สะพานแทมมาลีน
-
1) หมู่บ้านที่ถูกลืม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ไปที่ใหนดี... ผมเป็นใครทำไมถึงมายืนที่สามแยกเปลี่ยว เสียงดนตรีแววเข้าหูไกลๆ ผมเดินตามไปที่ต้นเสียงนั้นก็จะเจอกับร้านอาหารเรือนไม้ ดนตรีเนื้อเพลงที่เล่นเป็นเหมือนเวทมนต์สกดให้ผมเดินไปนั้งที่เก้าอี้ในร้าน ทำไมผมจึงรู้สึกปลอดภัยกันนะ ในร้านเรือนไม้แสงไฟสีม่วงถูกตกแต่งด้วยดอกไม้หลากชนิด กลัวไม้สีม่วงชนิดหนึ่ง ปักลอยแก้วใสใส่น้ำปล่าว่างกลางโต๊ะ ในรานมีคนมากมายมันกว้างมากและมีที่เหลือที่จะต้อนรับคนอื่นหลายๆคน ผมเดินเข้าไปในตัวร้านไมม่มีพนักงานต้อนรับหน้าร้าน เบื้องหน้า เป็นบาร์น้ำมีชายบาร์เทนเดอร์หน้าตาขึงขังไร้อารมณ์ ชายคนนั้นมองมาที่ผมก่อนจะเอยปากถามคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง "รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ" เขาเอามือเท้าโต๊ะบาร์ บรรยากาศร้านสีม่วงส้ม ไฟกระพริบวิววับนั้นมันเหมือนจะทำให้ผมมึนงง "งั้นรับ เครื่องดื่มพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่" เขาพูดขึ้นเหมือนรู้ว่าผมไม่สามารถตอบคำถามได้ บาร์เทนเดอร์จัดการกับเครื่องดื่มเทลงแก้วค๊อกเทลเล็กๆ สีของมันเป็นสีแดงเข้าจนเห็นเป็นสีน้ำตาลก็ว่าได้ กลิ่นตุ่นๆเหมือนผลไม้หมัก ผมกระดกมันเข้าปากพรวดเดี่ยวหมด ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะคืนให้กับคนตรงหน้า เพียงชั่วครู่ เสียงกีต้าบรรเลงขึ้น บนเวทีมีร่างของหญิงสาวชุดสีดำปกคอขาว รองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินเข้มและถุงเท้าสีขาว ผิวของเธอดูขาวซีดๆ ผมยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าของเธอดูหน้ารักหน้าหยิก แก้มกลมป่อง ริมฝีหนาจนมันเด่นที่สุดบนใบหน้าถูกแต้มด้วยสีม่วงกลั่ม เธอเหมือนสาวน้อยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก ปลอกตาที่หลับพริบ นิ้วมือของเธอดีดกีต้าเป็นบนเพลงบรรเลง และเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกเป็นการพร่ำกลอนด้วยทำนองพูดคุย ผมจดจ้องไปที่เธอเหมือนโดนสะกด
มันเหมือนโดนแรงดึงดูดบางอย่างมหาศาล จนต้องจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆนั้น เพียงชั่วอึดใจที่เพลงบรรเลงจบลง ร่างนั้นได้ลืมตาดวงเล็กนั้นขึ้น มันมีสีดำด้าน ซึ่งมันไร้ทั้งอารมณ์และความรู้สึกเพียงแค่ได้มองดวงตาคู่นั้น หัวใจของผมก็หล่นวูบลง มันดึงลงไปสู่ความมึดที่วาบหวิวและหลุดลอย
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันและยังไม่ปรากฏดบนแผนที่หรือดาวเทียมมันเหมือนเป็นหมุ่บ้านที่ถูกลืม อยุ่ติดกับป่าแห่งหนึ่งที่มีดอกไม้พรรณลึกลับอยุ่หนึ่งชนิด จุดเด่นของของหมุ่บ้านนี้ คือต้นมะขามที่ไม่เคยออกผลครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่เคราพแต่ตอนนี้มันกลับเป็นที่ถูกลืมของผู้คน รกร้างและเงียบเหงา หากเพียงตอนค่ำคืน ผู้คนในหมู่บ้านที่มีจำนวนเพียงหยิบมือ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะมาที่แห่งนี้เพื่อ ตะหนักถึงความเป็นตัวเอง บางคนอยู่ในร้านแห่งนี้มานานแสนนาน ซึงอาจเป็นเพราะห่วงเวลาของเขานั้น วกวนเกินที่จะหลุดพ้น
สาวน้อยนักดนตรีที่บรรเลงบทเพลง ค่ำคืนนี้มันช่างเงียบเหงาสายลมพัดผ่านเอากลิ่นฝนโชยมา สิ้นเสียงคีสุดท้าย ร่างน้อยได้เก็บกีต้าแล้วเดินลงเวที ผู้คนที่อยู่ในร้านต่างเงียบขรึม บางคนเหมือลอย แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งลุกขึ้น เขาสวมเสื้อผ้าใหมสีทองและกางเกงผ้าดิบสีดำ โพกหัวด้วยผ้าสีขาว ใบหน้าซีดๆ มีน้ำตาที่อ่อออกมา เขาเดินมาทางบาร์เทนเดอร์และเขาก็พูดขึ้นมาด้วยแววตาสำนึกผิด บาร์เทนเดอร์เหมือนจะรู้หน้าที่ เขารินเครื่องดื่มสองสีให้เขาเลือก "ผมมิอาจสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำได้"ชายคนนั้นยกมือขึ้นปาดน้ำตา"แต่ผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขให้มันดีขึ้นอีกต่อไป" เขาว่าเสร็จก้ยกเครื่องดื่มสีดำขึ้นดื่ม เขากระแทกแแก้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่หน้าร้าน มันที่ต้นมะขามใหญ่โต และร่างเขาค่อยๆหายไปในลำต้นนั้นเกรดสี่ "นายคิดว่าเขาจะไปที่ใหน" สาวน้อยชุดสีดำยืนกอดอกพูดขึ้นกับบพนักงานบาร์เทนเดอร์แต่เขาก็นิ่งเฉยไม่ตอบคำถามอะไร นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี้ ทุกคนไม่พูดคุยกัน หน้าทีของเขาคือ ทำเครื่องดื่มให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการเม่านั้น เพื่อแลกกับข้อตกลงบางอย่าง
"ไง หนุ่มน้อย .. นายจำฉันได้ไม" สาวชุดดำยิ้มทัก เด็กหนุ่มร่างสูง ผมสีดำหน้าตาดีที่พึงมาใหม่ "นายชื่ออะไรเอ่ย" สาวน้อยยังคงยิ้มทพเล้นแม้คนตรงหน้าจะนิ่ง "และชื่อฉันละ" เด็กหนุ่ยังคงมองไปรอบๆ ก่อนจะหลับตาลง ในหัวของเขาป่วดเจียนจะระเบิดออกและสำรอกออกมาเป็นน้ำสีแดงที่ดื่มไปเมื่อครู่และทุกอย่างกูดับไป คืนวันพุธ ดวงจันทร์เต็มด้วงเป็นช่วงออกพรรษา มันเป็นคืนที่ดวงจันทร์ดวงโตสาวสว่างที่สุด ครอบครัวของผมได้มารวมตัวกันที่บ้านของปู่ ซึงเหล่าตะกูลชาวนาเก่าอย่างผมนั้นได้มีโอกาศเรียนสูงและพ่อกับแม่ของผมเป็นหมอ ส่วนญาติๆอย่างที่รู้กันว่าพวกเขาจะมีกิจกรรมอะไรกับวันรวมญาติ นั้นก็คือ การอวดลูกอวดหลานนั้นเอง แต่ผมนั้นอาจเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ที่พ่อกับแม่จะสอนให้ผมเรียน และเรียน ตั้งแต่ ตีห้าจนถึงสองทุ่ม และไม่เคยแม้จะดูการ์ตูนอย่างที่เพื่อนคนอื่นๆดุ แม้ผลการเรียนของผมจะเป็น 4.00 แต่นั้นก็เหมือนจะไม่เป็นที่พอใจของพ่อและแม่พวกเขาส่งให้ผมไปเรียนพิเศษกับนักเรียนมอปลาย เพื่อผลการเรียนที่ดี จนบางทีผมอยากจะบ้าตายที่เห็นคนอื่นๆหัวเหราะผมว่าเหมือนคนบ้า ไม่รู้จักโดเรม่อนหรือชื่อนักฟุตบอล มีเพียงอย่างเดียวที่ผมจะคลายเครียดได้นัั้นก็คือ การวาดรูป ซึ่งมันเป็นความลับของผมมันเป็นโลกใบเดียวที่ผมจะระบายมันลงไปได้แม้ว่ามันจะไม่ใช่งานที่ดีพร้อมแต่มันยังคงเป็นเส้นที่สื่อถึงอารมณ์ที่คุ่นอยู่ในใจลึก ครั้งหนึ่งที่เพื่อนในห้องไปเปิดเห็น พวกเขาบอกว่่าผมเป็นพวกโรคจิต และเก็บกด จนพ่อแม่ของผมต้องเปิดห้องมืดอบรมผมยกใหญ่ นั้นทำให้ผมระวังมากขึ้นที่จะสร้างสรรค์ผลงานจิตกรรมบนสมุดนักเรียน แต่เคลื่อนย้ายมาเป็นตามพื้นที่ต่างๆ ค่ำคืนนี้เอง ณ หมู่บ้านชนบทผู้คนน้อยนิด บ่อยครั้งนักที่ผมหนีออกจากบ้านยามค่ำคืนเพื่อเอาสีสเปร์หมึกปากกา กระป๋องสีน้ำมันไปสร้างสรรค์ผู้ภาพตามที่อื่นๆ เวลา22.56น ความเชื่อของคนเก่าคนแก่เขาให้เรานอนหัวค่ำแต่เหล่าเด็กอย่างลูกหลานนั้นเป็นเรื่องยากแน่หากที่นี้มีไวฟายให้ได้เล่น แต่โชคนั้นเข้าข้างผมเพราะที่แห่งนี้ไม่มีไวฟายและทั้งบ้านก็นอนหลับจนหมด ผมแอบส่วมเสื้อฮูดสีดำกางเกงขาวยาวสีดำ ผมค่อยๆก้มลงหยิบกระเป๋าเป๋ที่ซุกไว้ใต้เตียงขึ้นมาและแอบย่องออกมาทางหน้าต่าง ผมเดินออกจากบ้านแห่งนั้น ได้อย่างง่ายดาย กลิ่นอายอิสะระภาพและความต้องการใต้เนื้อหนังนั้นมันเรียกหา ผมวิ่งตามไปที่ใหนก็ได้แต่ไม่ใช่ทางที่จะกลับไปบ้าน ที่แห่งนี้ไม่มีอาคารสูงๆเหมือนในเมืองมีสุนัขที่ค่อยเห่าห่อนผมต้องหลีกทางไปเดินในโพลงหญ้า หาสถานที่ที่เหมาะกับความคิดที่อยุ่ในหัว ผมค่อยๆเดินอย่างใจเย็น แสงของดวงจันทร์ส่องประกายนำทางมันเห็นทุกอย่างชัดเจนจนไม่ต้องมีไฟฉ่ายส่อง
ใบถนนเดินข้างทางนั้นหน้าไปด้วยต้นไม้มีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้สีม่วงเข้มมันดุเหมือนเป็นหญิงงอกตามพื้น ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนไมาพบกับแสงไฟสีส้มเล้กๆ ผมเดินเข้าไปไกล้ ผนังบ้านปูนมีพรรณไม้ชนิดนี้เรือยเต็มไปหมด "ฉันหิวจะตายอยุ่แล้ว ทำไมช้านักนะ" เสียงเล็กๆจากทางด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่แห่งนั้นมีอาคารเก่าๆเกือบร้างแต่มีแสงไปสีเหลืองส่องประกายอยู่
"นี้ จินนี่ อีกนานไม ก่อนที่ฉันจะออกไปเองนะ"
ผมให้ความสนใจกับเสียงนั้นเป็นพิเศษ ก่อนค่อยๆย่องไปทางต้นเสียงภาพของเด็กสาวชุดสีดำอยู่ในบ้านช่องหน้าต่างหรือประตูล่วนมีตะข่ายกับแมลงอยุ่รอบทั้วทางเข้าของ
"อย่าเลย ลีน ฉันกลัวเธอจะควบคุมตัวเองไม่ได้" เสียงของหญิงวัยกลายคนพูดจินนี่เธอมีร่างกายอวบเหียวย่นใบหน้าเหนื่อยอ่อนและดูอ่อนโยน เธอใสเสื้อกล้ามสีเทาอ่อนและกางเกงขาสั้นสีดำ
"ลีน เธอต้องทำให้ได้นะ" จินนี่ทำหน้าขมวดคิ้วก่อนจะวางฉามเล็กๆลงบนโต๊ะ
"ถ้าหากมันไไม่ได้ผลละ ฉันอาจจะคลั่งอีกก็ได้" ลีนพูดพลางเท้าคางบนโต๊ะไม้สีดำเข้าชุดกับเท้าอี้
"หากเธอจะทำ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น"จินนี่ กอดอกมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหนักใจ
"แล้วถ้าเป็นแบบนั้น เราก็จะหนีอีก หนีแล้วหนีอีกใช่ไม"ลีนใช้ช้อนขนของในฉามก่อนจะตักเข้าปาก หยดเลือดสีข้นมันข้นเสียจนดูเป็นสีดำเลอะริมฝีปากหนาของเด็กน้อยผมที่เธอมัดรวบไปข้างหลังมีโบวืสีดำผูกอยู่
"คืนนี้ไม่ไปที่ร้านหรือ" จินถามด้วยความสงสัย แต่เห็นสาวน้อยก้มหน้าก้มตากินของที่อยู่ในฉามแม้ว่าเธอจะพายายามกินมันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ไม่สามารถปิดบังได้ว่ารถชาติมันต้องแย่จนอยากจะพ้นทิ้งเป็นแน่
ผมเห็นยืนแอบดุหลัต้นไม้นี้และกำลังจะก้าวกลับ แต่กระเป๋าที่อัดไปด้วยกระป๋องสะเปร์มันไปกระแทกกับต้นไม้
"ใคร! ออกมานะไม่งั้นฉันยิ่งแน่" จินคว้าปืนพกขนาดเล็กเล่งมาทางต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าตับ้าน
"ยิ่งเลยจิน ยิ่งเลยๆ" ลีนที่เห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่ตนจะไม่ต้องทนกินเลือดสดจากสัตวืที่เลี้ยงเอง เธหวังได้ริมรสเหลือดสดๆจากร่างมนุยษือีกครั้ง
ผมไม่กล้าแม้จะออกไป หากเธอเจอผม เธออาจปล่อยผมแต่เรื่องนี้ต้องถึงหูพ่อกับแม่แต่หากว่าไม่ ผมจะหนีไปยังไงละ เมื่อของในกระเป๋านั้นมันทั้งหนักและเสียงดังเมืองเสียดสีกัน
"อย่าพึงยิงนะครับ ผมแค่ผ่านมาเฉยๆ" ผมตัดสินใจทำสิ่งที่เสียงต่อดวงมากที่สุดนั้นก็คือการต่อรอง ภาพที่ผทเห็นเป็นเพียงการรับประทานอาหารเย้นของเด็กสาวคนนั้นและบทสนทนาหลุดโลกเท่านั้นเอง ผมได้แต่คิดว่าเป็นอยย่างนั้น
"ออกมา ตรงนี้ เดียวนี้ไอ้หนุ่มน้อย" จินนี่ที่ีประสบการณ์จัดการกับคนนอกที่เห็นพวกเธอบ่อยครั้ง เธอไม่ตกใจหรือตื่นตะหนกด้วยซ้ำ กลับกันเธอแน่วแน่ที่จะยิ่งเป้าหมายทันทีเมื่ออยู่ในระยะยิ่ง
"ไม่ คุณเก็บปืนก่อน" ทางผมนั้นต่างกัน ขาของผมมันสั่นและอ่อนลง กล่าจะกว้าแต่ละกว้ามันช่างยาวนานและเสียงต่อลมหายใจ
"โอเค ทิ้งแล้ว" จินนี่วางปืนลงพื้นแต่มีหรือที่เธอจะไม่มีซุกไว้อีกหลายกระบอก "ออกมา" จินสั่งก่อนจะค่อยๆเปิดประตูบ้านเดินออกมาทางที่ผมยืนอยู่
"ผมแค่ออกมาเดินเล่น ผมพึงมาใหม่ ผมเบื่อๆเลยออกมาหาอะไรทำ" ผมอธิบายทั้งที่ยังยืนหลบที่หลังต้นไม้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ "หากคุณจะยิ่ง ผมขอบอกเลยว่าพ่อกับแม่ผมจะตามล่าคุณและพวกคุณจะไม่มีที่อยู่แม้มแต่ในป่าที่ลึกกว่านี้เพราะครอบครัวผมสนิทกับนายตำตรวจยศใหญ่ของเมืองนี้ ผมขอเตือนคุณ" ด้วยความสามารถการต่อรองของผมที่เคยโดนพ่อขู่บ่อยๆจึงได้ยืมมาใช้ในเวลาสำคัญของชีวิต
ทางจินนี่และแทมมาลีนเองที่ได้ยินต่างก็พายายามหลีกเลี้ยงการพบปะผุ้คนและมีปัญหากับพวกมีอำนาจมาตลอด จึงลังเลที่จะฆ่าเด็กหนุ่ม"ฉันชื่อ จินนี่ เป็นน้าสาวของแทมมาลีนเธอไม่ค่อยสบาย" จินนี่เริ่มสนทนาแม้ข้อมูลนี้จะไม่มีความจริงแต่นั้นก็เป็นสถาณะที่เหมาะกับเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่"ผมชื่อ วีล เป็นเด็กธรรมดา ไม่สิต้องบอกว่าเป็นเด็กมอปลายที่มือบอล แค่นั้นเอง" ผมเดินออกมาให้เห็นเงาและรูปร่าง ผมเห็นจินนี่ที่ยืนอยุ่หน้าประตูเธอเอามือไว้ที่ท้ายทอยผมค่อยๆเดินไปหา ก่อนจะเห็นร่างของเด็กสาวผมสีดำปากหน้าผิวซีด ริมฝีปากของเธอมีสีม่วงเข้ม"หวัดดี" ผมเอยทักเด็กสาวเพื่อสร้างสัมพัธ์ที่ดี ก่อนที่จะไม่มีโอกาศสร้าง "ชื่อแทมมาลีน ที่แปลว่า มะขามหรอ หน้ารักจังนะ" ผมพูดขึ้นแีกครั้งเพื่อกรบบรรยากาศตรึงเครียดของจินนี่ เธอมองมาที่ผมไม่วางตา
"เรามาเป็นเพื่อนกันไม แทมมาลลีน" สิ้นเสียงคำถาม ร่างเล้กของเด็กสาวที่ดูเป็นสวยน้อยแรกแย้มก็ลุกพรวดมาเกาะที่บานประตูที่มีมุงตะข่ายกันแมลงอยู่ เธอทำตาโตแม้ตาจะไม่ใหญ่เท่าริมฝีปากสีม่วงเข้ม
"เพื่อนหรอ จริงนะ" เสียงเล็ก ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
"อืม" ผมพยักหน้า จินที่ได้ยินบทสนทนาของ แทมมาลีนก็หันหาไปหาเจ้าดวงใจนั้นว่า เธอเอาจริงหรือแต่เมื่อเห็นแววตาเปียมสุขนั้นและรอยยิ้มร่างเริงของเธอ จินก็ใจอ่อนทันที
"ขอให้นายโชคดี หนุ่มน้อย เข้ามาสิ" จินนี่พูดก่อนจะเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไป ผมเดินไปอย่างยืดเวลาแต่ เทมมาลีนก็วิ่งออกมาดึงผมเข้าไปอย่างรวดเร็ม เธอยัดผมนั้งลงกับเก้าอี้และยกฉามไปว่างไว้ที่ซิงค์น้ำข้างๆ จินนี่รีบยกไปล้าง "นายชื่อ วีล ฉันชื่อ แทมมาลีน เรียกว่า ลีน เราเป็นเพื่อนกัน" ลีนที่ดูร่างเริมเริ่มนั้งโยกเก้าอี้ แต่ผมนั้นรุ้สึกอึดอัดที่ได้อยุ่แบบนี้แต่รอยยิ้มของเธอมันสดใสและจริงใจ จนผมต้องหาเรื่องคุย
"สีลิปสติีกของเธอสวยดีนะ" ผมชี้ไปที่ริมฝีปากหนาของเธอ ลีนรีบเอามือมาแตะริมฝีปากตัวเอง
"จริงหรอ " ลีนหน้าแดงขึ้น "จริงๆแล้วมันเป็นสีริมฝีปากของฉันเอง สีที่มีตั้งแต่เกิด"
"จริงหรอ เป้นไปได้.. ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย" ผมให้ความสนใจกับริมฝีปากเธอมากแต่ ลีนกลับมีแววตาหมองเศร้าก่อนจะ ถามคำถามเปลี่ยนเรื่อง
"นายมาทำอะไรแถวนี้ละ ในกระเป๋านั้นมีอะไร" เธอชี้มาทางผม แววตาอย่างรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อย
"อ่อ สีสเปร์น๊ะ เอาไว้พ้นที่อยากจะพ้น" ผมบอก ก่อนจะถอดกระเป๋าออกมา เรื่องที่เป็นความลับจะไม่เป็นคามลับอีกต่อไป เมื่อมีอีกคนที่เข้ามาในโลกของผม
มันเหมือนโดนแรงดึงดูดบางอย่างมหาศาล จนต้องจับจ้องไปที่ร่างเล็กๆนั้น เพียงชั่วอึดใจที่เพลงบรรเลงจบลง ร่างนั้นได้ลืมตาดวงเล็กนั้นขึ้น มันมีสีดำด้าน ซึ่งมันไร้ทั้งอารมณ์และความรู้สึกเพียงแค่ได้มองดวงตาคู่นั้น หัวใจของผมก็หล่นวูบลง มันดึงลงไปสู่ความมึดที่วาบหวิวและหลุดลอย
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันและยังไม่ปรากฏดบนแผนที่หรือดาวเทียมมันเหมือนเป็นหมุ่บ้านที่ถูกลืม อยุ่ติดกับป่าแห่งหนึ่งที่มีดอกไม้พรรณลึกลับอยุ่หนึ่งชนิด จุดเด่นของของหมุ่บ้านนี้ คือต้นมะขามที่ไม่เคยออกผลครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่เคราพแต่ตอนนี้มันกลับเป็นที่ถูกลืมของผู้คน รกร้างและเงียบเหงา หากเพียงตอนค่ำคืน ผู้คนในหมู่บ้านที่มีจำนวนเพียงหยิบมือ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะมาที่แห่งนี้เพื่อ ตะหนักถึงความเป็นตัวเอง บางคนอยู่ในร้านแห่งนี้มานานแสนนาน ซึงอาจเป็นเพราะห่วงเวลาของเขานั้น วกวนเกินที่จะหลุดพ้น
สาวน้อยนักดนตรีที่บรรเลงบทเพลง ค่ำคืนนี้มันช่างเงียบเหงาสายลมพัดผ่านเอากลิ่นฝนโชยมา สิ้นเสียงคีสุดท้าย ร่างน้อยได้เก็บกีต้าแล้วเดินลงเวที ผู้คนที่อยู่ในร้านต่างเงียบขรึม บางคนเหมือลอย แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งลุกขึ้น เขาสวมเสื้อผ้าใหมสีทองและกางเกงผ้าดิบสีดำ โพกหัวด้วยผ้าสีขาว ใบหน้าซีดๆ มีน้ำตาที่อ่อออกมา เขาเดินมาทางบาร์เทนเดอร์และเขาก็พูดขึ้นมาด้วยแววตาสำนึกผิด บาร์เทนเดอร์เหมือนจะรู้หน้าที่ เขารินเครื่องดื่มสองสีให้เขาเลือก "ผมมิอาจสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำได้"ชายคนนั้นยกมือขึ้นปาดน้ำตา"แต่ผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขให้มันดีขึ้นอีกต่อไป" เขาว่าเสร็จก้ยกเครื่องดื่มสีดำขึ้นดื่ม เขากระแทกแแก้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่หน้าร้าน มันที่ต้นมะขามใหญ่โต และร่างเขาค่อยๆหายไปในลำต้นนั้นเกรดสี่ "นายคิดว่าเขาจะไปที่ใหน" สาวน้อยชุดสีดำยืนกอดอกพูดขึ้นกับบพนักงานบาร์เทนเดอร์แต่เขาก็นิ่งเฉยไม่ตอบคำถามอะไร นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี้ ทุกคนไม่พูดคุยกัน หน้าทีของเขาคือ ทำเครื่องดื่มให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการเม่านั้น เพื่อแลกกับข้อตกลงบางอย่าง
"ไง หนุ่มน้อย .. นายจำฉันได้ไม" สาวชุดดำยิ้มทัก เด็กหนุ่มร่างสูง ผมสีดำหน้าตาดีที่พึงมาใหม่ "นายชื่ออะไรเอ่ย" สาวน้อยยังคงยิ้มทพเล้นแม้คนตรงหน้าจะนิ่ง "และชื่อฉันละ" เด็กหนุ่ยังคงมองไปรอบๆ ก่อนจะหลับตาลง ในหัวของเขาป่วดเจียนจะระเบิดออกและสำรอกออกมาเป็นน้ำสีแดงที่ดื่มไปเมื่อครู่และทุกอย่างกูดับไป คืนวันพุธ ดวงจันทร์เต็มด้วงเป็นช่วงออกพรรษา มันเป็นคืนที่ดวงจันทร์ดวงโตสาวสว่างที่สุด ครอบครัวของผมได้มารวมตัวกันที่บ้านของปู่ ซึงเหล่าตะกูลชาวนาเก่าอย่างผมนั้นได้มีโอกาศเรียนสูงและพ่อกับแม่ของผมเป็นหมอ ส่วนญาติๆอย่างที่รู้กันว่าพวกเขาจะมีกิจกรรมอะไรกับวันรวมญาติ นั้นก็คือ การอวดลูกอวดหลานนั้นเอง แต่ผมนั้นอาจเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ที่พ่อกับแม่จะสอนให้ผมเรียน และเรียน ตั้งแต่ ตีห้าจนถึงสองทุ่ม และไม่เคยแม้จะดูการ์ตูนอย่างที่เพื่อนคนอื่นๆดุ แม้ผลการเรียนของผมจะเป็น 4.00 แต่นั้นก็เหมือนจะไม่เป็นที่พอใจของพ่อและแม่พวกเขาส่งให้ผมไปเรียนพิเศษกับนักเรียนมอปลาย เพื่อผลการเรียนที่ดี จนบางทีผมอยากจะบ้าตายที่เห็นคนอื่นๆหัวเหราะผมว่าเหมือนคนบ้า ไม่รู้จักโดเรม่อนหรือชื่อนักฟุตบอล มีเพียงอย่างเดียวที่ผมจะคลายเครียดได้นัั้นก็คือ การวาดรูป ซึ่งมันเป็นความลับของผมมันเป็นโลกใบเดียวที่ผมจะระบายมันลงไปได้แม้ว่ามันจะไม่ใช่งานที่ดีพร้อมแต่มันยังคงเป็นเส้นที่สื่อถึงอารมณ์ที่คุ่นอยู่ในใจลึก ครั้งหนึ่งที่เพื่อนในห้องไปเปิดเห็น พวกเขาบอกว่่าผมเป็นพวกโรคจิต และเก็บกด จนพ่อแม่ของผมต้องเปิดห้องมืดอบรมผมยกใหญ่ นั้นทำให้ผมระวังมากขึ้นที่จะสร้างสรรค์ผลงานจิตกรรมบนสมุดนักเรียน แต่เคลื่อนย้ายมาเป็นตามพื้นที่ต่างๆ ค่ำคืนนี้เอง ณ หมู่บ้านชนบทผู้คนน้อยนิด บ่อยครั้งนักที่ผมหนีออกจากบ้านยามค่ำคืนเพื่อเอาสีสเปร์หมึกปากกา กระป๋องสีน้ำมันไปสร้างสรรค์ผู้ภาพตามที่อื่นๆ เวลา22.56น ความเชื่อของคนเก่าคนแก่เขาให้เรานอนหัวค่ำแต่เหล่าเด็กอย่างลูกหลานนั้นเป็นเรื่องยากแน่หากที่นี้มีไวฟายให้ได้เล่น แต่โชคนั้นเข้าข้างผมเพราะที่แห่งนี้ไม่มีไวฟายและทั้งบ้านก็นอนหลับจนหมด ผมแอบส่วมเสื้อฮูดสีดำกางเกงขาวยาวสีดำ ผมค่อยๆก้มลงหยิบกระเป๋าเป๋ที่ซุกไว้ใต้เตียงขึ้นมาและแอบย่องออกมาทางหน้าต่าง ผมเดินออกจากบ้านแห่งนั้น ได้อย่างง่ายดาย กลิ่นอายอิสะระภาพและความต้องการใต้เนื้อหนังนั้นมันเรียกหา ผมวิ่งตามไปที่ใหนก็ได้แต่ไม่ใช่ทางที่จะกลับไปบ้าน ที่แห่งนี้ไม่มีอาคารสูงๆเหมือนในเมืองมีสุนัขที่ค่อยเห่าห่อนผมต้องหลีกทางไปเดินในโพลงหญ้า หาสถานที่ที่เหมาะกับความคิดที่อยุ่ในหัว ผมค่อยๆเดินอย่างใจเย็น แสงของดวงจันทร์ส่องประกายนำทางมันเห็นทุกอย่างชัดเจนจนไม่ต้องมีไฟฉ่ายส่อง
ใบถนนเดินข้างทางนั้นหน้าไปด้วยต้นไม้มีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้สีม่วงเข้มมันดุเหมือนเป็นหญิงงอกตามพื้น ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนไมาพบกับแสงไฟสีส้มเล้กๆ ผมเดินเข้าไปไกล้ ผนังบ้านปูนมีพรรณไม้ชนิดนี้เรือยเต็มไปหมด "ฉันหิวจะตายอยุ่แล้ว ทำไมช้านักนะ" เสียงเล็กๆจากทางด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่แห่งนั้นมีอาคารเก่าๆเกือบร้างแต่มีแสงไปสีเหลืองส่องประกายอยู่
"นี้ จินนี่ อีกนานไม ก่อนที่ฉันจะออกไปเองนะ"
ผมให้ความสนใจกับเสียงนั้นเป็นพิเศษ ก่อนค่อยๆย่องไปทางต้นเสียงภาพของเด็กสาวชุดสีดำอยู่ในบ้านช่องหน้าต่างหรือประตูล่วนมีตะข่ายกับแมลงอยุ่รอบทั้วทางเข้าของ
"อย่าเลย ลีน ฉันกลัวเธอจะควบคุมตัวเองไม่ได้" เสียงของหญิงวัยกลายคนพูดจินนี่เธอมีร่างกายอวบเหียวย่นใบหน้าเหนื่อยอ่อนและดูอ่อนโยน เธอใสเสื้อกล้ามสีเทาอ่อนและกางเกงขาสั้นสีดำ
"ลีน เธอต้องทำให้ได้นะ" จินนี่ทำหน้าขมวดคิ้วก่อนจะวางฉามเล็กๆลงบนโต๊ะ
"ถ้าหากมันไไม่ได้ผลละ ฉันอาจจะคลั่งอีกก็ได้" ลีนพูดพลางเท้าคางบนโต๊ะไม้สีดำเข้าชุดกับเท้าอี้
"หากเธอจะทำ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น"จินนี่ กอดอกมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหนักใจ
"แล้วถ้าเป็นแบบนั้น เราก็จะหนีอีก หนีแล้วหนีอีกใช่ไม"ลีนใช้ช้อนขนของในฉามก่อนจะตักเข้าปาก หยดเลือดสีข้นมันข้นเสียจนดูเป็นสีดำเลอะริมฝีปากหนาของเด็กน้อยผมที่เธอมัดรวบไปข้างหลังมีโบวืสีดำผูกอยู่
"คืนนี้ไม่ไปที่ร้านหรือ" จินถามด้วยความสงสัย แต่เห็นสาวน้อยก้มหน้าก้มตากินของที่อยู่ในฉามแม้ว่าเธอจะพายายามกินมันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ไม่สามารถปิดบังได้ว่ารถชาติมันต้องแย่จนอยากจะพ้นทิ้งเป็นแน่
ผมเห็นยืนแอบดุหลัต้นไม้นี้และกำลังจะก้าวกลับ แต่กระเป๋าที่อัดไปด้วยกระป๋องสะเปร์มันไปกระแทกกับต้นไม้
"ใคร! ออกมานะไม่งั้นฉันยิ่งแน่" จินคว้าปืนพกขนาดเล็กเล่งมาทางต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าตับ้าน
"ยิ่งเลยจิน ยิ่งเลยๆ" ลีนที่เห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่ตนจะไม่ต้องทนกินเลือดสดจากสัตวืที่เลี้ยงเอง เธหวังได้ริมรสเหลือดสดๆจากร่างมนุยษือีกครั้ง
ผมไม่กล้าแม้จะออกไป หากเธอเจอผม เธออาจปล่อยผมแต่เรื่องนี้ต้องถึงหูพ่อกับแม่แต่หากว่าไม่ ผมจะหนีไปยังไงละ เมื่อของในกระเป๋านั้นมันทั้งหนักและเสียงดังเมืองเสียดสีกัน
"อย่าพึงยิงนะครับ ผมแค่ผ่านมาเฉยๆ" ผมตัดสินใจทำสิ่งที่เสียงต่อดวงมากที่สุดนั้นก็คือการต่อรอง ภาพที่ผทเห็นเป็นเพียงการรับประทานอาหารเย้นของเด็กสาวคนนั้นและบทสนทนาหลุดโลกเท่านั้นเอง ผมได้แต่คิดว่าเป็นอยย่างนั้น
"ออกมา ตรงนี้ เดียวนี้ไอ้หนุ่มน้อย" จินนี่ที่ีประสบการณ์จัดการกับคนนอกที่เห็นพวกเธอบ่อยครั้ง เธอไม่ตกใจหรือตื่นตะหนกด้วยซ้ำ กลับกันเธอแน่วแน่ที่จะยิ่งเป้าหมายทันทีเมื่ออยู่ในระยะยิ่ง
"ไม่ คุณเก็บปืนก่อน" ทางผมนั้นต่างกัน ขาของผมมันสั่นและอ่อนลง กล่าจะกว้าแต่ละกว้ามันช่างยาวนานและเสียงต่อลมหายใจ
"โอเค ทิ้งแล้ว" จินนี่วางปืนลงพื้นแต่มีหรือที่เธอจะไม่มีซุกไว้อีกหลายกระบอก "ออกมา" จินสั่งก่อนจะค่อยๆเปิดประตูบ้านเดินออกมาทางที่ผมยืนอยู่
"ผมแค่ออกมาเดินเล่น ผมพึงมาใหม่ ผมเบื่อๆเลยออกมาหาอะไรทำ" ผมอธิบายทั้งที่ยังยืนหลบที่หลังต้นไม้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ "หากคุณจะยิ่ง ผมขอบอกเลยว่าพ่อกับแม่ผมจะตามล่าคุณและพวกคุณจะไม่มีที่อยู่แม้มแต่ในป่าที่ลึกกว่านี้เพราะครอบครัวผมสนิทกับนายตำตรวจยศใหญ่ของเมืองนี้ ผมขอเตือนคุณ" ด้วยความสามารถการต่อรองของผมที่เคยโดนพ่อขู่บ่อยๆจึงได้ยืมมาใช้ในเวลาสำคัญของชีวิต
ทางจินนี่และแทมมาลีนเองที่ได้ยินต่างก็พายายามหลีกเลี้ยงการพบปะผุ้คนและมีปัญหากับพวกมีอำนาจมาตลอด จึงลังเลที่จะฆ่าเด็กหนุ่ม"ฉันชื่อ จินนี่ เป็นน้าสาวของแทมมาลีนเธอไม่ค่อยสบาย" จินนี่เริ่มสนทนาแม้ข้อมูลนี้จะไม่มีความจริงแต่นั้นก็เป็นสถาณะที่เหมาะกับเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่"ผมชื่อ วีล เป็นเด็กธรรมดา ไม่สิต้องบอกว่าเป็นเด็กมอปลายที่มือบอล แค่นั้นเอง" ผมเดินออกมาให้เห็นเงาและรูปร่าง ผมเห็นจินนี่ที่ยืนอยุ่หน้าประตูเธอเอามือไว้ที่ท้ายทอยผมค่อยๆเดินไปหา ก่อนจะเห็นร่างของเด็กสาวผมสีดำปากหน้าผิวซีด ริมฝีปากของเธอมีสีม่วงเข้ม"หวัดดี" ผมเอยทักเด็กสาวเพื่อสร้างสัมพัธ์ที่ดี ก่อนที่จะไม่มีโอกาศสร้าง "ชื่อแทมมาลีน ที่แปลว่า มะขามหรอ หน้ารักจังนะ" ผมพูดขึ้นแีกครั้งเพื่อกรบบรรยากาศตรึงเครียดของจินนี่ เธอมองมาที่ผมไม่วางตา
"เรามาเป็นเพื่อนกันไม แทมมาลลีน" สิ้นเสียงคำถาม ร่างเล้กของเด็กสาวที่ดูเป็นสวยน้อยแรกแย้มก็ลุกพรวดมาเกาะที่บานประตูที่มีมุงตะข่ายกันแมลงอยู่ เธอทำตาโตแม้ตาจะไม่ใหญ่เท่าริมฝีปากสีม่วงเข้ม
"เพื่อนหรอ จริงนะ" เสียงเล็ก ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
"อืม" ผมพยักหน้า จินที่ได้ยินบทสนทนาของ แทมมาลีนก็หันหาไปหาเจ้าดวงใจนั้นว่า เธอเอาจริงหรือแต่เมื่อเห็นแววตาเปียมสุขนั้นและรอยยิ้มร่างเริงของเธอ จินก็ใจอ่อนทันที
"ขอให้นายโชคดี หนุ่มน้อย เข้ามาสิ" จินนี่พูดก่อนจะเปิดประตูให้ผมเดินเข้าไป ผมเดินไปอย่างยืดเวลาแต่ เทมมาลีนก็วิ่งออกมาดึงผมเข้าไปอย่างรวดเร็ม เธอยัดผมนั้งลงกับเก้าอี้และยกฉามไปว่างไว้ที่ซิงค์น้ำข้างๆ จินนี่รีบยกไปล้าง "นายชื่อ วีล ฉันชื่อ แทมมาลีน เรียกว่า ลีน เราเป็นเพื่อนกัน" ลีนที่ดูร่างเริมเริ่มนั้งโยกเก้าอี้ แต่ผมนั้นรุ้สึกอึดอัดที่ได้อยุ่แบบนี้แต่รอยยิ้มของเธอมันสดใสและจริงใจ จนผมต้องหาเรื่องคุย
"สีลิปสติีกของเธอสวยดีนะ" ผมชี้ไปที่ริมฝีปากหนาของเธอ ลีนรีบเอามือมาแตะริมฝีปากตัวเอง
"จริงหรอ " ลีนหน้าแดงขึ้น "จริงๆแล้วมันเป็นสีริมฝีปากของฉันเอง สีที่มีตั้งแต่เกิด"
"จริงหรอ เป้นไปได้.. ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย" ผมให้ความสนใจกับริมฝีปากเธอมากแต่ ลีนกลับมีแววตาหมองเศร้าก่อนจะ ถามคำถามเปลี่ยนเรื่อง
"นายมาทำอะไรแถวนี้ละ ในกระเป๋านั้นมีอะไร" เธอชี้มาทางผม แววตาอย่างรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อย
"อ่อ สีสเปร์น๊ะ เอาไว้พ้นที่อยากจะพ้น" ผมบอก ก่อนจะถอดกระเป๋าออกมา เรื่องที่เป็นความลับจะไม่เป็นคามลับอีกต่อไป เมื่อมีอีกคนที่เข้ามาในโลกของผม
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ