศร้า หรือจะมีความสุข หนูแค่วาดมันลงไป มันเป็นอิสระที่สุดเลยเนาะ”
“ก็คงงั้นแหละ”
“เพราะงั้น หนูก็เลยอยากจะเปิดแกลเลอรี่โตๆให้คนได้มาดูภาพที่หนูวาด หนูจะได้เล่าเรื่องราวที่หนูเจอให้คนอื่นได้รู้ผ่านรูปวาดของหนู มันคงจะดีสุดๆไปเลยอะ”
‘ฉันเคยมีความฝันเหมือนกันสินะ’
“แล้วถ้าเกิดว่าวันนึงดันมีเรื่องราว...ที่เธอไม่อยากรับรู้มันอีกแล้วบนรูปวาดของเธอหละ”
หญิงสาวถามไปโดยที่เธอเองก็ไม่ได้รู้ตัวว่าหลุดปากถามอะไรออกไป
“อืม ไม่รู้สิคะ หนูว่าทุกเรื่องราวมันก็ต้องมีส่วนที่ดีของมัน มันอยู่ที่เราจะเลือกมองตรงไหนมากกว่า คุณพ่อหนะสอนให้หนูยิ้มสู้ไว้เสมอ ไม่ว่าหนูจะเจอเรื่องแย่ๆแค่ไหน นี่ค่ะยิ้มแบบนี้”
‘ครั้งนึง ฉันเคยมีความสุขได้ขนาดนี้เลยเหรอ’
“นี่... พี่สาวร้องไห้อีกแล้วนะคะ เรื่องบางเรื่องทิ้งมันไปบ้างก็ได้นะคะ คุณพ่อบอกหนูว่าความทุกข์เนี่ยก็เหมือนกับก้อนหิน ยิ่งเราถือมัน เรากำมันแน่นแค่ไหนเราก็ยิ่งเจ็บนะคะ ปล่อยได้ก็ปล่อยไปเถอะค่ะ”
‘แปลกดีแฮะ ฉันที่โตเป็นผู้ใหญ่กลับกำลังโดนฉันที่เป็นเด็กสอนอยู่ซะได้’
เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งมายาตัวน้อยก็หยุดเดินแล้วปล่อยมือของเธอลงก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้เธออีกครั้ง
“เดินตรงไปอีกนิดนะคะ อีกเดี๋ยวพี่สาวก็เจอเขาแล้วค่ะ”
หญิงสาวก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ภาพรอบด้านก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจากภาพอันมืดมิด กลับกลายเป็นทางเท้าที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คน เธอเบียดเสียดเดินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อฝ่าฝูงชนไปได้แล้ว เธอได้พบกับชายคนหนึ่ง ชายที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ชายคนนี้คือบุคคลสุดพิเศษในชีวิตของเธอ
“คุณพ่อ...” เธอร้องเรียกออกมาด้วยความตกตะลึง ก่อนที่เธอจะวิ่งไปโผกอดชายผู้เป็นพ่อด้วยดวงใจที่มืดหม่นและเปี่ยมสุข
“มายา มายาของพ่อ” แววตาอันแสนอบอุ่นสอดส่องประสานเข้ากับแววตาของมายา นั่นทำให้เธอใจชื้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อ้อมกอดที่เธอไม่เคยได้รับมาเป็นระยะเวลายี่สิบปี เธอคิดถึงมันเหลือเกิน เธอร้องไห้อีกครั้งน้ำตาที่ไหลรินนั้นมันไหลออกมาเองโดยที่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้
“หนูขอโทษนะคะ...คุณพ่อ หนูขอโทษ” เธอสะอื้นไปพูดไปนั่นทำให้น้ำเสียงของเธอสั่นเทา เธอคาดหวังให้ชายผู้เป็นพ่อตบตีเธอ เธอจะได้หลุดพ้นจากบ่วงร้ายแห่งความรู้สึกผิดซักที แต่สิ่งที่ชายคนนั้นทำเขายื่นมืออันแสนอบอุ่นนั่นมาจับที่หัวของเธอแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา เขามองหน้าเธอด้วยแววตาที่เธอต้องการมันมากที่สุดอีกครั้ง เขายิ้มให้เธอด้วยความรัก
“ขอโทษพ่อทำไมเหรอ” เขายังคงส่งยิ้มอันเต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้นให้เธออยู่มายาใช้มือน้อยๆของเธอปาดน้ำตาของเธอออก
“หนูทำให้คุณพ่อ...คุณพ่อต้องตาย...คุณพ่อต้องตายก็เพราะหนู”
“พ่อไม่ได้ตายเพราะหนูซักหน่อย”
คำพูดเรียบง่ายนั้นทำให้มายารู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จิตใจของมายาได้ถูกเติมเต็มด้วยความสุขอีกครั้ง หมอกดำมืดที่บดบังจิตใจเธอมาเป็นเวลายี่สิบปีเริ่ม
“แต่ถะ...ถ้าวันนั้นหนูไม่ไปวิ่งเล่นอย่างนั้นคุณพ่อก็คง”
“นี่มายา พ่อจะบอกอะไรให้นะ พ่อไม่เคยเสียใจที่วันนั้นพ่อช่วยชีวิตหนูไว้ หนูเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตพ่อ ถ้าหนูเป็นอะไรไปนั่นแหละเป็นสิ่งที่พ่อจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปชั่วชีวิต”
แทนที่มายาจะหยุดร้องไห้คำพูดเหล่านั้นยิ่งทำให้มายาปล่อยน้ำตาที่คั่งค้างให้รินไหลออกมาราวกับนี่เป็นหยาดน้ำตาสุดท้ายในชีวิตแต่น้ำตาครั้งนี้เป็นน้ำตาแรกที่จะเกิดมาเพื่อสร้างความสุขให้มายา เธอไม่ได้ร้องไห้อย่างโดดเดี่ยว เธอปล่อยให้มันรินไหลอยู่ในอ้อมกอดของชายผู้เป็นที่รัก อ้อมกอดที่ล้ำค่าเหนือสิ่งอื่นใด คุณพ่อของเธอใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปลอบใจผู้เป็นลูกให้หยุดร้องไห้ได้สำเร็จ
“ดูสิเนี่ย มายาของพ่อตาบวมไปหมดแล้ว... หนูต้องรักตัวเองให้มากๆนะมายา อย่าเอาชีวิตของหนูไปผูกไว้กับใครนะ”
เขาเว้นจังหวะไว้ชั่วครู่ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าเขาสูดหายใจลึกเข้าไปจนเต็มปอด
“เอาหละพ่อว่าเวลาของพ่อน่าจะหมดแล้วหละ”
“คะ?”
“พ่อต้องไปแล้ว” เขาส่งแววตาเศร้าสร้อยให้กับผู้เป็นลูกสาวเขามอบรอยยิ้มแห่งความรักให้กับเธออีกครั้ง
“อะไรกันคะ หนูขออยู่กับคุณพ่อไปตลอดไม่ได้เหรอคะ”
“มายา ลูกต้องอย่าลืมสิ ลูกยังมีชีวิตอยู่นะ หนูยังมีอีกตั้งหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำไม่ใช่เหรอ พ่อจะรอดูอยู่นะ ลูกรักของพ่อ”
ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ รอยยิ้มยังคงแปดเปื้อนอยู่บนใบหน้าของชายผู้เป็นพ่อจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เขาจะจากไปตลอดกาล แต่ครั้งนี้ภาพที่มายาเห็นไม่ได้ทำร้ายมายาเหมือนกับครั้งที่ผ่านมาแต่อย่างใดเธอย่างก้าวเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้งพร้อมทั้งภาพของมายาตัวน้อยที่ยังคงยืนยิ้มแป้นให้เธออยู่ตรงหน้า
“เอาหละครับ มาถึงขั้นตอนที่คุณรอคอยซักทีนะครับ คุณผู้ถูกเลือก อย่างที่คุณเห็นกล่องในมือของผมมีสิ่งที่คุณต้องการอยู่ สิ่งที่จะทำให้คุณได้เข้าสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงแค่มาหยิบสิ่งนี้ไปแล้วยิงเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าคุณซะ อ๊ะ แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนไป หรือว่าคุณจะมอบอ้อมกอดแห่งความรัก ที่คุณไม่เคยมอบให้กับเด็กคนนี้ มอบกำลังใจให้เธอได้ทำตามความฝัน”
“คุณต้องเลือกระหว่างจะสร้างหรือจะทำลาย”
-จบ-
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ