Skip ความจนทะลุมิติ (Poor boy & Dogs)
เขียนโดย January13
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.37 น.
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563 20.45 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) ซอมบี้พนักงาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากมื้อค่ำจบลงอย่างอิ่มหน่ำสำราญเจ้าหมา 3 ตัวก็พาผมมาที่ๆ พวกมันเรียกว่าเกสเฮ้าส์
“เดี๋ยวนะ เนี่ยน่ะหรอเกสเฮ้าส์ของพวกนาย” ผมถามตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าลงจากรถลีมูซีนสภาพดูไม่ได้ของตัวเอง คืนนี้ผมต้องนอนที่นี่จริงๆ หรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อกี้พึ่งจะวิ่งเล่นในคฤหาสน์สุดหรูมาอยู่หยกๆ
“ใช่” เจ้าดำตอบสั้น
“จะบ้าหรอ นี่มันกองขยะชัดๆ” ผมโวยวาย ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลงอันนั้นก็เข้าใจ แต่จำเป็นต้องตกต่ำถึงเพียงนี้เลยหรอ
“คืนนี้ฉันจะนอนในรถ” ผมรับไม่ได้หรอกที่จะต้องนอนอยู่บนกองขยะ ขณะกำลังจะปิดประตูรถเจ้านวลก็เข้ามาดึงตัวผมลงจากรถไปซะก่อน
“มาเถอะน่า คุณจะต้องชอบแน่ๆ” นวลบอก อย่างกับว่ากองขยะของมันมีอะไรดีสู้คฤหาสน์ของผมได้อย่างงั้นแหละ กองขยะนั้นสูงใหญ่ลักษณะเหมือนภูเขาย่อมๆ เลยก็ว่าได้ ประกอบไปด้วยขยะหลากหลายชนิดไม่ได้คัดแยกตามประเภทที่ถูกต้อง กลิ่นไม่พึงประสงค์ลอยมาเตะจมูกเป็นช่วงๆ ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเจ้าหมาเท่ห์ๆ 3 ตัวนี้มันอยู่กันยังไง นวลพาผมมาอยู่หยุดตรงโซนขยะที่เป็นขวดพลาสติกบู้บี้หลากหลายขนาดเยอะแยะเต็มไปหมด มันเอื้อมมือไปหมุนขวดพลาสติกอันหนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดเสียงคล้ายๆ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น กองขวดพลาสติกตรงหน้าขยับเปิดออกเหมือนประตูลิฟท์
“ห๊ะ!!! นี่มันอะไรเนี่ย???” ผมถามอย่างตกใจและตื่นเต้น ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอะไรก่อนดี นวลไม่ตอบเอาแต่ยิ้มอย่างขำขันที่ทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นได้ พวกเราเดินเข้ามาข้างในมันมืดตึ๊ดตื๋อไปหมด ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่พอจะเดาได้ว่าเป็นทางเดินยาวๆ พาเราไปที่ไหนสักแห่ง
“นี่นวล แล้วเมื่อกี้เธอจำได้ยังไงว่าเป็นขวดไหน หน้าตามันเหมือนกันหมด” ผมมีข้อสงสัย
“ก็เดาๆ เอาน่ะ” นวลตอบส่งๆ อะไรมันจะเดาแม่นขนาดนั้น เดินมาสักระยะก็พบกับทางตันที่มีแสงสีฟ้ารูปรอยเท้าหมาสามอันติดอยู่ที่ผนัง
“นั่นอะไรหรอ???” ผมถามขึ้นอีกแต่ไม่มีใครสนใจ พวกมันเอื้อมมือไปแตะที่แสงนั่นทีละตัวจนครบ ผนังก็เลื่อนขึ้น ด้านในเป็นลิฟท์และมีแสงสว่าง
“อ้าว เข้ามาสิทอง” ด่างเรียกผมที่ยืนอึ้ง อ้าปากค้างอยู่หน้าลิฟท์ ขณะที่พวกมันเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว พอผมเดินเข้ามาก็มองสำรวจไปรอบๆ ไม่เห็นว่าจะมีปุ่มอะไรให้กดเลย สักครู่ประตูก็ปิดเองอัตโนมัติแล้วดำดิ่งลงไปยังชั้นใต้ดิน ติ๊ง!!! เสียงดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออก
“โห!!! นี่มันอะไรกันเนี่ย???” ผมอุทานอย่างตื่นเต้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“เจ๋งไหมหละ” นวลถามแล้วเดินนำหน้า ผมตามหลังไปอย่างเชื่องๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นหมาใครเป็นคนกันแน่ หน้าลิฟท์เป็นพื้นยกสูงแต่ไม่มากนัก มีบันไดขึ้นลงซ้ายขวาและมีรั้วกั้น เมื่อเดินลงไปจะเจอห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่มีชุดทีวีโฮมเทียเตอร์สุดอลังการและทันสมัย โซฟาชุดใหญ่โค้งเป็นตัวยู การตกแต่งห้องเป็นสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาว ดำและเทา ถึงจะไม่ได้หรูหราเท่าคฤหาสน์ของผมแต่ก็ดูสะดวกสบายและเท่ห์มากๆ เหมาะกับเจ้าหมา 3 ตัว ใครจะไปรู้ว่าใต้กองขยะจะมีเกสเฮ้าส์ดีๆ แบบนี้อยู่ด้วย
“ทำตัวตามสบายเลยนะทอง” ดำตะโกนบอกขณะเข้าไปหาเครื่องดื่มในห้องครัวที่อยู่ด้านใน
“แข่งรถกันสักเกมส์ไหมลุง” ด่างท้า ทำเป็นเรียกผมว่าลุง อย่างนี้ยอมไม่ได้
“หึหึด่าง นายจะเสียใจที่เรียกฉันแบบนั้น” พูดจบก็กระโจนเข้าไปนั่งประจำที่ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะมันคือการรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นคน ถ้าผมแพ้หมาคงไม่มีหน้าไปเจอพ่อแม่ในยมโลกแน่
“เอานี่ เครื่องดื่มชูกำลัง” ดำส่งน้ำอัดลมให้ผมและด่างคนละกระป๋อง ก่อนจะมานั่งดูเกมส์ด้วยกัน แต่ไม่ได้ออกตัวเชียร์ใครเป็นพิเศษ ส่วนนวลปลีกตัวไปอาบน้ำ ขัดตัว พอกหน้า ตามประสาผู้หญิง
ผมใช้เวลาไม่นานก็จบเกมส์นั้นได้ บอกไว้เลยนะว่ามันคือประวัติศาสตร์ ขอพูด 3 คำดังๆ ว่า ผม...แพ้...หมา และไม่ใช่แค่ตัวเดียวด้วย เจ้าดำและเจ้าด่างทำผมเสียคน พวกมันคงลืมเรื่องลูกชิ้นเอ็นหมูวันนั้นไปแล้วสินะถึงได้ไม่ปราณีกันบ้าง นี่มันหมาหมู่ชัดๆ
“ทองยอมรับเถอะ คุณแก่แล้ว” ดำพูดเหมือนจะปลอบใจพรางใช้ขาหน้าตบไหล่ผมเบาๆ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย
“เต่ายังเร็วกว่าคุณอีกนะทอง ฮ่าๆๆๆ” เจ้าด่างนั้นยิ่งกว่า เอาแต่หัวเราะผม ก็ Skip มาซะไกลขนาดนี้จะไม่แก่ได้ยังไง นี่ผมยังปวดเมื่อยเนื้อตัวอยู่เลยนะเนี่ย
“จริงสิครั้งแรกที่เจอพวกนายจำได้ว่าฉันอายุ 17 และตอนนั้นพวกนายเป็นลูกหมา ตอนนี้ฉันอายุ 50 กว่าเกือบจะ 60 แล้ว แต่ทำไมพวกนายยังเป็นหมาหนุ่มอยู่เลยหละ” อยู่ๆ ผมก็นึกสงสัยขึ้นมา
“พวกเราเกิดและตายมาหลายรอบแล้วหละทอง” ด่างบอก
“ใช่ พวกเราต้องเกิดเป็นหมารับใช้คุณจนกว่าจะตอบแทนบุญคุณหมด” ดำขยายความ ผมขอถอนคำพูดที่ว่าพวกมันลืมเรื่องลูกชิ้นเอ็นหมู ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่แบ่งมื้อเที่ยงให้ลูกหมา 3 ตัวกินนิดๆหน่อยๆ พวกมันจะตามมารับใช้ปกป้องผมถึงขนาดนี้
“สนุกกันพอหรือยัง หนุ่มๆ” เสียงนวลลอยมาก่อนจะเห็นเจ้าตัว
“ไม่ต้องเตรียมการสำหรับวันพรุ่งนี้หรือยังไง” มันยืนกอดอกถามอย่างจริงจัง
“ฉันแค่จะไปหาลูกชายที่บริษัท ทำไมต้องเตรียมการอะไรด้วยหละ” ผมถามขึ้น
“เพื่อนสนิทและภรรยาของคุณอาจจะยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เพราะฉะนั้นเราจะประมาทไม่ได้” ดำเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจ” ผมพึ่งนึกขึ้นได้
“ทองคุณไม่ใช่คนมือสะอาดขนาดนั้น ตำรวจนอกจากจะไม่ช่วยคุณแล้วยังจะลากคุณไปสอบสวนในเรื่องที่คุณก่อไว้อีกต่างหาก ตั้งแต่การมีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นมาเฟีย การปั่นหุ้น ไหนจะเรื่องทุจริตสมาคมที่คุณเป็นประธานอยู่” ที่เจ้าด่างพูดมาทำเอาผมหน้าชา นี่ผมทำเรื่องเลวร้ายไว้เยอะแยะขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย
เจ้าดำเดินนำทุกคนไปที่ห้องๆ หนึ่งที่เรียกว่าห้องเปล่า ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกแบบนั้นจนได้มาเห็นว่ามันว่างเปล่าจริงๆ ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีขาวขนาดกลางไม่มีอะไรในนั้นเลย ดำกดปุ่มๆ หนึ่งบนผนัง ผมไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามีปุ่มอะไรอยู่ตรงนั้นเพราะมันขาวโพลนกลมกลืนกันไปหมด ผนังค่อยๆ เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นคลังอาวุธสงครามที่ซ่อนอยู่หลังผนังนั้น ซึ่งมีอาวุธหลายประเภทหลายขนาดเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“พรุ่งนี้เอาปืนสั้นขนาด .357 แม็กนั่มและเอ็ม 16 ไปด้วยพร้อมกับกระสุนทั้งหมดที่มีอยู่ ส่วนระเบิดพกไปด้วยก็ดีแต่ไม่ต้องเอาชนิดที่รุนแรงมากแค่เผื่อๆ ไว้ อย่าลืมเช็คความพร้อมของอาวุธทุกอย่างให้ดี เราเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะฉะนั้นต้องรอบคอบให้มาก” ดำสั่งการ
“รับทราบ” ด่างและนวลได้ยินดังนั้นก็ช่วยกันขนอาวุธออกมาเช็คสภาพก่อนจะย้ายไปเก็บไว้ในรถตู้ที่ซ่อนอยู่หลังผนังอีกฝั่งหนึ่งของห้อง
“ฮ่าๆๆๆๆ” ผมหัวเราะอย่างอดไม่ได้
“ขำอะไรน่ะทอง” นวลหันมาถามงงๆ
“ก็ดูรถตู้นี่สิ ไม่เหมาะกับพวกนายเลย” ผมวิจารณ์รถตู้บริการอาบน้ำตัดขนสัตว์เคลื่อนที่คันสีเขียวมิ้นสะท้อนแสงมีลายการ์ตูนเป็นรูปลูกหมาหลากหลายสายพันธุ์ทำหน้าบ้องแบ๊วกระจายอยู่ทั่วรถ
“ทำไมหละ ออกจะน่ารักฟรุ้งฟริ้ง” เจ้าด่างแย้ง
“ใช่ น่ารักและเหมาะกับการพรางตัวในที่ชุมชน” ดำบอกเสียงขรึม
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ผมพึ่งจะเข้าใจ เมื่อนวลและด่างตระเตรียมอาวุธเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รีบแยกย้ายกันเข้านอน เพราะไม่อาจจะเดาได้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องพักผ่อนเอาแรงเตรียมร่างกายให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์
ผมตื่นขึ้นมาในห้องนอนรับรองแขกด้วยร่างกายที่บอบช้ำไม่ต้องเดาเลยว่ามาจากสาเหตุใด ภาพที่ผมล้มหน้าคว่ำอย่างแรงเพราะโดนเมดสาวนางหนึ่งกระโดดถีบจากด้านหลังยังคงชัดเจนอยู่ในหัว เหมือนดูหนังแล้วแผ่นสะดุดอยู่ตรงที่เดิมหลายๆ รอบ ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกมาสมทบกับผู้อารักขา 3 ตัวที่รออยู่ในห้องเปล่า ดูท่าพวกมันจะพร้อมกว่าผมเสียอีก พวกเราพากันขึ้นรถโดยมีเจ้านวลเป็นคนขับและ เจ้าด่างนั่งข้างๆ ส่วนผมกับเจ้าดำนั้นอยู่ข้างหลัง รถขับผ่านอุโมงค์มืดก่อนจะถึงทางออกที่ประตูด้านในเป็นเหล็กหนาแต่ด้านนอกเป็นเศษขยะ มันเลื่อนเปิดขึ้นอย่างอัตโนมัติเมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ พอรถผ่านออกมา ประตูก็ปิดลงกลายเป็นแค่กองขยะธรรมดาๆ เช่นเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเรามุ่งหน้าเข้าเมือง บนถนนรถติดอย่างแสนสาหัสตามปกติ ส่วนฟุตบาทสองข้างทางก็จอแจไปด้วยผู้คนวัยทำงานที่รีบเร่งซื้อกับข้าวกับปลาชากาแฟก่อนไปทำงาน ไม่นานก็มาถึงอาณาจักรของผม ‘ทอง วิลเลจ’ ป้ายด้านหน้าทางเข้าเขียนไว้ตัวเบ้อเร้อ เมื่อขับรถเข้ามาจะพบกับอาคารสูงดูหรูหราอยู่ 3 ตึก โดยตึกกลางนั้นสูงที่สุด ผมเดาว่าลูกชายน่าจะอยู่บนชั้นสูงสุดของตึกนี้ ผมลงจากรถมาพร้อมกับเจ้าดำ มันพรางตัวโดยเดิน 4 ขาเหมือนหมาทั่วๆไป ส่วนนวลและด่างสแตนบายรออยู่ที่รถ หากไม่มีอะไรผิดปกติ เจ้าดำจะกลับมาขึ้นรถและปล่อยผมอยู่ที่นี่กับลูกชาย
พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบยกมือไหว้ผมปลกๆทันทีที่เห็นหน้า ก่อนจะเปิดประตูให้อย่างเกรงๆ เมื่อเข้ามาด้านในพนักงานคนไหนเห็นหน้าผมเป็นต้องรีบยกมือไหว้และเดินก้มหน้าก้มตาหนีไปอย่างรวดเร็ว ดูลักษณะแล้วไม่เหมือนเกรงขามแต่เหมือนเกลียดผมมากกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ติ๊ง!!! เสียงลิฟท์ดังขึ้นก่อนประตูจะเปิด พนักงานคนหนึ่งเดินออกมาอย่างรีบร้อนไม่ทันมองจึงชนผมที่ยืนรออยู่หน้าลิฟท์เต็มแรง
“โอ๊ย!!!” พนักงานคนนั้นอุทาน พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นผมก็รีบขอโทษขอโพย
“ขะขะขอโทษครับท่านผมไม่ได้ตั้งใจ ผม...” พูดอย่างร้อนรนไม่ทันจบประโยคก็ไอโค่งๆ เสียงดัง สภาพเขาดูเหมือนคนเป็นไข้ หน้าซีด ปากซีด ขอบตาหมองคล้ำ ดูไม่มีเรี่ยวแรงและเหงื่อออกเต็มไปหมด
“ไม่เป็นไรๆ” ผมบอกอย่างใจดี เขามองผมหน้าเหวอเหมือนไม่คาดคิดว่าผมจะไม่ถือสาเอาความ ผมเข้ามาในลิฟท์พร้อมกับเจ้าดำ มีพนักงานจำนวนหนึ่งยืนอยู่หน้าลิฟท์แต่ไม่มีใครเข้ามาด้วย ทั้งๆ ที่ลิฟท์ก็ยังว่าง พวกเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจผมจึงกดปิดประตู
“นี่ดำ ฉันมีกลิ่นตัวหรือเปล่า” ผมถามขึ้น เจ้าดำทำจมูกฟุดฟิดใกล้ๆ ก่อนตอบ
“ไม่หนิ ถามทำไม”
“ก็เห็นพนักงานพวกนั้นไม่ขึ้นลิฟท์มาด้วยเลยแปลกใจ”
“ก็พวกเขาเกลียดคุณยังไงหละ”
“ทำไม??? ฉันทำอะไรไม่ดีหรอ” ผมถามต่อ
“ก็สารพัดนั่นแหละ ตามแบบฉบับนายจ้างหน้าเลือด” ดำไม่ได้บอกรายละเอียด แต่เท่าที่สรุปมาก็พอจะนึกภาพออก ติ๊ง!!! เสียงลิฟท์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อมาถึงชั้นบนสุดของตึก ทั้งชั้นนี้มีห้องอยู่เพียงห้องเดียว ผมเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ ด้านในเป็นห้องทำงานที่กว้างขวางมาก โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลังหน้าต่างกระจกที่ยาวถึงพื้น ทำให้สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ 180 องศา บนโต๊ะนั้นมีรูปผมตั้งอยู่ จึงเดาได้ว่านี่คือห้องทำงานของผม เก้าอี้ทำงานหนังสีดำหันหลังให้โต๊ะเห็นศีรษะของใครบางคนโผล่มาเพียงเล็กน้อย ผมคิดว่านั่นคือสุพรลูกชายของผม
“สุพร” ทันทีที่ผมเรียกเก้าอี้นั้นก็ค่อยๆ หมุนมา เห็นชายวัย 30 ต้นๆ นั่งอยู่ เขาใส่ชุดสูทสีเทา สวมแว่นสายตาเลนส์หนา ท่าทางดูสะอาดสะอ้านและเจ้าระเบียบ ใบหน้านิ่งขรึมก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง
“คุณพ่อ!!!” สุพรเรียกอย่างดีใจรีบลุกขึ้นมาต้อนรับ เขาพาผมไปนั่งคุยกันต่อที่โซนรับรองแขกซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ ผมสังเกตเห็นว่าเขาสะพายกระเป๋านักเรียนหนังสีดำไว้ด้วย ถ้าไม่ใช่ลูกตัวเองผมคงคิดว่าเขาติ๊งต๊อง
“คุณพ่อไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้างครับ สนุกหรือเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกลูก แล้วลูกหละทำงานเป็นยังไงบ้าง พักผ่อนบ้างนะอย่าหักโหมเกินไป” ผมบอกอย่างห่วงใย ตอนนี้ผมไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้แล้ว นอกจากสุพรที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผม
“ไม่หักโหมไม่ได้หรอกครับพ่อ ตอนนี้บริษัทของเรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น จริงๆ ก็ขึ้นมาตลอดนั่นแหละ แต่ผมคงนิ่งนอนใจไม่ได้เดี๋ยวคู่แข่งจะไล่ตามเราทัน” เขาพูดจาด้วยท่าทางเฉลียวฉลาดและมุ่งมั่นทำให้ผมรู้สึกภูมิใจมาก
“ขอบใจนะลูกที่ทำงานหนักเพื่อบริษัทของเรา” ผมพูดพรางตบไหล่เขาเบาๆ
“ไม่เป็นไรเลยครับพ่อ ผมตั้งใจจะทำมันให้ดีเพื่อครอบครัวของเรา พ่อเองก็อายุมากแล้ว ผมไม่อยากเห็นพ่อทำงานหนัก อยากแบ่งเบาภาระพ่อบ้าง ในเมื่อพ่อเห็นความตั้งใจของผมแล้วจะแต่งตั้งผมเป็นประธานบริษัทได้ไหมครับ” สุพรถามจบก็ส่งเอกสารพร้อมปากกาให้ผม ใบหน้าใสซื่อแววตาลุ้นคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อนเถอะลูก พ่อมีเรื่องสำคัญกว่าจะเล่าให้ฟัง” ผมตัดบทดื้อๆ เพราะอยากเล่าเรื่องที่บ้านให้เขาฟัง ผมอยากให้เขาเป็นตัวกลางในการเกลี้ยกล่อมวิภาดาให้ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าผม ผมจะได้กลับไปอยู่บ้านได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกใจสุพรเท่าไหร่นัก เขานิ่งเงียบไปก่อนจะลุกมายืนชมทัศนีย์ภาพกรุงเทพมหานครยามเช้า ผมกับเจ้าดำหันมองหน้ากันอย่างงงๆ
“พ่อรู้ไหมว่าผมทำงานหนักแค่ไหนเพื่อพิสูจน์ตัวเอง” เสียงนั้นดูเย็นชาต่างจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ
“สุพรพ่อแค่...”
“พ่อรู้ไหมว่าผมต้องทนอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปมานานแค่ไหน พ่อรู้ไหมว่าที่ผ่านมาผมทำรายได้ให้บริษัทมากเท่าไหร่” เสียงเริ่มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
“สุพรพ่อไม่...”
“พ่อไม่รู้หรอก เพราะว่าพ่อไม่เคยสนใจ เอาแต่ออกคำสั่งและก็คอยกดหัวผมอยู่ตลอดเวลา” มาถึงประโยคนี้แทบจะกลายเป็นตวาด
“สุพร...” ที่ผมพูดได้แค่นี้ไม่ใช่ว่าตกใจหรืออะไรนะ แต่เป็นเพราะว่าพูดไม่ทันเขา สุพรหันมามองผมหน้านิ่งก่อนจะพูดต่อ
“พ่อรู้ไหม แม่เคยบอกว่าอยากฆ่าพ่อ ผมว่ามันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ” พูดจบก็ชักปืนพกที่เหน็บเอวไว้ออกมา ผมตกใจมาก แม้แต่ลูกแท้ๆ ก็คิดจะฆ่าผมด้วยหรือนี่???!!! ดำที่ตอนแรกนั่งเหมือนหมาธรรมดาเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาป้องกันผมทันที
“คุณสุพร ห้ามแตะต้องนายผม” ดำพูดอย่างเช่นทุกครั้ง
“นี่มันเรื่องของคน หมาไม่เกี่ยว” สุพรตะคอก ลูกชายของผมก็เป็นอีกคนที่เห็นหมาพูดได้แล้วไม่ตกใจ หรือว่ามีผมคนเดียวที่คิดว่ามันแปลก
“สุพรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่านะลูก” ผมเกลี้ยกล่อม
“ไม่” เขาเสียงแข็งใส่ก่อนจะเล็งปลายกระบอกปืนมาทางผมซึ่งมีดำยืนบังไว้อยู่ นาทีนั้นผมแทบจะหยุดหายใจ สุพรเหนี่ยวไกปืนดังแกร๊ก!!!
“ปัง!!! ฮ่าๆๆๆๆ” เขาหัวเราะชอบใจใหญ่ ปลายกระบอกปืนมีธงเล็กๆ โผล่ออกมา ที่ธงนั้นเขียนถ้อยคำด่าทอผมไว้ว่า ‘ไปตายซะไอ้แก่’ ผมเสียใจมากที่ลูกชายเกลียดผมถึงเพียงนี้
“ผมไม่ทำอะไรตื้นๆ อย่างนั้นหรอก ตายแบบนี้มันสบายเกินไปสำหรับพ่อ” สุพรบอกมือพรางเปิดหน้าต่างบานใหญ่ตรงหน้า
“สุพรลูกจะทำอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้ เรื่องสนุกๆ รอพ่ออยู่ ส่วนผมขอตัวหละ” พอพูดจบก็กระโดดลงไปทางหน้าต่าง
“สุพร!!!” ผมหัวใจหล่นวูบที่เห็นลูกชายกระโดดตึกคาตาจึงรีบวิ่งมาดูทันที ร่างของสุพรดิ่งลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว จู่ๆ กระเป๋านักเรียนที่เขาสะพายไว้ก็กลายเป็นเจ็ทแพ็ค พาเขาเหินขึ้นฟ้าและบินหายไปในกลีบเมฆ ผมรู้สึกเสียศูนย์มากที่ทุกคนรอบข้างต่างก็เกลียดผม ไม่เว้นแม้แต่ลูกเมียของผมเอง ถึงขนาดอยากจะฆ่าผมให้ตาย จริงๆ ผมควรอึ้งกับกระเป๋านักเรียนของสุพรก่อนแต่ไม่มีอารมณ์ เจ้าดำเห็นผมคอตกจึงเอื้อมขาหน้ามาแตะไหล่เบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ผมใช้เวลาดราม่าอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะตัดสินใจกลับเกสเฮ้าส์กับเจ้าดำ ยังไงสุพรก็ต้องกลับมาที่บริษัทและถ้าเขายังเห็นผมอยู่ที่นี่อีก คราวหน้าเขาอาจจะไม่ใช้ปืนของเล่นแบบเมื่อกี้ก็ได้
“ที่คุณสุพรพูดมันหมายความว่ายังไง” ดำถามขณะลงลิฟท์ด้วยกัน
“ประโยคไหนหละ”
“ที่บอกว่าเรื่องสนุกๆ รอคุณอยู่น่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันเดาไม่ถูกหรอก รู้อย่างเดียวคือเจ็บ” ผมรู้สึกอย่างที่พูดนั่นแหละ มันเจ็บช้ำไปทั้งหัวใจ ไม่เหลือใครที่ผมไว้ใจได้อีกแล้วนอกจากหมา 3 ตัว ติ๊ง!!! เสียงลิฟท์ดังแล้วประตูก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ
“ดะดะดำ นั่นมันอะไรน่ะ” ผมตะกุกตะกักถาม เมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่ชวนสยอดสยอง ผมจำพนักงานคนนั้นได้ที่เขาเดินชนผมตอนออกจากลิฟท์ก่อนหน้านี้ ตอนนั้นผมคิดว่าเขาน่าจะป่วยแต่ตอนนี้ผมว่าเขาป่วยมากหรืออาจจะหิวมาก หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง
“ทอง ผมว่านี่มันไม่ปกติแล้วหละ” ดำพูดน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ เราทั้งสองยืนนิ่งมองพนักงานคนนั้นกำลังกัดกินหัวสมองเพื่อนร่วมงานอย่างเอร็ดอร่อย ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขามีปัญหาส่วนตัวอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ผมกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
“ดำ นายว่าเขาป่วยเป็นอะไร”
“อืม...ไม่รู้สิ ออฟฟิศซินโดรมมั้ง คุณให้เขาทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า” ดำตอบ ผมไม่รู้ว่ามันตอบแบบซีเรียสหรือพยายามจะเอนเตอร์เทนผม เหมือนพนักงานคนนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนจับจ้องอยู่ จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างจัง หัวใจผมหล่นวูบลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม
“ไอ้ทอง” เสียงแหบซ่านเรียกชื่อผมแบบสโลว์โมชั่น
“เอ่อ...ฉันยังไม่ต้องการกาแฟ นายทำธุระของตัวเองไปเถอะ” ผมยังจะมีหน้าไปคุยกับมันอีก
“ไอ้ทอง ไอ้หน้าเลือด” เขาพูดยานๆ มองผมด้วยแววตาอาฆาตแค้น ผมนึกสงสัยว่าพนักงานคนอื่นหายไปไหนกันหมดหรือโดนนายคนนี้กินไปหมดแล้ว ความคิดยังไม่ทันจะสิ้นสุดลง พนักงานจำนวนหนึ่ง ก็เดินออกมาจากมุมต่างๆ สภาพแต่ละคนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเลือดเต็มไปหมด เดินโขยกเขยกเหมือนคนไม่สมประกอบ บางคนลูกตาถลนออกมาจากเบ้า บางคนปากอ้าจนฉีกถึงหู คือโดยภาพรวมแล้วก็ดูน่ากลัวดี แต่ถ้าเห็นแบบนี้จากทีวีน่าจะดีกว่า
“เอ่อ...ดำฉันว่ามันไม่ใช่ออฟฟิศซินโดรมแล้วหละ”
“อืม ถูกของคุณ” ดำเห็นด้วย
“ไอ้ทอง ไอ้คนหน้าเลือด กำไรบริษัทเป็นพันๆ ล้าน แต่ให้โบนัสพนักงานแค่ 1.5 เดือน”
“ทุ่มเททำงานแทบตาย ปรับเงินเดือนที 500 บาท”
“ท่องเที่ยวประจำปีบริษัทอื่นเขาพาไปญี่ปุ่น แต่มึงพาไปเขาใหญ่แล้วไปตอนหน้าร้อนคืออะไร”
“สั่งงานเยอะทำไม่ทันก็ด่า พออยู่ดึกกลับไม่ให้โอที ไอ้หน้าเลือด”
“บัตรประกันสุขภาพเฮงซวยวงเงินโอพีดีครั้งละ 1,000 บาทมึงคิดว่ามันพอหรอ” ซอมบี้พนักงานพวกนั้นรุมด่าผม ทีตอนด่านี่มาอย่างแร็พเลย ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นพวกชอบกดขี่พนักงานอย่างนี้พวกเขาคงเคียดแค้นผมมาก ถึงได้มองผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่ไม่ใช่การเปรียบเปรยแต่พนักงานพวกนั้นจะกินผมจริงๆ คิดว่ากระดูกก็คงไม่เหลือ
“ทองปิดลิฟท์” ดำบอกเมื่อเห็นซอมบี้พนักงานกำลังเดินตรงมาทางเรา แต่ว่าผมตัวแข็งไปซะแล้ว
“ตายซะเถอะไอ้ทอง พวกกูจะส่งมึงไปลงนรกเอง” พวกนั้นใกล้เข้ามาเต็มที แต่ร่างกายของผมเหมือนถูกแช่เย็นขยับตัวไม่ได้เลย
“โธ่ทอง อยากเป็นอาหารพวกมันหรือยังไง” ดำพูดพรางเอื้อมขาหน้ามากดปิดประตูลิฟท์รัวๆ
“ปิดสิ ปิดสิ เร็วเข้า” ประตูลิฟท์นั้นก็ปิดช้าเสียเหลือเกินไม่ทันใจเจ้าดำเอาซะเลย เหลือช่องอีกแค่นิดเดียวแต่ซอมบี้พนักงานตัวหนึ่งดันพุ่งเข้ามาแหวประตูไว้ได้ทัน เจ้าดำกระโดนถีบเข้าหน้าเต็มแรงก่อนจะชักปืน .357 แม็กนั่มที่พกไว้ออกมายิงรัวๆ แล้วรีบปิดลิฟท์ทันที
“ให้ตายสิพนักงานพวกนั้นกลายเป็นซอมบี้ไปได้ยังไง” ผมอยากจะเป็นบ้าเสียสติไปเลยตอนนี้
“ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือลูกชายคุณ” ดำสันนิษฐาน
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป” ผมถามต่อ
“ไปซ่อนตัวที่ห้องทำงานของคุณก่อน บนนั้นน่าจะยังไม่มีพนักงานขึ้นไป เราต้องวางแผนหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้อย่างปลอดภัย” ติ๊ง!!! ดำพูดจบประโยคเสียงลิฟท์ก็ดังขึ้น แต่ว่านี่มันยังไม่ถึงชั้นที่พวกเราต้องการจะไปเลยพึ่งกลางทางเท่านั้นเอง ผมไม่เคยรู้สึกขนลุกอะไรขนาดนี้มาก่อน สยดสยองยิ่งกว่าตอนได้ยินเสียงหัวเราะของวิภาดาเสียอีก ดำมองหน้าผมก่อนที่มันจะทำท่าเตรียมตัวยิงอะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกนั่น ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ จุดนี้ทำผมตื่นเต้นจนเผลอกลั้นหายใจ
“พี่ดำ!!!” นวลและด่างเรียกอย่างดีใจ เจ้าสองตัวนั้นก็ทำท่าเตรียมจะยิงอยู่เหมือนกัน
“โล่งอกไปที คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมทอง” นวลถามอย่างเป็นห่วง
“ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ” ผมตอบหน้าแหยๆ
“พวกนายเห็นแล้วใช่ไหม ซอมบี้พนักงานพวกนั้นน่ะ” ดำถามลูกทีม
“ใช่ พวกเราตามมาหลังจากพี่ไปได้ไม่นานเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก พนักงานคนหนึ่งท่าทางอาการไม่ค่อยดีจู่ๆ ก็จับเพื่อนร่วมงานกินสดๆ คนที่เข้าไปช่วยถูกกัดไม่นานก็กลายเป็นเหมือนกัน การติดเชื้อแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เราช่วยกันอพยพพนักงานบางส่วนที่ไม่ได้ติดเชื้อออกไปหมดแล้ว ตอนนี้ปิดทางเข้าออกอาคารไว้ทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันหลุดออกไปได้” ด่างเล่า
“ตอนนี้กำลังไล่เคลียร์พื้นที่ เช็คดูว่ามีพวกมันอยู่ที่ไหนอีก” นวลพูดต่อ
“แล้วเป็นยังไงบ้าง” ดำถามน้ำเสียงจริงจัง
“ตั้งแต่ชั้นบนสุดจนถึงชั้นนี้เคลียร์หมดแล้ว เราปิดประตูทางหนีไฟทุกชั้นไว้ด้วย” นวลตอบ
“โอเค ดีมาก”
“ดำนายมีแผนไหม” ผมถามอย่างตั้งความหวังสุดๆ
“ไล่เคลียร์พื้นที่ลงไปเรื่อยๆ ต้อนพวกมันให้ไปรวมตัวกันที่ชั้น 1 ด่างแยกตัวออกมาเอาระเบิดทั้งหมดและอุปกรณ์ที่มีอยู่ดัดแปลงเป็นระเบิดแสวงเครื่อง ไปติดตั้งที่ห้องควบคุมไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความรุนแรง ฉันกับนวลจะคุ้มกันทองไปรออยู่ที่ทางออก ถ่วงเวลาสู้กับพวกมันระหว่างรอนายจัดการเรื่องระเบิดเสร็จ นวลเราต้องใช้กระสุนจำนวนมากเพราะฉะนั้นเช็คความพร้อมของปืนให้ดี เราจะพาทองออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยและต้องไม่มีซอมบี้พนักงานหลุดรอดออกไปก่อความวุ่นวายข้างนอกได้แม้แต่ตัวเดียว” ติ๊ง!!! เจ้าดำเล่าแผนการจบเสียงลิฟท์ก็ดังขึ้นอีก ทำผมเสียวสันหลังวูบ ผมชักจะเกลียดเสียงนี้แล้ว
“พี่ดำ พี่ว่าพวกมันยังใช้ลิฟท์เป็นอยู่ไหม” นวลถามขึ้นมาในความเงียบ
“ไอ้ทอง” เสียงยานๆ นำมาก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิด ผมคิดว่านวลคงได้คำตอบแล้ว ซอมบี้พนักงานอัดกันอยู่ในนั้นแน่นขนัด พวกมันพุ่งตัวออกมาปะทะลูกปืนของ 3 หมาผู้พิทักษ์เข้าไปเต็มๆ บางตัวหัวกระโหลกกระจุยกระจาย เลือดและสมองสาดกระเซ็นไปทั่วลิฟท์ ร่างของพวกมันล้มกองทับกันอยู่ภายใน
“ให้ตายเถอะ วันนี้ฉันไม่ได้เตรียมตัวมาสู้กับซอมบี้นะ” นวลบ่นอุบ
“เอาเป็นว่าอันดับแรกต้องล็อคลิฟท์ก่อน” ด่างเสนอ
“เราจะลงไปทางบันไดหลัก ล็อคลิฟท์ทุกตัวและปิดประตูทางหนีไฟทุกชั้น เคลียร์พื้นที่ให้แน่ใจว่ามีพวกมันที่ชั้น 1 เท่านั้น วันนี้เราจะบอมบ์ซอมบี้กัน” ดำสั่งและทุกคนก็เริ่มปฏิบัติการตามแผน
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ