กรงทอง

7.0

เขียนโดย zeeto

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.32 น.

  5 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,927 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) เจ้าคือดวงใจอีกดวงของข้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          ผ่านมาสามวันแล้วกับการเดินทางออกจากป่าศรีไพรพนาสู่เมืองอาพรสุทธินันท์ เมืองแห่งความสงบสุขข้าได้แต่ยืนมองกำแพงเมืองพร้อมกับหันไปมองโอรสแห่งโลหนันท์ที่ยืนมองไปเบื้องหน้าเช่นกัน “ถึงเมืองของเจ้าแล้ว” “ใช่...เป็นเช่นใดบ้างเมืองของข้า” “แลดูสงบสุขดี” “เจ้าชอบหรือไม่” “เจ้าถามข้าทำไม” “ก็ถ้าเจ้าชอบเจ้าอยู่กับข้าตลอดไปเลยก็ได้” “หยุดพูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เถิด บัดนี้ข้าก็มาส่งเจ้าถึงเมืองแล้วเช่นนั้นเจ้าจงมอบกรงทองให้แด่ข้าแล้วเจ้ากลับเข้าเมืองของเจ้าไปเสีย” “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น เจ้าและเหล่าทหารเดินทางมาไกลควรเข้าไปพักผ่อนเสียก่อน” ข้าพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับเหล่าทหารก่อนจะเดินนำเข้าไปในวังหลวงทันที “พระโอรสพระเจ้าข้า พระโอรสเสด็จกลับมาแล้วหรือพระเจ้าข้า” เสียงของทหารหลวงที่ดูแลอยู่ด้านหน้าพระราชวัง “เจ้าไปกราบทูลเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้า ว่าบัดนี้ข้าได้เดินทางกลับมาถึงแล้วพร้อมกับสหายและเหล่าทหารอีกมากมาย ช่วยเตรียมที่พำนักให้แก่สหายของข้าด้วย” “พระเจ้าข้า” เมื่อพูดจบทหารหลวงจึงรีบนำเรื่องไปถวายทันที “ความจริงเจ้าไม่ต้องลำบากก็ได้” “ไม่ลำบากเลยเพราะข้าเองก็ไม่มีสหายที่ไหน นลาดลเจ้าและเหล่าทหารไปพักที่ตำหนักทางนั้นได้ส่วนพระโอรสของเจ้าข้าจักให้พำนักในตำหนักเดียวกับข้า” “ขอบพระทัยพระเจ้าข้า” “ไปเถิดเดี๋ยวข้าจักให้ข้าราชบริพานในวังเอาอาหารไปให้ ส่วนเจ้าธีรภัทรมากับข้าเถิด”
               
          ไม่ทันจะได้กล่าวออกไปก็ถูกมือของโอรสแห่งอาพรสุทธินันท์จับให้เดินตามเข้าไปในตำหนักหลวงเสียแล้ว แม้จะอยากปฏิเสธแต่ด้วยว่าข้าเองก็เป็นถึงโอรสแห่งโลหนันท์ การเสด็จมาเยือนเมืองอื่นนั้นสิ่งที่พึงกระทำก็คือการเข้าถวายความเคารพแด่เจ้าเมือง “ชนกันย์” “เสด็จแม่” “เป็นเช่นใดบ้างเจ้าแม่เป็นกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับตลอดหลายวันที่ผ่านมา” “ลูกไม่เป็นไรพระเจ้าข้าเสด็จแม่สบายดีนะพระเจ้าข้า” “สบายดี...แล้วนี้...” “ประทานอภัยพระเจ้าข้าลูกลืมแนะนำไป นี้คือเจ้าชายธีรภัทรโอรสแห่งโลหนันท์พระเจ้าข้า” โอรสแห่งอาพรสุทธินันท์กล่าวก่อนจะข้าจะค่อยๆย่อลงไปนั่งและกราบบังคม “โอรสแห่งโลหนันท์รึ” “พระเจ้าข้า” “ได้ยินชื่อเสียงมานานทรงสิริโฉมงดงามสมคำล่ำลือมาก” “ขอบพระทัยพระเจ้าข้า พระมเหสีเองก็ทรงสิริโฉมงดงามยิ่งนักพระเจ้าข้า” “พูดจาฉอเลาะยิ่งนักลุกมานั่งตรงนี้เถิด” “ขอบพระทัยพระเจ้าข้า...” “ชนกันย์ พบของวิเศษที่โหรหลวงบอกหรือไม่” “พบพระเจ้าข้าเสด็จแม่ และตอนนี้ลูกก็หายจากอาการประชวรแล้วพระเจ้าข้า” “วิเศษยิ่งนัก เช่นนี้เมื่อเจ้าครบ22พรรษา แม่ควรหาธิดาจากเมืองไหนซักเมืองให้อภิเษกกับเจ้าได้แล้วซิ” “ไม่นะพระเจ้าข้าลูกยังไม่พร้อมจะอภิเษกกับใครทั้งนั้น” เหมือนกับโดนเอามีดกีดลงมากลางใจเมื่อได้ยินที่พระมเหสีกล่าวกับโอรสแห่งอาพรสุทธินันท์ แต่ก็จริงเพราะต่อไปจากนี้ชนกันย์ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ที่ต้องคู่กับพระมเหสี มันก็ถูกแล้วไม่ใช่รึ แล้วทำไมข้าถึงได้รู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้
               
           แววพระเนตรที่มองมาที่ข้าที่ดูมนหมองและเศร้าลงนั้นเพราะสิ่งที่เสด็จแม่ของข้าตรัสใช่หรือไม่ ข้าได้แต่หันไปมองใบหน้าที่นิ่งสงบเยือกเย็นไม่แสดงออกใดๆของโอรสแห่งโลหนันท์ มันยิ่งทำให้ข้าเองก็หวั่นพระทัยไม่น้อย เพราะข้าไม่ต้องการให้ความรู้สึกที่มีจบลงเช่นนี้ แม้ทุกอย่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกินแต่นี้คือรักของข้า โอรสแห่งโลหนันท์เปรียบกับเป็นดวงใจที่หายไปครึ่งหนึ่งของข้า มันคงเจ็บปวดยิ่งนักถ้าข้าต้องแยกจากกัน “ชนกันย์แล้วไหนของวิเศษแม่ขอทอดเนตรได้ไหม” “ได้พระเจ้าข้า” ข้าค่อยๆเดินไปหยิบกรงทองที่ห่อผ้ามาอย่างดีเปิดออกก็ปรากฏแสงทองที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ “งามมากๆ กรงทองนี้รึที่เป็นของวิเศษที่ทำให้ลูกหายประชวร” “ไม่ใช่แค่กรงทองหรอกพระเจ้าข้า แต่เป็นลูกแก้วที่อยู่ด้านในต่างหาก” “ลูกแก้วเช่นนั้รึ” “พระเจ้าข้า ความจริงลูกแก้วในกรงทองมีเพียงลูกเดียวแต่ตอนที่เปิดกรงออก ธีรภัทรมีลูกแก้วอีกหนึ่งลูกที่เหมือนกันพระเจ้าข้า ทำให้ลูกหายจากอาการประชวรได้” “จริงรึ...เช่นนั้นองค์ชายธีรภัทรก็ช่วยทำให้ลูกหายจากประชวรด้วย” “พระเจ้าข้าเสด็จแม่ ธีรภัทรเหมือนกับดวงใจของลูกที่หายไปเลยพระเจ้าข้า” “ดวงใจ?...” ข้าพูดจบก่อนจะหันไปมองโอรสแห่งโลหนันท์ที่แย้มพระโอตออกมาพร้อมกับก้มหน้าลงไป “ประหลาดยิ่งนัก...เอาเถิดเดินทางมาเหนื่อยๆพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวแม่จะให้ข้าราชบริพานจัดเตรียมที่พักให้แล้วกัน” “ไม่ต้องหรอกพระเจ้าข้า ประเดี๋ยวลูกจักให้ธีรภัทรพักกับลูก” “จะดีรึ” “ดีพระเจ้าข้า” “เช่นนั้นตามใจลูกก็แล้วกัน”
               
          “เมืองของเจ้างดงามและสงบสุขยิ่งนัก” “เจ้าชอบหรือไม่” “ไม่มีผู้ใดหรอกที่ไม่ชอบความสงบสุข บ้านเมืองของเจ้าต่างจากบ้านเมืองของข้าที่พอมองออกไปทางไหนกับไม่มีความเคร่งเครียด” “เพราะเหตุใดรึ...บ้านเมืองของเจ้าเป็นเช่นใด” “บ้านเมืองของข้าต้องฝึกซ้อมการรบอยู่ทุกคืนวัน ไม่มีใครได้ยิ้มแย้มเช่นเมืองของเจ้าหรอก” “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่ซิ” “ไม่ได้หรอก..เจ้าเองก็มีหน้าที่ขององค์ชายที่ต้องขึ้นบัลลังค์ต่อจากเสด็จพ่อของเจ้า ข้าเองก็เช่นเดียวกัน” ร่างสูงกว่าค่อยๆดึงร่างของข้าเข้าไปสวมกอดจากด้านหลังไว้แน่น แม้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ถูกต้อง แต่ภายในใจของข้ากับไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่ก่อตัวนี้ได้เลย “อีกไม่นานข้าก็จะเดินทางกลับเมืองของข้า” “เจ้าอยู่ที่นี้กับข้าไม่ได้รึ” “ถ้าแม้นข้าเกิดเป็นธิดาข้าคงตอบรับความรักที่เจ้ามอบให้แก่ข้าได้ แต่หากข้านั้นเป็นชายข้าจึงไม่สามารถรับความรู้สึกเช่นนี้จากเจ้าได้” “เพียงแค่ความรักเจ้าแค่รับมันไว้ไม่ได้รึ” “ความรักที่เจ้ามีให้ข้า ข้ารับมันไว้ได้แต่ข้าไม่สามารถครองคู่กับเจ้าได้”
               
          “ชนกันย์ แล้วเรื่องทหารหลวงที่คิดฆ่าเจ้าละ” จริงซิข้าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไร ประเดี๋ยวนี้ท่านอมาตย์คงรู้ตนแล้วเป็นแน่ ข้าควรทำการใดซักอย่างก่อนที่อมาตย์ชั่วจะคิดการร้ายต่อบ้านเมือง “เจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นใด” “ถ้าเป็นเมืองของข้าคงจับประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่” “แต่ถ้าทำเช่นนั้นข้าก็จักไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีผู้ใดสมคบคิดด้วย” “เช่นนั้นข้าคิดว่าต้องสืบรู้ให้แน่เสียก่อน แต่ก่อนอื่นเจ้าควรเตือนเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้า” “ถ้าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้ารู้จะไม่เป็นกังวลยิ่งนักรึ” “ให้เป็นกังวลก็ดีกว่าหลงเชื่อจนไม่สามารถรู้ว่าผู้ใดเป็นคนของอมาตย์ชั่วเช่นนั้นรึ ข้ารู้ว่าเจ้าเกรงว่าทั้งสองจะเป็นกังวลแต่เรื่องเช่นนี้เจ้าจัดการเองแต่ผู้เดียวไม่ได้หรอก” จริงอย่างโอรสแห่งโลหนันท์กล่าวเรื่องนี้ข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครคือคนของอมาตย์ชั่วและหลานชายบ้าง และไม่รู้ว่าประเดี๋ยวนี้เจ้าอมาตย์ชั่วได้เตรียมการก่อกบฏอันใดไว้บ้าง “ทหารหลวงของเมืองเจ้ามีผู้ใดที่เจ้าคิดว่าจักจงรักภักดีต่อเจ้าได้บ้าง” “เจ้าถามเช่นนี้หมายความว่าเช่นใด” “อมาตย์และหลานชายหน้าจะเป็นที่เกรงขามกับเหล่าทหารในวังไม่น้อยครั่นจะกบฏไปอยู่กับคนเช่นนั้นก็ไม่ได้ยาก แต่ถ้าเจ้ามีทหารหรือผู้ใดที่พอไว้ใจได้อย่างน้อยๆก็เป็นการดีเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายๆขึ้นไม่ใช่รึ” “ความจริงก็พอมีแต่ถ้าไว้ใจมากที่สุดสำหรับข้าก็มีแต่เจ้า” “หน้าสิ่วหน้าขวานยังจะหยอกอีกนะเจ้านี่” “ข้าเปล่าหยอกเสียหน่อยข้าพูดความจริง ก็ข้ามีเจ้าที่ไว้ใจมากที่สุด”
               
          มือที่กำแน่นพร้อมกับใบหน้าที่โกรธจัดของอมาตย์เฒ่าที่ทราบข่าวว่าพระโอรสชนกันย์เสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย แต่กับไร้เงาหลานชายของตน “เจ็บใจยิ่งนักทำไมถึงรอดมาได้” “ใจเย็นๆเถิดท่าอมาตย์ข้าว่าอ่อนแอเช่นพระโอรสเราจะจัดการเมื่อไรก็ยังได้” “จัดการเช่นนั้นรึ...เจ้าไม่เห็นหรือว่าพระโอรสเสด็จกลับมาพร้อมกับใคร” “ใครรึท่านอมาตย์” “เจ้าชายธีรภัทรโอรสแห่งโลหนันท์ เจ้าชายผู้ที่ได้พระนามว่าเจ้าชายแห่งศึกและสงครามถ้าทั้งสองพระองค์เป็นสหายกันแล้วเจ้าคิดหรือว่าจะไม่ช่วยเหลือสหายผู้อ่อนแอเช่นพระโอรสชนกันย์” “ก็ไม่เห็นจะยากเลยนี้ท่านอมาตย์เราก็แค่ทำให้พระโอรสทั้งสองแตกพระทัยกัน ทำให้มิตรกลายเป็นศัตรูแล้วรอเวลาที่เราจะเข้ายึดเมืองก็ยังได้” “จริงของเจ้า...ข้าได้ยินมาว่าพระโอรสตรัสว่าจะยกกรงทองให้แก่พระโอรสแห่งโลหนันท์ แล้วถ้าเราทำให้ทางโลหนันท์แครงใจเรื่องนี้ก็หน้าจะเกิดความไม่พอพระทัยไม่ใช่น้อยไม่ใช่รึ” “ฮาๆๆๆ...ท่านนี่ฉลาดยิ่งนักเช่นนั้นแล้วเราก็จัดการตามนี้เลย”
               
          นานแค่ไหนกันนะที่ข้าไม่ได้เห็นพระโอรสของข้าแย้มพรโอตอย่างมีความสุขเช่นนั้น ข้าในฐานะทหารคนสนิทได้แต่ยืนมองพระโอรสของตนเองที่สอนพรโอรสแห่งอาพรสุทธินันท์ยิ่งธนูและการต่อสู้ “ท่านนลาดลเราก็จากเมืองมาหลายวันแล้วเมื่อไรพระโอรสจะเสด็จกลับโลหนันท์หรือ” “ข้าจะรู้ไม่เหล่า” “แล้วกรงทองละท่านนลาดลพระโอรสจะนำกลับโลหนันท์ด้วยใช่หรือไม่” “ก็คงเช่นนั้น พระโอรสชนกันย์ทรงตรัสไว้แล้วว่าจะมอบกรงทองให้แก่พระโอรสของเรา” เมื่อสิ้นคำพูดเสียงหัวเราะเบาๆจากเหล่าทหารของอาพรสุทธินันท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับมองมาที่พวกข้า “ฮาๆๆๆ...เจ้าคิดว่ากรงทองจะตกไปอยู่ที่โลหนันท์รึหน้าขันยิ่งนัก” “พวกเจ้าหมายความเช่นใด” “แล้วเจ้าคิดว่าเช่นใดเหล่า ข้าจะบอกเจ้าไว้เลยแม้อาพรสุทธินันท์จักไม่เก่งเรื่องการรบเช่นโลหนันท์ แต่ที่อยู่มาได้ยืนยาวเช่นนี้ก็เพราะความฉลาดปราดเปรื่องและเล่ห์กลต่างหาก พระโอรสของเจ้าไม่ทันพระโอรสของข้าหรอก” พูดจบหทารสองสามนายก็เดินจากไปทิ้งไว้แต่ความคับแค้นใจยิ่งนัก หรือที่พระโอรสแห่งอาพรสุทธินันท์หลอกให้พระโอรสของข้ามาส่งเพื่อลวงเช่นนั้นรึ “ถ้าเป็นเช่นทหารสามคนนั้นพูดจะทำอย่างไรดีละท่านนลาดล” “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้านี้แหล่ะจะเผาเมืองนี้เอง”
               
          เป็นไปตามที่คิดจริงๆหลังจากที่นลาดลเรียกข้าไปบอกกล่าวเรื่องที่ได้ยินมา ตอนนี้คงเป็นแผนของอมาตย์ชั่วที่จะทำให้โลหนันท์และอาพรสุทธินันท์บาดหมางกัน แผนเช่นนี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก “เจ้าอมาตย์ชั่วนี้มันคิดการใหญ่จะให้เกิดสงครามสองเมืองเลยรึ” “มันคงคิดว่าข้าต้องการกรงทองเสียเต็มประดา” “เช่นนี้เจ้าจักทำเช่นใดต่อรึธีรภัทร” “ในเมื่อมันมันอยากเห็นว่าข้าจะทำร้ายเจ้า เช่นนั้นเราก็ทำให้มันเห็นไปซิ” “เจ้าหมายความว่า...” “ใช่ข้าจะหลอกพวกมันให้คิดว่าเจ้ากับข้าได้หมางใจกันเสียแล้ว เชื่อข้าซิเมื่อถึงตอนนั้นกบฏชั่วอย่างมันคงเลือกเข้าข้างข้าเพื่ออยู่รอดเป็นแน่” “สมแล้วกับเป็นเจ้าธีรภัทร เก่งและฉลาดสมแล้วกับเป็นคนรักของข้า” “เจ้านี้...เหย้าอยู่ได้ใช้เวลารึ” “ต่อให้อยู่ในสงครามโดนดาบฟาดฟันแค่ไหนข้าจะยังบอกรักเจ้าเช่นนี้” “พอเถิด...ข้าไม่รู้จักพูดอะไรกับเจ้าแล้ว” “ถ้าไม่รู้จักพูดเช่นใดเจ้าก็บอกรักข้าตอบก็ได้” “ชนกันย์!!” ทำไมข้าต้องพ่ายต่อชายผู้นี้ด้วยนะ
               
          ทำไมข้าถึงได้หลงใหลสายตาดุดันคู่นี้ยิ่งนัก ใบหน้างดงามยามโกรธกับดูหน้าเสน่ห์หายิ่งนักกับผู้อื่นข้าไม่รู้หรอกว่า พระโอรสแห่งโลหนันท์ดูหน้ายำเกรงและโหดร้ายแค่ไหน แต่สำหรับข้าแล้วใบหน้าของเขากับทำให้ข้าหลงรักได้ทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะยิ้มหรือโกรธ ใบหน้านี้มองเท่าไรก็ไม่สามารถทำให้ข้าละสายตาได้เลย คงไม่มีผู้ใดแล้วจักทำให้ข้ารักได้นอกจากเจ้า ธีรภัทร แม้นจากนี้ข้าจะสามารถอยู่ครองคู่กับเจ้าได้หรือไม่ก็ตาม แต่เจ้าจะเป็นเพียงรักเดียวของข้าเท่านั้น เพราะสำหรับข้าแล้วเจ้าคือดวงใจของข้าที่หายไปมาช่วยเติมเต็มให้กับชีวิตใหม่ของข้า
                เพียงแรกพบก็เหมือนตกอยู่ในฝัน
                เพียงไหวหวั่นคำนึงคิดจิตเพ้อหา
                เพียงแค่กอดเจ้าเบาๆกลับตรึงตรา
                เพียงโหยหาดวงใจอีกครึ่งดวง
  

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา