Last Memory Before Daylight
7.5
เขียนโดย BlackParasyte
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.36 น.
2 ตอน
1 วิจารณ์
4,643 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560 13.27 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) บันทึกไม่มีชื่อ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ฉับ! เป๊ง! ใบมีดนั่นผ่านหลังผมไปเพียงไม่ถึงศอก ผมหลบเธอได้อีกครั้งหนึ่ง เธอเหนื่อยหอบอีกครั้งเมื่อผมหันกลับไปเห็น "บ้าจริง ทำไมต้องฉัน" ความคิดของผมตั้งคำถามอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นสองคนนั้นกระโดดออกจากหน้าต่างทั้งสองฝั่งของอาคาร ไม่มีเวลาคิดนาน ผมต้องวิ่งต่อไป ตอนนี้ในตัวอาคารอาจไม่ปลอดภัยสำหรับผมอีกแล้ว ผมวิ่งออกมาด้านนอก ทางที่จำได้ว่าเคยมีเสียงบางอย่างถูกทำลาย ตรงนั้นอาจมีคนอื่นอยู่อีกด้วย หัวใจยังคงเต้นระรัวไม่มีจังหวะ หญิงหม้ายยังคงตามล่าผมอยู่ ดั่งคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เธอไม่เคยลดละ เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ระยำ ผมไม่มีทางวิ่งได้เร็วกว่านี้อีกแล้ว ผมวิ่งหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายซับซ้อนกันอยู่ข้างหน้า วูบ! เธอเลยผ่านหน้าของผมไป ผมวิ่งกลับไปทางเดิมที่ผมเคยมาอีกครั้ง วูบ! ไม่จริง เธอทำอย่างนั้นได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ผมควรรู้ให้เร็วกว่านี้
ฉัวะ! ใบมีดนั่นเฉือนผ่านหัวไหล่ขวาของผม ผมกรีดร้องดังลั่น เจ็บปวดปานโดนไฟแผดเผา แต่ผมหยุดวิ่งไม่ได้ นั่นอาจหมายความว่าผมต้องตายอยู่ที่นี่ ผมตรงไปยังกองซากปรักหักพังของสิ่งที่ครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นอาคารเล็กๆ เธอยังคงหอบเช่นเคย ใช่แล้ว หากเธอทำอย่างนั้นเธอจะเหนื่อย "มีประโยชน์อะไรที่จะคิดอย่างนั้น โง่บัดซบ" ก่นด่าตัวเองพลางวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังซากกำแพงอิฐแผ่นหนึ่ง เธอค่อยๆลอยตามทางผมมา ผมหยุดนิ่งพลางหอบหายใจ บางทีผมอาจวิ่งไม่ไหวแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ บางทีผมอาจรู้สึกว่าควรยอมตายไปเสียจะได้ไม่ทรมาน วินาทีนั้น ผม สิ้นหวัง เจ็บปวด ทรมาน เมื่อไหร่เหตุการณ์นี้จะจบลงเสียที
เคร้ง! เสียงนั่นดังมาอีกแล้ว และอาจจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นกี่ครั้งกันแน่ อาจสอง หรือสาม หรือมากกว่านั้น ผมไม่สน ตอนนี้ผมสนใจเพียงเธอเท่านั้น เธอผู้กำหนดความเป็นความตายให้กับผม ใจหนึ่งภาวนาให้เธอหันหนีไป อีกใจอ้อนวอนร้องขอให้เธอเอาวิญญาณของผมไปซะ แต่แล้วคล้ายคำภาวนาของผมเป็นจริง เธอหันหน้าหนีไปไปทางต้นเสียง อีกครั้งที่เธอกรีดร้อง เสียงของเธอบาดลึกราวโดนมีดกรีดเข้าในแก้วหู หัวใจของผมหยุดสั่นแล้ว เธอไปแล้ว และนั่นคือหนึ่งในช่วงเวลาไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าผมรักตัวเองขึ้นมาก มากกว่าตอนเป็นไอ้เซ่อที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยในชีวิต มากกว่าตอนเป็นไอ้โง่ที่พยายามเป็นคนที่มีใครต่อใครสนใจ มากกว่าตอนที่ไปสมัครเข้าชมรมฟุตบอลแล้วโดนหัวเราะเยาะใส่ และตอนนั้น ที่บอกรักคนที่ชอบแล้วโดนปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
ทุกความคิดเงียบลง หัวไหล่ยังคงเจ็บปวดร้อน ผมไม่กล้าแม้จะขยับตัวไปไหนในเวลานี้ หากแต่จำต้องทำ ไม่งั้นเธอคงกลับมาที่เดิมเพื่อตามหาตัวผมเป็นแน่ ผมมองไปรอบทิศทาง เห็นอาคารชั้นเดียวมุงด้วยสังกะสีรอบด้าน ที่นั่นแหละ เหมาะสมแล้วที่จะไปหลบซ่อน ผมเดินหิ้วหัวไหล่ของตัวเองไปช้า ยิ่งใกล้ ยิ่งหวั่นกลัว ราวกับมันมีพลังงานบางอย่างรออยู่ตรงนั้น ผมเห็นเสาประดับแบบที่เคยเห็นก่อนหน้า แต่ตอนนี้มันดูสวยงามน่าหลงใหลกว่าตอนที่มีตะขออยู่ ผมยังคงเดินเข้าไปที่นั่น ได้ยินเสียงกรอกแกรกเหมือนใครกำลังค้นหาอุปกรณ์อะไรอยู่ ใช่ ต้องมีคนหนึ่งอยู่ข้างในนั้น และผมต้องได้รับความช่วยเหลือ
ในอาคารนี้มีเครื่องปั่นไฟที่ใกล้จะเสร็จแล้ว ผมไม่กล้าแตะต้องมัน เพราะรู้ดีว่าหากเปิดเครื่องแล้วหญิงหม้ายนั่นจะกลับมา ใกล้กันมีทางเดินลงไปยังห้องสีแดง นี่อาจเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสถึง ความอึดอัดทรมาน ความทุรนทุราย ราวกับในห้องนั้นคือนรกที่อยู่บนดิน เสียงโครมครามสิ้นสุดลง แทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ผมมองหาตู้ที่พอจะอยู่ใกล้ๆ บ้าง บ้าจริง ไม่มี เจ้าของฝีเท้านั่นเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ในเวลานี้ผมว่าคงไม่มีอะไรต้องเสี่ยง ผมเดินไปหาต้นตอของเสียง เขาเป็นชายร่างสันทัดชาวเอเชีย เขาทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนวิ่งเข้ามาทำแผลให้ผมอย่างรวดเร็วด้วยชุดปฐมพยาบาลที่เขามี
ผมมองเขาอีกครั้งด้วยความซาบซึ้งใจ หากแต่ใบหน้าขึงขังนั่นทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แววตาของเขามีความมั่นใจอย่างมาก คาดว่าเขาเองคงแตกต่างจากผมในตอนนี้ หรือเป็นเพราะเขายังไม่เคยโดนมีดนั่นเฉือนร่างเหมือนผม เขากวักมือเรียกผมให้ไปตามเขา ผมลังเลเล็กน้อยว่าควรจะไปดีหรือไม่ ผมได้ยินเสียงกรีดร้องอีกครั้งหนึ่ง เสียงนั่นดูจะแหบและเจ็บปวด ไม่ใช่เสียงของหญิงหม้ายแน่นอน ผมกับเขาตะลึงงัน มองหน้ากันอย่างเข้าใจ เขาเดินนำผมลงไปด้านล่างนั่น ห้องสีแดงที่น่าขนลุก
ทุกอณูบรรยากาศของห้องนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกราวสถานอโคจร "เข้ามาตายแท้ๆ" ความคิดเจ้ากรรมผุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาคนนั้นเดินนำไปยังตู้ล็อกเกอร์ ที่นี่มีอยู่มากกว่าหนึ่ง ผมชำเลืองมองไปตรงกลางห้อง "ไม่ เราไม่ควรอยู่ที่นี่" เสานั่น เจ้าเสาน่ากลัวนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกแห่งความตาย ตะขอของมันมีอยู่ถึงสี่ รอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตรงนั้นทำให้ผมแทบร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว คราบของมันบ่งบอกได้ว่าต้องเคยมีคนตายอยู่บนนั้นมาไม่มากก็น้อย ผมสัมผัสตัวเขาพลางยื่นอุทธรณ์ว่าอย่าอยู่ที่นี่เลย และดูเหมือนเขาไม่สนใจ เขาชี้ไปที่ตู้บานซ้าย ผมกลืนน้ำลายหนึ่งอึกใหญ่ก่อนเข้าไปแต่โดยดี เขาเองก็เข้าไปอีกตู้หนึ่งที่อยู่ติดกัน "หมอนี่ไม่รู้จักกลัวหรือยังไง"
ไม่นานเท่าไหร่นัก ใจผมสั่นอีกครั้งหนึ่ง เธอใกล้เข้ามาแล้ว เรื่อยๆ ทีละนิด ตอนนี้หัวใจผมดังขึ้นและดังขึ้น น้ำตาของผมเอ่อล้นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดกำลัง ผมจำได้ดีว่าความเจ็บปวดตอนโดนใบมีดกึ่งเลื่อยนั่นเชือดเฉือนมันรู้สึกอย่างไร เธอมาแล้ว มีเสียงของคนที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดมาด้วย ทั้งได้ยินเสียงทุบตี พระเจ้า เธอแบกคนๆ หนึ่งมาบนบ่าของเธอ สาวผิวดำคนนั้นนี่ เธอดิ้นพลางทุบตีตัวหญิงหญิงหม้าย ผมเอามือปิดปากตัวเอง น้ำตาไหลเป็นสาย ลมแทบจับเมื่อเห็นเพื่อนถูกแบกไปยังตะขอนั่น ตัวของผมสั่นเทาเป็นเจ้าเข้า สติสัมปชัญญะเริ่มหลุดลอย ไม่ ผมกำลังจะเห็นคนตายต่อหน้าอย่างนั้นเหรอ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด !!!! เสียงแผดร้องนั่นต้องเป็นของเธอแน่ๆ เธอถูกหญิงหม้ายทำอะไร ผมไม่รู้ ตอนนี้ผมมองอะไรไม่เห็น ตาผมพร่ามัวไปหมด หัวใจเต้นแรงปานจะระเบิดออกมาจากหน้าอก ปัง! เจ้าหนุ่มเอเชียนั่นกระโดดออกจากตู้ล็อกเกอร์วิ่งไปชั้นบนแล้ว "ไอ้สารเลว" อีกครั้งที่ผมคิดด่าคนอื่น หญิงหม้ายตามเขาไปอย่างรวดเร็ว "ถึงเวลาแล้ว" ผมเปิดตู้ออกไปแล้วมองไปยังสาวผิวดำ เธอยังไม่ตาย พร้อมกับได้ยินเสียงเครื่องปั่นไฟข้างบนดังขึ้น ตอนนี้ผมค่อยๆสงบลงทั้งรู้สึกผิดกับเจ้าหนุ่มนั่น "เขาช่วยพวกเราแท้ๆ ขอโทษนะ" ผมเดินไปหาสาวผิวดำพร้อมยกตัวเธอ เธอร้องเสียงหลงเมื่อตะขอนั่นเสียดร่างของเธอ แต่อย่างไรก็ดี ผมช่วยเธอลงมาได้
มีเสียงตึกตักอยู่ข้างบนและกำลังลงมาที่นี่ ฝีเท้าเบาบางที่เหมือนเคยได้ยิน เธอนั่นเอง สาวผิวขาววิ่งลงมาพร้อมทำแผลให้กับสาวผิวดำทันที ผมช่วยเธอเพื่อให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่สู้ดีนัก เราทั้งสามค่อยๆเดินขึ้นไปข้างบนอย่างระมัดระวังพลางหาที่ซ่อน สาวผิวดำเดินอ้อมไปด้านหลังตัวอาคารโดยมีพวกเราเดินตามไปสมทบ เธอชี้ไปยังทิศนั้นที่เธอมอง มีประตูอีกบาน เราสองคนที่เหลือพยักหน้าว่าเข้าใจ ก่อนจะเกาะกลุ่มเดินเลียบไปอีกด้านหนึ่งของประตู
ระหว่างทางเราทั้งสามเจอเครื่องปั่นไฟที่ถูกซ่อมอย่างค้างๆ คาๆ ผมตัดสินใจที่จะซ่อมมันก่อนที่จะเสียโอกาสนี้ ด้วยมั่นใจว่าเจ้าหมุ่มเอเชียนั่นน่าจะเป็นที่พึ่งได้ เหมือนคิดผิด ผมได้ยินเสียงร้องมาจากอีกด้านหนึ่งของกำแพง หมอนั่นต้องโดนแล้วเป็นแน่ อย่างไรก็ตามต้องซ่อมมันก่อนจะไม่มีเวลา พวกเราใช้เวลาไม่มากนักในการซ่อมจนเสร็จ สองสาวเดินนำหน้าไปอย่างช้าๆ ยังพื้นที่ๆผมจำได้ว่ายังไม่ได้ผ่านไป เสียงกรีดร้องของหญิงหม้ายยังคงดังเป็นระยะๆ บ่งบอกว่าการไล่ล่ายังไม่สิ้นสุด
พวกเราทั้งสามคนเดินมาได้ราวห้าสิบเมตร ใกล้กับกำแพงที่ค่อนข้างลับตา นี่อาจจะเป็นเครื่องสุดท้ายที่เราต้องทำให้ไฟติด ไม่อย่างนั้นอาจตายกันหมด ผมเชื่ออย่างนั้น พวกเราลงมือซ่อมอย่างไม่ลังเล ทางรอดทั้งหมดต้องฝากไว้ที่นี่เท่านั้น ตู้ม! บ้าจริง ผมต่อสายไฟผิดเส้น เสียงนี่จะเรียกให้หญิงหม้ายมาไหม เราสามคนมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก "ไม่" ผมบอกตัวเองและลุกขึ้นไปหาที่ซ่อน ตึกๆๆๆๆๆๆ เสียงฝีเท้าดังเข้ามา "ไม่ ไม่ ไม่ๆๆๆๆ" หมอนั่นกลับมาแล้ว หญิงหม้ายก็เช่นกัน "หายนะ" ผมทำท่าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง
เสียงกรีดร้องดังมาแต่ไกล หมอนั่นมาถึงพวกเราสามคนแล้ว และที่ตามมาคือเธอ บ้าจริง ตอนนี้พวกเราอยู่กันสี่คน แล้วใครล่ะที่จะเป็นเหยื่อ เขาวิ่งผ่านหลังของผมที่ยังยืนเซ่อเป็นไก่ตาแตก สิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น สาวผิวขาววิ่งมาขวางทางระหว่างหญิงหม้ายกับไอ้หนุ่มนั่น เธอต้องมีความกล้าเท่าไหร่ถึงจะทำอย่างนั้นได้ หมอนั่นวิ่งวนไปทางอาคารใหญ่ และเวลานี้ คนอื่นไม่ใช่จุดสนใจของเธออีกต่อไป เธอชี้มือผ่านหัวของสาวผิวขาวพร้อมพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว น่าฉงนใจที่ตัวเธอทะลุอะไรต่อมิอะไรไปได้ ผมมองเธอตาค้าง ขาของผมสั่นไปหมด เลือดที่ไหลตามทางทำให้ผมอยากอาเจียน แต่ไม่ใช่กับเธอ สาวผิวขาวตัวเล็กๆนั่นวิ่งตามทั้งคู่ไป
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก !!! เสียงหมอนั่น ไม่ต้องสงสัย ตอนนี้หมอนั่นน่าจะโดนไปอีกครั้งนึงแล้ว สาวผิวดำวิ่งมาหน้าผมพร้อมชี้ไปที่เครื่องปั่นไฟ แหงล่ะ สำหรับคนขี้ขลาดอย่างผมจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เราสองคนแยกทางกัน ผมวิ่งกลับไปปั่นไฟที่เดิม มันใกล้เสร็จแล้ว อีกแค่นิดเดียว ตอนนี้ร่างกายของผมเหมือนหนูปั่นจักร มันหยุดไม่ได้ ผมต้องทำให้ได้ สายไฟเส้นแล้วเส้นเล่าผ่านมือผม แต่เจ้ากรรม ความรีบร้อนและเคร่งเครียดทำให้ผมซ่อมพลาดไปหลายครั้งหลายคราว เสียงระเบิดเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า "ไอ้โง่ แกกำลังจะทำให้เพื่อนตาย" เสียงความคิดตะคอกใส่โสตประสาทของผมอย่างรุนแรง ไกลออกมาจากตัวอาคารผมได้ยินเสียงโครมครามเหมือนคนกำลังพังทำลายข้าวของ เสียงกรีดร้องมีมาเป็นระยะ การไล่ล่าอย่างบ้าระห่ำยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ใกล้เสร็จแล้ว เหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าของผม รวมไปถึงมือที่ชุ่มไปหมดในเวลานี้ "ใกล้แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยย" ราวกับความบ้าคลั่งถาโถมเข้ามาใส่ ตอนนี้ใจของผมเต้นไม่หยุด สายไฟเส้นสุดท้าย ต่อมันเข้าด้วยกันแล้วแล้ว....
ติ๊ง! ตื๊ดดดดด! เสียงเครื่องปั่นไฟเสร็จดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงอีกอย่างหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก คาดเดาได้ว่าประตูทั้งสองบานที่ผมเคยเห็นนั้นพร้อมจะถูกเปิดแล้ว แต่ คนที่เหลือล่ะ สาวผิวดำวิ่งไปหลังอาคารสังกะสีที่มีห้องอันตรายนั่นอยู่ เธอต้องไปเปิดประตูแน่ๆ อีกสองคน จะทำยังไงดี สองคนนั่นจะตายที่นี่ไม่ได้ ผมมองกลับเข้าไปในอาคาร สองคนนั่นวิ่งออกมาแล้ว เจ้าหนุ่มเอเชียยังคงวิ่งได้เหมือนเดิม ความจริงเขาควรจะล้มลงไปนอนแล้วนี่ หรือเป็นเพราะสาวผิวดำที่เข้าไปรักษาให้ในขณะที่สาวผิวขาวเป็นตัวล่อ สภาพทั้งสองคนสะบักสะบอมมากในเวลานี้ ตามหลังมาคือหญิงหม้ายที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอกำลังทำลายแผ่นไม้ที่ขวางทางเธออยู่ ผมชี้ไปทางประตูที่สาวผิวดำนำทางไป ผมวิ่งนำเขาทั้งคู่
ใกล้ถึงประตูแล้ว สาวผิวดำคนนี้ช่วยชีวิตพวกเราทุกคนจริงๆ พวกเรากำลังจะออกไปจากสถานที่บ้านี่ พวกเรากำลังจะรอดแล้ว เธอกวักมือเรียกพวกเราสามคน แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ราบรื่นอีกต่อไป หญิงหม้ายใกล้เข้ามา ตามหลังสองคนนั้นไม่ไกล เธอชูมือซ้ายขึ้นอีกครั้ง "หลบ" ความคิดของผมผุดขึ้นหากแต่ปราศจากเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา เธอพุ่งตัวตรงมาทางประตู
เจ้าหนุ่มเอเชียหันเหลือบไปมองที่หญิงหม้าย และดูเหมือนเขาจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาหยุดวิ่งและหันหน้ากลับไป เธอเมินเฉยต่อเขาและตรงมายังสาวผิวขาว ฉับ! เสียงกรีดร้องดังลั่นทำให้ผมสติแทบหลุด หญิงหม้ายอุ้มเธอขึ้นบ่า "บ้าจริง มันใกล้เกินไป" ใช่ เจ้าตะขอนั่นอยู่แค่ด้านล่างเท่านั้น ผมไม่รู้จะทำอะไรได้แล้วในเวลานี้ ทุกอย่างดูกระชั้นชิดไปหมด หนุ่มเอเชียวิ่งเข้าประตูไปแล้ว หากแต่ยังไม่ออกไป เขาไม่หนีไปไหนและรักษาแผลให้สาวผิวดำด้วยชุดปฐมพยาบาลกล่องนั้น
เธอมาแล้ว เธอแบกร่างของสาวตัวเล็กแต่ใจแกร่งขึ้นบ่ามา ผมรอเธออยู่ ที่หน้าบ้านมีไม้พาเลทแผ่นใหญ่ที่พอจะถ่วงเวลาเอาไว้ได้ เธอมาถึงแล้ว ปัง! ผมหลับตาล้มไม้นั่นขวางทางเธอ ถ้าพอจะมีหวังบ้างก็คงทำให้เธอปล่อยเพื่อนเราลงได้สิน่า ผมลืมตาขึ้นมามองดูความสำเร็จของตัวเอง.... "พลาด" เสียงในหัวผมย้ำเตือนว่านี่อาจะเป็นหายนะ "ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ" ผมวิ่งไปรอเธออีกด้านนึง "ไอ้โง่ แกจะหลับตาเพื่ออะไร" ผมก่นด่าตัวเองนับร้อยนับพันครั้งในความคิด เธออ้อมมาอีกด้านหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ ผมแทบจะสิ้นหวัง เพื่อนของผมดิ้นไม่หลุด ผมกำมือแน่น "ถ้าพอจะมีอะไรที่คนเฮ็งซวยอย่างเราทำได้"
"อะไรในมือ?" ผมมองไปที่มือขวาของตัวเอง "ไฟฉายงี่เง่า" ผมไม่มีอะไรจะเสีย แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ผมคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ในเสี้ยววินาทีนั้นผมกดเปิดสวิตช์ไฟฉายสาดเข้าไปที่หน้าของหญิงหม้าย เธอส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ทิ้งร่างของสาวผิวขาวลงในทันที "วิ่ง!" เช่นเคย มันไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากผม เราทั้งคู่ตรงดิ่งไปที่ประตู เจ้าหนุ่มเอเชียยังรักษาสาวผิวดำไม่เสร็จ ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องไป
เสียงกรีดร้องดังสนั่นกว่าทุกครั้งที่ได้ยินมา เดาได้ไม่ยากว่าเธอนั้นกราดเกรี้ยวเต็มที่ ผมวิ่งกึ่งลากกึ่งผลักสาวผิวขาวออกไป เธอกระชากแขนหนุ่มเอเชีย เขาปล่อยตัวสาวผิวดำให้วิ่งตามพวกเรามา หากแต่เขาไม่ พวกเราย่อมรู้ดีว่าหลังจากหญิงหม้ายกรีดร้องเธอจะทำอะไร เขาชี้มือไปยังทางออกและเป็นคนที่รั้งท้ายให้พวกเรา ฉัวะ! เขาไม่มีแม้เสียงร้องใดๆ ในเวลานี้ เขาล้มฟุบลงไปกับพื้น ไม่มีใครวิ่งออกไป เขาพยักเพยิดเป็นสัญญาณว่าให้พวกเราไปซะ
"เราไม่ทิ้งกัน" นั่นคือสิ่งที่ผมคิด ผมเป็นคนเดียวที่ยังไม่เจ็บในตอนนี้ ผมวิ่งกลับไปเพื่อที่จะรักษาเขา ผิดแล้ว หญิงหม้ายพลิกร่างเขาขึ้นมา ผมตะลึงงัน อีกครั้งที่ผมลังเล เธอก้มลงไปหาเขาก่อนบีบคอเขาตรงพื้นนั่น ห่างกันกับพวกเราไม่ถึงห้าเมตร ผมตะลึงตาค้างก่อนร้องเสียงหลง ผมพยายามวิ่งเข้าไปช่วยเขาแต่คนที่เหลือฉุดกระชากผมไว้ ในวินาทีนั้นผมแทบเสียสติ มือของเขาที่ปัดป่าย ตาที่เหลือกถลนคือภาพทรงจำที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเคยเห็น สองสาวลากถูผมออกจากประตูนั่น ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นในสถานที่นั้น คือหญิงหม้ายก้มลงปิดตาหนุ่มเอเชียคนนั้น คนที่จิตใจแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า คนที่ยอมเสียสละชีวิตให้พวกเราได้รอด และคนที่ไม่กลัวความตายใดๆ
แสงอาทิตย์มาแล้ว พวกเราวิ่งตรงมาเรื่อยๆ ผมวิ่งไปพลางสะอื้น เราทั้งสามร้องไห้กันไม่หยุด ไม่มีคำพูดใดๆออกจาปากของพวกเราทั้งสาม อาจเพราะยังคงอาลัยต่อการจากไปของคนที่ไม่รู้จัก ที่ยอมสละชีวิตตัวเองให้กับคนที่ไม่รู้จัก ที่เสียสละให้กับคนห่วยแตกอย่างผม เมื่อมองกลับไป ที่ๆ เราเห็นว่าควรจะเป็นสถานจิตเวชนั้น กลับเป็นเพียงที่โล่งเท่านั้น ไม่มีแม้สิ่งก่อสร้างใดๆ ไม่มีแม้ต้นไม้ใหญ่ ก็แค่ทุ่งหญ้าเขตชานเมืองธรรมดาๆ เท่านั้น หรือที่ๆ เราไปนั้น อาจไม่ได้มีอยู่ในมิตินี้ก็เป็นได้ พวกเราทั้งสามคนมองหน้ากัน สาวผิวขาวหยุดสะอื้น แล้วชี้ไปยังเมือง พวกเราควรทำอะไรสักอย่าง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่การกลับเข้าไปที่นั่นอีกครั้ง.......
ปล. เรื่องทั้งหมดที่ผมบันทึกนี้ขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมทุกประการและขอไม่เปิดเผยนามเพื่อไม่ให้เสียรูปคดี และที่สำคัญ ผมมั่นใจว่าตัวเองมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ดีขณะเขียนบันทึก แม้พวกคุณ ใครก็ตามที่ได้อ่าน จะหาว่าผมบ้าก็ตาม
ดไวท์ แฟร์ฟิลด์
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ