โฉมงามกับเจ้าชายอสูร
2) เขลางค์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนครเขลางค์บนที่ราบลุ่มน้ำวังปีพ.ศ๒๔๘๔มีฐานะเป็นหนึ่งในสามหัวเมืองเหนือมีชื่อว่าลำปางเนื่องจากเป็นการกร่อนเสียงมาจากคำว่า “ลำพาง” หรือ “ลัมพะกะบุรี” หรือ “ลัมพกัปปนคร” ซึ่งเป็นชื่อเดิมของชุมชนในแถบนี้และเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองที่เรียกตนเองว่า “ลัวะ”
“พานิชา ชาวชนลูกค้า ทุกแหล่งหล้าไหลมา
เป๋นที่ตุมห้อม แห่งคนห้างหน้า มุ่งพ่อค้าต่างพันนา”
สามหัวเมืองเหนือเป็นแหล่งรวมการค้าจากทุกสารทิศและคำว่า “พันนา” หมายถึงต่างเมือง
นอกจากนี้ยังมีการทำปางไม้สักในสมัยนั้นอาศัยช้างเป็นตัวชักลากไม้และใช้วิธีมัดไม้สักเป็นแพล่องตามแม่น้ำมาด้วยการพ่วงหรือล่ามด้วยเชือกหรือโซ่กับเรือกลไฟ ซึ่งกว่าจะมาถึงพระนครกินเวลาแรมเดือน อ้ายภูสมิงและอ้ายคำรบหลบเข้ามาทำงานรับจ้างเป็นแรงงานอยู่ในปางไม้สักที่ลำปางในเวลานั้น
“เอ้านี่ค่าแรงของพวกลื้อแล้วระวังตำรวจเดี๋ยวพวกลี้อโดนจับได้ว่าหนีเข้าเมืองอั๊วจะซวย”
สงครามมหาเอเชียบูรพาคืบคลานเข้ามาสู่ภูมิภาคอินโดจีนทหารญี่ปุ่นบังคับเชลยต่างชาติให้ทำงานก่อสร้างทางรถไฟที่เริ่มต้นจากแม่น้ำแควจังหวัดกาญจนบุรีมีจุดหมายปลายทางไปพม่าบริเวณอ่าวเมาะตะมะซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของพม่าเพราะมีทั้งทรัพยากรป่าไม้แร่ธาตุน้ำมันและมีเมืองร่างกุ้งเมืองหลวงรวมทั้งเมืองท่าสำคัญทางเศรษฐกิจอีกหลายเมือง
“อ้ายคำรบตอนนี้ข่อยว่าหมู่เฮาล่องใต้หลบไปจากหัวเมืองเหนือแม่นบ่” อ้ายภูสมิงเอ่ยขอความเห็น
“ข่อยว่ายังก่อนยังบ่เหมาะ” อ้ายคำรบแย้งคำแต่หารู้ไม่สองหนุ่มชาวลาวตัดสินใจผิดพลาดพากันนำชีวิตมาทิ้งทั้งคู่
๑ตุลาคมพ.ศ๒๔๘๖ขึ้น๑๕ค่ำเดือน๑๑งานบุญตานก๋วยสลาก
ชาวลานนาออกมาทำบุญปลายเดือนสิบมีตักบาตรตอนเช้าแล้วประดับธงตานก๋วยสลากที่มีลักษณะเป็นผ้าริ้วยาวๆลวดลายแบบลานนาสีสันสวยงามนิยมทำสีพื้นเป็นสีขาวความกว้างประมาณ๒๐นิ้วx ๒๐นิ้วตามเสาไฟสูงๆตามต้นไม้ใหญ่ตามชายคาของอาคารสถานที่ตามวัดวาชาวลานนาเชื่อกันว่าวันนี้เป็นวันปล่อยผีและดวงวิญญาณจะเกาะริ้วผ้าตานก๋วยสลากไปขึ้นสวรรค์ ถือเป็นการช่วยเหลือให้พวกท่านพ้นจากนรกภูมิ
ยามนี้ถึงแม้เป็นยามหน้าสิ่วหน้าขวานไฟสงครามกำลังปะทุแต่ชาวลานนาเห็นว่าเป็นงานบุญสำคัญจึงจัดพิธีตามประเพณีปกติแล้วยิ่งยามสงครามผู้คนย่อมล้มตายมากกว่าเดิมวิญญาณที่ยังวนเวียนเร่ร่อนอยู่ย่อมมีมากเป็นเงาตามตัว
“เจ้าแม้นเมืองเอ็นดูข้าเจ้าเต๊อะข้าเจ้าบ่ได้อู้กับไผสุมาเต๊อะข้าเจ้ากำลังท้องกำลังไส้...แล้วลูกในท้องเป็นลูกท่าน” นางสร้อยฟ้าก้มลงกราบเท้าขอความเมตตาเจ้าแม้นเมืองชะงักนิดเดียวจากนั้นสบถคำพูดออกมาสองสามคำ “เป๋นตะก่อนกูเตะไม่เลี้ยง...เอามันไปล่ามข้อตีนไว้กับเสาเรือน”
สักกำเดียวนางห้ามอีกนางเดินย่างเท้าก้าวเข้ามาพร้อมด้วยอาหารเย็นซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายของนางสร้อยฟ้า “เอ้า...มึงกิ๋นไปเต๊อะ”
สร้อยฟ้าพาซื่อรีบกลืนกินอาหารเข้าไปในใจนึกเพียงขอแค่กันตายออมแรงไว้เพื่อลูกในท้องแล้วค่อยคิดอ่านต่อเพราะตั้งแต่เที่ยงวันนางยังไม่ได้กินอะไรเลยแม้แต่น้ำสักหยดแต่นางกินข้าวเย็นผสมยาพิษเข้าไปด้วยความหิวโหย
ตกดึกสงัดพระจันทร์ตรงหัวลูกสมุนของเจ้าแม้นเมืองรีบพากันเร้นกายเข้าไปในชายป่าละเมาะเพื่อนำร่างไร้ลมหายใจของนางสร้อยฟ้าไปขุดหลุมฝังดินไว้เพื่ออำพราง
“อ้ายคำรบข่อยว่า...” อ้ายภูสมิงยังมิทันเว้าต่ออ้ายคำรบรีบชิงห้ามปราม “บ่ต้องเว้าอันหยังเฉยๆดีแต้”
พอพวกโจรโฉดถอยร่นออกไปสองหนุ่มชาวลาวรีบสาวเท้าไปที่หลุมศพแม่หญิงแต่พวกโจรโฉดกลับย้อนมายืนเรียงรายล้อมแล้วรุมทำร้ายจนทั้งคู่สะบักสะบอมหมดสติจากนั้นพวกมันพากันนำร่างของทั้งสองหนุ่มชาวลาวไปวางพาดหมอนรถไฟแล้วรีบแจวหลบหนี
รุ่งสางตะวันขึ้นรถไฟหัวจักรไอน้ำลำเลียงขบวนมา๔โบกี้บรรทุกเสบียงอาหารและของจำเป็นในการศึกสงครามของทหารญี่ปุ่นมาจากฝั่งไทยเคลื่อนขบวนผ่านมาทับร่างของหนุ่มชาวลาวตรงช่วงบริเวณเชิงเขาขุนตาลเมืองลำปาง
รถไฟขบวนดังกล่าวจำต้องหยุดชงักกองทัพญี่ปุ่นโกรธแค้นเจ้าแม้นเมืองและคิดเหมาเอาว่าต้องการสกัดไม่ให้ส่งกำลังอาวุธและเสบียงกรังต่างๆไปพม่าจึงพากันไปจับตัวเจ้าแม้นเมืองมาสำเร็จโทษเจ้าแม้นเมืองถูกนายทหารญี่ปุ่นระดับนายพันตรีชื่อว่า “ทาคาฮาชิ” พูดจาดูหมิ่นและสบประมาทอย่างรุนแรงต่างฝ่ายปะทะคารมกันและพาดพิงไปถึงการตายของอ้ายภูสมิงพี่ชายต่างมารดาของเจ้าแม้นเมืองว่า “เกิดเป็นชายถ้าไม่รักษาสัจจะให้เอาผ้าซิ่นมาสวมและการตายของพี่ชายท่านทำให้กองทัพญี่ปุ่นได้รับความเสียหายเสียทีที่เกิดเป็นลูกผู้ชาย”
ระหว่างถูกจองจำในค่ายทหารญี่ปุ่นเจ้าแม้นเมืองเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะถูกชาวลานนาดูหมิ่นดูแคลนซ้ำเติมอีกฟากหนึ่ง
“ข้าเป็นชายลานนา เป๋นป้อชายเต็มตัวบ่ใคร่ได้เงินบ่ใคร่ได้ทองของผู้ได๋บ่แม่นบัณเฑาะห์(กะเทย) บ่แม่นโจรตาข้าเป๋นเจ้าลานนา”
เจ้าแม้นเมืองร่ำไห้เจียนขาดใจใช้มีดสรีกัญไชยที่ท่านพกมาด้วยมือข้างหนึ่งรวบผมยาวปล่อยสยายมืออีกข้างหนึ่งจับมีดตัดผมยาวๆของท่านจากนั้นใช้มีดดาบอาถรรพ์กว้านท้องของท่านตามแบบนักรบญี่ปุ่นเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้มุงดูทั้งชาวลานนาเชลยศึกต่างชาติฝ่ายสัมพันธมิตรและทหารญี่ปุ่นเป๋นการรักษาศักดิ์รักษาศรีของเจ้าลานนา
ราวสักปีพ.ศ๒๕๐๐
มิสเตอร์จิมทอมป์สัน ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลไทยขอความเป็นธรรมกรณีการจ่ายค่าชดเชยของรัฐบาลไทยสำหรับการเสียชีวิตของชาวอังกฤษสองหนุ่มสาวญาติห่างๆของท่านที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟตกรางเส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯช่วงหน้าผาสูงชันก่อนที่จะถึงตอนลอดอุโมงค์ขุนตาล(อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทยเกิดจากการหลีกเลี่ยงอันตรายจากการตกหน้าผาที่สูงชัน รัฐบาลไทยจึงลงทุนเจาะภูเขาขุนตาลเป็นอุโมงค์เพื่อให้เป็นเส้นทางรถไฟลอดผ่าน)
“I’d understand why Thai life is so cheapest….”
มิสเตอร์จิมทอมป์สันกล่าวต่อสาธารณชนหลายครั้งหลายคราแต่ว่าด้วยความเมตตาที่ท่านมีต่อคนไทยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปรับซื้อผ้าไหมถึงแหล่งผลิตที่เชียงใหม่หรือที่ต่างๆทั่วไทยจนเป็นเหตุให้ญาติชาวอังกฤษของท่านเสียชีวิต และได้รับความไม่เป็นธรรมหลายอย่างทำให้ท่านกลายเป็นคนสาปสูญในระหว่างที่เดินทางไปเยี่ยมชมการทอผ้าไหมแถวจังหวัดลำปางในเวลาต่อมา
น้ำงามงำถิ่นยามใครได้ยิน
ถิ่นนี้แดนไทยงามจับตาแลสดใส
สวยงามแสนบาดใจถิ่นไทยนี้แดนสวรรค์
น้ำคำงำจิตงามราวเนรมิตสถิตแท้คราไล
ข้าวในนาน่ำก็ใสฝูงปลาว่ายแหวกไป
จุดหมายมุ่งสู่ธารา.....
“เอ้อกระบือสีทันดรไม่พ้นวังวน” เสียงอสรพิษสีดำนิลกาฬพร่ำบ่นด้วยรู้สึกเบื่อจำท่านแปลงกายเป็นไพร่เอาการเมืองสักสิบวัน ไพร่ชายผู้นี้นามเจ้าสิบปรากฏกายครั้งใดพร้อมหน้าพญาค้างคาวพญาแมวและนางนกเค้าแมว(วิรุณ)นางแก้วคู่พระทัยยืนอยู่บนบ่าด้านซ้ายเสมอมา
“พวกไพร่ชายเมื่อมีความสูงสักห้าสิบนิ้วต้องสักเลกสังกัดกองไพร่ทุกคนจนเติบโตแก่ชราเจ็ดสิบจึงปลดระวางไพร่และรับใช้งานหลวงสิบวันงานนาตนสิบวันสลับกันไปมาเยี่ยงนี้ไม่หยุดหย่อน”
ชาวยองหลายคนเริ่มรับรู้ได้ว่าท่านลื้อผู้นี้ใช่คนธรรมดาแต่กินน้ำสัจจาถือเป็นสหายกันจนป่นปี้หัวหกก้นขวิดมานับกว่าแปดวัน กลับต้องอาญาท่านเมียวหวุ่นข้าหลวงเมืองม่านด้วยวิวาทกันกับจักกายชาวลานนาหาใช่จักกายชาวม่านไม่เรื่องมีอยู่ว่า
“แพลนี้มาจากพ่อค้ากาว(ชาว)น่านข้าหาอัฐรอนมาแลกก็หาไม่ ข้าใคร่หามาให้เมียรักข้านางวิรุณจำยอมจับเสียมจับจอบขุดบ่อน้ำให้แก่ท่านน่านพ่อค้าไฉนจึงจำยอมยกให้แก่ท่านไปอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้”
เหล่าขุนหาญถูกสั่งเรียกตัวมาจับไอ้ไพร่จัณฑาลวิ่งวุ่นล้อมรอบคุ้มคำริมโขงที่ตั้งตระหง่านดั่งประตูโขงแห่งเวียงเขลางค์เมืองเถิน
“เอ้ยเก็บผักใส่ซำเก็บข้าใส่เมือง” เสียงเมียวหวุ่นชาวม่านร้องสั่ง
“ใส่เมืองใส่ตรวนข้าไม่ใส่ใจแน่จริงเข้ามาจับตัว”
สักพักเดียวไม่ทันได้เหงื่อเจ้าเมียวหวุ่น(ขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนเมืองพุกามหรือม่าน)พร้อมหน้าจักกายชาวลานนาถูกจับตัวมัดเชือกไขว่หลังชาวม่านแลพ่อค้ากาวน่านดำเนินตามท่านไพร่วิเศษมายังพระธาตุลำปางริมฝั่งโขง
“อันว่าสิทธิใครย่อมเป็นของผู้นั้นจำไว้ให้จงดี” ว่าแล้วทั้งนายและบ่าวจอมสอพลอต้นเรื่องถูกถีบร่างกระเด็นหวือลงน่ำโขงด้วยแรงไพร่ชาวลื้อที่ยืนรอจังหวะอยู่หลายตีน
พวกมันต่างตะกายจะหาฝั่งน้ำริมตลิ่งขึ้นมาแต่ด้วยกระแสน้ำไหลแรงเชี่ยวกรากจึงดูดกลืนร่างคนใจอาธรรพ์อำมหิตเห็นแก่ตัวมักได้ลงลำนำโขงไปเสียสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ก้นน้ำใต้บาดาล
ผ้าแพลต่วนเนื้อดีสีนวลขาวสะอาดตาด้วยเป็นแพรเมืองแพร่
“เมืองนี้มีฝีมือในเรื่องผ้าแพลและอาภรณ์เรียกขานชื่อเมืองตามผ้าแลกลายเสียงมาเป็นเยี่ยงเวียงแพร่ในกาลนี้วิรุณข้ามอบมันให้เจ้าแม้นรักใคร่สวมใส่ไว้แนบกายเมื่อไรวายสวาทวอดจึงถอดวาง”
รัศมีจันทร์ทอแสงแขนวลตา.....
“แพรสวยเหมาะเจาะรับกับผิวะนวลขาวฮืมดีนักหนาผัวข้าฯแล้วไหนเล่าของข้าฯเป็นสิ่งกำนัลอันใดดี” เทพีบนสวรรค์ทำหน้ากระเง้ากระงอดศิวาเทพพลันรู้ว่าผิดท่าเสียแล้วด้วยอิสตรีไม่มีทางยอมกัน “จันทราเทพีเยี่ยงเจ้ายังอยากได้ใคร่ดีสิ่งใดอีกรึ” เหลืออีกสองวันวารพวกท่านต้องกลับงำถิ่นสวรรค์ยังพอมีเวลาค่อยคิดอ่านหาสิ่งของปลอบใจนาง
เหมือนชะตาฟ้าลิขิตให้สิ่งที่จักนำมากำนัลแก่นางเมียรักอีกนางได้ผลสัมฤทธิ์เมื่อ
“ท่านข้าไวกูณฐ์คิดอ่านสิ่งหนึ่งแทนท่านแม้นไม่บังควร”
จากนั้นท่านกางปีกค้างคาวพลันกระซิบข้างพระกรรณศิวาเทพพิราฬแมวโจ๋หันมามองทำตาใสแป๋วอย่างชอบอกชอบใจในความเจ้าความคิดของสหายรักแห่งผองท่าน
เสียงศิวาเทพหัวร่องอหายด้วยสาและสมพระทัยเกินคาดคิด
วันสุดท้ายไพร่สิบอาศัยแรงงานเหงื่อไหลไคลย้อยจวบจนเพลหลังพระฉันภักษา “พักได้” เสียงจักกายชาวม่านตะโกนสั่งพักกินข้าวกลางวัน
ไพร่สิบหันรีหันขวางสักครู่เดียวเดินกลับเข้ามายังกะต๊อบที่พักรวมกับไพร่คนอื่น ๆ เอามือหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากชายพกแล้วพยายามสอดเข้าไว้ในแผงหญ้าแฝกฝากะต๊อบแล้วจึงรีบสาวเท้าเดินกลับออกมากินข้าวด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ใด ๆ
จักกายชาวม่านหันรีหันขวางเช่นกันจากนั้นเดินหลบหายเข้าไปในกะต๊อบพลันรีบดึงสิ่งที่ไพร่สิบมันซุกซ่อนเอาไว้ “หนอยแผ่นกำชะช้าปะเข้าให้”มันเดินจ้ำอ้าวออกมาท่าทีหยิ่งยโสพลางใช้กระบองพาดลำคอเจ้าไพร่สิบ “มึงมาสักกำ” เสียงเอ็ดตวาดของจักกายขาวม่านทำเอาไพร่คนอื่นพากันรีบอิ่มจากสำรับรีบจ้ำพรวดตามมาดูให้รู้ความ บ้างเป็นห่วงเป็นใยฐานสหายสนิทกินอยู่ด้วยกันมาสิบวันนี้วันพรุ่งจักกลับเรือนชานของใครของมัน
“เอ้ยมึงน่ำกำมาแต่ไหนเอ้อไพร่เยี่ยงมึงมีกำได้เยี่ยงใด”
จักกายชาวม่านมีความละโมบไม่แตกต่างจักบังคับเอาแผ่นกำมีราคาไปเป็นสมบัติส่วนตัวของมันให้จงได้
“ข้าน้อยหามาได้ด้วยน้ำแรงเอาแรงขุดบ่อน้ำให้เจ้าเวียงเขลางค์อุทิศแด่พระธาตุริมโขงท่านเลยตบรางวัล” มันเป็นเรื่องจริงด้วยพ่อขุนงำเมืองต้องพระทัยไพร่สิบจักกายชาวม่านชะรอยชะตาถึงฆาตพ่อขุนงำเมืองยังไม่ได้คราไลไปแต่ยืนประทับนิ่งฟังอยู่ “พอจักแล่วจักกายม่านเจ้าต้องอาญาโทษหมิ่นข้าขุนงำเมือง”
ขุนหาญวิ่งล้อมตัวกระชากลากไอ้จักกายม่านไปริมโขงประหารชีวิตบั่นคอจบความคดโกงไม่ว่าลื้อหรือม่านต่างเป็นจักกายละโมบลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์
แผ่นกำสลักความไว้เพียงว่า “สีทันดรใจ” ศิวาหยิบแผ่นกำวางไว้แหมะบนพระหัตถาแห่งนางจันทราพลางกำมือน้อยเมียรักไว้แนบแน่นกอดร่างน้อยแนบอก “นี่ล่ะของกำนัลจากพี่ที่จมอยู่ในห้วงสีทันดรใจ”
หนาวจนอ่อนใจ กอดหมอนร้องไห้ หัวใจเศร้าแลตรม
หนาวเหมันต์ปีหน้า ได้แต่งอนง้อ
หนาวเหมันต์นี้เฝ้ารอ ข้าวรอชูช่อ เหมือนรอเจ้าเรียม...
ฝากใจพี่ไว้กับเดือน ให้ดาวคอยเตือน ให้เดือนคอยหวง
หนาวเหมันต์ไหนก็ห่วง ข้าวรอช่อร่วง เหมือนรวงไม่รอ
ลมรักผ่านพัดเกรียว เดือนดวงไม่เกี่ยว ข้าวรอเจ้าเรียม
หนาวเจียนจะขาดใจ แหงนมองร่ำไห้ อาลัยไม่มีใครแลเหลียว
หนาวรักอยู่เร่ใจ เดือนน้อยร้องไห้ ไม่มีใครเห็น
ฝากใจพี่ไว้กับเดือน ให้ดาวคอยเตือน อย่าให้ใครเกี้ยว
หนาวเหมันต์รักไม่คลาย รักรอข้าวรวงใหม่ เหมือนรอเจ้าเรียม...
จบบริบูรณ์
ครูบุสดีพนมเขตต์
ห้ามสำนักพิมพ์ทุกแห่งลอกเลียนแบบ
อนุญาตเฉพาะผู้ว่างงานทุกประเภท
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ