กาลครั้งหนึ่งของความรัก
9.3
เขียนโดย Brownies_PK
วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.25 น.
1 ตอน
2 วิจารณ์
3,462 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 23.40 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ตอนเดียวจบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกาลครั้งหนึ่งของความรัก
“เมื่อเข็มนาฬิกาหยุดเดิน จำเป็นมั้ยที่เวลาต้องหยุดเดินไปด้วย?”
ผมเฝ้าถามตัวเอง ก่อนจะเดินกางร่มสีเทาคันเก่าๆ ถึงแม้มันจะดูไม่สวยหรูเหมือนร่มสีสันสดใสคันใหม่ของคนอื่นๆที่กำลังเดินร่วมถนนสาธารณะสายเดียวกับผม แต่สำหรับผม ขอแค่ให้ร่มคันนี้ช่วยให้ผมหลบสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดได้ก็พอ
และที่สำคัญ ร่มคันนี้เป็นความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม...
ความทรงจำที่อยากจะรักษาไว้ให้นานที่สุด
ความทรงจำของรักครั้งแรก...
บางทีมันอาจดูไร้สาระ แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนๆหนึ่ง ที่เปลี่ยนโลกใบเก่าที่โดดเดี่ยวของผมให้มีชีวิตและสีสันขึ้น
ผมหลับตาเพื่อนึกถึงเรื่องราวของวันวานที่ทำให้ผมได้พบเธอเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆเหมือนอย่างวันนี้ ผมรีบเดินเข้าไปหลบฝนใต้ชายคาของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนผมจะลืมอะไรบางอย่างไป เพื่อความมั่นใจว่าผมไม่ได้ลืมอะไรไว้ที่ชมรม ผมจึงต้องสำรวจสิ่งของที่ผมมีทันที ก่อนจะรู้ว่าผมลืมอะไร นั่นสินะ! ผมลืมมันไปได้ยังไงกัน!
“ให้ตายสิ! ลืมหยิบโทรศัพท์มาซะได้!”
ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจว่าจะกลับไปเอาโทรศัพท์ที่อยู่ที่ชมรมหนังสือพิมพ์ดีมั้ย? ทั้งๆที่ฝนก็ตกไม่มาก แต่ผมก็ไม่กล้าจะตัดสินใจว่าควรจะไปดีรึเปล่า เพราะตอนนี้ห้องคงถูกล็อคไปแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนตัวดีของผมขอยืมโทรศัพท์ส่งงานหัวหน้าชมรม ผมคงไม่ต้องเดินกลับไปเอาหรอก ถ้าไม่เป็นเพราะว่าผมจดโปรเจคงานของวันพรุ่งนี้ไว้ในโทรศัพท์น่ะสิ!! ถ้าไม่มีงานส่งก็เท่ากับผมต้องโดนหัวหน้าชมรมว่าเรื่องขาดความรับผิดชอบแน่ๆ
และในที่สุดผมก็ต้องเดินย้อนกับมาที่ชมรม ถึงแม้ว่าตัวจะเปียกเพราะเม็ดฝนก็ตาม โชคยังดีที่หัวหน้ายังไม่ได้ล็อค ผมเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะงานก่อนจะเดินออกมา ระหว่างทางที่ผมกำลังเดินออกมาด้วยความรีบ จึงไม่เห็นรอยน้ำจากเม็ดฝนที่สาดเข้ามาบนพื้นปูน และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมลื่นล้มได้ง่ายๆ
ครืน!
“โธ่เว้ย! เจ็บชะมัด”
ผมอุทานออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร เพราะว่าในตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ผมพยายามทรงตัวให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะพบว่าตอนนี้ฝนเริ่มตกหนักกว่าเดิม แล้วทีนี้ผมจะกลับยังไงล่ะเนี่ย เพราะถ้าเดินฝ่าสายฝนไป ผมคงไม่ได้กลับถึงบ้านแน่ๆ
สงสัยคืนนี้คงต้องนอนที่ห้องชมรมแล้วแหละ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดในใจ ก็มีมือน้อยๆส่งร่มสีเทาที่กางแล้วให้ผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงใสๆเชิงเป็นมิตร
“ขอโทษนะคะ พอดีฉันเห็นคุณยืนมองสายฝนตั้งนานแล้ว ก็เลยคิดว่าคุณคงจะรอให้มันหยุดตกใช่มั้ยคะ” เสียงของเจ้าของร่มสีเทาที่ยื่นให้ผม ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองทางด้านหลัง ก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงหวานใสคือผู้หญิงที่น่าจะสูงประมาณไหล่ของผม ผมของเธอสีดำยาวเคลียไหล่ รูปร่างผอมบาง ใบหน้าหวานคลี่รอยยิ้มเมื่อเธอเห็นผมหันไปมอง ทำให้เห็นลักยิ้มที่ประดับอยู่ข้างแก้มเนียนที่จัดได้ว่าเป็นเสน่ห์ของเธอ แล้วเธอจะรู้มั้ยนะว่ารอยยิ้มของเธอขโมยหัวใจของผมไปเต็มๆ
“ครับ ผมว่ามันคงหยุดตกไม่ได้ง่ายๆ ว่าแต่คุณทำไมยังไม่กลับอีกล่ะครับ” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้า ก่อนที่เธอจะยิ้มให้ผมอีกครั้ง
“พอดีฉันต้องรวบรวมงานส่งอาจารย์นะค่ะ เลยกลับเย็นหน่อย โชคดีนะคะที่วันนี้ฉันพกร่มมา แล้วคุณล่ะคะ”
“อ่าครับ พอดีผมลืมโทรศัพท์ไว้ก็เลยเดินกลับมาเอา แต่ฝนกลับตกหนักซะได้” ผมพูดอย่างอดหัวเสียไม่ได้จริงๆ นี่ถ้าฝนไม่ตก ผมคงไม่ลื่นหรอก
“เหรอคะ ตอนนี้ก็ใกล้จะเย็นแล้ว คุณเดินกลับพร้อมกับฉันก็ได้ค่ะ เพราะฉันพกร่มมา 2 คัน ฉันให้ร่มคันสีเทาคุณล่ะกัน”
เจ้าของร่มคันสีเทาหม่นพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชวนผมเดินกลับบ้านด้วยกันเพราะบ้านของเรา 2 คน ต้องเดินผ่านถนนสายเดียวกับผม และนั้นก็ทำให้ผมได้รู้จักเธอมากขึ้นว่าเธอชื่อ ‘เรน’ เป็นนักเรียนมัธยมปลายปี1ปีเดียวกับผม แต่ที่ผมไม่เคยคุ้นหน้าเธอก็เพราะเราเรียนกันคนละสาย ผมเรียนสายศิลป์-ภาษา ส่วนเรนเรียนภาษา-คณิต จึงยากที่เราจะรู้จักกัน ตั้งแต่วันนั้นมา ผมกับเรนก็เริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ตอนนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มรู้จักกับคำว่า ‘รัก’ แต่ไม่สามารถบอกความในใจออกไปได้ จนกระทั่งวันที่เราจบ ม.6 วันที่ผมและเธอต้องจากกัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้บอกความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอ เพราะว่าเธอย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดกะทันหัน
ผมคงหมดโอกาสที่จะได้บอกความในใจตลอด 3 ปีออกไปใช่มั้ย...
จนถึงวันนี้ ก็ผ่านไป 4 ปีแล้ว ผมยังคงลืมเธอไม่ได้ ถึงแม้เรื่องของผมกับเธอจะจบลงแค่เพียงเท่านี้ แต่ยังไงซะ ความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ผมได้รับจากเธอจะไม่มีวันหายใจจากความรู้สึกของผมเด็ดขาด ถึงแม้ผมจะอยากย้อนเวลากลับไปมากแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่อดีต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรมันได้อีก ปล่อยให้ให้มันเป็นเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่ผมจะรักษามันไปตลอดกาลดีกว่า
ผมลืมตาหลังจากทบทวนเรื่องราวเก่าๆ ก่อนจะเดินไปยังศาลาริมสระน้ำของสวนสาธารณะเพื่อหลบฝน พร้อมกับคิดว่าทำไมผมถึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เมื่อเข็มนาฬิกาหยุดเดิน จำเป็นมั้ยที่เวลาต้องหยุดเดินไปด้วย?” และผมก็ได้คำตอบ คงเป็นเพราะเข็มนาฬิกาเปรียบเสมือนความสัมพันธ์ของผมกับเรนที่หยุดเดิน ส่วนเวลาคงเป็นความรู้สึกดีๆรวมถึงความทรงจำที่ผมมีให้เธอจะไม่มีวันหยุดเดินเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเรา ผมจะสานต่อความรู้สึกนั้นเอง
ผมนั่งมองสายฝนที่ค่อยๆโปรยปรายด้วยความรู้สึกคิดถึงเรื่องราวเมื่อวันวาน ก่อนที่ผมจะหลุดจากภวังค์เมื่อมีเสียงหวานใสเสียงหนึ่งที่คุ้นหูดังขึ้นมาว่า...
“ขอโทษนะคะ ขอฉันหลบฝนด้วยคนนะคะ”
ผมหันไปตามเสียงที่คุ้นหูของใครคนหนึ่ง ก่อนจะผงะเมื่อสบกับดวงตาคู่สวยของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคิดว่าผมรู้จักเธอเป็นอย่างดี ผมยาวเคลียไหล่ที่ตอนนี้แม้จะยาวถึงกลางหลัง แต่ผมก็ยังจำรอยยิ้มที่ทำให้เสียงหัวใจของผมเต้นดังเป็นครั้งแรกได้ดี ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 4 ปี แล้วก็ตาม แต่ผมยังจำเธอได้ดี
ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงตรงหน้าผม...
เธอคือเรน...รักแรกของผม เธอกลับมาแล้ว...
“เรน...” ผมพูดออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน
ใบหน้าสวยหวานเจือไปด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าผมจำเธอได้ ในที่สุดเธอก็กลับมาฟังความในใจของผมที่ตั้งใจจะบอกเธอไปเมื่อ 4 ปีก่อน
“ฉันรักเธอ! ได้ยินมั้ยเรน ฉันรักเธอ”ผมตะโกนออกไปเพื่อให้เธอได้ยิน ก่อนที่ร่างบางตรงหน้าผมจะตะโกนกลับมาด้วยคำพูดที่ผมเฝ้ารอมานาน
“ฉันก็รักนาย ได้ยินมั้ย!” เรนพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยินมากที่สุด ก่อนที่คนที่ผมคิดถึงจะโผเข้ามากอดผม พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูผมว่า...
“ฉันคิดถึงนายมากนะ ซัน” เธอเอ่ยชื่อของผม ทำให้เสียงหัวใจของผมเต้นรัวอีกครั้ง ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มลงห้อมแก้มเธอด้วยความรักและคิดถึง พร้อมกับอยากได้ยินเสียงหัวใจของเธอและของผมเต้นรัวพร้อมกันด้วยความรัก แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้น...
- The End -
“เมื่อเข็มนาฬิกาหยุดเดิน จำเป็นมั้ยที่เวลาต้องหยุดเดินไปด้วย?”
ผมเฝ้าถามตัวเอง ก่อนจะเดินกางร่มสีเทาคันเก่าๆ ถึงแม้มันจะดูไม่สวยหรูเหมือนร่มสีสันสดใสคันใหม่ของคนอื่นๆที่กำลังเดินร่วมถนนสาธารณะสายเดียวกับผม แต่สำหรับผม ขอแค่ให้ร่มคันนี้ช่วยให้ผมหลบสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดได้ก็พอ
และที่สำคัญ ร่มคันนี้เป็นความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม...
ความทรงจำที่อยากจะรักษาไว้ให้นานที่สุด
ความทรงจำของรักครั้งแรก...
บางทีมันอาจดูไร้สาระ แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนๆหนึ่ง ที่เปลี่ยนโลกใบเก่าที่โดดเดี่ยวของผมให้มีชีวิตและสีสันขึ้น
ผมหลับตาเพื่อนึกถึงเรื่องราวของวันวานที่ทำให้ผมได้พบเธอเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆเหมือนอย่างวันนี้ ผมรีบเดินเข้าไปหลบฝนใต้ชายคาของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนผมจะลืมอะไรบางอย่างไป เพื่อความมั่นใจว่าผมไม่ได้ลืมอะไรไว้ที่ชมรม ผมจึงต้องสำรวจสิ่งของที่ผมมีทันที ก่อนจะรู้ว่าผมลืมอะไร นั่นสินะ! ผมลืมมันไปได้ยังไงกัน!
“ให้ตายสิ! ลืมหยิบโทรศัพท์มาซะได้!”
ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจว่าจะกลับไปเอาโทรศัพท์ที่อยู่ที่ชมรมหนังสือพิมพ์ดีมั้ย? ทั้งๆที่ฝนก็ตกไม่มาก แต่ผมก็ไม่กล้าจะตัดสินใจว่าควรจะไปดีรึเปล่า เพราะตอนนี้ห้องคงถูกล็อคไปแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนตัวดีของผมขอยืมโทรศัพท์ส่งงานหัวหน้าชมรม ผมคงไม่ต้องเดินกลับไปเอาหรอก ถ้าไม่เป็นเพราะว่าผมจดโปรเจคงานของวันพรุ่งนี้ไว้ในโทรศัพท์น่ะสิ!! ถ้าไม่มีงานส่งก็เท่ากับผมต้องโดนหัวหน้าชมรมว่าเรื่องขาดความรับผิดชอบแน่ๆ
และในที่สุดผมก็ต้องเดินย้อนกับมาที่ชมรม ถึงแม้ว่าตัวจะเปียกเพราะเม็ดฝนก็ตาม โชคยังดีที่หัวหน้ายังไม่ได้ล็อค ผมเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะงานก่อนจะเดินออกมา ระหว่างทางที่ผมกำลังเดินออกมาด้วยความรีบ จึงไม่เห็นรอยน้ำจากเม็ดฝนที่สาดเข้ามาบนพื้นปูน และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมลื่นล้มได้ง่ายๆ
ครืน!
“โธ่เว้ย! เจ็บชะมัด”
ผมอุทานออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร เพราะว่าในตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ผมพยายามทรงตัวให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะพบว่าตอนนี้ฝนเริ่มตกหนักกว่าเดิม แล้วทีนี้ผมจะกลับยังไงล่ะเนี่ย เพราะถ้าเดินฝ่าสายฝนไป ผมคงไม่ได้กลับถึงบ้านแน่ๆ
สงสัยคืนนี้คงต้องนอนที่ห้องชมรมแล้วแหละ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดในใจ ก็มีมือน้อยๆส่งร่มสีเทาที่กางแล้วให้ผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงใสๆเชิงเป็นมิตร
“ขอโทษนะคะ พอดีฉันเห็นคุณยืนมองสายฝนตั้งนานแล้ว ก็เลยคิดว่าคุณคงจะรอให้มันหยุดตกใช่มั้ยคะ” เสียงของเจ้าของร่มสีเทาที่ยื่นให้ผม ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองทางด้านหลัง ก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงหวานใสคือผู้หญิงที่น่าจะสูงประมาณไหล่ของผม ผมของเธอสีดำยาวเคลียไหล่ รูปร่างผอมบาง ใบหน้าหวานคลี่รอยยิ้มเมื่อเธอเห็นผมหันไปมอง ทำให้เห็นลักยิ้มที่ประดับอยู่ข้างแก้มเนียนที่จัดได้ว่าเป็นเสน่ห์ของเธอ แล้วเธอจะรู้มั้ยนะว่ารอยยิ้มของเธอขโมยหัวใจของผมไปเต็มๆ
“ครับ ผมว่ามันคงหยุดตกไม่ได้ง่ายๆ ว่าแต่คุณทำไมยังไม่กลับอีกล่ะครับ” ผมเอ่ยถามคนตรงหน้า ก่อนที่เธอจะยิ้มให้ผมอีกครั้ง
“พอดีฉันต้องรวบรวมงานส่งอาจารย์นะค่ะ เลยกลับเย็นหน่อย โชคดีนะคะที่วันนี้ฉันพกร่มมา แล้วคุณล่ะคะ”
“อ่าครับ พอดีผมลืมโทรศัพท์ไว้ก็เลยเดินกลับมาเอา แต่ฝนกลับตกหนักซะได้” ผมพูดอย่างอดหัวเสียไม่ได้จริงๆ นี่ถ้าฝนไม่ตก ผมคงไม่ลื่นหรอก
“เหรอคะ ตอนนี้ก็ใกล้จะเย็นแล้ว คุณเดินกลับพร้อมกับฉันก็ได้ค่ะ เพราะฉันพกร่มมา 2 คัน ฉันให้ร่มคันสีเทาคุณล่ะกัน”
เจ้าของร่มคันสีเทาหม่นพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชวนผมเดินกลับบ้านด้วยกันเพราะบ้านของเรา 2 คน ต้องเดินผ่านถนนสายเดียวกับผม และนั้นก็ทำให้ผมได้รู้จักเธอมากขึ้นว่าเธอชื่อ ‘เรน’ เป็นนักเรียนมัธยมปลายปี1ปีเดียวกับผม แต่ที่ผมไม่เคยคุ้นหน้าเธอก็เพราะเราเรียนกันคนละสาย ผมเรียนสายศิลป์-ภาษา ส่วนเรนเรียนภาษา-คณิต จึงยากที่เราจะรู้จักกัน ตั้งแต่วันนั้นมา ผมกับเรนก็เริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ตอนนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มรู้จักกับคำว่า ‘รัก’ แต่ไม่สามารถบอกความในใจออกไปได้ จนกระทั่งวันที่เราจบ ม.6 วันที่ผมและเธอต้องจากกัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้บอกความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอ เพราะว่าเธอย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดกะทันหัน
ผมคงหมดโอกาสที่จะได้บอกความในใจตลอด 3 ปีออกไปใช่มั้ย...
จนถึงวันนี้ ก็ผ่านไป 4 ปีแล้ว ผมยังคงลืมเธอไม่ได้ ถึงแม้เรื่องของผมกับเธอจะจบลงแค่เพียงเท่านี้ แต่ยังไงซะ ความทรงจำและความรู้สึกดีๆที่ผมได้รับจากเธอจะไม่มีวันหายใจจากความรู้สึกของผมเด็ดขาด ถึงแม้ผมจะอยากย้อนเวลากลับไปมากแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่อดีต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรมันได้อีก ปล่อยให้ให้มันเป็นเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่ผมจะรักษามันไปตลอดกาลดีกว่า
ผมลืมตาหลังจากทบทวนเรื่องราวเก่าๆ ก่อนจะเดินไปยังศาลาริมสระน้ำของสวนสาธารณะเพื่อหลบฝน พร้อมกับคิดว่าทำไมผมถึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เมื่อเข็มนาฬิกาหยุดเดิน จำเป็นมั้ยที่เวลาต้องหยุดเดินไปด้วย?” และผมก็ได้คำตอบ คงเป็นเพราะเข็มนาฬิกาเปรียบเสมือนความสัมพันธ์ของผมกับเรนที่หยุดเดิน ส่วนเวลาคงเป็นความรู้สึกดีๆรวมถึงความทรงจำที่ผมมีให้เธอจะไม่มีวันหยุดเดินเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเรา ผมจะสานต่อความรู้สึกนั้นเอง
ผมนั่งมองสายฝนที่ค่อยๆโปรยปรายด้วยความรู้สึกคิดถึงเรื่องราวเมื่อวันวาน ก่อนที่ผมจะหลุดจากภวังค์เมื่อมีเสียงหวานใสเสียงหนึ่งที่คุ้นหูดังขึ้นมาว่า...
“ขอโทษนะคะ ขอฉันหลบฝนด้วยคนนะคะ”
ผมหันไปตามเสียงที่คุ้นหูของใครคนหนึ่ง ก่อนจะผงะเมื่อสบกับดวงตาคู่สวยของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคิดว่าผมรู้จักเธอเป็นอย่างดี ผมยาวเคลียไหล่ที่ตอนนี้แม้จะยาวถึงกลางหลัง แต่ผมก็ยังจำรอยยิ้มที่ทำให้เสียงหัวใจของผมเต้นดังเป็นครั้งแรกได้ดี ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 4 ปี แล้วก็ตาม แต่ผมยังจำเธอได้ดี
ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงตรงหน้าผม...
เธอคือเรน...รักแรกของผม เธอกลับมาแล้ว...
“เรน...” ผมพูดออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน
ใบหน้าสวยหวานเจือไปด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าผมจำเธอได้ ในที่สุดเธอก็กลับมาฟังความในใจของผมที่ตั้งใจจะบอกเธอไปเมื่อ 4 ปีก่อน
“ฉันรักเธอ! ได้ยินมั้ยเรน ฉันรักเธอ”ผมตะโกนออกไปเพื่อให้เธอได้ยิน ก่อนที่ร่างบางตรงหน้าผมจะตะโกนกลับมาด้วยคำพูดที่ผมเฝ้ารอมานาน
“ฉันก็รักนาย ได้ยินมั้ย!” เรนพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมอยากได้ยินมากที่สุด ก่อนที่คนที่ผมคิดถึงจะโผเข้ามากอดผม พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูผมว่า...
“ฉันคิดถึงนายมากนะ ซัน” เธอเอ่ยชื่อของผม ทำให้เสียงหัวใจของผมเต้นรัวอีกครั้ง ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้มลงห้อมแก้มเธอด้วยความรักและคิดถึง พร้อมกับอยากได้ยินเสียงหัวใจของเธอและของผมเต้นรัวพร้อมกันด้วยความรัก แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้น...
- The End -
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ