เรื่องสั้นขยันดอง : มัลลิกา (Re-upload)
เขียนโดย รินวิฬาร์
วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.51 น.
แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 15.34 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) บทกลาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ผมมองสำรวจหาทางเข้าทางอื่น จนหันไปเจอหน้าต่างบานหนึ่งที่แง้มอยู่เลยลองเอามืองัดๆดู แต่มันถูกล็อกจากด้านใน คงเป็นเพราะไม้มันเก่าแล้ว ขอบมันเลยปิดไม่สนิท ผมลองออกแรงเขย่าหนักๆสองที ตัวกลอนก็ลั่นออกจากรูที่ขอบหน้าต่างอย่างง่ายดาย
ผมพยายามโหนตัวขึ้นไปบนขอบหน้าต่าง ปีนอย่างเงียบเชียบและค่อยๆปิดบานหน้าต่างไว้เหมือนเดิม ภายในอาคารนั้นมืดทึม ผมยืนอยู่บนทางเดินของอาคารของชั้นหนึ่ง มันเต็มไปด้วยฝุ่นสีขาวจับตัวหนาจนแทบจะมองไม่เห็นรอยร่องของแผ่นกระดาน ฝั่งหนึ่งของทางเดินเป็นหน้าต่าง ส่วนด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นห้องเรียนที่ถูกปิดประตูไว้สนิทยาวตลอดแนว ปลายสุดของทางเดินนั้นเป็นบันไดไม้ที่ทอดตัวขึ้นไปยังชั้นสอง สภาพโดยรอบดูเก่า เต็มไปด้วยฝุ่นและหยักไหย่ หากแต่ยังอยู่ในสภาพดีไม่ได้มีอะไรผุพังอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
ไม่ใช่ว่าท่านผู้อำนวยการจะรื้อเอาไม้เก่าพวกนี้ไปขายหรอกนะ ไม้เก่าเนื้อไม้ดี แผ่นกว้างไม่ต่ำว่าหนึ่งเมตรดูแกร่งขนาดนี้คงราคาดีไม่น้อย
ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าย่ำไปมาอยู่เหนือศีรษะ ผมไม่รอช้า รีบเดินปรี่ตรงไปที่บันไดและก้าวขึ้นไปอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นายเข้ามาที่นี่ทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ผมที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปได้แค่ครึ่งทางสะดุ้งสุดตัว เสียงนั้นดังมาจากด้านล่าง เด็กสาวร่างผอมบางตัดผมสั้นเสมอหู ยืนเชิดหน้าแหงนมองมาที่ผม สายตามุ่งร้ายจ้องเขม่นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนตัวผมในขณะนี้รู้สึกชาไปทั้งร่างด้วยความพิศวงงงงวยกับเหตุการณ์ตรงหน้า
เธอควรจะอยู่ที่ชั้นสองไม่ใช่เหรอ บันไดทางขึ้นลงก็มีแค่ทางเดียว ไหนจะเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำตึงตังข้างบนตลอดเวลานั่นอีก แล้วเธอตรงหน้านี้ คืออะไรกันแน่
“...ธะ เธอน่ะแหล่ะ เธอเข้ามาทำไมที่นี่ ฉันเป็นกรรมการนักเรียนนะ ฉัน... ฉันก็จะมาลากเธอออกไปไงล่ะ” ผมพยายามคุมโทนเสียงตัวเองให้ปกติด้วยความยากลำบาก ยัยผมทรงกะลาครอบดูจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมพูดนัก
“ลงมาเดี๋ยวนี้ แล้วรีบไสหัวออกไปซะ” เห้ย นั่นมันน่าจะเป็นคำพูดของผมมากกว่านะ
ตึก ตึก ตึก ตึก
จากชั้นสอง เสียงฝีเท้ายังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง มันดังวนไปมา เหมือนกับเด็กที่วิ่งเล่นไป-กลับตามความยาวของระเบียงนอกจากเธอแล้ว ยังมีใครคนอื่นอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ ผมรีบวิ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของขั้นบันไดโดยมีเสียงเล็กๆโหวกเหวกโวยวายตามมาจากด้านหลังแบบติดๆ
“เดี๋ยวสิ ไอ้งี่เง่า ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
บนนั้นไม่มีใคร ไม่มีใครสักคน ผมได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าตัวผมควรจะรู้สึกยังไงดีกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมมองไปจนสุดทางเดินของตัวอาคาร ทุกอย่างว่างเปล่า ประตูทุกบานปิดเงียบไม่มีร่องรอยอะไร ไม่มีแม้แต่รอยเท้าสักลอยด้วยซ้ำ
“พอใจรึยังล่ะ ลงไปได้แล้ว” ยัยกะลาครอบกำชายเสื้อผมแล้วกระชากแรงๆ ผมหันกลับไปพร้อมกับจับที่ไหล่เล็กๆทั้งสองข้างของเธอแล้วเขย่าเบาๆเป็นการเอาคืน
“เธอต้องบอกฉัน ว่ามันเกินอะไรขึ้น ยัยกะลาครอบ” เธอสบตาผมด้วยใบหน้าเรียบๆ ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องนิ่งมาที่ผมอย่างไร้อาการแสดงออก
“ก็ผียังไงล่ะ” ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยค ผมปล่อยมือออกจากไหล่นั่นแล้วถอยหลังออกมาช้าๆ สายตายังจ้องนิ่งที่ร่างเล็ก บอบบางตรงหน้าราวกับกำลังกลัวว่าร่างของเธอนั้นจะแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นอะไรอย่างอื่นที่น่าหวาดกลัวเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ
“ผีไม่มีในโลกหรอก ไร้สาระ” ผมตอบออกไปทั้งที่ในใจก็เริ่มไขว่เขว คราวนี้เธอถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“ฮะฮะฮะฮะ คิดแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ?” เธอใช้นิ้วมือเล็กๆกรีดเช็ดน้ำตาที่หางตาตัวเองเบาๆ และยังไม่สามารถที่จะหยุดหัวเราะได้
“ก็แหงล่ะสิ เธอจะบอกว่าเธอเป็นผีรึไง”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย รีบกลับไปได้แล้ว”
“นั่นมันคำพูดฉัน เธอน่ะลงไปได้แล้ว ที่นี่ห้ามเข้า เธอก็น่าจะรู้นะ” ผมยังคงคาใจกับตัวตนของเธอแต่ก็ยังพูดออกไปแบบนั้น
“ฉันไปไหนไม่ได้หรอก ฉันต้องอยู่ที่นี่” เสียงนั้นเบาลง ดวงตาสีดำสวยฉายแววเศร้า เธอเดินไปที่ราวระเบียงทางเดินแล้วดีดตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาด้วยท่าทางแบบที่ผมเคยเห็น
“ทำไม?” เหมือนถามออกไปแบบอัตโนมัติ ทั้งๆที่ความรู้สึกลึกๆในใจผมไม่ได้อยากรู้คำตอบนั้น
“ไม่เสือกดิ่ ลงไปได้แล้ว” โว๊ะ! ผมปรับอารมณ์แทบจะไม่ทัน ยัยนี่เป็นเด็กอะไรแบบนี้ ใช้คำพูดคำจาใหญ่โตโออวดตลอดเลย
“เธอนั่นแหล่ะ ลงมานี่เลย ไป! กลับลงไปด้วยกันนี่แหล่ะ เร็วๆเลย มืดแล้วเนี่ย” ผมกระชากตัวเธอลงมาจากราวระเบียง สุดท้ายเด็กก็คือเด็ก ยัยกะลาครอบนั้นดิ้นเร้าๆโวยวายลั่นขัดขืนการจับกุมของผม
“โอ้ย ไอ้บ้านี่ ปล่อยโว้ย ปล่อย ปล่อยเซ่!” แค่มือเพียงข้างเดียวของผมก็สามารถกำรวบข้อมือเล็กๆทั้งสองของเธอไว้ได้สบายๆ
“เธอกำลังขัดขืนกฎระเบียบของโรงเรียนอยู่นะ ที่นี่มันอันตราย ลงไปเลย นี่คือคำสั่ง!”
“เป็นแค่กรรมการนักเรียน เบ่งยังกะคนขี้ท้องผูกเลยนะ ไอ้งี่เง่า” โห ให้ตายเถอะ คำพูดของเธอแต่ละคำนี่ช่างสวนทางกับรูปร่างหน้าตาซะเหลือเกิน
ตึก ตึก ตึก ตึก
ทั้งผมและเธอหยุดนิ่งและมองไปที่ระเบียงทางเดิน เสียงฝีเท้าย้ำเข้ามาหาเราทั้งคู่อย่างช้าๆโดยที่ไม่มีตัวตนใดของผู้มาเยือน แต่แล้วทุกอย่างก็นิ่งไป เหลือไว้แต่เสียงลมที่พัดใบไม้ดังซู่ซ่าอยู่ด้านนอกตัวอาคาร ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับว่าพายุกำลังจะมา สายลมเย็นเยือกที่หอบกลิ่นหอมของดินและกลิ่นอ่อนๆของดอกไม้กลางคืนมาจนกรุ่นไปทั่วบริเวณ
“เธอ...”
“ชู่ว์!” เธอใช้มือปิดที่ปากผม สีหน้าดูกังวล สายตากวาดมองไปมารอบทิศทางด้วยท่าทางระแวดระวัง
“มันมาแล้ว” เธอสะบัดมือผมทิ้ง “รีบลงบันไดไปซะ เร็วเข้า!” เธอผลักหลังผมแรงๆแต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวขยับไปไหน อยู่ดีๆ ร่างของเธอก็ปลิวระลิ่วไปกระแทกกับผนังห้องไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ถูกขว้างปา
ตึง!!! ร่างเล็กกระแทกลงพื้นนิ่งไม่ขยับไหวติงแม้แต่น้อย ผมได้แต่ยืนอึงอยู่ที่เดิม ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
“มัลลิกา...มัลลิกา...ข้าจะกินมัน...”เสียงแหบพร่าดังขึ้นแบบไร้ที่มา ผมกวาดสายตาไปมารอบๆแต่ก็มองไม่เห็นว่าที่นี่จะมีใครอีกนอกจากผมและเธอ
“อย่าเข้ามานะ!” เธอตะหวาดเสียงใส่ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเธอ “กลับลงไปซะ ถ้านายไม่ตัดสินใจตอนนี้ นายจะไม่ได้กลับไปอีกเลยนะ” เธอยันตัวขึ้นยืนซวนเซ แขนเล็กๆปาดเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลยาวมาถึงปลายคาง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอเป็นใครกันแน่?” เธอยืนนิ่งไม่ให้คำตอบใดๆแก่ผม
“มัลลิกา...”เสียงเรียกนั้นดังมาอีก เป็นเสียงที่แหบแผ่วราวกับดังออกมาจากที่ไกลๆ
ตึกๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าระรัวถี่วิ่งเข้ามาใกล้ทั้งๆที่ผมไม่สามารถมองเห็นใครหรืออะไรเลย ผมได้แต่ยืนทื่ออยู่ด้วยความตกใจ และในจังหวะนั้นเอง ยัยกะลาครอบนั่นก็ฉุดข้อมือผม
“วิ่ง!”
“วิ่งไปไหนล่ะ”
“วิ่งไปเถอะน่า ไอ้งี่เง่า!”
ถ้าวิ่งกันจริงๆผมคิดว่าไม่น่าเกินห้าก้าวก็น่าจะถึงผนังที่เป็นทางตันไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ เราสองคนยังวิ่งไปข้างหน้าแบบสุดกำลังขา วิ่งเท่าที่จะวิ่งให้ไวได้ ระเบียงทางเดินข้างหน้าเราในขณะนี้มันยาวไกลออกไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ข้างหน้าก็มืดสลัวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทางฝั่งที่เป็นระเบียง ผมมองออกไปข้างนอก ทุกๆอย่างดูไม่เหมือนกับสภาพปกติอย่างที่เคยเป็น ตึกเรียนอื่นๆหายไปจนหมดเหลือไว้แค่ต้นไม้สูงใหญ่รายล้อมรอบตัวอาคาร ท้องฟ้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนก้อนโตหายไป มีเพียงท้องฟ้าสีดำสนิทที่เกลื่อนไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
“นี่มันอะไรกัน” ผมชะลอฝีเท้า
“อย่าอยุดวิ่งนะเห้ย!” เธอเกรี้ยวกราด
“มัลลิกา...มัลลิกา...ข้าจะกินมัน” เสียงนั้นตามมาติดๆ
“ไม่ได้! ห้ามกินเขาเด็ดขาด”
“เห้ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย” ผมสับสนไปหมด นี่กำลังฝันร้ายอยู่รึไงกัน ผมเริ่มหอบหายใจขัดด้วยความเหนื่อยจุก ผิดกับเธอ ยัยกะลาครอบตัวแสบยังวิ่งไปด้วยสีหน้าชิลๆไม่มีเหงื่อสักเม็ด
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างมนุษย?สามัญธรรมดากับวิญญาณอย่างงั้นหรือ
ไม่! ไม่สิ! นี่ผมกำลังจะเชื่อเรื่องผีเรื่องวิญญาณ จะเชื่อสิ่งที่ผมลงความเห็นว่ามัน ไร้สาระ มาตลอด 16 ปีแล้วรึไง เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ทุกอย่างมันต้องมีที่มาที่ไป แต่มีคำอธิบายสิ!
ผมหยุดวิ่งลงกะทันหัน พร้อมกับหันกลับหลังไปมองสิ่งที่ตัวเองกำลังวิ่งหนี สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าในขณะนี้คือความมืดดำ ที่มืดกว่าจุดอื่นๆบนระเบียง เงาดำใหญ่นั้นครอบคลุมตั้งแต่พื้นระเบียงและสูงจรดเพดาน เมื่อจ้องดูดีๆจะสังเกตได้ว่ามันขยับขยุกขยุยมีการเคลื่อนไหว
“ทำบ้าอะไรของนายน่ะ” เสียงเธอตะหวาดใส่ผมกราว พร้อมกับมือเล็กๆที่พยายามฉุดกระชากให้ผมวิ่งต่อไปแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
ผมทรุดลงนั่งกับพื้น สายตายังจับจ้องไปที่เงาดำๆนั้น ดูการเคลื่อนไหวแปลกๆไร้ทิศทางของมัน บางทีก็ขยับงอกออกมาเป็นแขน บางทีก็เหมือนจะมีเงาเป็นรูปใบหน้านับสิบที่บิดเบียวผิดสัดส่วนขยับเบียดกันออกมาจากเงานั้น
กลัว ผมกลัวเกิดกว่าจะขยับ ผิดกับมัน เงาดำตรงหน้ายังขยับเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เซ่!” เธอฉุดผมขึ้นแต่ก็เปล่าประโยชน์ ผมในตอนนี้แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอแล้วด้วยซ้ำ
“มัลลิกา มัลลิกา ข้าจะกินมัน” เงานั้นแหวกช่องตรงกลางออก ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่เปิดขยายเป็นรูปปากที่มีฟันซี่เล็กถี่ๆจำนวนมาก ของเหลวสีดำกลิ่นแรงไหลหนืดๆออกมา ลึกลงไปในปากนั้น ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่สมส่วนจำนวนมากร้องโหยหวน มือนับสิบคู่เหยียดออกมายุบยับเหมือนจะพยายามไขว่ขว้าหาทางออกจากหลุมก็ไม่ปาน
“ไม่ได้ กินไม่ได้” เธอตะโกน “ไอ้งี่เง่า ลุกเดี๋ยวนี้นะ ถ้านายโดนมันกิน นายจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล” เธอกระชากผมขึ้นแล้วเหวี่ยงตัวผมลงไปที่บันได
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ