...สายเกินไป...
เขียนโดย bavaree
วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 08.09 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 08.12 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้บรรยากาศในเช้าวันนี้ไม่สดใสอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ไม่เป็นไรตอนนี้หัวใจของฉันก็มีความสุขสดใส ถึงแม้ว่าอากาศจะไม่เป็นใจก็ตาม จะทำไมเสียล่ะ ก็…วันนี้…เข้ม…เขาบอกว่าจะมาเยี่ยมฉันโดยจะเดินทางมาถึงในเช้าวันนี้ แถมพูดเป็นปริศนาให้อยากรู้อีกว่า
‘เรามีข่าวดีจะบอกด้วย แต่เอาไว้เจอกันแล้วค่อยเล่า’
ฉันอุตส่าห์ตื่นแต่เช้า แหมม! ก็มันนอนไม่หลับนี่คะ
เข้มกับฉันเริ่มรู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีที่ 1 ฉันยังจำได้เลยว่าตอนที่แนะนำตัวว่า
‘ชื่อเข้มครับ’
ฉันถึงกับหัวเราะออกมาเลย ถึงแม้ว่ามันจะเสียมารยาทแต่ฉันก็กลั้นไม่อยู่จริงๆ ก็ผิวเขาน่ะเป็นกาแฟดำเข้มข้นถึงใจจริงๆน่ะสิคะ ฉันเห็นเขาหน้างอนิดๆ ตอนหลังเขาถึงมาบอกว่า ‘เขิน’ต่างหาก
‘ส่วนใครจะว่าเราดำ เราเฉยๆแล้ว ถูกล้อมาตั้งแต่เด็ก ทำไงได้เราเกิดมาดำนี่หว่า’เขาเคยบอกฉันอย่างนี้ ดูเหมือนจะประชดมากกว่า
ฉันกับเข้มสนิทกันมาก บางคนคิดว่าเราเป็นแฟนกัน แต่คนที่สนิทจะรู้ว่าไม่ใช่ เราเป็น…
‘เพื่อนที่สนิทกันมากๆ’มากกว่า จริงๆฉันกับเข้มก็สนิทกับเพื่อนทั้งกลุ่ม แต่ก็นั่นแหละปากคน ใครเป็นแฟนใคร ใครจะเลิกกับใคร ก็ได้พวกนี้คอยขยายข่าวให้ บางทีเจ้าตัวไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป จนกระทั่งมีคนในคณะแอบกระซิบถามว่า
‘เลิกกันแล้วหรอ?’
เจ้าตัวก็ทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ก่อนย้อนกลับไป
‘แล้วเราเป็นแฟนใครหรอ ถึงต้องเลิกกัน’
ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าฉันกับเข้มจะมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกันตั้งแต่เรียนปี 1 จนเรียนจบ เราปลงเสียแล้วล่ะค่ะ
นึกๆไปแล้วตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราก็สร้างวีรกรรมให้เพื่อนฝูงจำกันไปได้อีกนาน ไม่ว่าจะเป็นตอนกิจกรรมเชียร์ระหว่างคณะที่เข้มเป็น ‘หรีดโจ๊ก’ ซึ่งก็คือ เชียร์หรีดเดอร์ประเภทหนึ่งเน้นหนักไปทางตลกๆลามก ยิ่งน่าเกลียดได้เท่าไหร่ ยิ่งชนะใจกรรมการและกองเชียร์ได้เท่านั้น โดยมีฉันเป็นคนคิดท่าเต้น แล้วจะเหลือหรอ! เรียกว่าตอนนั้นใครๆในมหาวิทยาลัยก็รู้จัก
‘เข้ม คณะแพทย์’หรือ’หมอเข้ม’
ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมคะ ว่าพวกเราเป็นว่าที่คุณหมอ
หรือจะเป็นตอนใกล้สอบ โดยปกติพวกเราจะเรียนหนักและสอบบ่อยกว่าคณะอื่น จึงไม่แปลกที่พวกเพื่อนๆรวมถึงฉันกับเข้มเป็นนกฮูกชั่วคราวในเวลาช่วงใกล้สอบ เมื่อเราเครียดมากจึงหากิจกรรมคลายเครียดตอนตี 2 ด้วยการ ‘เปิดไมค์ ใส่ดนตรี’ แหกปากร้องเพลงอยู่แค่สิบห้านาที แต่ เป็นสิบห้านาทีที่แสนจะทรมานของผองเพื่อน จนหลังๆจึงมีคนมาร่วมแจมกับเรามากขึ้น ไหนๆอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว มาร้องเพลงด้วยเลยดีกว่า บางครั้งเราไม่ร้องเพลงก็จะมีคนมาเคาะประตูห้องฉันถามว่า
‘วันนี้ไม่เล่นดนตรีหรอ’ เป็นงั้นไป
ฝนเริ่มขาดเม็ด ยังคงเหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง เขาโทรเข้ามาบอกว่าขาจะมาถึง ฉันเลยนั่งนึกถึงสมัยที่เราเรียนไปเรื่อยๆ
จำได้ว่าเวลาที่ฉันเครียดจากการเรียนหรือเรื่องอื่นๆ เข้มจะเป็นคนนั่งข้างๆฉัน และทำให้ฉันยิ้มได้ หัวเราะได้เสมอ เมื่อเวลาที่ฉันท้อ…ฉันเหนื่อย…ฉันเหงา…หรือเวลาที่ฉันมีน้ำตา คนที่เคียงข้างฉันคอยให้กำลังใจ…ปลอบใจ คือเขา..เข้ม เข้มเป็นเพื่อนที่ฉันจะนึกถึงก่อนเสมอ เมื่อเวลาที่ฉันมีความทุกข์ เพราะฉันรู้ว่า เข้มจะช่วยฉันได้
จนถึงตอนเรียนจบ พวกเราจะต้องไปเลือกจังหวัดที่เราจะไปประจำ ฉันเลือกที่จะมาเป็นหมอประจำอยู่จังหวัดทางภาคใต้ ส่วนเข้มเขาเลือกที่จะไปประจำอยู่ทางเหนือ ห่างไกลกันจัง ถ้าไม่อยู่ไกลกันฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะคิดถึงเขามากขนาดนี้ โดยปกติเราจะ mail คุยกัน แต่ฉันไม่ค่อยชอบเลย ฉันชอบเขียนจดหมายมากกว่า เพราะเวลาเราเห็นลายมือ ฉันจะรู้สึกเหมือนได้คุยกับตัวเขาจริงๆ แต่ก็นั่นแหละเขาก็ไม่ค่อยชอบเขียนจดหมายสักเท่าไหร่ แต่ข่าวที่ได้รับล่าสุดเป็นทางโทรศัพท์ ก็ที่เขาโทรมาบอกว่าจะมานั่นแหละ
ฝนหยุดตกแล้ว พื้นถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ต้นไม้,ต้นหญ้าหน้าบ้านดูงดงามสดใสหลังจากได้รับความชุ่มชื่นจากน้ำฝน นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงครึ่ง อีกราวครึ่งชั่วโมงถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะเดินทางมาถึง ตื่นเต้นจัง ทำไมหัวใจมันเต้นแรงอย่างนี้ก็ไม่รู้ ฉันเดินดูความเรียบร้อยรอบๆบ้านพัก บ้านเรียบร้อยทุกซอกทุกมุม เสียงรถแล่นเข้ามาจอด ฉันรีบเดินไปเปิดประตู
‘เข้มมาแล้ว เข้มมาแล้ว’ ในหัวสมองฉันมีแต่คำนี้ หัวใจเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก เมื่อรู้ว่าตัวเองจะเจอคนที่เรารัก เอะ! ฉันรักเขาหรอ
เมื่อฉันเปิดประตูเรียบร้อย ภาพที่ฉันเห็นคือ เข้ม คนที่ฉันรอคอย เข้มยังคงเข้มเหมือนเดิม ทั้งที่น่าจะขาวขึ้นด้วยซ้ำ ฉันกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาที่รื้นด้วยความตื้นตันออกไป เข้มมันมาหานะ จะร้องไห้ไปทำไม ฉันตื่นเต้นดีใจอย่างมากโดยไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“เฮ้ย หวัดดี เป็นอะไรไปยืนอื้งไปเลยหรอ”
“เออ…หวัดดี มันตื่นเต้น”
“แกตื่นเต้นขนาดนี้หรอวะที่ได้เจอเมียเรา”
อะไรนะ? ‘เมียเรา’ ในสมองฉันได้ยินแต่คำนี้ก้องไปก้องมา ฉันค่อยๆหันไปมองด้านข้างของเข้มด้วยสัญชาตญาณ ภาพใหม่ที่เข้ามาแทนที่ภาพของเข้มคือ หญิงสาวสวยกำลังส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร พร้อมกับที่หูฉันได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนหวาน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” ฉันตอบกลับไปโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป รู้แต่ว่าฉันทำได้แค่ยิ้ม
“ได้ยินคุณเข้มพูดถึงคุณมานานแล้วค่ะ เพิ่งได้เจอตัวจริงก็วันนี้เอง”
เสียงนั้นยังคงเจื้อยแจ้วอย่างเป็นกันเอง แล้วฉันเป็นอะไรนะ หวิวๆ มึนๆ
“พอดีบ้านคุณฝนอยู่สงขลา เราจดทะเบียนที่กรุงเทพ แต่จะจัดงานฉลองสมรสที่บ้านคุณฝนอีกที เลยแวะมาพังงาเพื่อจะเชิญแกไปงานของเรา แกว่างรึเปล่า ไม่ได้บอกล่วงหน้าเสียด้วย”
อ้อ! ผู้หญิงคนนื้ชื่อ ฝน นั่นเอง เขาแต่งงานแล้ว เขามีพันธะแล้ว แล้วเราเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมรู้สึกแสบๆตา คัดจมูกเหมือนจะเป็นหวัด ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เขาเห็นน้ำตาเด็ดขาด เขากำลังมีความสุข เราต้องยินดี ท่องไว้เราต้องยินดี
“จะพยายามไปให้ได้นะ แต่ถ้าเราไปไม่ได้อย่าว่าเรานะ”
“ไม่เป็นไร” เข้มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังเล็กๆ
เขากับภรรยาอยู่คุยกับฉันต่ออีกประมาณสองชั่วโมง แล้วค่อยออกเดินทางไปจังหวัดสงขลา
“พยายามนะ ไปให้ได้ เราอยากให้นายไปจริงๆ”
นี่คือประโยคสุดท้ายของเขาก่อนจะจากไป สีหน้า แววตา และคำพูดที่หนักแน่น บอกให้ฉันรู้ว่าเขาอยากให้ฉันไปจริงๆ
ฉันส่งเขาแล้ว กลับมานั่งที่โซฟารับแขกในบ้าน เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกปรอยๆ
กว่าฉันจะรู้หัวใจตัวเอง ก็ต่อเมื่อมันสายไป ฉันเก็บและกดความรู้สึกนี้ไว้ในก้นเบื้องแห่งหัวใจมานาน จนฉันไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกจริงๆของฉันต่อเขาเป็นยังไง
จนวันนี้…วันที่ของที่เรารักหลุดมือหายไปกับตา โดยที่เราไม่สามารถทำอะไรได้
ฉันถึงได้รู้ว่าฉันกับเข้ม…มันสายเกินไปแล้วจริงๆ
ฝนที่ตกปรอยๆตกหนักขึ้น และคงอีกนานกว่าฝนจะหยุดตก
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ