the move
-
เขียนโดย boonyong
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.45 น.
1 ตอน
1 วิจารณ์
3,209 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 กันยายน พ.ศ. 2560 00.49 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความThe move
“หยุดนะแก ไอ้บ้าจิน”
“นี่แกจะเที่ยวขโมยเงินเค้าไปทั่วเลยรึไง”
เสียงด่าทอและสาปแช่งดังไล่หลังผมมาเป็นห่าฝนลมปาก คนพวกนี้ไม่รู้จะขี้งกไปถึงในกัน กะอีแค่เงินไม่กี่แดงจะขอนิดขอหน่อยก็ให้กันไม่ได้ไม่มีใจเอื้อเพื้อกันเลยพวกนี้
ผมแทรกตัวผ่านซอกตึกที่ตั้งขนานกันด้วยเสียงใจที่เต้นรัว ฝูงพ่อค้าแม่ขายยังกรูกันมาที่ผมไม่ทิ้งช่วงบ้างวิ่งแทรกตึกมาตามผม บ้างฉลาดหน่อยก็วิ่งไปดักที่ข้างหน้า ผมหยุดคิดอยู่หลังจากผ่านซอกตึกมาได้ ฝูงคนทั้งสองด้านวิ่งมาเกือบบรรจบกันโดยมีเป้าหมายคือผมที่ยืนหอบอยู่ตรงกลาง เอาไงดีผมพยายามคิด พวกนั้นใกล้ถึงตัวผมแล้ว คิดสิ คิดสิ คิดๆๆๆๆๆ
“หยุดให้จับซะดีๆ ไอ้เด็กเวรวันนี้แหละพวกฉันส่งแกเข้าซังเตให้หัวโตเลย” เสียงอวยพรดังมาจากด้านข้าง เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนย่ำอ้าวจนพื้นดินสั่นสะเทือน ผมเหลือทางหนีไม่กี่ทาง ทางนั้นละกัน ผมวิ่งย้อนศรกลับเข้าไปในตลาดดังเดิม เป็นไงเป็นกันวะ
“ช่วยจับมันไว้ที ใครก็ได้ไอ้หมอนี่มันวิ่งไวยังกับลิงเลย”
มันจะมีคนมาช่วยจับได้ไงเล้าก็เล่นวิ่งไล่กันทั้งตลาดแบบนี้ ไอ้พวกฉลาดน้อยเอ้ย ไม่สนใจพวกนายละวิ่งกันให้หอบไปเถอะ ผมเลี้ยวหลบออกไปที่ชายฝั่งพยายามวิ่งชะลอความเร็วลงเพื่อไม่ให้เลื่อนไถลไปตามพื้นทรายที่ชันเอามากๆ ผมหยุดมองหาที่ซ่อนอยู่พักนึงใจยังเต้นตูมตามราวกับจะกระเด็นออกมากองอยู่ตรงหน้าให้ได้ ผมหปาดเหงื่อออกไม่ให้ใหลเข้าตาแล้วตรงไปยังที่ซ่อนประจำของผม ผมวิ่งไปตามแนวหาด พื้นทรายนิ่มเพราะน้ำพึ่งลงไปไม่นานทำให้มันดูดจนต้องออกแรงวิ่งเป็นสองเท่า ผมมุดเข้าตัวลอดใต้โพรงไม้เล็กๆ หลังวิ่งมาซักพัก ต้องนั่งพักซักหน่อยทรายดูดเมื่อกี้ทำเอาแทบหมดแรงเลยทีเดียว เมื่อใจเริ่มสงบลงผมปีนขึ้นบันไดที่ซ่อนในลำต้นของต้นไม้ใหญ่ซึ่งผมทำไว้สมัยที่ตอนเล่นเป็นเด็กเล่นโจรจับผู้ร้ายกับเพื่อน
ผมขึ้นถึงยอดไม้แล้วมองลงไปด้านล่าง พวกนั้นเลิกตามผมแล้วโล่งอกไปที
ผมล้วงเอาแอปเปิ้ลที่จิ๊กจากแผงขึ้นมากัด แล้วเอียงตัวนอนบนกิ่งไม้อย่างสบายอารมณ์ ข้างบนนี้ลมเย็นสบายมากผมชอบนอนกลางวันบนนี้ประจำมันวิเศษจนบรรยายไม่ถูกเลยล่ะ
“พวกนั้นไล่ตามนายทำไมกันหรอ” เสียงใคร
“ใครอยู่ในที่ของฉันน่ะ” ผมลุกหาต้นตอของเสียง
“นายเอาอะไรของพวกเค้ามา” เสียงมาจากข้างล่าง ผมย่องลงไประวังตัวเต็มที่ ไม่น่าจะมีใครรู้ที่ซ่อนของผมนะ รึว่าจะเป็นเพื่อนของผม แต่พวกนั้นย้ายออกจากเมืองไปนานแล้วนี่ ใครกันนะ
“นายได้อะไรมามั่งล่ะ แบ่งกันมั่งดิ” เจ้าของเสียงปรากฏตัวออกมาเอง หมอนี่เป็นผ็ชายอายุน่าจะราวๆ กับผม(17 ปี) เค้าสูงเท่าผมใส่กางขาสั้นกับเสื้อยืดที่มอมพอๆ กับกางเกง ยืนส่งยิ้มาให้ผม
“นายเป็นใครเนี่ย แล้วรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง”
“อ้าว นี่ที่อยู่นายหรอ น่าอยู่เหมือนกันนะเนี่ย” หมอนี่ว่าแล้วก็มองดูห้องของผมแล้วยังทำท่าดี๊ด๊า
อะไรของมันเนี่ย
“ขอฉันอยู่ซักพักสิ”
“เพ้อเจ้ออะไรของนายเนี่ยนี่ที่ของฉันนะ จะให้นายที่เป็นใครมาจากใหนอย฿ด้วยไม่ได้หรอก” ผมยืนกราน
“อ๋อ ยังไม่รู้จักฉันสินะ ฉันชื่อ ยูโตะเป็นนักล่าสมบัติ”
“นักล่าสมบัติหรอ”
“ใช่แล้ว อ้าที่นี้นายก็รู้จักฉันละนะเราอยู่ด้วยกันได้แล้วสินะ”
“ไม่ได้ๆ แค่บอกชื่อนายจะอยู่ไม่ได้ ออกไปซะไป” ไม่ทันแล้ว เจ้ายูโตะนอนแอ้งแม้งบนเตียงนอนของผมไปแล้ว เจ้านี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ
“เตียงนี้นิ่มจังแหะ ยังใหม่อยู่เลยนายซื้อมาหรอ”
“ป่าวฉันขโมยมา” ยูโตะเงียบไปชั่วขณะก่อนจะหันมาทางผม
“นายไม่มีพ่อแม่สินะ” เค้ามองจ้องมาที่ผม
“ก็ใช่” ผมตอบแบบอายๆ หมอนี่จะสื่ออะไรนะ
“นายเหมือนฉันเลยนะ” อีกละ
“ฉันเหมือนนายตรงใหนกัน”
“ก็เราต่างก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกันนะซี๊ ทำให้ต้องเอาตัวรอดด้วยการขโมยชาวบ้านไปวันๆ เพื่อประทังชีวิตใช่มั้ยล่ะ”
ไม่มีผิดเลย สำหรับเด็กกำพร้าอย่างผมการขโมยของกินและของให้ทุกอย่างที่อยากได้ถือเป็นทางออกที่ดีสำหรับการมีชีวิต เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ต้องยอมอดตาย แต่คนอย่างผมไม่ยอมตายหรอก หึพวกที่มีพ่อแม่หามาประเคนให้ทุกอย่างจะไปรู้อะไร
“แล้วไง” ผมเข้าหา “ออกไปได้แล้วจะไปก็ไปซะไป๊” ผมเอาจริง
“นายน่ะ” เค้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ขนลุกเลย “มาออกล่าสมบัติไปพร้อมกับฉันเถอะ”
ผมผงะ “อะไรนะ บ้าน่าเรื่องอะไรฉันต้องไปกับแกเล่า”
“เอาน่า ใหนๆ นายก็ไม่มีใครอยู๋ดูแลที่นี่แล้วนี่ มาออกผจญภัยกับฉันเถอะไปเผชิญโลกกว้างด้วยกันไงเล้า”
บ้าไปใหญ่แล้ว
“ลำคานน่าจะไปใหนก็ไปไป๊!!” ผมสบถ
“นี่แกลงมานะ ไม่มีทางให้แกหนีแล้ว” เสียงดังมาจากด้านล่าง แย่แล้วพวกนั้นรู้ท่อยู่ของผมได้ไงเนี่ย ใช่สิตอนทะเลาะกับเจ้านี่เราตะโกนดังมากนี่นา
โถ่เอ้ย!! ซวยแล้วมั้ยล่ะทีนี้
“เสียงอะไร”
“ก็พวกนี่ฉันขโมยของมาน่ะสิ เพราะนายแท้ๆ เลยถ้านายไม่โวยวายพวกนั้นก็ไม่รู้ที่อยู่ของฉันหรอก”
“อย่าโทษฉันคนเดียวสิ นายก็โวยวายใส่ฉันเหมือนกันแหละน่า” ว่าแล้วก็ทำท่านอนชิลผิวปากอย่างสบายใจ
บ้าเอ้ยจะทำไงล่ะทีนี้ ผมชะเง้อไปด้านล่าง ฝูงคนล้อมทางเข้าออกของผมไว้หมดเลยแถวยังมีอาวุธครบมือกันทุกคน ถ้าจะแหวกออกไปมีหวังเละแน่ เอาไงดี วิ่งพรวดออกไปเลยดีมั้ย ไม่ๆๆๆ หรือจะขุดดินไปโผล่ที่อื่นดีโอ้นั่นยิ่งแล้วใหญ่เลยเอาไงดี
“นี่ยูโตะ มาช่วยกันหน่อยซี่” มันลุกขึ้นนั่งละ “อย่าเฉยอยู่ซี่ช่วยคิดหน่อยเร็ว”
“นายจะยอมไปกัยฉันแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่เวลาพูดเรื่องนี้มั้ยเล้า บ้าเอ้ยยย” หงุดหงิดชะมัด
“ถ้างั้นฉันก็ไม่ช่วยหรอก พวกนั้นไม่ได้จะทำไรฉันซักหน่อยนี่น่า”
ผมอยากจะซัดหน้ามันจริงๆ แต่ต้องเก็บแรงไว้รับมือพวกข้างล่างอีกเอาไงดีถ้าไปกับเจ้ายูโตะ ก็ไม่มีอะไรเสียหายอะไรไหนๆ อยู่นี่ก็เที่ยวขโมยของเค้าไปทั่วอยู่แล้วออกไปเปิดโลกกะทัดซักหน่อยก็ไม่เลว ยังไม่ทันได้บอกความคิดขอผมกับยูโตะ ต้นไม้ก็สั่นสะเทือนมาถึงบน พวกข้างล่างทำบ้าอะไรอีกเนี่ย
“ต้นไม้นายโดนตัดแล้วนะจะเอาไง” ว่าแล้วนอนต่อ หน้าหมั่นไส้วะมัดคนอะไรวะเนี่ย
“ก็ได้ๆ ฉันไปกับนายแล้ว รีบทำอะไรเร็วเข้าสิยูโตะ” ต้นไม้เริ่มสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันเริ่มที่จะเอนลงเรื่อยๆ อีกด้วย
“อืมม” นิ่งพีกนึง
“อะไรอีกล่ะทีนี้”
“นายยังไม่ยอกชื่อฉันเลยนะ”
โถ่เอ้ย!! งี่เง่ากว่านี้มีอีกมั้นเนี่ย
“ฉันชื่อ จิน พอใจรึยังทีนี้น่ะ” ผมตอบด้วยท่าที่กระวนกระวาย
“โอเคร เอาล่ะน่ะ จิน” หลังนอนกวนประสาทอยู่นานในที่สุดยูโตะก็ลุก แล้วล้วงบางอย่างออกมาจากประเป๋ากางเกง.
“อะไรน่ะ” ผมถามเมื่อวัตถุกลมดำมาอยู่ต่อหน้าผม
“ระเบิดควันน่ะสิ พวกนั้นจะได้มองไม่เห็นตอนเราหนีออกไปไง”
ผมรวมสมาธิหลังจากงงไปครู่หนึ่ง “ระเบิดควันหรอ นายเอาของแบบนี้มาจากใหนเนี่ย”
“ก็ถึงบอกไงว่านายต้องออกไปผจญภัยกับฉัน จะได้รู้ว่าโลกนี้มีอะไรอยู่บ้างยังไงล่ะ”
“รู้แล้วๆ มันเจ๋งมากจะทำอะไรก็ทำเร็วเข้า พวกนั้นจะโค่นต้นไม้นี้ลงได้แล้วนะ” ผมเร่งให้เค้าลงมือ
ยูโตะก้าวมาข้างหน้าแล้วตั้งท่าดึงสลักเพื่อเตรียมขว้างไปด้านล่าง
“เอาล่ะนะเตรียมเลย จิน”
สิ้นเสียงระเบิดก็แตกกระจายควันจำนวนมากออกเป็นวงกว้างฝูงผู้คนด่านล่างต่างโซเซไปตามๆ กันบ้างก็สะดุดกันล้มเป็นแถบๆ
พวกเราใช้จังหวะนี้พุ่งออกจากต้นไม้แล้ววิ่งตามยูโตะไป
“เราจะออกไปจากนี่กันยังไง” ผมถามหลังวิ่งมาได้ซักพัก หันหลังกับไปควันเริ่มจางลงแล้ว เร็วไปรึป่าวเนี่ย
“เดี๋ยวก็รู้รับรองเจ๋งเป้ง”
เชื่อได้มั้ยเนี่ย
“นี่ไงถึงแล้ว” ยูโตะชี้ไปที่เรือดำน้ำขนาดกลางที่จอดเกยฝั่งอยู่ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าได้มายังไงอย่างหมอนี่ไม่มีปัญญาซื้อแน่
“เจ๋งเป็งจริงด้วย” ผมย้ำคำพูดของเค้า พร้อมออกแรงวิ่งสุดกำลัง
“เอาล่ะเข้ามาเร็ว พวกนั้นเริ่มตามมาแล้ว” เค้าว่าแล้วก็โดดขึ้นเรืออย่างรวดเร็ว ไวเป็นบ้า ผมมองย้อนดูด้านหลังควันหายไปแล้วพวกนั้นตามมาจริงแต่โชคดีทรายยังนุ่มอยู่พวกนั้นเลยลำบากเอาการโชคดีจริงๆ เรา
ผมโดดตามเข้าไปในเรือดำน้ำแล้วทิ้งตัวนอนหงายทันโดยไม่สนว่านั่นจะเป็นพื้นท้องเรือหรือเบาะนั่งก็ชั่ง
“รอดแล้ว” ยูโตะว่าพร้อมกับตะโกนอย่างสุดเสียงราวกับชนะการวิ่งร้อยเมตรมา
“นายนี่เจ๋งดีนะ” ผมกล่าวชมในตัวเค้าพร้อมยันตัวเองขึ้นนั่งข้างๆ เค้า “เราจะไปใหนกัน”
“เดี๋ยวก็รู้ไม่ต้องรีบหรอก แต่ฉันรับรองได้” เค้าพูดยิ้มๆ
“อะไร”
“โลกนี้กว้างใหญ่มากแน่ๆ เชื่อฉันมั้ยล่ะ” เค้าหันมาทางผมแล้วมองไปด้านหน้า
“นั่นสินะ ต้องใหญ่มากแน่ๆ” ผมหันไปด้านหน้าเหมือนกัน
เรือเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว มันค่อยๆ มุดลงไปใต้น้ำแหวกว่ายไปตามท้องสมุดอันกว้างใหญ่ โลกใบไหม่อ้าแขนรอรับผมแล้ว.
“หยุดนะแก ไอ้บ้าจิน”
“นี่แกจะเที่ยวขโมยเงินเค้าไปทั่วเลยรึไง”
เสียงด่าทอและสาปแช่งดังไล่หลังผมมาเป็นห่าฝนลมปาก คนพวกนี้ไม่รู้จะขี้งกไปถึงในกัน กะอีแค่เงินไม่กี่แดงจะขอนิดขอหน่อยก็ให้กันไม่ได้ไม่มีใจเอื้อเพื้อกันเลยพวกนี้
ผมแทรกตัวผ่านซอกตึกที่ตั้งขนานกันด้วยเสียงใจที่เต้นรัว ฝูงพ่อค้าแม่ขายยังกรูกันมาที่ผมไม่ทิ้งช่วงบ้างวิ่งแทรกตึกมาตามผม บ้างฉลาดหน่อยก็วิ่งไปดักที่ข้างหน้า ผมหยุดคิดอยู่หลังจากผ่านซอกตึกมาได้ ฝูงคนทั้งสองด้านวิ่งมาเกือบบรรจบกันโดยมีเป้าหมายคือผมที่ยืนหอบอยู่ตรงกลาง เอาไงดีผมพยายามคิด พวกนั้นใกล้ถึงตัวผมแล้ว คิดสิ คิดสิ คิดๆๆๆๆๆ
“หยุดให้จับซะดีๆ ไอ้เด็กเวรวันนี้แหละพวกฉันส่งแกเข้าซังเตให้หัวโตเลย” เสียงอวยพรดังมาจากด้านข้าง เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนย่ำอ้าวจนพื้นดินสั่นสะเทือน ผมเหลือทางหนีไม่กี่ทาง ทางนั้นละกัน ผมวิ่งย้อนศรกลับเข้าไปในตลาดดังเดิม เป็นไงเป็นกันวะ
“ช่วยจับมันไว้ที ใครก็ได้ไอ้หมอนี่มันวิ่งไวยังกับลิงเลย”
มันจะมีคนมาช่วยจับได้ไงเล้าก็เล่นวิ่งไล่กันทั้งตลาดแบบนี้ ไอ้พวกฉลาดน้อยเอ้ย ไม่สนใจพวกนายละวิ่งกันให้หอบไปเถอะ ผมเลี้ยวหลบออกไปที่ชายฝั่งพยายามวิ่งชะลอความเร็วลงเพื่อไม่ให้เลื่อนไถลไปตามพื้นทรายที่ชันเอามากๆ ผมหยุดมองหาที่ซ่อนอยู่พักนึงใจยังเต้นตูมตามราวกับจะกระเด็นออกมากองอยู่ตรงหน้าให้ได้ ผมหปาดเหงื่อออกไม่ให้ใหลเข้าตาแล้วตรงไปยังที่ซ่อนประจำของผม ผมวิ่งไปตามแนวหาด พื้นทรายนิ่มเพราะน้ำพึ่งลงไปไม่นานทำให้มันดูดจนต้องออกแรงวิ่งเป็นสองเท่า ผมมุดเข้าตัวลอดใต้โพรงไม้เล็กๆ หลังวิ่งมาซักพัก ต้องนั่งพักซักหน่อยทรายดูดเมื่อกี้ทำเอาแทบหมดแรงเลยทีเดียว เมื่อใจเริ่มสงบลงผมปีนขึ้นบันไดที่ซ่อนในลำต้นของต้นไม้ใหญ่ซึ่งผมทำไว้สมัยที่ตอนเล่นเป็นเด็กเล่นโจรจับผู้ร้ายกับเพื่อน
ผมขึ้นถึงยอดไม้แล้วมองลงไปด้านล่าง พวกนั้นเลิกตามผมแล้วโล่งอกไปที
ผมล้วงเอาแอปเปิ้ลที่จิ๊กจากแผงขึ้นมากัด แล้วเอียงตัวนอนบนกิ่งไม้อย่างสบายอารมณ์ ข้างบนนี้ลมเย็นสบายมากผมชอบนอนกลางวันบนนี้ประจำมันวิเศษจนบรรยายไม่ถูกเลยล่ะ
“พวกนั้นไล่ตามนายทำไมกันหรอ” เสียงใคร
“ใครอยู่ในที่ของฉันน่ะ” ผมลุกหาต้นตอของเสียง
“นายเอาอะไรของพวกเค้ามา” เสียงมาจากข้างล่าง ผมย่องลงไประวังตัวเต็มที่ ไม่น่าจะมีใครรู้ที่ซ่อนของผมนะ รึว่าจะเป็นเพื่อนของผม แต่พวกนั้นย้ายออกจากเมืองไปนานแล้วนี่ ใครกันนะ
“นายได้อะไรมามั่งล่ะ แบ่งกันมั่งดิ” เจ้าของเสียงปรากฏตัวออกมาเอง หมอนี่เป็นผ็ชายอายุน่าจะราวๆ กับผม(17 ปี) เค้าสูงเท่าผมใส่กางขาสั้นกับเสื้อยืดที่มอมพอๆ กับกางเกง ยืนส่งยิ้มาให้ผม
“นายเป็นใครเนี่ย แล้วรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง”
“อ้าว นี่ที่อยู่นายหรอ น่าอยู่เหมือนกันนะเนี่ย” หมอนี่ว่าแล้วก็มองดูห้องของผมแล้วยังทำท่าดี๊ด๊า
อะไรของมันเนี่ย
“ขอฉันอยู่ซักพักสิ”
“เพ้อเจ้ออะไรของนายเนี่ยนี่ที่ของฉันนะ จะให้นายที่เป็นใครมาจากใหนอย฿ด้วยไม่ได้หรอก” ผมยืนกราน
“อ๋อ ยังไม่รู้จักฉันสินะ ฉันชื่อ ยูโตะเป็นนักล่าสมบัติ”
“นักล่าสมบัติหรอ”
“ใช่แล้ว อ้าที่นี้นายก็รู้จักฉันละนะเราอยู่ด้วยกันได้แล้วสินะ”
“ไม่ได้ๆ แค่บอกชื่อนายจะอยู่ไม่ได้ ออกไปซะไป” ไม่ทันแล้ว เจ้ายูโตะนอนแอ้งแม้งบนเตียงนอนของผมไปแล้ว เจ้านี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ
“เตียงนี้นิ่มจังแหะ ยังใหม่อยู่เลยนายซื้อมาหรอ”
“ป่าวฉันขโมยมา” ยูโตะเงียบไปชั่วขณะก่อนจะหันมาทางผม
“นายไม่มีพ่อแม่สินะ” เค้ามองจ้องมาที่ผม
“ก็ใช่” ผมตอบแบบอายๆ หมอนี่จะสื่ออะไรนะ
“นายเหมือนฉันเลยนะ” อีกละ
“ฉันเหมือนนายตรงใหนกัน”
“ก็เราต่างก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกันนะซี๊ ทำให้ต้องเอาตัวรอดด้วยการขโมยชาวบ้านไปวันๆ เพื่อประทังชีวิตใช่มั้ยล่ะ”
ไม่มีผิดเลย สำหรับเด็กกำพร้าอย่างผมการขโมยของกินและของให้ทุกอย่างที่อยากได้ถือเป็นทางออกที่ดีสำหรับการมีชีวิต เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ต้องยอมอดตาย แต่คนอย่างผมไม่ยอมตายหรอก หึพวกที่มีพ่อแม่หามาประเคนให้ทุกอย่างจะไปรู้อะไร
“แล้วไง” ผมเข้าหา “ออกไปได้แล้วจะไปก็ไปซะไป๊” ผมเอาจริง
“นายน่ะ” เค้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ขนลุกเลย “มาออกล่าสมบัติไปพร้อมกับฉันเถอะ”
ผมผงะ “อะไรนะ บ้าน่าเรื่องอะไรฉันต้องไปกับแกเล่า”
“เอาน่า ใหนๆ นายก็ไม่มีใครอยู๋ดูแลที่นี่แล้วนี่ มาออกผจญภัยกับฉันเถอะไปเผชิญโลกกว้างด้วยกันไงเล้า”
บ้าไปใหญ่แล้ว
“ลำคานน่าจะไปใหนก็ไปไป๊!!” ผมสบถ
“นี่แกลงมานะ ไม่มีทางให้แกหนีแล้ว” เสียงดังมาจากด้านล่าง แย่แล้วพวกนั้นรู้ท่อยู่ของผมได้ไงเนี่ย ใช่สิตอนทะเลาะกับเจ้านี่เราตะโกนดังมากนี่นา
โถ่เอ้ย!! ซวยแล้วมั้ยล่ะทีนี้
“เสียงอะไร”
“ก็พวกนี่ฉันขโมยของมาน่ะสิ เพราะนายแท้ๆ เลยถ้านายไม่โวยวายพวกนั้นก็ไม่รู้ที่อยู่ของฉันหรอก”
“อย่าโทษฉันคนเดียวสิ นายก็โวยวายใส่ฉันเหมือนกันแหละน่า” ว่าแล้วก็ทำท่านอนชิลผิวปากอย่างสบายใจ
บ้าเอ้ยจะทำไงล่ะทีนี้ ผมชะเง้อไปด้านล่าง ฝูงคนล้อมทางเข้าออกของผมไว้หมดเลยแถวยังมีอาวุธครบมือกันทุกคน ถ้าจะแหวกออกไปมีหวังเละแน่ เอาไงดี วิ่งพรวดออกไปเลยดีมั้ย ไม่ๆๆๆ หรือจะขุดดินไปโผล่ที่อื่นดีโอ้นั่นยิ่งแล้วใหญ่เลยเอาไงดี
“นี่ยูโตะ มาช่วยกันหน่อยซี่” มันลุกขึ้นนั่งละ “อย่าเฉยอยู่ซี่ช่วยคิดหน่อยเร็ว”
“นายจะยอมไปกัยฉันแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่เวลาพูดเรื่องนี้มั้ยเล้า บ้าเอ้ยยย” หงุดหงิดชะมัด
“ถ้างั้นฉันก็ไม่ช่วยหรอก พวกนั้นไม่ได้จะทำไรฉันซักหน่อยนี่น่า”
ผมอยากจะซัดหน้ามันจริงๆ แต่ต้องเก็บแรงไว้รับมือพวกข้างล่างอีกเอาไงดีถ้าไปกับเจ้ายูโตะ ก็ไม่มีอะไรเสียหายอะไรไหนๆ อยู่นี่ก็เที่ยวขโมยของเค้าไปทั่วอยู่แล้วออกไปเปิดโลกกะทัดซักหน่อยก็ไม่เลว ยังไม่ทันได้บอกความคิดขอผมกับยูโตะ ต้นไม้ก็สั่นสะเทือนมาถึงบน พวกข้างล่างทำบ้าอะไรอีกเนี่ย
“ต้นไม้นายโดนตัดแล้วนะจะเอาไง” ว่าแล้วนอนต่อ หน้าหมั่นไส้วะมัดคนอะไรวะเนี่ย
“ก็ได้ๆ ฉันไปกับนายแล้ว รีบทำอะไรเร็วเข้าสิยูโตะ” ต้นไม้เริ่มสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันเริ่มที่จะเอนลงเรื่อยๆ อีกด้วย
“อืมม” นิ่งพีกนึง
“อะไรอีกล่ะทีนี้”
“นายยังไม่ยอกชื่อฉันเลยนะ”
โถ่เอ้ย!! งี่เง่ากว่านี้มีอีกมั้นเนี่ย
“ฉันชื่อ จิน พอใจรึยังทีนี้น่ะ” ผมตอบด้วยท่าที่กระวนกระวาย
“โอเคร เอาล่ะน่ะ จิน” หลังนอนกวนประสาทอยู่นานในที่สุดยูโตะก็ลุก แล้วล้วงบางอย่างออกมาจากประเป๋ากางเกง.
“อะไรน่ะ” ผมถามเมื่อวัตถุกลมดำมาอยู่ต่อหน้าผม
“ระเบิดควันน่ะสิ พวกนั้นจะได้มองไม่เห็นตอนเราหนีออกไปไง”
ผมรวมสมาธิหลังจากงงไปครู่หนึ่ง “ระเบิดควันหรอ นายเอาของแบบนี้มาจากใหนเนี่ย”
“ก็ถึงบอกไงว่านายต้องออกไปผจญภัยกับฉัน จะได้รู้ว่าโลกนี้มีอะไรอยู่บ้างยังไงล่ะ”
“รู้แล้วๆ มันเจ๋งมากจะทำอะไรก็ทำเร็วเข้า พวกนั้นจะโค่นต้นไม้นี้ลงได้แล้วนะ” ผมเร่งให้เค้าลงมือ
ยูโตะก้าวมาข้างหน้าแล้วตั้งท่าดึงสลักเพื่อเตรียมขว้างไปด้านล่าง
“เอาล่ะนะเตรียมเลย จิน”
สิ้นเสียงระเบิดก็แตกกระจายควันจำนวนมากออกเป็นวงกว้างฝูงผู้คนด่านล่างต่างโซเซไปตามๆ กันบ้างก็สะดุดกันล้มเป็นแถบๆ
พวกเราใช้จังหวะนี้พุ่งออกจากต้นไม้แล้ววิ่งตามยูโตะไป
“เราจะออกไปจากนี่กันยังไง” ผมถามหลังวิ่งมาได้ซักพัก หันหลังกับไปควันเริ่มจางลงแล้ว เร็วไปรึป่าวเนี่ย
“เดี๋ยวก็รู้รับรองเจ๋งเป้ง”
เชื่อได้มั้ยเนี่ย
“นี่ไงถึงแล้ว” ยูโตะชี้ไปที่เรือดำน้ำขนาดกลางที่จอดเกยฝั่งอยู่ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าได้มายังไงอย่างหมอนี่ไม่มีปัญญาซื้อแน่
“เจ๋งเป็งจริงด้วย” ผมย้ำคำพูดของเค้า พร้อมออกแรงวิ่งสุดกำลัง
“เอาล่ะเข้ามาเร็ว พวกนั้นเริ่มตามมาแล้ว” เค้าว่าแล้วก็โดดขึ้นเรืออย่างรวดเร็ว ไวเป็นบ้า ผมมองย้อนดูด้านหลังควันหายไปแล้วพวกนั้นตามมาจริงแต่โชคดีทรายยังนุ่มอยู่พวกนั้นเลยลำบากเอาการโชคดีจริงๆ เรา
ผมโดดตามเข้าไปในเรือดำน้ำแล้วทิ้งตัวนอนหงายทันโดยไม่สนว่านั่นจะเป็นพื้นท้องเรือหรือเบาะนั่งก็ชั่ง
“รอดแล้ว” ยูโตะว่าพร้อมกับตะโกนอย่างสุดเสียงราวกับชนะการวิ่งร้อยเมตรมา
“นายนี่เจ๋งดีนะ” ผมกล่าวชมในตัวเค้าพร้อมยันตัวเองขึ้นนั่งข้างๆ เค้า “เราจะไปใหนกัน”
“เดี๋ยวก็รู้ไม่ต้องรีบหรอก แต่ฉันรับรองได้” เค้าพูดยิ้มๆ
“อะไร”
“โลกนี้กว้างใหญ่มากแน่ๆ เชื่อฉันมั้ยล่ะ” เค้าหันมาทางผมแล้วมองไปด้านหน้า
“นั่นสินะ ต้องใหญ่มากแน่ๆ” ผมหันไปด้านหน้าเหมือนกัน
เรือเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว มันค่อยๆ มุดลงไปใต้น้ำแหวกว่ายไปตามท้องสมุดอันกว้างใหญ่ โลกใบไหม่อ้าแขนรอรับผมแล้ว.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ