Skip ความจนทะลุมิติ (Poor boy & Dogs)
9.0
เขียนโดย January13
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.37 น.
7 บท
1 วิจารณ์
10.05K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563 20.45 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ปุ่ม Skip
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมชื่อทอง มากบุญมี เป็นเด็กสลัมหน้าตาดีคนหนึ่งที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา หลังจากเรียนจบชั้นม.3 ก็ไม่ได้เรียนต่อ เนื่องจากที่บ้านไม่มีเงินส่ง ตอนนี้ผมอายุ 17 ปี ทำงานเป็นเด็กเข็นผักอยู่ในตลาดสด พ่อของผมเป็นแรงงานรับเหมาก่อสร้างตามไซต์ก่อสร้างต่างๆ นานๆ จะได้กลับบ้านที ส่วนแม่เป็นแม่ค้าหาบเร่ขายขนมไทยที่แม่ทำเอง พวกเราอาศัยอยู่ในบ้านสังกะสีชั้นเดียวที่มีโครงเป็นไม้ เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน ตัวบ้านเป็นสีเทาปนส้มเพราะสังกะสีถูกสนิมกัดกิน แถมยังมีรูกระจายเป็นแห่งๆ ผมคงจะพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่มากกว่านี้หากว่าแสงแดดยามเช้าไม่ส่องเข้ามาแยงลูกตาผม
“โอ๊ย!!! แสบตาโว้ย รวยเมื่อไหร่จะย้ายออกจากบ้านโกโรโกโสนี่ แล้วซื้อคฤหาสน์หลังโตๆ อยู่เลยคอยดู” ผมบ่นมือคว้าเอาหมอนมาปิดตาเพื่อจะได้นอนฝันต่อ
“ไอ้ทองก่อนเอ็งจะรวย เอ็งลุกขึ้นมาใส่บาตร อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้วไปทำงานก่อนดีกว่าไหม เช้าแล้วยังจะนอนขี้เกียจอยู่ได้ หลังเอ็งไม่ยาวเป็นกิโลแล้วหรอ” เสียงแหลมๆ ของแม่ลอยมาจากหน้าบ้าน ผมจำต้องงัวเงียลุกขึ้นจากที่นอน ขืนยังทำเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน อีกเดี๋ยวแม่ต้องเข้ามาแพ้น กระบาลผมแน่นอน แม่มักจะปลุกผมให้มาใส่บาตรทุกเช้า จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อินอะไรมากมายกับเรื่องธรรมะธรรมโมหรอก แต่พอโดนบังคับให้ทำเป็นประจำก็กลายเป็นความเคยชิน หลวงตาศรีบุญ เจ้าอาวาสวัดเล็กๆ ในสลัมแห่งนี้ มักจะเดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านผมทุกเช้า พ่อกับแม่เลื่อมใสศรัทธาท่านมาก ชื่อทองของผมหลวงตาก็เป็นผู้ตั้งให้
ถึงจะขี้เกียจแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องออกไปทำงาน มีทางเลือกไม่มากนักสำหรับคนอย่างผม ค่าแรงของเด็กเข็นผักตกวันละ 300 บาทไทยเท่านั้น ซึ่งเงินนี้เป็นของแม่ครึ่งหนึ่ง ถ้าผมอิดออดไม่ยอมออกไปทำงานแม่ต้องฆ่าผมตายแน่ๆ ผมไม่ได้ขัดข้องอะไรที่ต้องแบ่งเงินน้ำพักน้ำแรงของตัวเองให้แม่ เพราะแม่เป็นคนหาข้าวหาปลาให้ผมกิน อย่างเช่นวันนี้มีผัดผักใส่หมูกับพริกน้ำปลาวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว ส่วนคนทำไม่อยู่คงออกไปหาบเร่แล้ว ถึงจะดูเป็นอาหารธรรมดาๆ แต่ผมไม่เคยกินเหลือเลยสักครั้ง เพราะอาหารฝีมือแม่อร่อยมากๆ ถ้าไม่นับรวมกับความตะกละของผม นี่เป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่ผมรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด
ผมแต่งตัวมาทำงานด้วยชุดยูนิฟอร์มสุดเท่ห์นั่นก็คือกางเกงยีนส์ราคา 199 บาทที่ซื้อเองจากตลาดนัด จริงๆ มันค่อนข้างแพงแต่ผมไม่อยากใช้ของมือสองที่เขาเอามาเลหลัง เพราะกลัวมีวิญญาณของเจ้าของเก่าสิงอยู่ และผมอาจมีอันเป็นไปหากใส่มัน ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีเทา ผมมีแบบนี้โหลนึง แม่เป็นคนซื้อมาให้บอกว่าซื้อยกโหลมันถูกดี แต่จริงๆ ก็น่าจะคละสีอื่นมาให้บ้าง เท่ากับว่าผมแต่งตัวเหมือนเดิมทุกวัน จนคนที่ตลาดชอบแซวว่าไม่อาบน้ำบ้าง ไม่ซักเสื้อผ้าบ้าง แรกๆ ผมก็อายนะแต่ว่าตอนนี้ชินแล้ว
“เห้ยทองเอ็งซักเสื้อบ้างหรือเปล่าวะเห็นใส่แต่ตัวเดิม” ลุงหมายคนขายไข่ไก่ทักเมื่อผมเข็นผักผ่านหน้าร้านแก
“โอ๊ย มันจะซักได้ยังไง ทั้งบ้านมีเสื้ออยู่ตัวเดียว ถ้าซักแล้วจะเอาที่ไหนใส่หละ” เจ๊ส้มคนขายหมูร้านติดกันพูด นอกจากเจ๊แกจะขายหมูแล้วยังอ้วนเหมือนหมูอีก สองคนนั้นหัวเราะเยาะผมเสียงดัง ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาทักเรื่องเดิมๆ ทุกวันไม่เบื่อกันบ้างหรอ ปกติผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอก แต่บังเอิญว่าวันนี้ผู้หญิงที่ผมแอบชอบเดินผ่านมาได้ยินพอดี รู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เธอชื่อมะลิ เราเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนจบม.3 มะลิเป็นคนหัวดีจึงได้ทุนเรียนต่อปวช. ในโรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่ง ผมมีเฟสบุ๊คของเธอด้วยนะ ชอบแอบส่องความเคลื่อนไหวของเธออยู่บ่อยๆ ไลค์ทุกโพสต์เลยแต่ไม่กล้าทักไป กลัวเธอจะรังเกียจ
“อ้าวทอง นี่ทองใช่ไหม” มะลิเอ่ยทัก ทั้งๆ ที่ผมพยายามก้มหน้าก้มตาหลบแล้ว เธอจำผมได้ด้วยและดูไม่อับอายที่รู้จักผม
“อืม มะลิสบายดีหรอ” ผมถาม พยายามทำหน้านิ่งข่มความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน
“เราสบายดีจ๊ะ แล้วทองหละเป็นยังไงบ้าง” เธอสนใจความเป็นอยู่ของผมด้วยหรือนี่ ดีใจจริงๆ ดีใจจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
“สบายดี” ผมตอบไปอย่างงั้นทั้งๆ ที่มันไม่จริงเลย ผมไม่สบายผมลำบากมากนี่สิคือความจริง
“มะลิ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียก ผมหันไปมองต้นเสียงพร้อมๆ กับเธอ
“ไปได้แล้วเดี๋ยวสาย” ผู้ชายคนนั้นพูดเสียงเข้ม ดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเรา เขาคงเรียนช่างอะไรสักอย่างเพราะแต่งกายด้วยเสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์ สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สีดำขลับคันงามรอมะลิอยู่ไม่ไกล ส่งสายตาให้ผมแบบที่ลูกผู้ชายเขารู้กัน ประมาณว่าหญิงข้าใครอย่าแตะ
“เราต้องไปแล้ว ถ้ามีโอกาสยังไงก็อย่าลืมกลับไปเรียนนะทอง” เธอบอกกับผมอย่างหวังดีก่อนจะเดินไปหาไอ้หนุ่มหน้ากวนคนนั้น จุดนี้ทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่ามาก ผมหยิบซัมซุงฮีโร่ 3G ขึ้นมา มันเป็นสมบัติชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ผมมี กว่าจะได้มาต้องเก็บเงินค่าแรงอยู่ตั้งหลายเดือน ผมอยากรู้ว่าไอ้เด็กช่างคนนั้นมันเป็นใคร ทำไมไม่เคยเห็นในเฟสบุ๊คของมะลิเลย เขาเป็นแฟนกันหรือเปล่า คำถามในหัวของผมได้คำตอบชัดเจนแจ่มแจ้งเมื่อกดล็อกอินเฟสบุ๊ค
“มะลิจังกำลังคบกับคุณชายเติ้ล” ผมอ่านฟีดข่าวแรกที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ หัวใจของผมแตกสลายกลายเป็นผุยผงร่วงกราวลงไปกองกับพื้น ผมอกหัก แน่นอนว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงเข้าสักวัน ต่อให้ไม่มีไอ้คุณชายเติ้ลนั่น มะลิก็ไม่มีวันแยแสผู้ชายกระจอกๆ อย่างผมอยู่แล้ว ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่ก็ไม่อาจทำใจได้ ผมตัดสินใจเดินตรงไปยังถนนใหญ่ เมื่อเห็นรถบรรทุกสินค้ากำลังแล่นมาด้วยความเร็ว ผมจึงหยุดยืนรอให้มันผ่านไปแล้วค่อยๆ เดินข้ามถนนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะตรงมาที่ร้านขายลูกชิ้นปิ้งเจ้าประจำ
“เอาเอ็นหมู 2 ไม้” ผมบอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้ผมรู้สึกหิว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะตอนนี้เที่ยงแล้ว เมื่อได้ลูกชิ้นตามที่สั่งไว้ ผมก็มานั่งกินอยู่ริมฟุตบาตอย่างอดอาลัยตายอยาก แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกจับจ้องจากสายตาหลายคู่ ผมค่อยๆ เอี้ยวคอหันไปมองลูกหมา 3 ตัวที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั่งกระพริบตาปริบๆ มองผมเหมือนเป็นแม่ของพวกมัน ตัวสีดำเป็นตัวผู้ชื่อไอ้ดำ ตัวสีขาวลายดำชื่อไอ้ด่างเป็นตัวผู้เหมือนกัน และตัวสีขาวล้วนชื่อนังนวลเป็นตัวเมีย ชื่อพวกนี้ผมเป็นคนตั้งให้เอง พวกมันเป็นหมาในตลาดเนี่ยแหละแต่ไม่รู้แม่ของมันหายไปไหน ปล่อยให้ลูกๆ อดอยากแล้วก็ต้องมาแย่งผมกินทุกเที่ยง
“พวกเอ็งไม่ต้องมาทำตาใส ข้าไม่แบ่งโว้ย” พูดแล้วก็นั่งหันหลังให้เพราะกลัวจะใจอ่อนกับท่าทางแบ๊วๆ ของพวกมัน แต่เหมือนจะไม่เป็นผล พวกมันเริ่มส่งเสียงร้องครางออดอ้อนในลำคอ จนส่งสัยว่าตกลงมันเป็นหมาหรือแมวกันแน่ พวกมันประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงและดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมสุดจะทน และคิดว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ผมลุกพรวดขึ้นแล้วหันมามองพวกมันอย่างหมายมาด
“พวกเอ็งจะเอาใช่ป่ะ อยากโดนมากใช่ป่ะ ได้ๆ นี่เอาไปเลย” ผมรูดลูกชิ้นออกจากไม้แล้วป้อนใส่ปากให้พวกมันตัวละลูก
“โอเคนะ สบายใจแล้วนะพวกเอ็ง ทีนี้จะไปไหนก็ไปป่ะ” ผมไล่ ดูท่าทางพวกมันดีใจมากที่แย่งผมกินลูกชิ้นได้สำเร็จ ผมรีบจัดการกับลูกชิ้นที่เหลือเดี๋ยวจะมีลูกหมาที่ไหนโผล่มาอีก เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ในที่สุดช่วงเวลาที่แสนทุกข์ทรมานก็จบสิ้นลง ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ผมเดินไปรับค่าแรงจากเฮียกวงด้วยสีหน้าแช่มชื่น เฮียกวงเป็นเจ้านายที่ใจดี ไม่เคยพูดจาดูถูกดูแคลน หรือทำอะไรให้ผมรู้สึกต่ำต้อยเลย ออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่ชอบงานนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นอาชีพที่ทำให้ผมสามารถเลี้ยงปากท้องตัวเองได้ไม่อดตายไปซะก่อน
ผมเดินกลับบ้านโดยมีลูกหมา 3 ตัวเดินตามหลังมาไม่ห่าง ปกติแล้วตอนเย็นผมจะไม่เห็นพวกมัน คิดในใจว่าพวกมันกำลังวางแผนแย่งข้าวเย็นผมอยู่หรือเปล่าถึงได้ตามผมมา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่ ลองเดาดูสิว่าผมจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ใช่ อย่างที่คิดนั่นแหละ ผมก็คงต้องแบ่งให้พวกมันกิน
ผมแวะร้านกาแฟโบราณของพ่อเพื่อนที่ขายปาท่องโก๋ด้วยแทบทุกวัน เพื่อใช้เวลานั่งพูดคุยกับมัน มันชื่อจืด เราเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ม.1 จนจบม.3 จืดเป็นคนที่มีความคิดแปลกๆ ทั้งๆ ที่ทางบ้านของมันมีกำลังส่งเสียให้เรียนต่อได้ อย่างขี้เหร่ก็โรงเรียนรัฐบาลแถวนี้ แต่มันกลับบอกพ่อว่าไม่ขอเรียนต่อ เพราะอยากช่วยงานที่ร้านมากกว่า ฟังดูอาจเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่มันทำเหมือนกำลังจะทำลายคุณงามความดีที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดจนถึงรุ่นพ่อของมันให้ย่อยยับมากกว่า
“ทอง เอ็งจะต้องประหลาดกับสิ่งที่เอ็งกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้แน่ๆ” ไอ้จืดพล่ามเสียงโทนเดียวพรางวางจานที่มีถ้วยคว่ำครอบไว้ลงบนโต๊ะ
“อะไรของเอ็งวะไอ้จืด” ผมถามหน้าตาสงสัย เจ้าลูกหมา 3 ตัวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็เช่นกัน
“ปาท่องโก๋รูปแบบใหม่ของร้านข้ายังไงหละ ฮ่าๆๆๆ” มันหัวเราะใหญ่โตราวกับว่าตอนนี้เป็นเถ้าแก่น้อยร้อยล้านแล้วยังไงอย่างงั้น ว่าแล้วก็เปิดถ้วยที่ครอบอยู่ออก
“ปาท่องโก๋อะไรของเอ็งเนี่ย!!!” ผมอุทานอย่างตกใจกับผลงานชิ้นเอกของมัน
“คือตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นทรงเจดีย์หนะ แต่พอทอดเสร็จดันเหมือน...”
“เหมือนขี้!!! พ่อเอ็งไม่ด่าหรอเอาแป้งมาทำเล่นๆ อย่างนี้” ผมมองปาท่องโก๋ทรงเจดีย์ของมันที่อยู่ในจานก่อนหันมามองไอ้ดำ ไอ้ด่าง และนังนวล คิดในใจว่าเหมือนขี้พวกเอ็งเลยวะ
“ทำเล่นๆ ที่ไหน ข้าจริงจังนะโว้ย” มันเถียง
“บ้า แล้วใครจะกินลงวะ” ผมถามต่อ มันไม่ตอบแต่จ้องมองหน้าผมอย่างมีความหวัง ทำให้รู้สึกเหมือนแบกความหวังของคนทั้งโลกเอาไว้ ตอนนั้นรู้แล้วว่าใครจะต้องเป็นคนกินปาท่องโก๋โฉมใหม่ของมัน
ผมออกจากร้านกาแฟโบราณที่ขายปาท่องโก๋ด้วยของพ่อไอ้จืด สงสัยไหมว่าทำไมผมต้องทวนชื่อร้านยาวขนาดนี้ เพราะป้ายร้านมันเขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ แน่นอนในมือผมมีถุงปาท่องโก๋ที่ไอ้จืดยัดเยียดให้ติดมาด้วย ถึงแม้ว่าเพื่อนของผมดูไม่ค่อยเต็มเท่าไหร่ หรืออาจจะล้นๆ ไปบ้าง แต่จืดก็เป็นเพื่อนคนเดียวของผม และผมโชคดีที่มีเพื่อนอย่างมัน เพราะมันไม่เคยดึงผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด ลักขโมย หรือตีรันฟันแทงอะไรทำนองนั้นเลย
จวนจะถึงบ้านอยู่แล้ว แต่ผมดันต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ คุณชายเติ้ลชื่อตามเฟสบุ๊คของศัตรูหัวใจของผมขับบิ๊กไบค์ผ่านไปอย่างฉวัดเฉวียน เสียงท่อดังสนั่นจนกระเทือนถึงแก้วหูชั้นในเลยทีเดียว เขามาส่งแฟนผมที่หน้าบ้าน หมายถึงมะลิน่ะ ยังไงมะลิก็เป็นแฟนผมเพียงแต่ผมไม่ใช่แฟนมะลิเท่านั้นเอง ผมคิดอย่างดื้อรั้น เมื่อบอกลากันเรียบร้อยแล้วมะลิก็เข้าบ้านไป ส่วนไอ้คุณชายเติ้ลมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเบิ้ลเครื่องใส่ผมแล้วออกตัวไปอย่างเร็วฉิว รถของมันคงราคาหลายแสน อย่างผมนะอย่าว่าแต่บิ๊กไบค์เลย แค่มอเตอร์ไซค์มือสองเก่าๆ ก็ไม่มีปัญญาซื้อ นอกจากผมจะด้อยโอกาสทางการศึกษาแล้วยังด้อยโอกาสทางความรักอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากความจนแท้ๆ ที่ทำให้ผมต่ำต้อยด้อยค่าถึงเพียงนี้ ผมรู้สึกอ่อนล้าจนต้องหยุดนั่งพักที่ริมฟุตบาทกอดเข่าแล้วแหงนมองท้องฟ้า ทำตัวเหมือนเป็นพระเอกเอ็มวีเพลงอกหัก โดยมีตัวประกอบคือเจ้าลูกหมา 3 ตัวที่นั่งกระดิกหางดิ๊กๆ อยู่ใกล้ๆ ผมคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีคนเดินมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“ลอตเตอรี่ไหมไอ้หนู เหลือใบสุดท้ายแล้ว” ชายมีอายุรูปร่างท้วมสวมแว่นตาดำถามขึ้น ที่คอคล้องแผงลอตเตอรี่และมือข้างหนึ่งถือไม้เท้าสำหรับคลำทางไว้ด้วย ผมลุกขึ้นเห็นในแผงลอตเตอรี่เหลือลอตเตอรี่เพียงใบเดียวจริงๆ ปกติผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เห็นพ่อซื้อทีไรก็ไม่เคยถูก
“อาจจะเป็นรางวัลแจ็คพ็อตก็ได้นะ ถ้าถูกขึ้นมาได้เงินเป็นสิบๆ ล้านเลยนะหนุ่ม” ชายตาบอดขายลอตเตอรี่บอก
“สิบล้านเลยหรอลุง!!!” ผมเริ่มตาโต ถ้ามีเงินสิบล้านจะซื้อมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์กี่คันก็ได้
“หลายสิบล้านเลยหละ จะเอาไหมล่ะ” เขาถามต่อ ผมลังเลเล็กน้อยเพราะเงินในกระเป๋ามีอยู่เพียง 300 บาท ซึ่งเป็นของแม่ครึ่งหนึ่ง
“เอ่อ...เท่าไหร่หละลุง” ผมถามแต่ในใจโอนเอียงไปทางซื้อมากกว่าแล้ว
“ปกติ 100 นึงแต่ลุงลดให้เหลือ 80 บาทถ้วน”
“โอเคลุง” ผมรีบหยิบเงินในกระเป๋าออกมาพอดีจำนวนยื่นให้คนตาบอดอย่างไม่ลังเล เขารับเงินแล้วดึงลอตเตอรี่ส่งให้ผม ผมมองลอตเตอรี่ในมืออย่างมีความหวัง ถ้าถูกรางวัลแจ็คพ็อตขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ไอ้เติ้ลเด็กช่างนั่นจะไม่ใช่คู่แข่งของผมอีกต่อไป หึหึหึ ผมยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว
“ถ้าถูกรางวัลจะเอาเงินไปทำอะไร” ลุงขายลอตเตอรี่ถามผมต่อ
“อ้าว ลุงยังไม่ไปอีกหรอ” ผมตกใจเล็กน้อย นึกว่าแกเดินไปแล้ว
“ยังสิ ถ้าไปแล้วเอ็งจะเห็นหรอ”
“อ่อ ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไร เหมือนเมื่อกี้แกตอบกวนประสาทผมหรือเปล่านะ
“ว่ายังไงหละหนุ่ม ถ้าเอ็งถูกรางวัลจะเอาเงินไปทำอะไร”
“อ๋อ ผมจะซื้อบิ๊กไบค์เอาไว้รับส่งแฟนน่ะ แล้วก็จะซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ เลย” ผมวาดวิมานในอวกาศ ฝันเฟื่องสุดๆ
“หวยออกวันไหนนะลุง” ผมถามขึ้นอย่างนึกได้
“อีก 7 วันนู้นแหละไอ้หนู”
“โหย อีกตั้ง 7 วัน ทำไมนานจัง อยากให้เป็นตอนนี้เลย ข้ามช่วงเวลาที่ลำบากลำเค็ญยากเย็นแสนเข็ญอย่างนี้ไปเลยไม่ได้หรอ” ผมบ่นอย่างเหนื่อยอ่อน
“จริงๆ มันมีปุ่ม Skip อยู่นะ” ลุงขายลอตเตอรี่ว่า
“ปุ่ม Skip? ปุ่ม Skip อะไรลุง”
“ก็ปุ่ม Skip ข้ามไปตอนที่เรารวยแล้วไง”
“มีของแบบนั้นด้วยหรอ? พูดเป็นเล่นน่าลุง” ผมคิดในใจว่าลุงแกปกติหรือเปล่า
“มีสิ” ลุงยังยืนยันคำเดิม
“ไหนหละปุ่ม Skip ที่ลุงว่า” ผมถามต่ออยากรู้ว่าแกจะว่ายังไง ลุงขายลอตเตอรี่ไม่ตอบแต่ชี้มาที่แผงลอตเตอรี่ว่างเปล่า ผมมองตามเห็นปุ่มเขียนว่า Skip ขนาดใหญ่นูนออกมา แถมมันยังส่องแสงเหมือนไอคอนที่เคยเห็นในเกมส์ด้วย
“เห้ย!!?? มีของแบบนี้ด้วยหรอ มันมาได้ยังไงเนี่ย!!??” ผมตกใจมาก เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่ไม่ปกติคือลุงหรือผมกันแน่
“ก็บอกแล้วไงว่ามี” ลุงขายลอตเตอรี่ย้ำ ผมมองซ้ายมองขวานึกสงสัยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเขาจะเห็นเหมือนผมหรือเปล่า
“ไม่มีใครเห็นหรอกนอกจากเอ็ง” ลุงตอบข้อสงสัยที่ผมคิดในใจ แกรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรอีกอย่างแกตาบอดไม่ใช่หรอ ผมเริ่มไม่แน่ใจจึงพยายามมองลอดแว่นดำเข้าไปแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสะท้อนความหล่อของตัวเอง
“ว่ายังไงหละหนุ่ม อยากจะข้ามไปตอนที่รวยเลยหรือเปล่า”
“มันทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรอลุง” ผมถามอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะมีเรื่องประหลาดๆ อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในใจก็เชื่อไปเกินครึ่งแล้ว
“ถ้าเอ็งอยากรู้ ก็ลองกดดูสิ แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไรลุง”
“ถ้ากดไปแล้วชีวิตของเอ็งจะเปลี่ยนไปตลอดกาล” ลุงพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม ฟังแล้วขนลุกยังไงชอบกล ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าถ้าข้ามไปตอนที่รวยเลยยังไงมันก็ต้องดีกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่แน่ๆ มีเงินอะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น ไม่ต้องทนให้แดดแยงตาตอนเช้า ไม่ต้องฟังคนล้อเรื่องใส่เสื้อผ้าซ้ำ แล้วที่สำคัญไม่ต้องมานั่งอกหักแบบนี้ ผมตัดสินใจแล้ว
“ผมอยากจะลองดู” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“เอ็งยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ใช่ไหม”
“ครับ”
“จำไว้นะว่า ถ้าข้ามไปตอนที่รวยแล้ว เอ็งจะไม่สามารถเรียกชีวิตเก่ากลับคืนมาได้” ลุงบอก
“ครับ” ผมมั่นใจมาก ผมพร้อมแล้วที่จะรวย จะทิ้งชีวิตบัดซบอย่างนี้ไปตลอดกาล
“งั้นก็กดเลยสิ” ลุงว่า ผมพยักหน้าแล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะปุ่ม Skip นั่น เมื่อผมกดฝ่ามือลงไปก็มีเสียงดังตึ๊ง!!! ขึ้น ทันใดนั้นเองผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็แว๊บหายไปทีละคนสองคน รวมถึงเจ้าลูกหมา 3 ตัวและลุงขายลอตเตอรี่ด้วย ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างทั้งหลายแว๊บหายไปจนหมด แล้วจู่ๆ พื้นดินที่ผมเหยียบยืนก็กลายเป็นว่างเปล่า
“เฮ้ย!? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!??” ผมรู้สึกเหมือนถูกโยนลงมาจากที่สูงดำดิ่งสู่ก้นเหวลึก หรือเหมือนถูกกดลงชักโครกอะไรทำนองนั้น เสียงและภาพของคนรอบตัวที่ผมคุ้นเคยปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
“ทองหลังเอ็งยาวเป็นกิโลแล้วนะ” เสียงแหลมๆ ของแม่ดังขึ้นพร้อมกับภาพหญิงวัยสามสิบปลายๆ ผิวขาวเหลืองรูปร่างอวบนิดๆ ยืนเท้าสะเอวมองผมแล้วก็แว๊บหายไป ต่อด้วยชายวัยใกล้เคียงกันรูปร่างผอมสูงผิวคล้ำกร้านแดดนั่งสูบบุหรี่จุ๋ย
“ทอง พ่อไม่มีเงินส่งเอ็งเรียนต่อ เอ็งต้องไปทำงานที่ตลาดนะ เข้าใจไหม” พูดจบก็หายไปอีก
“ทองนี่ปาท่องโก๋รูปแบบใหม่ของข้า” คราวนี้มาเป็นทองคำแท่งเลย
“ทองเอ็งไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าหรอวะ ใส่แต่ตัวเดิม” ลุงหมายขายไข่ไก่
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าไม่ได้ซักมากี่วันแล้ว” เจ๊ส้มขายเนื้อหมู
“ทองน่าจะเรียนต่อนะ ถ้ามีอนาคตมากกว่านี้เราอาจจะรับรักทองก็ได้” มะลิแสนสวยของผม
“อย่างเอ็งไม่ใช่คู่แข่งข้าหรอก ไอ้เด็กเข็นผัก” สำหรับรายนี้มีเสียงเบิ้ลเครื่องมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ประกอบด้วย
“บ็อก บ็อก บ็อก เงี๊ยก เงี๊ยก เงี๊ยก” ภาพลูกหมา 3 ตัวทำตาแบ๊วร้องออดอ้อน
“.........” อันนี้เป็นภาพลูกชิ้นเอ็นหมู ไม่มีเสียงประกอบ
“นี่ค่าแรงของเอ็งนะทอง 300 บาทไทย” เฮียกวง
“จำไว้นะว่า ถ้าข้ามไปตอนที่รวยแล้ว เอ็งจะไม่สามารถเรียกชีวิตเก่ากลับคืนมาได้” เสียงลุงตาบอดซึ่งผมไม่รู้จักชื่อเพราะลืมถามดังขึ้น ท้ายเสียงมีเอคโค่ด้วย และภาพสุดท้ายที่เห็นคือห้องนอนของผม ที่นอนยัดนุ่นเก่าๆ มีผ้าห่มผืนบางกองอยู่ด้านบนพร้อมกับหมอนที่เปื้อนน้ำลายเป็นคราบด่าง ลำแสงของพระอาทิตย์ลอดผ่านสังกะสีที่แหว่งเป็นรูน้อยใหญ่ส่องเข้ามาแยงลูกตาผมอีกแล้ว ผมพยายามจะลืมตาสู้เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ว่าทำไม่ได้แสงนั้นเจิดจ้ามาก จนผมต้องหลับตาลงแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองหมดสติไป
“โอ๊ย!!! แสบตาโว้ย รวยเมื่อไหร่จะย้ายออกจากบ้านโกโรโกโสนี่ แล้วซื้อคฤหาสน์หลังโตๆ อยู่เลยคอยดู” ผมบ่นมือคว้าเอาหมอนมาปิดตาเพื่อจะได้นอนฝันต่อ
“ไอ้ทองก่อนเอ็งจะรวย เอ็งลุกขึ้นมาใส่บาตร อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้วไปทำงานก่อนดีกว่าไหม เช้าแล้วยังจะนอนขี้เกียจอยู่ได้ หลังเอ็งไม่ยาวเป็นกิโลแล้วหรอ” เสียงแหลมๆ ของแม่ลอยมาจากหน้าบ้าน ผมจำต้องงัวเงียลุกขึ้นจากที่นอน ขืนยังทำเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน อีกเดี๋ยวแม่ต้องเข้ามาแพ้น กระบาลผมแน่นอน แม่มักจะปลุกผมให้มาใส่บาตรทุกเช้า จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อินอะไรมากมายกับเรื่องธรรมะธรรมโมหรอก แต่พอโดนบังคับให้ทำเป็นประจำก็กลายเป็นความเคยชิน หลวงตาศรีบุญ เจ้าอาวาสวัดเล็กๆ ในสลัมแห่งนี้ มักจะเดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านผมทุกเช้า พ่อกับแม่เลื่อมใสศรัทธาท่านมาก ชื่อทองของผมหลวงตาก็เป็นผู้ตั้งให้
ถึงจะขี้เกียจแค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องออกไปทำงาน มีทางเลือกไม่มากนักสำหรับคนอย่างผม ค่าแรงของเด็กเข็นผักตกวันละ 300 บาทไทยเท่านั้น ซึ่งเงินนี้เป็นของแม่ครึ่งหนึ่ง ถ้าผมอิดออดไม่ยอมออกไปทำงานแม่ต้องฆ่าผมตายแน่ๆ ผมไม่ได้ขัดข้องอะไรที่ต้องแบ่งเงินน้ำพักน้ำแรงของตัวเองให้แม่ เพราะแม่เป็นคนหาข้าวหาปลาให้ผมกิน อย่างเช่นวันนี้มีผัดผักใส่หมูกับพริกน้ำปลาวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว ส่วนคนทำไม่อยู่คงออกไปหาบเร่แล้ว ถึงจะดูเป็นอาหารธรรมดาๆ แต่ผมไม่เคยกินเหลือเลยสักครั้ง เพราะอาหารฝีมือแม่อร่อยมากๆ ถ้าไม่นับรวมกับความตะกละของผม นี่เป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่ผมรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด
ผมแต่งตัวมาทำงานด้วยชุดยูนิฟอร์มสุดเท่ห์นั่นก็คือกางเกงยีนส์ราคา 199 บาทที่ซื้อเองจากตลาดนัด จริงๆ มันค่อนข้างแพงแต่ผมไม่อยากใช้ของมือสองที่เขาเอามาเลหลัง เพราะกลัวมีวิญญาณของเจ้าของเก่าสิงอยู่ และผมอาจมีอันเป็นไปหากใส่มัน ส่วนเสื้อเป็นเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีเทา ผมมีแบบนี้โหลนึง แม่เป็นคนซื้อมาให้บอกว่าซื้อยกโหลมันถูกดี แต่จริงๆ ก็น่าจะคละสีอื่นมาให้บ้าง เท่ากับว่าผมแต่งตัวเหมือนเดิมทุกวัน จนคนที่ตลาดชอบแซวว่าไม่อาบน้ำบ้าง ไม่ซักเสื้อผ้าบ้าง แรกๆ ผมก็อายนะแต่ว่าตอนนี้ชินแล้ว
“เห้ยทองเอ็งซักเสื้อบ้างหรือเปล่าวะเห็นใส่แต่ตัวเดิม” ลุงหมายคนขายไข่ไก่ทักเมื่อผมเข็นผักผ่านหน้าร้านแก
“โอ๊ย มันจะซักได้ยังไง ทั้งบ้านมีเสื้ออยู่ตัวเดียว ถ้าซักแล้วจะเอาที่ไหนใส่หละ” เจ๊ส้มคนขายหมูร้านติดกันพูด นอกจากเจ๊แกจะขายหมูแล้วยังอ้วนเหมือนหมูอีก สองคนนั้นหัวเราะเยาะผมเสียงดัง ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาทักเรื่องเดิมๆ ทุกวันไม่เบื่อกันบ้างหรอ ปกติผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอก แต่บังเอิญว่าวันนี้ผู้หญิงที่ผมแอบชอบเดินผ่านมาได้ยินพอดี รู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เธอชื่อมะลิ เราเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนจบม.3 มะลิเป็นคนหัวดีจึงได้ทุนเรียนต่อปวช. ในโรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่ง ผมมีเฟสบุ๊คของเธอด้วยนะ ชอบแอบส่องความเคลื่อนไหวของเธออยู่บ่อยๆ ไลค์ทุกโพสต์เลยแต่ไม่กล้าทักไป กลัวเธอจะรังเกียจ
“อ้าวทอง นี่ทองใช่ไหม” มะลิเอ่ยทัก ทั้งๆ ที่ผมพยายามก้มหน้าก้มตาหลบแล้ว เธอจำผมได้ด้วยและดูไม่อับอายที่รู้จักผม
“อืม มะลิสบายดีหรอ” ผมถาม พยายามทำหน้านิ่งข่มความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน
“เราสบายดีจ๊ะ แล้วทองหละเป็นยังไงบ้าง” เธอสนใจความเป็นอยู่ของผมด้วยหรือนี่ ดีใจจริงๆ ดีใจจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
“สบายดี” ผมตอบไปอย่างงั้นทั้งๆ ที่มันไม่จริงเลย ผมไม่สบายผมลำบากมากนี่สิคือความจริง
“มะลิ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียก ผมหันไปมองต้นเสียงพร้อมๆ กับเธอ
“ไปได้แล้วเดี๋ยวสาย” ผู้ชายคนนั้นพูดเสียงเข้ม ดูแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเรา เขาคงเรียนช่างอะไรสักอย่างเพราะแต่งกายด้วยเสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์ สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สีดำขลับคันงามรอมะลิอยู่ไม่ไกล ส่งสายตาให้ผมแบบที่ลูกผู้ชายเขารู้กัน ประมาณว่าหญิงข้าใครอย่าแตะ
“เราต้องไปแล้ว ถ้ามีโอกาสยังไงก็อย่าลืมกลับไปเรียนนะทอง” เธอบอกกับผมอย่างหวังดีก่อนจะเดินไปหาไอ้หนุ่มหน้ากวนคนนั้น จุดนี้ทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่ามาก ผมหยิบซัมซุงฮีโร่ 3G ขึ้นมา มันเป็นสมบัติชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ผมมี กว่าจะได้มาต้องเก็บเงินค่าแรงอยู่ตั้งหลายเดือน ผมอยากรู้ว่าไอ้เด็กช่างคนนั้นมันเป็นใคร ทำไมไม่เคยเห็นในเฟสบุ๊คของมะลิเลย เขาเป็นแฟนกันหรือเปล่า คำถามในหัวของผมได้คำตอบชัดเจนแจ่มแจ้งเมื่อกดล็อกอินเฟสบุ๊ค
“มะลิจังกำลังคบกับคุณชายเติ้ล” ผมอ่านฟีดข่าวแรกที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ หัวใจของผมแตกสลายกลายเป็นผุยผงร่วงกราวลงไปกองกับพื้น ผมอกหัก แน่นอนว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงเข้าสักวัน ต่อให้ไม่มีไอ้คุณชายเติ้ลนั่น มะลิก็ไม่มีวันแยแสผู้ชายกระจอกๆ อย่างผมอยู่แล้ว ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่ก็ไม่อาจทำใจได้ ผมตัดสินใจเดินตรงไปยังถนนใหญ่ เมื่อเห็นรถบรรทุกสินค้ากำลังแล่นมาด้วยความเร็ว ผมจึงหยุดยืนรอให้มันผ่านไปแล้วค่อยๆ เดินข้ามถนนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะตรงมาที่ร้านขายลูกชิ้นปิ้งเจ้าประจำ
“เอาเอ็นหมู 2 ไม้” ผมบอก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้ผมรู้สึกหิว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะตอนนี้เที่ยงแล้ว เมื่อได้ลูกชิ้นตามที่สั่งไว้ ผมก็มานั่งกินอยู่ริมฟุตบาตอย่างอดอาลัยตายอยาก แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกจับจ้องจากสายตาหลายคู่ ผมค่อยๆ เอี้ยวคอหันไปมองลูกหมา 3 ตัวที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั่งกระพริบตาปริบๆ มองผมเหมือนเป็นแม่ของพวกมัน ตัวสีดำเป็นตัวผู้ชื่อไอ้ดำ ตัวสีขาวลายดำชื่อไอ้ด่างเป็นตัวผู้เหมือนกัน และตัวสีขาวล้วนชื่อนังนวลเป็นตัวเมีย ชื่อพวกนี้ผมเป็นคนตั้งให้เอง พวกมันเป็นหมาในตลาดเนี่ยแหละแต่ไม่รู้แม่ของมันหายไปไหน ปล่อยให้ลูกๆ อดอยากแล้วก็ต้องมาแย่งผมกินทุกเที่ยง
“พวกเอ็งไม่ต้องมาทำตาใส ข้าไม่แบ่งโว้ย” พูดแล้วก็นั่งหันหลังให้เพราะกลัวจะใจอ่อนกับท่าทางแบ๊วๆ ของพวกมัน แต่เหมือนจะไม่เป็นผล พวกมันเริ่มส่งเสียงร้องครางออดอ้อนในลำคอ จนส่งสัยว่าตกลงมันเป็นหมาหรือแมวกันแน่ พวกมันประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงและดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมสุดจะทน และคิดว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ผมลุกพรวดขึ้นแล้วหันมามองพวกมันอย่างหมายมาด
“พวกเอ็งจะเอาใช่ป่ะ อยากโดนมากใช่ป่ะ ได้ๆ นี่เอาไปเลย” ผมรูดลูกชิ้นออกจากไม้แล้วป้อนใส่ปากให้พวกมันตัวละลูก
“โอเคนะ สบายใจแล้วนะพวกเอ็ง ทีนี้จะไปไหนก็ไปป่ะ” ผมไล่ ดูท่าทางพวกมันดีใจมากที่แย่งผมกินลูกชิ้นได้สำเร็จ ผมรีบจัดการกับลูกชิ้นที่เหลือเดี๋ยวจะมีลูกหมาที่ไหนโผล่มาอีก เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ในที่สุดช่วงเวลาที่แสนทุกข์ทรมานก็จบสิ้นลง ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ผมเดินไปรับค่าแรงจากเฮียกวงด้วยสีหน้าแช่มชื่น เฮียกวงเป็นเจ้านายที่ใจดี ไม่เคยพูดจาดูถูกดูแคลน หรือทำอะไรให้ผมรู้สึกต่ำต้อยเลย ออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่ชอบงานนี้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นอาชีพที่ทำให้ผมสามารถเลี้ยงปากท้องตัวเองได้ไม่อดตายไปซะก่อน
ผมเดินกลับบ้านโดยมีลูกหมา 3 ตัวเดินตามหลังมาไม่ห่าง ปกติแล้วตอนเย็นผมจะไม่เห็นพวกมัน คิดในใจว่าพวกมันกำลังวางแผนแย่งข้าวเย็นผมอยู่หรือเปล่าถึงได้ตามผมมา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่ ลองเดาดูสิว่าผมจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ใช่ อย่างที่คิดนั่นแหละ ผมก็คงต้องแบ่งให้พวกมันกิน
ผมแวะร้านกาแฟโบราณของพ่อเพื่อนที่ขายปาท่องโก๋ด้วยแทบทุกวัน เพื่อใช้เวลานั่งพูดคุยกับมัน มันชื่อจืด เราเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ม.1 จนจบม.3 จืดเป็นคนที่มีความคิดแปลกๆ ทั้งๆ ที่ทางบ้านของมันมีกำลังส่งเสียให้เรียนต่อได้ อย่างขี้เหร่ก็โรงเรียนรัฐบาลแถวนี้ แต่มันกลับบอกพ่อว่าไม่ขอเรียนต่อ เพราะอยากช่วยงานที่ร้านมากกว่า ฟังดูอาจเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่มันทำเหมือนกำลังจะทำลายคุณงามความดีที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดจนถึงรุ่นพ่อของมันให้ย่อยยับมากกว่า
“ทอง เอ็งจะต้องประหลาดกับสิ่งที่เอ็งกำลังจะได้เห็นต่อไปนี้แน่ๆ” ไอ้จืดพล่ามเสียงโทนเดียวพรางวางจานที่มีถ้วยคว่ำครอบไว้ลงบนโต๊ะ
“อะไรของเอ็งวะไอ้จืด” ผมถามหน้าตาสงสัย เจ้าลูกหมา 3 ตัวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็เช่นกัน
“ปาท่องโก๋รูปแบบใหม่ของร้านข้ายังไงหละ ฮ่าๆๆๆ” มันหัวเราะใหญ่โตราวกับว่าตอนนี้เป็นเถ้าแก่น้อยร้อยล้านแล้วยังไงอย่างงั้น ว่าแล้วก็เปิดถ้วยที่ครอบอยู่ออก
“ปาท่องโก๋อะไรของเอ็งเนี่ย!!!” ผมอุทานอย่างตกใจกับผลงานชิ้นเอกของมัน
“คือตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นทรงเจดีย์หนะ แต่พอทอดเสร็จดันเหมือน...”
“เหมือนขี้!!! พ่อเอ็งไม่ด่าหรอเอาแป้งมาทำเล่นๆ อย่างนี้” ผมมองปาท่องโก๋ทรงเจดีย์ของมันที่อยู่ในจานก่อนหันมามองไอ้ดำ ไอ้ด่าง และนังนวล คิดในใจว่าเหมือนขี้พวกเอ็งเลยวะ
“ทำเล่นๆ ที่ไหน ข้าจริงจังนะโว้ย” มันเถียง
“บ้า แล้วใครจะกินลงวะ” ผมถามต่อ มันไม่ตอบแต่จ้องมองหน้าผมอย่างมีความหวัง ทำให้รู้สึกเหมือนแบกความหวังของคนทั้งโลกเอาไว้ ตอนนั้นรู้แล้วว่าใครจะต้องเป็นคนกินปาท่องโก๋โฉมใหม่ของมัน
ผมออกจากร้านกาแฟโบราณที่ขายปาท่องโก๋ด้วยของพ่อไอ้จืด สงสัยไหมว่าทำไมผมต้องทวนชื่อร้านยาวขนาดนี้ เพราะป้ายร้านมันเขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ แน่นอนในมือผมมีถุงปาท่องโก๋ที่ไอ้จืดยัดเยียดให้ติดมาด้วย ถึงแม้ว่าเพื่อนของผมดูไม่ค่อยเต็มเท่าไหร่ หรืออาจจะล้นๆ ไปบ้าง แต่จืดก็เป็นเพื่อนคนเดียวของผม และผมโชคดีที่มีเพื่อนอย่างมัน เพราะมันไม่เคยดึงผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด ลักขโมย หรือตีรันฟันแทงอะไรทำนองนั้นเลย
จวนจะถึงบ้านอยู่แล้ว แต่ผมดันต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ คุณชายเติ้ลชื่อตามเฟสบุ๊คของศัตรูหัวใจของผมขับบิ๊กไบค์ผ่านไปอย่างฉวัดเฉวียน เสียงท่อดังสนั่นจนกระเทือนถึงแก้วหูชั้นในเลยทีเดียว เขามาส่งแฟนผมที่หน้าบ้าน หมายถึงมะลิน่ะ ยังไงมะลิก็เป็นแฟนผมเพียงแต่ผมไม่ใช่แฟนมะลิเท่านั้นเอง ผมคิดอย่างดื้อรั้น เมื่อบอกลากันเรียบร้อยแล้วมะลิก็เข้าบ้านไป ส่วนไอ้คุณชายเติ้ลมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเบิ้ลเครื่องใส่ผมแล้วออกตัวไปอย่างเร็วฉิว รถของมันคงราคาหลายแสน อย่างผมนะอย่าว่าแต่บิ๊กไบค์เลย แค่มอเตอร์ไซค์มือสองเก่าๆ ก็ไม่มีปัญญาซื้อ นอกจากผมจะด้อยโอกาสทางการศึกษาแล้วยังด้อยโอกาสทางความรักอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากความจนแท้ๆ ที่ทำให้ผมต่ำต้อยด้อยค่าถึงเพียงนี้ ผมรู้สึกอ่อนล้าจนต้องหยุดนั่งพักที่ริมฟุตบาทกอดเข่าแล้วแหงนมองท้องฟ้า ทำตัวเหมือนเป็นพระเอกเอ็มวีเพลงอกหัก โดยมีตัวประกอบคือเจ้าลูกหมา 3 ตัวที่นั่งกระดิกหางดิ๊กๆ อยู่ใกล้ๆ ผมคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆ ก็มีคนเดินมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“ลอตเตอรี่ไหมไอ้หนู เหลือใบสุดท้ายแล้ว” ชายมีอายุรูปร่างท้วมสวมแว่นตาดำถามขึ้น ที่คอคล้องแผงลอตเตอรี่และมือข้างหนึ่งถือไม้เท้าสำหรับคลำทางไว้ด้วย ผมลุกขึ้นเห็นในแผงลอตเตอรี่เหลือลอตเตอรี่เพียงใบเดียวจริงๆ ปกติผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เห็นพ่อซื้อทีไรก็ไม่เคยถูก
“อาจจะเป็นรางวัลแจ็คพ็อตก็ได้นะ ถ้าถูกขึ้นมาได้เงินเป็นสิบๆ ล้านเลยนะหนุ่ม” ชายตาบอดขายลอตเตอรี่บอก
“สิบล้านเลยหรอลุง!!!” ผมเริ่มตาโต ถ้ามีเงินสิบล้านจะซื้อมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์กี่คันก็ได้
“หลายสิบล้านเลยหละ จะเอาไหมล่ะ” เขาถามต่อ ผมลังเลเล็กน้อยเพราะเงินในกระเป๋ามีอยู่เพียง 300 บาท ซึ่งเป็นของแม่ครึ่งหนึ่ง
“เอ่อ...เท่าไหร่หละลุง” ผมถามแต่ในใจโอนเอียงไปทางซื้อมากกว่าแล้ว
“ปกติ 100 นึงแต่ลุงลดให้เหลือ 80 บาทถ้วน”
“โอเคลุง” ผมรีบหยิบเงินในกระเป๋าออกมาพอดีจำนวนยื่นให้คนตาบอดอย่างไม่ลังเล เขารับเงินแล้วดึงลอตเตอรี่ส่งให้ผม ผมมองลอตเตอรี่ในมืออย่างมีความหวัง ถ้าถูกรางวัลแจ็คพ็อตขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ไอ้เติ้ลเด็กช่างนั่นจะไม่ใช่คู่แข่งของผมอีกต่อไป หึหึหึ ผมยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว
“ถ้าถูกรางวัลจะเอาเงินไปทำอะไร” ลุงขายลอตเตอรี่ถามผมต่อ
“อ้าว ลุงยังไม่ไปอีกหรอ” ผมตกใจเล็กน้อย นึกว่าแกเดินไปแล้ว
“ยังสิ ถ้าไปแล้วเอ็งจะเห็นหรอ”
“อ่อ ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไร เหมือนเมื่อกี้แกตอบกวนประสาทผมหรือเปล่านะ
“ว่ายังไงหละหนุ่ม ถ้าเอ็งถูกรางวัลจะเอาเงินไปทำอะไร”
“อ๋อ ผมจะซื้อบิ๊กไบค์เอาไว้รับส่งแฟนน่ะ แล้วก็จะซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ เลย” ผมวาดวิมานในอวกาศ ฝันเฟื่องสุดๆ
“หวยออกวันไหนนะลุง” ผมถามขึ้นอย่างนึกได้
“อีก 7 วันนู้นแหละไอ้หนู”
“โหย อีกตั้ง 7 วัน ทำไมนานจัง อยากให้เป็นตอนนี้เลย ข้ามช่วงเวลาที่ลำบากลำเค็ญยากเย็นแสนเข็ญอย่างนี้ไปเลยไม่ได้หรอ” ผมบ่นอย่างเหนื่อยอ่อน
“จริงๆ มันมีปุ่ม Skip อยู่นะ” ลุงขายลอตเตอรี่ว่า
“ปุ่ม Skip? ปุ่ม Skip อะไรลุง”
“ก็ปุ่ม Skip ข้ามไปตอนที่เรารวยแล้วไง”
“มีของแบบนั้นด้วยหรอ? พูดเป็นเล่นน่าลุง” ผมคิดในใจว่าลุงแกปกติหรือเปล่า
“มีสิ” ลุงยังยืนยันคำเดิม
“ไหนหละปุ่ม Skip ที่ลุงว่า” ผมถามต่ออยากรู้ว่าแกจะว่ายังไง ลุงขายลอตเตอรี่ไม่ตอบแต่ชี้มาที่แผงลอตเตอรี่ว่างเปล่า ผมมองตามเห็นปุ่มเขียนว่า Skip ขนาดใหญ่นูนออกมา แถมมันยังส่องแสงเหมือนไอคอนที่เคยเห็นในเกมส์ด้วย
“เห้ย!!?? มีของแบบนี้ด้วยหรอ มันมาได้ยังไงเนี่ย!!??” ผมตกใจมาก เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่ไม่ปกติคือลุงหรือผมกันแน่
“ก็บอกแล้วไงว่ามี” ลุงขายลอตเตอรี่ย้ำ ผมมองซ้ายมองขวานึกสงสัยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเขาจะเห็นเหมือนผมหรือเปล่า
“ไม่มีใครเห็นหรอกนอกจากเอ็ง” ลุงตอบข้อสงสัยที่ผมคิดในใจ แกรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรอีกอย่างแกตาบอดไม่ใช่หรอ ผมเริ่มไม่แน่ใจจึงพยายามมองลอดแว่นดำเข้าไปแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสะท้อนความหล่อของตัวเอง
“ว่ายังไงหละหนุ่ม อยากจะข้ามไปตอนที่รวยเลยหรือเปล่า”
“มันทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรอลุง” ผมถามอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะมีเรื่องประหลาดๆ อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในใจก็เชื่อไปเกินครึ่งแล้ว
“ถ้าเอ็งอยากรู้ ก็ลองกดดูสิ แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไรลุง”
“ถ้ากดไปแล้วชีวิตของเอ็งจะเปลี่ยนไปตลอดกาล” ลุงพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม ฟังแล้วขนลุกยังไงชอบกล ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าถ้าข้ามไปตอนที่รวยเลยยังไงมันก็ต้องดีกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่แน่ๆ มีเงินอะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น ไม่ต้องทนให้แดดแยงตาตอนเช้า ไม่ต้องฟังคนล้อเรื่องใส่เสื้อผ้าซ้ำ แล้วที่สำคัญไม่ต้องมานั่งอกหักแบบนี้ ผมตัดสินใจแล้ว
“ผมอยากจะลองดู” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“เอ็งยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ใช่ไหม”
“ครับ”
“จำไว้นะว่า ถ้าข้ามไปตอนที่รวยแล้ว เอ็งจะไม่สามารถเรียกชีวิตเก่ากลับคืนมาได้” ลุงบอก
“ครับ” ผมมั่นใจมาก ผมพร้อมแล้วที่จะรวย จะทิ้งชีวิตบัดซบอย่างนี้ไปตลอดกาล
“งั้นก็กดเลยสิ” ลุงว่า ผมพยักหน้าแล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะปุ่ม Skip นั่น เมื่อผมกดฝ่ามือลงไปก็มีเสียงดังตึ๊ง!!! ขึ้น ทันใดนั้นเองผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็แว๊บหายไปทีละคนสองคน รวมถึงเจ้าลูกหมา 3 ตัวและลุงขายลอตเตอรี่ด้วย ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างทั้งหลายแว๊บหายไปจนหมด แล้วจู่ๆ พื้นดินที่ผมเหยียบยืนก็กลายเป็นว่างเปล่า
“เฮ้ย!? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!??” ผมรู้สึกเหมือนถูกโยนลงมาจากที่สูงดำดิ่งสู่ก้นเหวลึก หรือเหมือนถูกกดลงชักโครกอะไรทำนองนั้น เสียงและภาพของคนรอบตัวที่ผมคุ้นเคยปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
“ทองหลังเอ็งยาวเป็นกิโลแล้วนะ” เสียงแหลมๆ ของแม่ดังขึ้นพร้อมกับภาพหญิงวัยสามสิบปลายๆ ผิวขาวเหลืองรูปร่างอวบนิดๆ ยืนเท้าสะเอวมองผมแล้วก็แว๊บหายไป ต่อด้วยชายวัยใกล้เคียงกันรูปร่างผอมสูงผิวคล้ำกร้านแดดนั่งสูบบุหรี่จุ๋ย
“ทอง พ่อไม่มีเงินส่งเอ็งเรียนต่อ เอ็งต้องไปทำงานที่ตลาดนะ เข้าใจไหม” พูดจบก็หายไปอีก
“ทองนี่ปาท่องโก๋รูปแบบใหม่ของข้า” คราวนี้มาเป็นทองคำแท่งเลย
“ทองเอ็งไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าหรอวะ ใส่แต่ตัวเดิม” ลุงหมายขายไข่ไก่
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าไม่ได้ซักมากี่วันแล้ว” เจ๊ส้มขายเนื้อหมู
“ทองน่าจะเรียนต่อนะ ถ้ามีอนาคตมากกว่านี้เราอาจจะรับรักทองก็ได้” มะลิแสนสวยของผม
“อย่างเอ็งไม่ใช่คู่แข่งข้าหรอก ไอ้เด็กเข็นผัก” สำหรับรายนี้มีเสียงเบิ้ลเครื่องมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ประกอบด้วย
“บ็อก บ็อก บ็อก เงี๊ยก เงี๊ยก เงี๊ยก” ภาพลูกหมา 3 ตัวทำตาแบ๊วร้องออดอ้อน
“.........” อันนี้เป็นภาพลูกชิ้นเอ็นหมู ไม่มีเสียงประกอบ
“นี่ค่าแรงของเอ็งนะทอง 300 บาทไทย” เฮียกวง
“จำไว้นะว่า ถ้าข้ามไปตอนที่รวยแล้ว เอ็งจะไม่สามารถเรียกชีวิตเก่ากลับคืนมาได้” เสียงลุงตาบอดซึ่งผมไม่รู้จักชื่อเพราะลืมถามดังขึ้น ท้ายเสียงมีเอคโค่ด้วย และภาพสุดท้ายที่เห็นคือห้องนอนของผม ที่นอนยัดนุ่นเก่าๆ มีผ้าห่มผืนบางกองอยู่ด้านบนพร้อมกับหมอนที่เปื้อนน้ำลายเป็นคราบด่าง ลำแสงของพระอาทิตย์ลอดผ่านสังกะสีที่แหว่งเป็นรูน้อยใหญ่ส่องเข้ามาแยงลูกตาผมอีกแล้ว ผมพยายามจะลืมตาสู้เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ว่าทำไม่ได้แสงนั้นเจิดจ้ามาก จนผมต้องหลับตาลงแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองหมดสติไป
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ