นิลสีเทา
-
เขียนโดย thalin
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.53 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
7,262 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2559 17.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
5) มันไม่ใช่จุดจบ...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ จากข้อมูลที่หมอบอกผมมา ทำให้ผมได้รู้ว่า เส้นประสาทในดวงตาของผมกำลังมีปัญหา (ปัญหาใหญ่ทีเดียว...) ซึ่งอาจมีเกิดจากการกระทบกระเทือนทางสมองส่วนหนึ่ง ผมคิดว่าผมรู้นะ...
หลายต่อหลายครั้งที่ผมต้องคอยเป็นกรรมการตัดสินสงครามประสาทของพ่อแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆคือลูกหลง และผมก็มักจะโดนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งขวดสุึรา และอุปกรณ์ทำครัว ผมไม่เคยกังวลเรื่องบาดแผลที่ได้รับ เพราะผมไม่ต้องการคิดถึงมัน การจดจำว่ารอยแผลที่เจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า
แต่ตอนนี้...ผมกำลังคิดถึงมัน
หมอกักตัวผมให้อยู่ที่โรงพยาบาล...จนกว่า จนกว่าผมจะดีขึ้น
ไม่มีใครมาเยี่ยมผมตอนที่ผมป่วย ตอนนี้ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณยายแล้ว การนอนรวมอยู่กับผู้ป่วยที่อาการสาหัส ร้องโอดโอยตลอดเวลาเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก
ผมควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้สิ...
สองสัปดาห์ที่ผมนอนเปื่อยอยู่กับเตียง ผมได้แต่คิดหนัก ว่าผมทำอะไรผิด ชีวิตของผมมันจะแย่ไปถึงไหน ผมมีครอบครัวที่ห่วยแตก ผมต้องสูญเสียยายผู้เป็นที่พึ่งทางจิตใจเพียงหนึ่งเดียวไปอย่างกระทันหัน แล้วตอนนี้ ผมก็กำลังจะเสียตาข้างหนึ่งไปเพราะลูกหลงโง่ๆของพ่อแม่
มันจะอะไรกันนักกันหนา
ผมลุกขึ้นนั่งและมองออกไปนอกหน้าต่าง ทัศนวิสัยการมองเห็นของผมลดต่ำ่ลงเมื่อเหลือดวงตาที่ใช้ในการมองเห็นได้เพียงข้างเดียว
พวกคุณไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของผมในตอนนี้หรอก
...ผมมันไม่มีค่าเลย ผมเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ผมไม่สามารถช่วยยายได้ และตอนนี้ ผมก็ช่วยใครไม่ได้อีกแล้ว...แม้แต่ตัวของผมเอง
"ดูคุณตาคนนั้นสิ..." คุณหมอที่กำลังตรวจอาการของผมอยู่ชี้นิ้ว
คุณตาอายุกว่า 70 ปีกำลังนอนหงายอยู่บนเตียงผู้ป่วย ขาของเขาเล็กและซูบผอมจนเห็นแต่กระดูก แถมยังมีแผลเหวอะหวะที่บริเวณท้องแขน
คุณสามารถเห็นภาพเหล่านี้ได้ทั่วไปในโรงพยาบาล ผมไม่ชอบเลย
"แล้วดูทางนั้น" คุณหมอชี้นิ้วไปอีกทาง
วัยรุ่นอายุมากกว่าผมประมาณ 4-5 กำลังคลำมือไปบนหนังสือภาพสามมิติที่ทางโรงพยาบาลเอามาให้ เขาหลับตา่ทั้งสองข้าง แต่กลับมีรอยยิ้มเบ่งบานเมื่อลูบนิ้วมือไปตามภาพที่เด่งออกมาจากหนังสือ
ดวงตาข้างที่มืดบอดของผมปวดตุบๆ
ผมเงยหน้าขึ้นและพบว่าคุนหมอกำลังมองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้ม
"ถึงจะสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป พวกเขาก็ไม่ได้ตาย คุณตาคนนั้นกำลังหายใจอยู่ ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตในความมืด...เธอน่ะ ยังไม่ได้สูญเสียมากเท่าพวกเขาเลยนะ"
ใช่...หมอพูดถูก
ไม่ใช่โชคชะตาหรอกที่ผิด...คนที่ผิดน่ะ
"ผมเข้าใจดีแล้วครับหมอ" ผมบอก
หมอยิ้มให้ผมอีกครั้งและตบบ่าผมเบาๆ "พรุ่งนี้หมอจะมาใหม่นะ..."
หมอไปตรวจผู้ป่วยคนอื่นๆแล้ว แต่ผมยังคงจ้องมองออกไปนอกหน้า่ต่างอยู่
มันไม่ใช่ความผิดของใครที่ผมต้องมาเป็นแบบนี้ แน่นอน ผมคิดว่าชีวิตนี้มันห่วยแตก แต่แล้วไง...ไอโชคชะตาที่ชอบเล่นสนุกกับชีวิตของคนอื่นแบบนั้นทำให้ผมตายไม่ได้หรอก ผมยังมีความฝันอยู่ ที่สำคัญที่สุด...ผมยังมีชีวิตอยู่
นี่ไม่ใช่จุดจบของผม...แต่มันเป็น
จุดเริ่มต้น
(END)
หลายต่อหลายครั้งที่ผมต้องคอยเป็นกรรมการตัดสินสงครามประสาทของพ่อแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆคือลูกหลง และผมก็มักจะโดนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งขวดสุึรา และอุปกรณ์ทำครัว ผมไม่เคยกังวลเรื่องบาดแผลที่ได้รับ เพราะผมไม่ต้องการคิดถึงมัน การจดจำว่ารอยแผลที่เจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า
แต่ตอนนี้...ผมกำลังคิดถึงมัน
หมอกักตัวผมให้อยู่ที่โรงพยาบาล...จนกว่า จนกว่าผมจะดีขึ้น
ไม่มีใครมาเยี่ยมผมตอนที่ผมป่วย ตอนนี้ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณยายแล้ว การนอนรวมอยู่กับผู้ป่วยที่อาการสาหัส ร้องโอดโอยตลอดเวลาเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก
ผมควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้สิ...
สองสัปดาห์ที่ผมนอนเปื่อยอยู่กับเตียง ผมได้แต่คิดหนัก ว่าผมทำอะไรผิด ชีวิตของผมมันจะแย่ไปถึงไหน ผมมีครอบครัวที่ห่วยแตก ผมต้องสูญเสียยายผู้เป็นที่พึ่งทางจิตใจเพียงหนึ่งเดียวไปอย่างกระทันหัน แล้วตอนนี้ ผมก็กำลังจะเสียตาข้างหนึ่งไปเพราะลูกหลงโง่ๆของพ่อแม่
มันจะอะไรกันนักกันหนา
ผมลุกขึ้นนั่งและมองออกไปนอกหน้าต่าง ทัศนวิสัยการมองเห็นของผมลดต่ำ่ลงเมื่อเหลือดวงตาที่ใช้ในการมองเห็นได้เพียงข้างเดียว
พวกคุณไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของผมในตอนนี้หรอก
...ผมมันไม่มีค่าเลย ผมเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ผมไม่สามารถช่วยยายได้ และตอนนี้ ผมก็ช่วยใครไม่ได้อีกแล้ว...แม้แต่ตัวของผมเอง
"ดูคุณตาคนนั้นสิ..." คุณหมอที่กำลังตรวจอาการของผมอยู่ชี้นิ้ว
คุณตาอายุกว่า 70 ปีกำลังนอนหงายอยู่บนเตียงผู้ป่วย ขาของเขาเล็กและซูบผอมจนเห็นแต่กระดูก แถมยังมีแผลเหวอะหวะที่บริเวณท้องแขน
คุณสามารถเห็นภาพเหล่านี้ได้ทั่วไปในโรงพยาบาล ผมไม่ชอบเลย
"แล้วดูทางนั้น" คุณหมอชี้นิ้วไปอีกทาง
วัยรุ่นอายุมากกว่าผมประมาณ 4-5 กำลังคลำมือไปบนหนังสือภาพสามมิติที่ทางโรงพยาบาลเอามาให้ เขาหลับตา่ทั้งสองข้าง แต่กลับมีรอยยิ้มเบ่งบานเมื่อลูบนิ้วมือไปตามภาพที่เด่งออกมาจากหนังสือ
ดวงตาข้างที่มืดบอดของผมปวดตุบๆ
ผมเงยหน้าขึ้นและพบว่าคุนหมอกำลังมองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้ม
"ถึงจะสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป พวกเขาก็ไม่ได้ตาย คุณตาคนนั้นกำลังหายใจอยู่ ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตในความมืด...เธอน่ะ ยังไม่ได้สูญเสียมากเท่าพวกเขาเลยนะ"
ใช่...หมอพูดถูก
ไม่ใช่โชคชะตาหรอกที่ผิด...คนที่ผิดน่ะ
"ผมเข้าใจดีแล้วครับหมอ" ผมบอก
หมอยิ้มให้ผมอีกครั้งและตบบ่าผมเบาๆ "พรุ่งนี้หมอจะมาใหม่นะ..."
หมอไปตรวจผู้ป่วยคนอื่นๆแล้ว แต่ผมยังคงจ้องมองออกไปนอกหน้า่ต่างอยู่
มันไม่ใช่ความผิดของใครที่ผมต้องมาเป็นแบบนี้ แน่นอน ผมคิดว่าชีวิตนี้มันห่วยแตก แต่แล้วไง...ไอโชคชะตาที่ชอบเล่นสนุกกับชีวิตของคนอื่นแบบนั้นทำให้ผมตายไม่ได้หรอก ผมยังมีความฝันอยู่ ที่สำคัญที่สุด...ผมยังมีชีวิตอยู่
นี่ไม่ใช่จุดจบของผม...แต่มันเป็น
จุดเริ่มต้น
(END)
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ