BTS

6.7

เขียนโดย zeeto

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 13.32 น.

  6 ตอน
  3 วิจารณ์
  12.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560 02.44 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) สถานีแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วันนี้ก็เหมือนเดิมผู้ชายร่างบางหน้าหวานที่มักจะยืนอยู่ติดกับประตูของรถไฟฟ้าในทุกๆวัน ใบหน้าที่กั้นด้วยแว่นและโทรศัพท์มือถือที่เขามักจะกดและมองแค่ตรงนั้น มันไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นหรืออย่างไรเลยแต่ก็แปลกทันทีที่ผมเห็นเขาผมกับอยากที่จะมองอยู่เพียงอย่างนั้น และที่แปลกกว่านั้นก็คือท่าทางที่นิ่งเฉยไม่พูดอะไรเลยมันดึงดูดผมให้คอยมองหาเขาตลอดเวลา หรือนี้อาจจะเป็น...รักแรกพบของผมงั้นหรอ “สถานีต่อไปอโศกผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปรถไฟฟ้ามหานครได้ที่สถานีนี้ขอบคุณคะ” และนี้แหล่ะครับจุดหมายปลายทางของผมและเขา ผมคิดว่าเขาคงจะเรียนที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆนี้แน่นอน เมื่อประตูรถเปิดออกผมก็เดินตามหลงเขาคนนั้นออกไปเช่นทุกวันแม้ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเขาจะสิ้นสุดที่ไหน แต่การที่ได้นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีนี้ด้วยกันทุกวันมันก็เหมือนกับการที่ผมได้มาส่งเขาเช่นกัน “ไอ้กันต์...” เสียงใครมาขัดจังหวะการมองของผมนะผมหันไปมองคนที่กระโดดกอดคอเฮ้อออออ...จะเป็นใครไปได้ละ “อ้าวพี่ออฟ” “เออดิ...เห้นหน้ากูทำไมต้องตกใจด้วยว่ะ” “ก็เปล่านี้พี่ว่าแต่พี่เหอะเข้าบริษัทหรอวันนี้” “กูก็เข้าของกูทุกวันป่ะว่ะแต่วันนี้ซวยตอนออกจากบ้านแม่งรถเสียเลยต้องนั่งรถไฟฟ้ามาเนี้ย” “อ๋อ...” “แล้วนี้มึงเปลี่ยนมาขึ้นรถไฟฟ้าแล้วหรอว่ะปกติกูก็เห็นมึงขับรถมานี่หว่า” “พอดีช่วงนี้ขี้เกียจนะพี่นั่งรถไฟฟ้าสบายกว่ารถไม่ติดด้วย” “เออ...นี้มึงจะเข้าบริษัทใช่ไหมไปด้วยกันดิ” “ครับบบบบ”

               

          ผมว่าการนั่งรถไฟฟ้ามันก็มีความสุขดีนะครับไม่ต้องมาคอยหงุดหงิดเวลารถติดยิ่งมหาวิทยาลัยของผมแล้วอยู่ในจุดที่รถติดๆแบบนี้วิธีเดียวที่จะทำให้เดินทางคล่องตัวก็หนีไม่พ้นการนั่งรถไฟฟ้าและถ้าเร่งรีบหน่อยก็แวนซ์มอเตอร์ไซต์กับพี่วินทั้งหลายแค่นั้นเองสะดวกรวดเร็ว และที่สำครับการนั่งรถไฟฟ้าในทุกๆวันมันก็ไม่ได้แย่ การได้เห็นผู้คนที่แสดงสีหน้าอารมณ์ท่าทางต่างๆในแต่ละวัน มันก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้การทำงานและการเรียนของผมสามารถนำมาใช้สื่ออารมณ์ต่างๆได้ และยิ่งไปกว่านั้นใครคนหนึ่งที่มักจะขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีเดียวกับผมและมาสิ้นสุดที่สถานีเดียวกัน ผมได้แต่แอบชำเรืองมองผ่านแว่นสายตาที่ใส่อยู่ ผู้ชายที่สูงผิวขาวดูเกลี้ยงเกลา ยิ่งเวลาที่ผมเห็นเขายิ้มมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะยิ้มตามไปด้วย ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาทำงานที่ไหน หรือบางทีเขาอาจจะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมก็ได้ แต่ไม่ซิเพราะถ้าเขาเรียนที่เดียวกับผมอย่างน้อยๆทุกๆวันที่เราลงสถานีเดียวกันผมก็ต้องเจอเขาที่มหาวิทยาลัยบ้าง ผมคิดว่าเขาคงมาทำงานมากกว่า “ยิ้มอะไรแต่เช้าว่ะฟลุ๊ค” “อ้าวไอ้ปริ้นท์...มาแต่เช้าเลยนะมึง” “ก็มาก่อนมึงแค่แปบเดียวนั้นแหล่ะว่าแต่มึงเถอะวันนี้แอบถ่ายรูปหนุ่มตี๋บนรถไฟฟ้ามาอีกแล้วอ่ะดิ” “อือ...วันนี้เขาใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงadidas เหมือนเดิมเลยว่ะสงสัยเขาคงแต่ตัวสไตล์นี้” “มึงนี้ดูชอบเขามากเลยนะ” “ชอบดิ...แต่กูว่าเขาคงจำกูไม่ได้หรอกไปเหอะเดี๋ยวสาย”

               

          “เอาละครับอาจารย์มีรุ่นพี่จะมาช่วยเรื่องแนะนำเรื่องการทำสื่อเดี๋ยวอาจารย์จะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักในคลาสหน้านะเป็นไปได้ขอร้องว่าอย่าขาดเพราะสำคัญมาก สำหรับวันนี้พอแค่นี้นะครับเจอกันคลาสหน้า” เทอมนี้มันยากก็ตรงที่ต้องเรียนในส่วนที่ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไรนี้แหล่ะว่าแต่รุ่นพี่อะไรของอาจารย์จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ขืนเป็นพวกไม่มีมนุษยสัมพันธ์มีหวังงานนี้ผมคงแย่ไม่ต่างกัน ก็เพราะผมเองก็ไม่ชอบเข้าหาใครก่อนแท้ๆ “ฟลุ๊คมึงว่าคนที่เดินกับอาจารย์ภาคใช่คนที่จะมาสอนเรื่องสื่อพวกเราเปล่าว่ะ” ผมหันไปมองตามที่ไอ้ปริ้นท์บอกผู้ชายสองคนที่เดินข้างๆอาจารย์ภาคนั้น แต่เอ๊ะ?...ทำไมผมรู้สึกคุ้นกับอีกคนจังชุดที่ใส่ก็คล้ายๆแต่เพราะจากจุดที่ผมยืนกับที่เขาอยู่ห่างกันมากเกินไปด้วยสายตาที่สั้นระดับผมแล้วบอกได้เลยว่าผมมองไม่ชัดหรอก “ใช่มั่งช่างเหอะเดี๋ยวคลาสหน้าก็เจอแล้ว”

               

           “พี่ออฟพี่ว่าเราไปสอนเด็กมหาลัยจะรอดไหม” ผมหันไปถามพี่ออฟที่เดินกลับมาบริษัทพร้อมกันก็จะไม่ให้รู้สึกแบบนี้ได้ไงลำพังตัวเองที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็แย่แล้ว แต่นี้ผู้จัดการของผมและพี่ออฟดันอยากให้ฝึกประสบการณ์ทำงานร่วมกับคนอื่นโดยให้ไปเป็นผู้ช่วยสอนงานรุ่นน้องในมหาลัย แล้วความเพี้ยนของผมกับพี่ออฟก็ไม่รู้ว่าจะช่วยหรือจะทำให้เด็กพังกันแน่  “ไอ้กันต์น้องรักมึงต้องเชื่อมั่นในตัวเองดิว่ะพวกเราสองคนออกจะเก่งขนาดนี้” “ใช่หรอพี่.” “อ้าวไอ้นี้ไม่ใช่เราสองคนมึงคิดว่างานแบบนี้จะมีใครเหมาะกว่าเราว่ะ...ที่สำคัญนะเว้ยเด็กมหาลัยสวยๆแค่คิดก็มีความสุขแล้ว” “พี่ดูหื่นกระหายมากพี่ออฟ” “เดี๋ยวดีดปากเลย...หื่นเหิ่นอะไรเขาเรียกว่าโหยหาอดีตความเป็นนักศึกษาโว้ย” “อ่ะจ่ะ...เอาที่พี่สบายใจเลย” “อย่าให้กูรู้นะทำทีว่ากูพอถึงเวลาจริงๆมึงจีบสาวๆก่อนกูจะเผาหนวดมึงเลยไอ้กันต์” “ไม่มีทางผมไม่ใช่พี่” “พูดซ่ะดูก็เป็นเพลย์บอยเลย” “ฮาๆๆๆ...ไปเหอะหิวข้าวจะแย่แล้วเนี้ย”

               

          อดเจอแน่เลยวันนี้เลิกงานซ่ะดึกกว่าจะออกจากบริษัทก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว เฮ้อออ...หน้าเบื่อจังแล้ววันนี้มันอะไรทำไมคนถึงเยอะขนาดนี้ ผมเดินขึ้นไปรอรถไฟฟ้าในสภาพที่หมดเรี่ยวแรงแถมยังต้องมาเบียดเสียดกับคนเยอะๆอีก แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมผู้ชายคนนั้นยังอยู่ละผมหันไปเห็นเขายืนกดเล่นโทรศัพท์พร้อมใส่หูฟังอยู่ที่เสาถัดไปจากที่ผมยืนไม่มากนักเมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้นผมจึงค่อยๆเดินเบียดคนจำนวนมากค่อยๆเข้าไปยืนใกล้ๆเขาเพื่อจะรอขึ้นรถไฟฟ้า และทันทีที่ประตูเปิดให้เข้าไปผู้คนมากมายต่างเบียดกันเข้ามา และนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมได้ใกล้ชิดเขาแบบนี้มือที่จับอยู่บนราวจับกับมืออีกข้างที่ไม่รู้ว่าผมไปเผลอจับไหล่คนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไรเช่นกัน ตอนนี้ผมรู้เพียงว่าแผ่นหลังของเขาเหมือนพิงมากับหน้าอกของผม ตอนแรกที่คิดว่าการเลิกงานดึกมันดูหน้าเบื่อแท้ๆแต่ตอนนี้นะหรอ...ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่นะคนเบียดเสียดมากๆมันก็ดีเช่นกัน  ตอนนี้ไม่เพียงแค่ได้อยู่ใกล้แต่...กลิ่นของคนตรงหน้านี้หอมอ่อนๆแบบนี้และนี่คงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมจะจำเกี่ยวกับคนๆนี้ซะ

               

          ใครจะรู้ว่าการนั่งรอเพื่อจะพบใครอีกคนมันนานแค่ไหนทันที่ที่ผมเห็นเขาเดินขึ้นบันมาผมก็รีบทำทีวิ่งกลับไปยืนรอขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและวันนี้มันคงทำให้ผมรู้สึกดีกว่าทุกวันก็ตรงที่ มือเรียวที่จับไหล่ของผมในตอนนี้แหล่ะ แล้วผมจะเขินทำไมถ้าไม่ติดว่าทรงผมที่ยาวปิดใบหน้าและหูแล้วเขาคงรู้ได้แน่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกอายแค่ไหน ก็มันเหมือนกับผมถูกเขากอดไว้เลยนี่ พอเถอะฟลุ๊คมึงฟุ้งซ่านไปแล้วแล้วที่แย่ไปกว่านั้นพอรถไฟเลี้ยวตามเส้นทางผมกับใช้โอกาสเล็กๆน้อยๆปล่อยตัวให้พิงซบกับอกเขานี้แหล่ะ “สถานีต่อไปสยามประตูจะเปิดทางด้านขวา....” “ขอโทษครับ” ทันทีที่ประตูเปิดออกผู้คนที่ต่างจะก้าวเข้าออกทำให้เบียดกันจนทำให้คนที่โอบไหล่ผมอยู่เบียดเข้ามาจนแน่นไปอีกใจเย็นๆนะฟลุ๊คมันเพราะคนแน่นหรอกเขาไม่ได้ตั้งใจโอบมึงแน่นขนาดนั้น “ไม่เป็นไรครับ” “วันนี้คนแน่นจังเลยนะครับ” อะไรของเขาอยู่ๆก็ชวนผมคุยแล้วไอ้เสียงที่นุ่มพูดใกล้ๆหูแบบนี้ “ครับ...คงเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงาน” แม้จะเป็นคำพูดตามมารยาทแต่มันก็รู้สึกดีเนอะ

               

          สถานีข้างหน้าแล้วซินะที่ผมกับเขาต้องลงแต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันจะสิ้นสุดตามปลายทางซ่ะเมื่อไรในเมื่อผมกับเขายังคงต้องขึ้นลงในสถานีนี้ทุกๆวัน และวันนี้แค่ไม่กี่คำที่ได้พูดมันก็เหมือนยาชูกำลังให้หายจากความเหนื่อยล้าได้ดีไม่น้อย เมื่อลงจากสถานีแล้วผมก็ได้แต่หันมองตามแผ่นหลังที่เดินจากไป “ฝันดีแล้วกันต์เอ้ย...คนอะไรว่ะน่ารักไปทุกอย่าง” ผมยิ้มให้กับแผ่นหลังนั้นก่อนจะเดินหลังไปอีกทางเช่นกันและหวังว่าในทุกๆวันผมคงได้เจอเขาไม่เช้าก็เย็นก็ยังดี

                หลังจากเดินออกมาได้ซักพักผมก็หันกลับไปมองเจ้าของมือที่โอบไหล่ผมบนรถไฟฟ้านั้น นี้มันคืออะไรกันแน่ความรู้สึกที่เขาโอบไหล่ยังคงหลงเหลือให้คิดถึงอยู่เลยผมรู้สึกดีกับคนที่ไม่เคยรู้จักแค่บังเอิญได้เจอกันแค่นั้นเองหรอ แต่แปลกเขาเหมือนจำไม่ได้ว่าวันนั้นที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดยืนกลุ้มใจระหว่างที่รอจะกลับบ้านแล้วฝนกับตกลงมามันจะมีซักกี่คนที่จะเดินมายื่นร่มให้ผมแล้วตัวเองก็วิ่งตากฝนไป เพราะภาพความใจดีนั้นละมั่งที่ทำให้ผมคอยแต่มองเขาตลอดเวลาโดยที่เจ้าตัวนั้นไม่เคยสังเกตเลย ผมคิดพร้อมกับเปิดกระเป๋าสะพายหยิบร่มพับที่อยู่ในกระเป๋าออกมา “เก็บไว้ก่อนแล้วกันนะ” ผมยิ้มให้กับร่มก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าเช่นเดิม  

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา