ห-ล-อ-น-ล-ว-ง
เขียนโดย cozy
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 08.51 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561 10.22 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) แทนที่ (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
กว่าสามทุ่มเข้าไปแล้ว ทรายยังไม่ได้กลับบ้าน ต้องอยู่ที่ทำงานเพื่อเคลียร์งานให้เสร็จ
“ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนก็แบบนี้แหละสินะ” ทรายคิดในใจ กรรมกรในคราบผู้สำเร็จระดับปริญญาเราดีดีนี่เอง ทุกคนจบมาถ้าพ่อแม่ไม่รวยพอจะมีกิจการไว้รอให้ทำต่อหรือลงทุนให้ในสิ่งที่ชอบ มันก็ต้องหางานทำเลี้ยงชีวิตกันไป บางคนได้งานที่ตนเองต้องการหรือชอบและหวังไว้ แถมยังได้เงินเดือนตอบแทนในระดับที่สูงจนเกินกว่าคำว่าพอใจ พวกนี้ถือว่าโชคดีมาก บางคนไม่ได้ทำงานที่ชอบที่รักแต่งานที่ทำก็มีรายได้ดีพอที่จะอยู่ในสังคมแบบยกย่องนับถือเงินนำหน้าอย่างนี้ได้อย่างไม่อายใครก็ยังถือว่าโอเค แต่คนส่วนใหญ่เกินครึ่งค่อนมักจะเหมือนทรายคือได้งานที่ไม่ได้ชอบอะไรเท่าไหร่ แถมรายได้ก็พอแค่เลี้ยงตัวเองไปเดือนชนเดือน เผลอๆทนทำไปเรื่อยๆก็ผ่านไปสิบปีสิบห้าปีไม่รู้ตัว พอคิดจะไปทำอย่างอื่นในสภาพการแข่งขันตอนนี้และมองถึงอายุริมๆสี่สิบของตัวเองก็คิดไม่ตก ทรายจึงยอมทุ่มเทตามคำสั่งทุกอย่างเพื่อที่จะรักษางานที่นี่เอาไว้ให้นานที่สุด
และแม้ว่าบางสถานการณ์ ทรายจะไม่ค่อยอยากจะทุ่มเทขนาดนั้นก็ตาม
บริษัทของทรายเป็นตึกแถวอยู่ในซอยลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ราวๆสี่ร้อยเมตร การอยู่ทำงานถึงสี่ห้าทุ่มจึงดูน่ากลัวไม่น้อย จริงๆเรื่องความปลอดภัยก็ดีในระดับหนึ่ง บริเวณนอกตึกและชั้นล่างสุดหลังหกโมงจะมียามมาเฝ้าอยู่ดูแลความปลอดภัย แต่กุญแจจะล๊อกประตูบนตั้งแต่ชั้นสองเอาไว้ จะว่าไปแล้วถึงจะเลิกงานค่ำแค่ไหนการเดินทางกลับก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะทรายลงทุนผ่อนอีโคคาร์คันเล็กๆไว้คันหนึ่งเพื่อความสะดวกและปลอดภัยจากการเดินทางในยุคปัจจุบัน แต่ที่ทรายไม่ชอบอย่างมากคือบรรยากาศบนตึกชั้นสามในห้องทำงานที่เธอจะต้องอยู่ตามลำพังหลังพระอาทิตย์ตกดิน
ตึกนี้เป็นตึกเก่าที่นายเจ้าของบริษัทซื้อมาตกแต่งใหม่ ออฟฟิตนี้เพิ่งย้ายกันมาได้แค่ไม่ถึงเดือน เป็นบริษัทส่งออกสินค้าพวกผลไม้อบแห้งต่างๆไปประเทศจีนและฮ่องกง ตอนแรกๆบริษัทนี้เช่าห้องแถวสองชั้นอยู่หลายปี แต่พอดีสองปีหลังมานี้ขายดีขึ้นเป็นเทน้ำ เจ้าของจึงหาตึกใหม่ที่กว้างขวางขึ้นและมาลงตัวที่นี่เพราะว่าราคาถูกใจ ค้าขายข้ามชาติแบบนี้ เวลาที่แตกต่างกันทำให้การทำงานล่วงเวลาต้องมีบ่อยๆ ในบริษัทชั้นสามเป็นอาณาเขตฝ่ายบัญชีของเธอกับพนักงานอีกสองคนฝากหนึง อีกฝากกั้นเป็นห้องเจ้าของบริษัทและเลขาอยู่ด้านในสุดและห้องประชุมรวมตามวาระต่างๆเป็นห้องกระจกอยู่ด้านหน้า บางครั้งฝ่ายขายชั้นสองก็มีคนอยู่บ้างพอให้อุ่นใจ แต่บางครั้งก็ไม่มีใครเลย แม้แตเวลากลางวัน ถ้าเธออยู่คนเดียวก็จะรู้สึกหลังคอเย็นๆแบบแปลกๆ ขนาดลุกไปปิดแอร์ก็เคย ที่ทำงานเก่าไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ บางทีอยู่ถึงหลังเที่ยงคืนก็ยังเฉยๆ แถมไม่พอตึกใหม่นี้บันไดด้านหลังออกจะชันสูงพอสมควร สองสามครั้งแล้วทรายต้องรีบๆปิดไฟแล้วก้มหน้างุดๆวิ่งลงมาให้ถึงชั้นล่าง เคยสะดุดจะตกบันไดก็หลายที กว่าจะกลั้นใจล๊อกประตูชั้นสองและเดินออกมาได้
ปรกติไอ้ตึกนี้ มันก็มีอะไรแปลกที่ทำให้ทรายขนลุกเป็นประจำเวลาทำงานโอทีอยู่แล้วแต่ทุกครั้งอย่างมากก็ทุ่มสองทุ่ม แต่วันนี้ปาไปจะสี่ทุ่ม ถึงตอนนี้ทรายนึกงอนน้องยู้นิดๆที่เปิดประเด็นให้เธอมานั่งหลอนเพียงลำพัง
“พี่ทรายรู้ไหม ตึกนี้น่ะ เมื่อก่อนเคยเป็นอะไร” เมื่อวันนี้น้องยู้ฝ่ายขายต่างประเทศ ผู้รอบรู้สังคมใกล้ตัวทุกอย่างกระซิบกระซาบกับทรายระหว่างเวลาพักทานอาหารเที่ยง “เป็นอะไรเหรอ น้องยู้” สาวร่างเล็กลดเสียงลงต่ำๆและบอกว่า “ก็เป็นบริษัทประกันเรื่องรองไง พี่ทราย เปิดได้หลายปี แต่อยู่ๆก็ปิดและย้ายไปที่อื่นเพราะอะไรรู้ป่าว” “อะไรล่ะ ขาดทุนเหรอหรือย้ายไปอยู่บนห้างฯ” ทรายถามเรื่อยๆ
“แหม ง่ายๆแบบนั้นหนูจะเอามาเล่าให้พี่ฟังทำไม” น้องยู้หัวเราะคิคิ “มันมีเรื่องน่าขนลุกน่ะสิ” “เฮ้ย ไม่ต้องเล่า เย็นนี้พี่อยู่คนเดียวจนถึงค่ำ”ทรายรีบพูดขัดขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น “น่าๆฟังหน่อยนะ”สาวร่างอวบรีบขี่แพะไล่ “ไม่เอาๆๆ อย่านะ” ทรายพูดพลางรีบรวบช้อนและเดินไปที่ซิงค์ล้างจานเป็นเชิงจบการสนทนา ปล่อยให้น้องยู้นั่งยิ้มล้ออยู่บนโต๊ะไปลำพัง
สี่ทุ่มครึ่ง ทรายนั่งทำงานปิดยอดประจำสัปดาห์และเตรียมเอกสารการโอนเงินจนเสร็จสรรพ ก่อนจะจัดเอาทั้งหมดเก็บไว้ในโต๊ะ งานยากก็คือจะปิดไฟลงไปข้างล่าง ซึ่งตอนนี้ไฟเปิดไว้สว่างโร่ทั้งตึกด้านในและด้านนอกรวมทั้งทางเดินลงบันได ที่ชั้นสองทรายก็บอกให้เปิดไฟทิ้งไว้ก่อนที่พนักงานคนสุดท้ายจะกลับไปราวๆหนึ่งทุ่ม ทุกอย่างเงียบสงัด ก่อนที่ทรายจะได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้นที่ห้องประชุมตรงกันข้าม มันคล้ายๆกับเสียงคนกำลังเลื่อนเก้าอี้ “เอี๊ยดดดด เอี๊ยดดดด” มันดังลากยาวราวกับกลัวไม่มีใครได้ยิน ทรายสะดุ้งจนขนลุก ค่อยๆเดินไปที่ประตู มองไปยังห้องประชุมตรงกันข้ามที่เป็นกระจกใส ถึงข้างในจะไม่เปิดไฟไว้ แต่ไฟจากตรงโถงกลางก็ให้แสงสว่างพอจะมองเข้าไปได้ว่าไม่มี “อะไร” อยู่ในนั้น
ทรายมองไปรอบๆ ที่ท้ายทอยรู้สึกเย็นๆอีกครั้ง ก่อนที่กลั้นใจเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อหยิบกระเป๋าและข้าวของ แต่เพียงฉับพลันที่เธอหันหลังจากประตูเท่านั้น เสียงมันก็ดังอีกรอบแต่คราวนี้ไม่ใช่เสียงลากเก้าอี้ แต่เป็นเสียงที่ปิดประตูจากห้องเจ้าของด้านถัดไปจากห้องประชุม เสียงมันดัง “ปัง” สั่นเหมือนถูกใครกระแทกแรงๆ ทรายสะดุ้งสุดตัว ทรายรีบหันกลับไปมองทางห้องนั้น และทรายแทบจะหัวใจหยุดเต้นเมื่อเธอเห็นเงาร่างหนึ่งลอยอยู่ตรงประตูห้อง ร่างนั้นเป็นผู้หญิงผมยาว ขาไม่ติดพื้นสูงขึ้นมาจนส่วนหัวจะชิดเพดาน แม้ไฟที่ส่องเข้าไปจะสลัวๆ แต่ทรายก็เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่แดงก่ำอย่างชัดเจน ทรายไม่มีสติแม้จะกรีดร้องออกมา และทันทีที่ได้ยินเสียงโหยหวนเยือกเย็นเหมือนคนกำลังเจ็บปวดออกมาจากร่างนั้น สัญชาติญาณตอนนั้นมันจึงสั่งให้ทรายวิ่งออกจากตึกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทรายรีบวิ่งโครมครามลงมารวดเดียวถึงชั้นหนึ่ง ชนิดที่ยังแปลกใจทีหลังว่าไม่ตกบันไดขาหักได้ยังไง พรวดพราดออกไปด้านหน้า การที่ทรายไม่ร้องอะไรออกมาเลยซักนิดแต่นั่นคงเป็นเพราะตกใจอย่างแรง เมื่อเจอลุงยามพันลพยืนอยู่ด้านหน้าตึก ดูแกตกใจพอสมควรที่เห็นสภาพทรายวิ่งโตรมครามลงมาอย่างนั้น ทรายยืนตัวแข็งจ้องลุงลพขาสั่นพับๆ มือจับแขนลุงยามไว้แน่น หน้าซีดปากสั่น พูดอะไรไม่ออก แต่ปากคอสั่นเทาไปหมด
“คุณทราย คุณทรายเป็นอะไรหรือครับ ตกใจอะไรมา” ลุงลพชายชราวัยเจ็ดสิบเศษรูปร่างเล็กผอมเกร็ง ทางบริษัทจ้างไว้ให้ดูแลตึกตอนกลางคืนมาหลายปีแล้ว จะขอพักเจ้าของก็ไม่ยอมเพราะเชื่อใจแก แกเรียกชื่อทรายซ้ำๆสองสามรอบ ทรายเริ่มคืนสติและร้องกรี๊ดออกมาลั่นครั้งหนึ่งแล้วก้มหน้า มือที่จับแขนลุงยามไว้ยังจับแน่นไม่ยอมปล่อย ลุงยามแกก็รอจนทรายนิ่งไปอีกครั้งค่อยถามซ้ำ ทรายจึงพอจะตอบกลับแกได้ว่า “ลุงๆ ทรายกลัว ตกใจ ข้างบนมันมีอะไรไม่รู้มาหลอกทราย ทรายเห็นเต็มๆตาเลยวิ่งหนีลงมา” ทรายพูดเสียงสั่นๆ “มันมีอะไรหรือครับ คุณทราย” ลุงลพถามด้วยแววตาและน้ำเสียงค่อนข้างห่วงใย “ไม่รู้สิลุง อยู่ดีๆทรายก็ได้ยินเสียงเก้าอี้เลื่อนเสียงดังเอี๊ยดดดด ทางห้องประชุม หันไปมองก็ไม่มีใคร พอคิดว่าไม่มีอะไร แค่หันหลังเท่านั้นแหละ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูเสียงดังลั่น พอหันไป ทรายก็เจอ เจอ และเสียงมันก็ร้อง มันหลอนมากเลยลุง” ทรายพูดได้แค่นี้ก็หยุดสะอื้นฮักๆ
ลุงยามพันลพมองไปข้างบนและพูดเปรยๆขึ้นว่า “เฮ้อ สงสัยจะอยู่ด้วยกันดีๆไม่ได้ละมั่งนี่” “อะไรเหรอลุง อะไรอยู่ด้วยไม่ได้” ทรายถามเสียงสั่นๆ “ก็ลุงก็เคยเจอ” ลุงลพพูดถอนหายใจ “ตอนย้ายมาที่ลุงมาเฝ้าวันแรก ลุงก็เหมือนได้ยินเสียงคนเดินไปมาข้างบน ตอนแรกก็คิดว่าหูมันฝาดมันเฝือนไป แต่ดึกๆเข้ากลับได้ยินชัดขึ้น บางคืนก็เป็นเสียงร้องให้ ลุงเองก็ไม่คิดจะไปรบกวนอะไรเขา ได้ยินก็แผ่เมตตาให้ และก็นึกในใจแค่ว่าอย่าวุ่นวายกันเลยนะ ต่างคนต่างอยู่กันไปเถอะ อย่างมากลุงก็มานั่งอยู่ข้างนอกนี่แหละ ซักพักก็เงียบไปเอง จริงๆก็เคยบอกคุณศักดิ์เจ้าของแกแล้วว่าทำบุญเลี้ยงพระซักหน่อยดีไม่ดีหรือ แกก็พลัดวันไปเรื่อยๆ ลุงก็ไม่รู้จะทำยังไง”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ