ยางิว

-

เขียนโดย JonathanLivingston

วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.40 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,236 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 17.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ตอน-ยางิว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ความเย็นเยียบของน้ำที่เข้าประทะหน้าอย่างฉับพลันดึงสติของซามูไรหนุ่มกลับมาอีกครั้งเขาสะดุ้งตัวขึ้นทันใดมือขวาเอื้อมไปหยิบดาบแล้วชักมันออกโดยสัญชาตญาณ 

“ข้าอยู่ที่ไหน...เจ้าเป็นใครกัน”ซามูไรหนุ่มเงื้อดาบตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วเอ่ยถามชายชราที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ

“เจ้าอยู่ในป่าห่างจากทุ่งเซกิงาฮาระมาไกลพอควร”ชายชราเอ่ยตอบเรียบๆแกเป็นชายชราคะเนด้วยสายตาคงอายุราวหกสิบปีแต่งกายด้วยชุดแบบพระในนิกายเซนหากแต่ชุดนั้นเก่าคร่ำคร่าและขาดวิ่นเป็นจุดๆในมือซ้ายถือดาบไม้มือขวาถือถังน้ำแบบญี่ปุ่นกล้ามแขนเป็นมัดอันบ่งบอกถึงความแข็งแรงของพระชรารูปนี้ได้อย่างดี

เมื่อได้ยินพระชรากล่าวถึงเซกิงาฮาระซามูไรหนุ่มก็สติหลุดทันทีเขาพุ่งเข้าใส่พระชราอย่างสุดตัวก่อนจะเงื้อดาบฟันหมายไปที่หัวของพระชราอย่างสุดแรงเกิด แกเบี่ยงตัวหลบด้วยความเร็วที่แม้แต่ตัวซามูไรหนุ่มเองยังต้องอึ้งและก่อนที่ซามูไรจะได้เปลี่ยนกระบวนท่าโจมตีในจังหวะที่ซามูไรกำลังฟันดาบลงมานั้นเองพระชรารูปนั้นก็ใช้ดาบไม้ฟาดใส่ข้อมือของซามูไรในทิศตรงกันข้ามกับวิถีดาบของซามูไรหนุ่ม ซามูไรหนุ่มร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ดาบคาตานะจะร่วงลงพื้นเพราะมือของซามูไรแข็งเกร็งทำให้ไม่อาจจับดาบได้อีกต่อไป

“ท่านเป็นใครกันแน่!!”ซามูไรหนุ่มตะโกนลั่น

“เวลานี้ข้าคือสิ่งที่ท่านเห็นเป็นแต่เพียงพระชรารูปหนึ่งเท่านั้น”พระชรากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงปราศจากความรู้สึก

“แล้วเจ้าล่ะเหตุใดเล่าจึงต้องมาคิดอาฆาตแก่ข้าผู้เป็นแต่เพียงพระชราด้วย”พระชราเอ่ยถามซามูไรหนุ่ม 

“ข้าเห็นต้องเอ่ยขอโทษท่านเมื่อท่านเอ่ยถึงเซกิงาฮาระอันแสดงให้เห็นว่าท่านคงพอรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นที่ทุ่งอันนั้น ข้าไม่อาจเชื่อใจคนผู้ใดจากทุ่งนั้นได้อีกต่อไป”ซามูไรหนุ่มกล่าวพลางทรุดนั่งลงกับพื้น ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง

คงพ่ายแพ้มากระมังบางทีอาจเป็นซามูไรในสังกัดมิตสึนาริพระชราคิดในใจก่อนจะเอ่ยถามว่า 

“เจ้าเป็นซามูไรฝั่งมิตสึนาริหรือ?” 

“เป็นเช่นนั้นพวกเราพ่ายแพ้ อีกไม่นานอิเอะยะสึจะได้ครองแผ่นดิน”ซามูไรกล่าวตอบด้วยท่าทีหม่นหมอง

“แล้วมันเสียหายที่ตรงไหน?”พระชรากล่าวถาม

ซามูไรมองพระชราราวกับว่าพระรูปนั้นเสียสติไปแล้วก่อนที่ความโกรธจะประทุขึ้นกลางอกซามูไรหนุ่มผู้รู้สึกราวกับตนเองถูกหยามเกียรติ ถ้าหากว่ามือของเขายังคงทำตามบัญชาของจิตใจแล้วเขาจะสู้กับพระชรารูปนั้นอีกเป็นแน่ ซามูไรนึกในใจด้วยโกรธที่ร่างกายไม่ขยับตามประสงค์ของตน 

“ฆ่าข้าซะ”ซามูไรกัดฟันกล่าวด้วยความแค้น

“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น”พระชรากล่าวตอบ

“ข้าพ่ายแพ้ กองทัพข้าถูกตีแตก ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้านายไว้ได้แล้วตอนนี้เล่าแม้แต่จะจับดาบกระทำเซ็บปุคุเองก็ยังทำไม่ได้ ข้าเสื่อมเสียเกียรติมามากพอแล้ว”ซามูไรกล่าวทั้งน้ำตา

พระชราไม่ได้กล่าวตอบซามูไรหนุ่มแต่อย่างใดท่านเพ่งพินิจไปที่หน้าของซามูไรหนุ่มก่อนจะค่อยๆไล่สายตาไปตามชุดเกราะของซามูไร ตราประจำตระกูลอุคิตะบ่งบอกชัดเจนว่าชายผู้นี้เข้าร่วมกับมิตสึนาริ ฝ่ายพ่ายแพ้ในสมรภูมิ ซามูไรผู้นี้ทำให้พระชราระลึกถึงตนเองในวัยเยาว์ในวัยที่ช่างเต็มไปด้วยความเขลา

พระชรารูปนั้นหยิบดาบคาตานะขึ้นมาจับไว้ในมือเงื้อดาบขึ้นก่อนจะฟันใส่ใบไม้ใบหนึ่งที่กำลังร่วงลงสู่พื้นเมื่อตกถึงพื้นใบไม้ขาดออกเป็นสองส่วนตามวิถีดาบของพระชรา 

ซามูไรหนุ่มมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความฉงนพระชรารูปนี้แท้จริงแล้วคือใครกัน? ก่อนที่ความทรงจำจะผุดขึ้นในหัวของเขาอย่างช้าๆ เมื่อครั้งยังเป็นเพียงแค่เด็กเล็กๆที่กำลังฝึกวิชาดาบนั้นได้มีเสียงเล่าลือกันถึงนักดาบตนหนึ่งผู้สืบทอดแต่เพียงคนเดียวของสำนักดาบยางิว สำนักดาบที่ว่ากันว่าครอบครองวิชาดาบที่เอาชนะได้แม้แต่เท็งงุอยู่  เล่าลือกันว่านักดาบผู้นั้นคือนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน บ้างก็ว่านักดาบคนนั้นอาจเป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดตั้งแต่มีวิชาดาบมา อาจเก่งกาจกว่าผู้ก่อตั้งสำนักยางิวด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะลือกันอย่างไร สิ่งที่เป็นความจริงก็คือไม่มีนักดาบคนไหนในแผ่นดินเอาชนะนักดาบตนนั้นได้ แต่แล้วนักดาบตนนั้นกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ บ้างก็เล่าลือว่าเขาป่วยตาย บ้างก็ว่าเขาปลีกวิเวกตนเองเพื่อขัดเกลาวิชาดาบต่อไป

“เจ้าเห็นจะนึกออกแล้วกระมังว่าข้าเคยเป็นใคร”พระชรากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ทำไมกัน?”ในใจของซามูไรหนุ่มเต็มไปด้วยคำถามหากแต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดมากไปกว่านี้ได้

“เจ้าทำให้ข้านึกถึงตนเองในวัยหนุ่ม”พระชรากล่าวตอบพลางลดตังลงนั่งขัดสมาธิข้างๆซามูไร

“แผ่นดินโกลาหลถึงเพียงนี้คนมีฝีมือเช่นท่านเหตุใดเล่าจึงเก็บตัวอยู่เช่นนี้”ซามูไรกล่าวถาม

พระชรามิได้กล่าวตอบในทันที ท่านค่อยๆทอดสายตามองไปโดยรอบบริเวณนั้น  บัดนั้นเป็นเวลาเย็นแล้วดวงอาทิตย์กำลังคล้อยลงต่ำฉายแสงสุดท้ายของวันกระทบหมู่ยอดไม้ก่อให้เกิดเป็นเงายาวๆของกิ่งไม้ทอดยาวไปตามพื้นดินบริเวณนั้น  เงาเหล่านั้นทำให้พระชรานึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นราวสามสิบปีที่แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้นักดาบหนุ่มตนหนึ่งตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างแล้วออกเดินทาง  เดินทางลึกลงไปในจิตใจจิตวิญญาณของตนเอง

“ที่ประสาทนั่น”พระชราเอ่ยขึ้นเบาๆราวกับพูดกับตนเองมากกว่ากับซามูไร

“ประสาทงั้นเหรอ?”ซามูไรเอ่ยถามด้วยความสงสัย  เวลานี้ความเศร้าและความเจ็บปวดได้หายไปจากใจของซามูไรหมดแล้วเหลือแต่เพียงความอยากรู้เพียงเท่านั้น  เหตุใดนักดาบอันดับหนึ่งแห่งยุคจึงกลายเป็นเช่นนี้มีแต่เพียงจีวรที่ขาดวิ่นดาบไม้ถังน้ำเก่าๆติดตัวเท่านั้นไม่มีแม้แต่ดาบคาตานะสักเล่มดาบที่ว่ากันว่าถูกตีโดยมาซามูเนะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาบประจำตัวของท่านบัดนี้ไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไป

“เวลานั้นข้าคงอายุราวเดียวกับเจ้าตอนนี้  เจ้ารู้เรื่องการศึกที่ประสาทมิโนวะไหม?”พระชราเอ่ยถามซามูไร

“หามิได้ขอรับ”

“ฮึไม่แปลกเวลานั้นเจ้าเห็นจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”พระชรากล่าวพลางจ้องหน้าของซามูไรเพื่อที่จะคะเนอายุของซามูไรหนุ่ม

“เวลานั้นข้าอายุได้ราวสามสิบปีแม้จะอายุเพียงเท่านั้นตัวข้าในเวลานั้นก็เอาชนะได้ทุกสำนักดาบในแผ่นดินแล้ว”

“เรื่องนั้นข้าทราบดีขอรับหลังจากท่านหายตัวไปคนเขาก็ยังลือถึงตัวท่านเสียจนกลายเป็นตำนานแม้แต่ข้าเองที่ตอนเป็นแต่เพียงเด็กเล็กๆก็ยังรู้จักเรื่องของท่าน”

“เวลานั้นข้ายังหนุ่มแน่นวิชาดาบของข้าไร้เทียมทานดาบประจำกายของข้าถูกตีโดยมาซามูเนะข้าสามารถพูดได้ว่าไม่มีนักดาบหรือซามูไรคนใดในแผ่นดินสามารถล้มข้าได้โดยไม่ใช่การโกหกตนเองเลย

ในเวลานั้นเองที่เกิดศึกขึ้นที่ประสาทมิโนวะทัพม้าอันเกรียงไกรของตระกูลทะเคดะได้เข้ารุกรานประสาทแห่งนั้นตัวข้าและอาจารย์ของข้าได้เข้าช่วยเหลือไดเมียวผู้ปกครองประสาทแห่งนั้น  พวกเราป้องกันประสาทไว้ได้ถึงเจ็ดปี  แต่ท้ายที่สุดประสาทมิโนวะก็ถูกตีแตก”

“ตัวข้าในเวลานั้นไม่ต่างจากเจ้าในตอนนี้มากนัก ข้าพ่ายแพ้แม้แต่ประสาทหลังเดียวก็รักษาเอาไว้ไม่ได้  มันทำให้ข้าได้เข้าใจความจริงที่แสนเรียบง่ายข้อหนึ่งเป็นครั้งแรก ต่อให้เป็นนักดาบที่เก่งกล้าสักเพียงไรแต่นักดาบแค่เพียงคนเดียวนั้นเทียบไม่ได้เลยกับทัพม้าอันเกรียงไกรของตระกูลทะเคดะ”พระชราหยุดเล่าแต่เพียงเท่านั้น  ในเวลานี้ความมืดได้เข้าปกคลุมทั่วบริเวณนั้น  ความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นศัตรูร่วมกันของใครก็ตามที่ยังไม่ก่อกองไฟแล้วทำตัวเองให้อุ่น

“ตามข้ามาซามูไรเอ๋ยเจ้ายังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมากยังเร็วเกินกว่าที่จะหนาวตายหรือถูกสัตว์ป่าฆ่าเสีย”พระชราพูดพลางลุกขึ้นเดินนำซามูไรหนุ่มลึกเข้าไปในป่า

ที่พักของพระชราคือเพิงไม้ที่สามารถคะเนด้วยสายตาได้ไม่ยากว่าถูกสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามสิบปีซึ่งนั่นก็ทำให้พอเดาได้ว่าคงสร้างตั้งแต่พระชรารูปนี้เพิ่งออกบวช  ทั้งสองต่างนั่งผิงไฟที่ถูกจุดขึ้นอย่างเงียบๆ ราวกับต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตน ในห้วงความคิดของซามูไรหนุ่ม เขาย้อนนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดการรบในวันนั้น นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ตนประสบพบเจอมาตั้งแต่เป็นเพียงเด็กน้อยที่ฝึกวิชาดาบและนึกถึงเรื่องที่พระชราพึ่งเล่าให้ฟัง คิดทบทวนไปมาในหัว แล้วในห้วงความคิดนั้นเองที่ซามูไรหนุ่มเกิดคำถามขึ้นในใจ คำถามที่แสนจะเรียบง่ายแต่เขากลับไม่เคยถามตนเองมาก่อน คำถามว่าชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด แท้จริงแล้วมีความหมายอะไรกันแน่? และหลังจากเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ คำถามอื่นๆก็ตามมาราวกับการไหลบ่าของน้ำผ่านทำนบกั้นน้ำที่ได้พังลงแล้ว จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตจริงๆแล้วควรเป็นอะไรกันแน่? ทำไมคนเราถึงยังต้องทนทุกข์? แท้จริงแล้วเราควรยึดอะไรเป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิตของเรากันแน่?

“คำถามทั้งหมดนั่นสักวันเจ้าจะได้รับคำตอบ”พระชรากล่าวขึ้นราวกับรู้ถึงคำถามที่เกิดขึ้นในใจของซามูไรหนุ่มบางทีท่านอาจรู้ได้จากสีหน้าอันแสดงออกชัดเจนถึงความสงสัยของซามูไรหนุ่ม

“ข้าไม่เข้าใจ”ซามูไรหนุ่มกล่าวด้วยความรู้สึกสับสนท่วมท้นในใจความพยายามคิดหาคำตอบและคำถามเหล่านั้นพันกันยุ่งเหยิงในใจของซามูไรหนุ่ม

“การตั้งคำถามพวกนั้นคือก้าวแรกก้าวแรกบนเส้นทางที่ถูกต้องที่เจ้าไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของมัน”พระชรากล่าวน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“ข้าไม่ควรสับสนแท้จริงแล้วซามูไรย่อมได้รับคำตอบของทุกคำถามจากวิถีแห่งนักรบ”ซามูไรกล่าวพลางส่ายหน้าอย่างช้าๆ“แต่คำตอบที่ข้าได้มากลับไม่ได้ช่วยให้ใจข้าเลิกสับสนได้เลย”

“วิถีแห่งนักรบไม่ใช่ที่มาของคำตอบหากแต่แท้จริงแล้วมันคือบ่อเกิดแห่งคำถามทั้งหลายในใจของเจ้า”พระชราเงยหน้าจากกองไฟขึ้นมามองหน้าซามูไรหนุ่มนัยน์ตาเป็นประกาย 

ในชั่วเวลาที่ทั้งสองประสานตากันซามูไรหนุ่มก็เข้าใจได้ในทันทีถึงเหตุผลที่พระชราเข้ามาช่วยตนเอาไว้  ถึงเหตุผลที่พระชราพาตนมาพักที่เพิงไม้หลังนี้ความวุ่นวายสับสนในใจพลันมลายหายสิ้นเกิดปิติอย่างแรงกล้าขึ้นในใจซามูไรหนุ่มพร้อมกับศรัทธาอย่างหมดใจในตัวพระชรา 

“ท่านอาจารย์โปรดใช้ปัญญาของท่านชี้นำข้าด้วยเถิด  นับแต่บัดนี้ไปข้าไม่ใช่ซามูไรอีกต่อไป  ไม่ใช่นักดาบข้าจะขอเป็นแต่เพียงนักเดินทางที่จะเจริญรอยตามท่านเท่านั้น”ซามูไรหนุ่มกล่าวจบพร้อถอดคาตานะพร้อมฝักออกจากเอวแล้วเปลื้องชุดเกราะออกก่อนจะคุกเข่าลงคำนับพระชราอย่างนอบน้อม

“เจ้ายังต้องเดินทางอีกไกลนักลูกศิษย์จงไปนอนพักเอาแรงเสีย”พระชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ลูกศิษย์เอ๋ยคาตานะคืออะไร”นี่คือคำถามแรกที่พระชราเอ่ยถามศิษย์อดีตซามูไรในวันรุ่งขึ้น

“เวลานี้ข้าเห็นว่ามันเป็นแต่เพียงอาวุธของชนชั้นนักรบเท่านั้นขอรับ”ลูกศิษย์กล่าวตอบน้ำเสียงเต็มไปด้วยพลังของความกระตือรือร้นอยากจะเรียนรู้ทุกสิ่งที่พระชราสอน 

“ผิดแล้วล่ะศิษย์เอ๋ยนับแต่บัดนี้คาตานะจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่จะชี้นำเจ้าบนเส้นทางสายนี้”พระชรากล่าวก่อนจะชี้ไปที่ใบเมเปิลทสีแดงสดใสที่กำลังร่วงจากต้นไปตามสายลมยามเช้า “ศิษย์เอ๋ยจงฟันมันเสียเช่นเดียวกับที่ข้าเคยทำให้เจ้าดู”

ลูกศิษย์หนุ่มตั้งท่าเงื้อดาบแล้วฟันลงไปที่ใบเมเปิลที่กำลังร่วงลงพื้นแต่ไม่เป็นผล  ความหยุ่นและความเหนียวของใบไม้ทำให้มันติดไปกับคาตานะพันไปรอบคมของดาบแต่ใบไม้ก็ไม่ได้ขาดออกเป็นสองส่วนดังที่พระชราเคยทำให้เขาดู  ตลอดวันนั้นลูกศิษย์หนุ่มพยายามเช่นนั้นอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียวเย็นนั้นลูกศิษย์หนุ่มกลับไปที่เพิงไม้ด้วยใจที่ขุ่นมัวย่ิง 

“ดูเจ้าอารมณ์ไม่สู้ดีนักนะ”พระชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นศิษย์หนุ่มของตนเดินเข้ามาในเพิงไม้

“ข้าทำไม่สำเร็จ ข้าพยายามแล้วพยายามอย่างมากแต่ก็ทำไม่ได้บางทีเส้นทางสายนี้เห็นจะไม่เหมาะกับข้ากระมัง”ศิษย์เอ่ยตอบก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างพระชรา

“เจ้าทำมันไม่สำเร็จเพราะเจ้าพยายามจงเลิกพยายามแล้วมันจะสำเร็จ”พระชรากล่าวสอนศิษย์พลางมองหน้าลูกศิษย์หนุ่มอย่างใช้ความคิดก่อนจะกล่าวเสริมไปว่า “พรุ่งนี้หากเจ้าอยากทำให้สำเร็จเจ้าควรไปนั่งสมาธิที่น้ำตก”พระชราพูดเสร็จก็เข้านอนปล่อยให้ลูกศิษย์หนุ่มงุนงงกับวิธีการสอนของอาจารย์ของตน

แม้ว่าจะไม่เข้าใจมากนักว่าพระชราต้องการสื่ออะไรกับตนแต่ลูกศิษย์หนุ่มก็ตั้งใจว่าจะทำตามคำสอนของผู้เป็นอาจารย์ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเขาจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปยังน้ำตก  เขาวางดาบลงบนหินก้อนหนึ่งที่ไม่โดนน้ำกระเด็นใส่ เปลื้องผ้าออกทั้งหมดแล้วนั่งสมาธิอยู่ใต้น้ำตกนั่น  เวลานั้นคือราวเดือนตุลาคมอากาศจึงหนาวเย็นจับใจโดยเฉพาะเวลาเช้าเช่นนั้นจึงทำให้น้ำตกเย็นเยียบ  ความเย็นของน้ำที่ตกลงมาด้วยความแรงและเร็วผ่านผิวหนังทำให้ลูกศิษย์หนุ่มชาไปหมดทั้งตัว  ตาปิดสนิท หูได้ยินแต่เพียงเสียงของน้ำตกเท่านั้น ร่างกายชาปราศจากความรู้สึก จิตใจของลูกศิษย์หนุ่มจึงไม่วอกแวกไปไหนอีก เป็นแต่ตั้งมั่นอยู่ในใจของตนเท่านั้น ในภาวะแห่งสมาธินี้เองที่ลูกศิษย์หนุ่มเข้าใจคำสอนที่ผู้เป็นอาจารย์กล่าวกับตน เป็นความเข้าใจที่ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ความหมายจากคำสอนที่แสนเรียบง่าย สิ่งที่ตนไม่เข้าใจเมื่อวานมาบัดนี้แล้วช่างแสนเรียบง่าย ‘เจ้าพยายามเจ้าจึงไม่สำเร็จ’ศิษย์หนุ่มนึกทวนคำพูดของอาจารย์ในใจก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

ลูกศิษย์หนุ่มรีบลุกขึ้นแต่งตัวก่อนจะหยิบคาตานะไปยังบริเวณลานใบไม้ร่วงทันที  เวลานี้เขารู้แล้วว่าทำไมเมื่อวานตนจึงทำไม่สำเร็จ  ลูกศิษย์หนุ่มตั้งท่าเงื้อดาบเช่นเดียวกับที่ทำเมื่อวานแต่เวลานี้ศิษย์หนุ่มเข้าใจแล้วว่าการไม่พยายามหมายถึงสิ่งใด  เขาตั้งสมาธิตัดการรับรู้ทั้งหมดออกไปเวลานี้ป่าทั้งป่าโลกทั้งใบได้หายไปแล้ว  เวลานี้ศิษย์หนุ่มรับรู้เพียงแค่คาตานะที่อยู่ในมือตนกับใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงพื้น  มีเพียงสองอย่างนี้เท่านั้นในโลกของศิษย์หนุ่ม  ลูกศิษย์หนุ่มฟันลงไปที่ใบไม้ใบนั้นคราวนี้ใบไม้ขาดออกเป็นสองส่วนแล้ว 

พระชราที่คอยมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ตั้งแต่ต้นยิ้มอย่างพอใจด้วยนึกชื่นชมในความหัวไวของลูกศิษย์เมื่อลูกศิษย์หนุ่มหันมาพบอาจารย์ของตนยืนอยู่เขาก็รีบเข้ามาคุกเข่าคำนับอาจารย์ด้วยความนอบน้อม

“จงเดินต่อไปบนทางนี้เถิดแล้วเจ้าจะพบคำตอบของคำถามที่เจ้าเคยถามตนเอง”

หลังจากนั้นวันแล้ววันเล่าศิษย์หนุ่มก็พากเพียรฝึกฝนตนเองซ้ำๆอยู่เช่นนั้นกล่าวคือนั่งสมาธิใต้น้ำตกอาศัยความเย็นของน้ำในการฝึกฝนสมาธิของตน ฝึกปรือวิชาดาบด้วยการฟันใบไม้ที่ร่วงหล่นลงพื้นซึ่งก็เป็นการฝึกสมาธิในอีกทางหนึ่งเมื่อนานวันเข้า ใจของศิษย์หนุ่มผู้นั้นก็เข้าถึงสมาธิได้ต่อเนื่องยาวนานและลึกซึ้งเกินกว่าจะหาคนรุ่นราวคราวเดียวกันคนใดจะมาเทียบได้

เวลาผันผ่านเช่นนั้นเรื่อยไปพระชรามิได้สอนสิ่งใดแก่ศิษย์เพิ่มส่วนตัวศิษย์ก็ยังคงฝึกฝนตนเองอยู่เช่นนั้น จวบจนกระทั่งถึงยามเย็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงพระชรากำลังนั่งพิจารณาการฝึกของลูกศิษย์ตนและเห็นว่าเวลานี้ศิษย์หนุ่มมีพลังสมาธิมากเพียงใด พระชราจึงเชื่อมั่นในใจว่าเวลานี้ศิษย์ตนพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้บทเรียนถัดไป

“ศิษย์เอ๋ยจงฟัง”พระชรากล่าวพลางลุกขึ้นยืนโดยใช้ดาบไม้ยันไว้กับพื้นใช้เป็นไม้เท้า

“ข้าจะสอนกระบวนท่าลับที่สืบทอดกันมาในสำนักยางิวให้กับเจ้า มันจะพาเจ้าไปสู่อีกขั้นของการเดินทางนี้”หลังจากนั้นพระชราก็สอนกระบวนท่านั้นแก่ศิษย์จวบจนเมื่อได้สั่งสอนกันจนหมดความแล้วพระชราก็กล่าวถามศิษย์ว่า “ศิษย์เอ๋ยเจ้าได้เรียนรู้สิ่งใดจากการฝึกก่อนหน้านี้บ้าง?”

“ท่านอาจารย์ข้าได้เรียนรู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ไม่มีจริง มันเกิดจากการรับรู้และความคิดของเราเท่านั้น เมื่อเราตัดการรับรู้นี้เสียโลกนี้ก็จะไม่มีจริงอีกต่อไป”ศิษย์หนุ่มกล่าวตอบ 

พระชราพยักหน้าแสดงความเห็นด้วยก่อนจะเดินนำศิษย์ไปยังแอ่งน้ำอันเกิดจากน้ำตกก่อนจะสั่งให้ศิษย์ใช้ถังไม้ตักน้ำขึ้นมา

“ศิษย์เอ๋ยจงมองเงาในน้ำ”พระชรากล่าวกับศิษย์ก่อนจะกล่าวถามว่า “เจ้าเห็นอะไร?”

“เห็นเงาของตัวข้าขอรับอาจารย์”ศิษย์หนุ่มกล่าวตอบ

พระชรายิ้มกว้างก่อนจะกล่าวตอบศิษย์ไปว่า“ผิดแล้ว” เมื่อกล่าวจบก็เดินจากไปทิ้งให้ศิษย์หนุ่มนั่งงุนงงอยู่เช่นนั้น 

การฝึกฝนกระบวนท่าลับของสำนักยางิวนั้นเป็นอะไรที่ยากยิ่งที่จะทำให้สำเร็จเพราะการจะฝึกระบวนท่านี้ออกมาให้ได้สมบูรณ์แบบนั้นจำเป็นต้องเคลื่อนไหวให้ได้รวดเร็วอย่างยิ่ง รวดเร็วเกินกว่าร่างกายของอดีตซามูไรธรรมดาจะทำได้ จึงต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักซ้ำไปซ้ำมาจนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายจะร่ายรำไปเองโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจจิตใจ เช่นนั้นจึงจะถือว่าเป็นกระบวนท่าที่สมบูรณ์ ด้วยเหตุนั้นศิษย์หนุ่มจึงทุ่มเทตนเองอย่างหนักในการฝึกฝนกระบวนท่านี้เขาฝึกหนักเสียจนรู้สึกเจ็บปวดไปตามแขนราวกับมีใครจุดไฟลนไปตามผิวหนัง เป็นความเจ็บปวดทรมานอันเกิดจากการใช้ร่างกายหนักเกินไป ด้วยเหตุนั้นศิษย์หนุ่มจึงจำต้องหยุดฝึกเสียชั่วคราวเพราะร่างกายไม่อาจฝึกต่อได้นั่นเอง 

“ปวดเกินกว่าจะฝึกต่อได้สินะ”พระชรากล่าวขึ้นกับศิษย์เวลานั้นทั้งสองกำลังนั่งผิงไฟอยู่ด้วยกัน

“ขอรับ”

“หากเจ้ามองลงไปในน้ำเจ้าจะเห็นเงาของอะไร”

ศิษย์หนุ่มไม่ได้เอื้อนเอ่ยตอบไปเขาเคยเจอคำถามเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งแต่จากการฝึกฝนกระบวนท่าอย่างหนักได้เริ่มทำให้บางสิ่งบางอย่างในใจศิษย์หนุ่มเปลี่ยนแปลงไป “ข้า....ไม่รู้ขอรับ”ศิษย์กล่าวตอบผู้เป็นอาจารย์ตามสิ่งที่คิดในใจ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เห็นแท้จริงแล้วคืออะไร

พระชรายิ้มกว้างแสดงท่าทีพอใจในคำตอบก่อนจะกล่าวต่อว่า “ปวดตามกายมากใช่ไหมจงสั่งให้มันเลิกเจ็บสิ”

ในเวลานั้นคำพูดต่างๆของพระชราวนเวียนอยู่ในใจของศิษย์หนุ่ม แท้จริงแล้วเงาในน้ำนั้นคืออะไรกันแน่ เขานึกย้อนไปถึงการฝึกกระบวนท่านั้น บางครั้งร่างกายก็เคลื่อนไหวไปเองโดยปราศจากการสั่งการ  ความเจ็บปวดที่แขนและตามตัวกำลังประทุขึ้นมาในเวลาที่ศิษย์หนุ่มกำลังคิดอยู่นี้ศิษย์หนุ่มเห็นใจตนเองเคลื่อนจากการคิดไปรับรู้อาการปวดที่แขนและตามร่างกาย ‘สั่งให้มันเลิกเจ็บสิ’ ‘ผิดแล้ว’ ‘โลกที่เราอาศัยอยู่เกิดจากการรับรู้และความคิดของเราเท่านั้น’ คำพูดต่างๆวนเวียนในหัวศิษย์หนุ่มไปมาและในเวลานั้นเองที่ศิษย์หนุ่มเข้าใจทุกอย่าง  ดวงหน้าของเขาเบิกบานด้วยแจ้งในความจริงนี้ความปิติยินดีทำให้ใจของศิษย์หนุ่มเข้าสู่สมาธิและในสมาธินั้นเองใจของศิษย์หนุ่ม ใจอันแจ้งในความจริงนี้ ได้วางภาระหนักอย่างหนึ่งที่แบกมาทั้งชีวิตลงและใจที่รู้แจ้งอันนั้นจะไม่หยิบภาระนี้ขึ้นมาอีกแล้วตลอดกาล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องสั้นเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา