นิทานก่อนตาย
9.2
3) เพื่อนบ้าน ที่ไม่เคยอยู่บ้าน (3) จบ.
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเชื่อมั้ย? ว่าผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาเธอให้เต็ม ๆ ตาเลย ผมได้แต่เสแสร้งทำเป็นว่าเหม่อมองฟ้า ฟังเสียงเธอซักผ้า แล้วชำเลืองตาไปมองเป็นช่วง ๆ ทำยังไงได้ล่ะ ขืนไปจ้องนาน ๆ เดี๋ยวเธอจะหาว่าผมหื่นกามซะอีก (ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น)
แต่จะว่าไป ไอ้กลิ่นน้ำหอมที่ยังคงคละคลุ้งอยู่นั่นมันคืออะไรกันแน่ กลิ่นน้ำหอมที่ทำเอาเราเกือบพิการเมื่อคืน ทำไมมันยังคงวนเวียนจนถึงตอนนี้? เมื่อความคิดส่วนนี้ปรากฏขึ้น มันจึงทำให้ความหื่นกามของผมสลายไปจนหมดสิ้น ผมเริ่มเกิดความกังวลใจขึ้น แล้วเหลียวไปมอง "นางฟ้า" ของผมอีกแวบหนึ่ง
ซึ่งคราวนี้ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมพอดี! บ๊ะแล้ว! ผมรีบเบือนหน้าหนีไปด้วยความเขินอาย รู้สึกตึงวูบ ๆ บนใบหน้า หัวใจเต้นรัวราวกับว่ามันจะระเบิดออกมา สักพักหนึ่งเสียงซักผ้าก็เงียบไป แล้วกลายเป็นเสียงลากรองเท้าแตะแทน เธอเดินมายืนอยู่ริมรั้ว ที่สูงราว ๆ หนึ่งเมตร แล้วเปล่งเสียงที่แสนจะไพเราะออกมา
นางฟ้า : สวัสดีค่ะ
ผมหันไปหาเธอแล้วตอบแบบทันทีทันด่วน
บุญทุย : สะ... สวัสดีครับ แหะ ๆ
ผมเขินอายจนพูดอะไรไม่ค่อยจะถูก เหมือนว่าลิ้นมันแข็งไปซะดื้อ ๆ เมื่อเห็นว่าเธอยิ้มให้ผม พร้อมกับเลิกคิ้วเรียวงามของเธอขึ้น ตากลม ๆ ของเธอเปล่งประกายที่แสนประหลาด ถ้าเธอเป็นเมดูซ่า ผมก็ยินดีที่จะกลายเป็นก้อนหิน เพียงเพื่อจะได้สบตาคู่นั้นแค่แวบเดียว
นางฟ้า : น้าเพิ่งมาอยู่เหรอคะ?
ผมได้ยินเสียงดังเพล้ง! มันถึกก้องอยู่ในหัวใจของผม... "น้า" คำนี้ทำให้วิมานของผมพังทลายไปกว่าครึ่งในพริบตาเลยจริง ๆ แต่ก็นะ เธอยังเรียนอยู่ ส่วนเราเองก็วัยทำงานแล้ว เธอจะเรียกเราแบบนั้นก็คงไม่แปลก หรือไม่ เธอก็อาจจะเป็นสาวขี้เล่น ที่ชอบพูดจาหยอกล้อก็ได้
บุญทุย : ใช่ครับ ผมเพิ่งย้ายมาจากต่างจังหวัดน่ะ อยู่คนเดียว ยังไม่รู้จักใครเลย ยังไงก็ ยินดีรู้จักนะครับ ผมชื่อบุญทุยครับ แล้วคุณ...
นางฟ้า : หนูชื่อชะแล่มค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่บุญทุย ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วสินะคะ เดี๋ยววันนี้หนูทำกับข้าวเลี้ยงพี่เอง
รูปงาม นามเพราะ เหมาะสมกับวัยมาก น้ำเสียงนุ่มนวลน่ารัก แถมยังมนุษย์สัมพันธ์ดีอีกต่างหาก คำถามอีกข้อหนึ่งของผมจึงได้รับการแก้ไขโดยอัตโนมัติ เพราะน้ำเสียงของชะแล่ม ฟังดูไม่เหมือนกับเสียงรุ่นพี่เมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นะ ช่างมัน เพราะประเด็นสำคัญตอนนี้คือ "เธอชวนเรากินอาหารฝีมือของเธอ!"
บุญทุย : อ๋อ ยินดีครับยินดี ว่าแต่ วันนี้ชะแล่มไม่ไปเรียนเหรอครับ
ชะแล่ม : พี่คะ... วันนี้วันเสาร์ค่ะพี่ หนูมีเวลาอยู่กับพี่ได้ทั้งวันเลย งั้นพี่ไปซื้อของมานะคะ เดี๋ยวหนูจดรายการให้ แล้วเดี๋ยวหนูทำกับข้าวให้เอง หนูขอซักผ้าก่อน มันใกล้จะเสร็จแล้วแหละ
ผมดีใจจนแทบจะคลั่งตาย เธอให้ผมกินข้าวด้วย ทำกับข้าวให้ เรื่องไปซื้อของแค่นี้ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ? เธอเดินเข้าไปในบ้าน สักพักหนึ่งก็เดินออกมาพร้อมนำกระดาษมาให้ผมหนึ่งแผ่น ที่เขียนรายการวัตถุดิบ ที่เราจะต้องใช้สำหรับเมนูวันนี้ครับคุณชาคริต แล้วผมก็เดินออกจากบ้าน ตรงไปที่ตลาดใกล้กับสถานีรถไฟ
ผมอาจจะพูดเกินไป แต่ผมบอกได้เลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขอย่างมาก ผมช่วยเธอทำกับข้าว ได้พูดคุยจิปาถะต่าง ๆ แลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน ผมคิดไปเองว่า ตอนนี้ผมเป็นสามี ที่กำลังช่วยภรรยาทำอาหาร มันช่างเป็นอะไรที่น่าจดจำอย่างที่สุดจริง ๆ ที่ในชีวิตชายโสด หน้าตาอินเตอร์ เดินทางรอนแรมมาจากบ้านนอกคนหนึ่ง กลับได้อยู่ใกล้ชิดนางฟ้าในเมืองใหญ่แบบนี้ ใครกันล่ะที่จะไม่ดีใจ คงจะมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ
ไม่นานนักอาหารทุกจานก็เสร็จสมบูรณ์ ผมกับเธอนั่งกินข้าวที่ห้องครัวบ้านชะแล่ม ฝีมือการทำอาหารของเธอดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น หมูผัดพริกแกงใส่ถั่วฝักยาว ที่รสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อน ผัดบวบใส่ไข่ หวาน มัน ตัดหวานเล็กน้อย ซี่โครงหมูทอดกระเทียมพริกไทย และ ไข่เจียวหมูสับราดซอสพริก พร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ หอมกรุ่นนั้น ผมพูดได้เลยว่า นี่เป็นอาหารที่พิเศษที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาของผม
เวลาล่วงเลยไปนานมาก เราสองคนหลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ซึ่งอาหารทุกอย่างล้วนเกลี้ยงจานสะอาดเอี่ยม เราก็ช่วยกันล้างจานจนเสร็จสรรพ แล้วพากันไปปูเสื่อนั่งคุยที่หลังบ้านของชะแล่ม เราคุยกันเนิ่นนาน เนิ่นนานจริง ๆ กินส้มตำเป็นมื้อเที่ยง แล้วนั่งคุยกันต่อคนเริ่มเย็นย่ำ ผมคงจะบ้าไปแล้ว ที่สรรหาเรื่องอะไรต่าง ๆ มาคุยได้จนถึงป่านนี้ แต่เธอก็อาจจะบ้ากว่าผมก็ได้ ที่ทนฟังผมเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้เนิ่นนาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อเลย
เราคุยกัน สบตากัน มอบความรู้สึกที่ดี ๆ ให้กันและกันอย่างไม่รู้หน่าย ผมมองไปที่ใบหน้าของเธออย่างเต็มตา และสุขใจ วิมานของผมถูกซ่อมแซมจนกลับคืนสู่สภาพเดิม อีกทั้งยังถูกแต่งเติมให้สวยงามขึ้นไปอีก มันถูกเติมด้วยภาพอนาคตของเราสองคน ใช้ชีวิตร่วมกัน มีลูกน้อย ๆ วิ่งเล่นทั่วบ้าน มีความสุขในแบบครอบครัวเล็ก ๆ และผมมั่นใจแล้วว่า "ผมรักเธอ"
เราคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาเย็นย่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำลง เราสองคนจึงแยกย้ายกันไป แปลกดี ตั้งแต่เช้ามาเรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเราอยู่กันไปได้ยังไง เราล่ำลากันตามประสาเล็กน้อย ผมกลับมาที่บ้าน ส่วนชะแล่มก็ปิดบ้านมิดชิด แล้วกลับเข้าไปในบ้าน โดยที่ไม่ได้เปิดไฟสักดวงเดียวเมื่อผมกำลังจะเปิดประตูบ้าน เจ๊แววก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของผม
บุญทุย : สวัสดีครับเจ๊แวว
เจ๊แวว : จ้า สวัสดี เป็นยังไงบ้าง บ้านหลังใหม่ เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า?
ครั้นผมจะบอกว่าโดนรับน้องก็ยังไง ๆ อยู่ ไม่เหมาะไม่ควรแน่...
บุญทุย : หลับสบายดีครับเจ๊ เจ๊มานี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?
เจ๊แวว : เปล่าจ้าเปล่า ก็แค่จะมาถามเฉย ๆ น่ะว่าถูกใจหรือเปล่า ไม่มีอะไรหรอก
ผมสังเกตเห็นพิรุธของเจ๊แววได้อีกครั้ง สายตาของแกยังคงชำเลืองมองบ้านของชะแล่มเป็นช่วง ๆ เหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจถามให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย
บุญทุย : เจ๊... ผมถามจริง ๆ นะครับ... ทำไมเจ๊ชอบหันไปมองบ้านของชะแล่มบ่อย ๆ เหรอครับ?
ทันทีที่จบประโยค เจ๊แววมีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที ใบหน้าอวบ ๆ ของแกซีดเผือด ดวงตาลุกโตขึ้นมาอย่างน่าพิกล
เจ๊แวว : ทำไมรู้จักชื่อเจ้าของบ้านหลังนั้นล่ะ?
น้ำเสียงของแกแปลก ๆ พิกล จะว่าเสียงสูงก็ใช่ แต่เหมือนกับสะกดระดับเสียงไว้ไม่ให้ดังเกินไป ราวกับว่า ตกใจนะ แต่ไม่อยากให้ใครได้ยิน
บุญทุย : ก็วันนี้เราได้เจอกันแล้วน่ะครับ เธอทำกับข้าวให้ผมกิน แล้วเราก็คุยกันจนเย็นเลย... เจ๊มีอะไรหรือเปล่าครับ?
เจ๊แววเอามือมาทาบหน้าอก หายใจแรง ๆ คล้ายจะหอบ สีหน้าปรากฏแววของความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เจ๊แวว : แกเอ๊ย ย ย ย... เจ้าของบ้านหลังนั้นไม่ได้กลับบ้านมาสองปีแล้ว แล้วแกจะไปคุยกับใครได้?
ผมตะลึงงันอยู่กับที่ ความรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต มันชาไปหมด ขนทั่วตัวของผมลุกเกลียว ผมพยายามจะตั้งสติ แล้วหันไปมองบ้านของชะแล่ม แต่ผมก็ทำไม่ได้ รู้สึกคล้ายถูกผีอำ คิดจะขยับ แต่แม้จะเปล่งเสียงก็ยังจนปัญญา
เจ๊แวว : ไม่ใช่เพราะฉันไม่ค่อยได้มาแถวนี้หรอกนะ ซอยนี้ฉันผ่านทุกวัน คนแถวนี้ฉันก็รู้จัก พูดคุยกันตลอด เขารู้กันหมดแหละว่าชะแล่มน่ะ ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว อยู่ ๆ ก็หายไป แต่ตอนกลางคืน ไฟในบ้านก็จะเปิด แต่พอมีคนไปเรียกก็ไม่มีเสียงตอบ จนชาวบ้านเขาตัดสินใจงัดประตูเข้าไป ก็ไม่เจอใครเลย ไม่เจอทั้งชะแล่ม หรือแม้แต่ศพของชะแล่ม พวกเราเลยลงความเห็นกันว่า เธออาจจะไปตายที่อื่นก็ได้ บ้านที่แกอยู่นี่น่ะ ก็เป็นบ้านเก่าฉันเอง เพราะแบบนี้ไงฉันถึงย้ายออก ฉันนึกว่าชะแล่มคงจะไปดีแล้ว ฉันเลยประกาศขายบ้าน...
เจ๊แววยังไม่ทันที่จะพูดจบ ทันใดนั้น ไฟในบ้านชะแล่มทุกดวงก็เปิดขึ้นพร้อมกัน มันสว่างจ้าเสียจนผมมองเห็นมันได้ด้วยหางตา ผมกับเจ๊แววหันไปมองพร้อมกัน แล้วหันกลับมามองหน้ากันอย่างงุนงง สักพักเจ๊แววก็รีบเดินไปคว้ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป ผมเดินออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน เหลียวมองไปรอบ ๆ ก็เห็นชาวบ้านทุกคน พากันรีบเดินเข้าบ้านของตัวเอง แล้วรีบปิดประตูอย่างลนลาน ผมยืนเหม่อมองไปรอบ ๆ กายอยู่คนเดียวกลางถนน ในใจสับสนไปหมด
วิมานของผม ความฝันที่ผมวาดไว้ และความรักของผม มันแหลกสลายลงเวลานั้น ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าสิ่งที่ผมเห็น มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ภายในเวลาเพียงข้ามวันไปได้ น้ำตาของผมเอ่อล้นออกมา จนไหลรินอาบแก้ม ผมหันไปมองบ้านชะแล่มช้า ๆ
โถ... ผมเห็นเธอยืนอยู่หน้าประตูบ้าน มองมาที่ผม ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ เธอยกมือปิดปาก แล้วปล่อยให้ความรู้สึกพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา เธอยังคงสวยเหมือนเดิม ไม่เละ อาบเลือด หรือซีดเผือดเหมือนในหนังเลย เธอสะอื้นร่ำไห้เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป เราสองคนยืนจ้องกันและกัน ต่างคนต่างหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ แม้เราจะยืนห่างกันมาก และอยู่กันคนละภพก็ตาม ในเสียงสะอื้น เธอเปล่งคำพูดออกมา
ชะแล่ม : พี่... หนูขอโทษ...
จบคำ ร่างเธอก็ค่อย ๆ เลือนลางหายไปต่อหน้าต่อตาผม ผมหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดใจ แหงนหน้าลืมตามองท้องฟ้า โทษตัวเองที่โง่เง่าไม่รู้อะไรเลย โทษสวรรค์ที่ส่งนางฟ้าตนนี้ลงมาหาไส้เดือนอย่างผม โทษโชคชะตาที่นำพาให้เราได้มาพบเจอกัน ผมกำหมดเอาไว้แน่น ขบกรามฝืนความเจ็บ พยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทันใด ผมก็ตัดสินใจวิ่งเข้าไปในบ้านของชะแล่ม!
ผมพังประตูเข้ามาในบ้านของเธอ ผมไม่เกรงกลัวอะไรแล้ว! เธอไม่ผิด! ผมไม่ผิด! ผมรักเธอด้วยหัวใจ ผมไม่ต้องการร่างกายของเธอก็ได้ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผี ห้ามรักกับคนเหรอ? ใครเป็นคนกำหนด? ต่อให้คน ๆ นั้นเดินมาบอกผมเอง ผมก็จะฝ่าฝืน!
บุญทุย : ชะแล่ม! ชะแล่มครับ! หนูอยู่ไหน? ออกมาเถอะนะ
แต่กลับมีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่ตอบผมกลับมา ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น จนจมูกเริ่มตัน หายใจไม่สะดวกเข้าไปทุกขณะ ผมทรุดตัวลงกับพื้น ทิ้งสองเข่าลงอย่างอ่อนแรง
บุญทุย : ชะแล่ม หนูไม่ต้องขอโทษพี่นะครับ หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หนูทำให้พี่มีความสุขมาก ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่มีความสุขมากจริง ๆ และพี่ยังมีความสุขอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าหนูจะเป็นอะไรก็ช่าง หนูคือความสุขของพี่นะครับ ออกมาหาพี่เถอะนะ พี่ขอร้อง...
ได้ยินเสียงชะแล่มร้องไห้อยู่ในห้องครัว ผมรีบยันกายลุกขึ้นพรวด แล้ววิ่งตามเสียงไป "โถ... ชะแล่มครับ" ผมอุทานออกมา เมื่อเห็นเธอยืนอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว ด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเลือด ผมยอมรับ ว่าผมเป็นคนที่กลัวผี และยิ่งมาในรูปลักษณ์แบบนี้ ผมก็ยิ่งกลัว แต่ตอนนี้ ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ความรักอาจจะบังตาผมอยู่ก็ได้ ช่างมันเถอะ ผมตัดสินใจแล้ว
ชะแล่ม : พี่ก็รู้ว่าหนูตายไปแล้ว พี่ยังจะมายุ่งกับหนูอีกทำไม?
เธอจ้องมองมาที่ผม แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกับที่ผมได้ยินเมื่อคืน ตอนนี้ผมได้รับคำตอบที่ผมสงสัยมาทั้งหมดแล้ว ว่าเสียงนั้นเป็นของเธอนั่นเอง
บุญทุย : พี่บอกแล้วไง ว่าหนูคือความสุขของพี่
ชะแล่ม : คนกับผีอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะพี่ พี่ดูหนูสิ... หนูถูกฆ่าข่มขืนที่บ้านของเพื่อน พวกมันรุมโทรมหนู แล้วเอามีดแทงหนู ถึงตอนนี้หนูจะเป็นคน หนูก็คงไม่กล้ารักพี่หรอก พี่เป็นคนดี เป็นคนที่กำลังจะมีอนาคต พี่อย่าเอามันมาทิ้งไว้ที่หนูเลย
บุญทุย : ต่อให้ตอนนี้หนูเป็นคน พี่ก็จะยังรักหนู อนาคตของพี่ พี่สร้างมันด้วยตัวเองได้ มันไม่ได้หายไปไหน แต่พี่จะมีความสุขได้ยังไงถ้าไม่มีหนู
ชะแล่ม : พี่เลิกบ้าสักทีเถอะ! พี่ก็แค่หลงหนู ไม่ใช่รักหนู ต่อให้หนูยังไม่ตาย แล้วเราได้เป็นแฟนกันจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า พี่จะรักหนูคนเดียวตลอดไป ไม่มีอะไรรับรองได้ว่า พี่จะไม่เบื่อหนูแล้วทิ้งหนูไป ยิ่งตอนนี้เราต่างคนต่างรู้ฐานะของกันและกันดี เรายิ่งรู้ชัด ๆ แล้วว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ พี่ยังจะมาคิดบ้า ๆ แบบนี้อีกทำไม?
ผมส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมกับเดินอ้าแขนเข้าไปหาเธอ
ชะแล่ม : ถ้าพี่เข้ามา หนูจะหลอกพี่ให้ช็อคตายไปเลย!
ผมชะงักเท้ากระทันหัน แล้วจ้องมองไปที่หน้าของชะแล่ม
บุญทุย : เอาสิ! เอาเลยชะแล่ม! ถ้าคนกับผีรักกันไม่ได้ พี่ก็จะขอเป็นผีอยู่กับหนูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย! ทำเลยชะแล่ม ทำสิ!
ผมตวาดเธอเสียงดังและเกรี้ยวกราด และมั่นคงในความคิดบ้า ๆ ของผม ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ก็ดี ผีไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิต ตายซะได้ก็ดี อย่างน้อยผมก็จะได้อยู่กับเธอตลอดเวลา แม้จะเป็นห้วงแห่งความตายก็เถอะ
ชะแล่มทรุดกายลงกับพื้น ยกสองมือปิดหน้าแล้วร้ำไห้ ผมเดินเข้าไปที่ข้างกายเธอ ย่อตัวลงแล้วโอบกอดเธออย่างแผ่วเบา สัมผัสร่างกายที่เย็นเฉียบของเธอ แล้วเราก็พาหลั่งน้ำตาออกมา นี่ผมกำลังร้องไห้กับผีเหรอเนี่ย?
เธอค่อย ๆ หันหน้ามาหาผมอย่างช้า ๆ พร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า ขอบตาเต็มไปด้วยคราบเลือด ผิวหน้าซีดผาด ผมจ้องประสานตากับเธอ อย่างไม่ได้มีความหวาดกลัวใดใดทั้งสิ้น ผมยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แล้วบรรจงจูบที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา
เราจ้องตากันอีกครั้ง ก่อนที่ลูกตาของเธอจะหลุดออกมาจากเบ้า กลิ่นเน่าโชยคละคลุ้งไปทั่ว เลือดสีแดงฉานหลั่งออกมาจากทางจมูกและดวงตา ผมกอดเธอแน่นขึ้น ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะสงสารเธอ เธออ้าปากช้า ๆ ฟันของเธอค่อย ๆ หลุดร่วงลงมาทีละซี่ จากนั้นเธอส่งเสียงกรีดร้องใส่หน้าผม "อ๊า า า า า า า า า า า!!" แล้วทุกภาพของผม ก็กลายเป็นสีดำ...
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ท่ามกลางผู้คนที่มุงดูอยู่รอบกาย ที่ส่งเสียงเซ็งแซ่สับสน ผมนอนหงาย ร่างกายอ่อนระทวยอยู่บนตักของเจ๊แวว ที่บริเวณหน้าบ้านของผมเอง เมื่อทุกคนเห็นว่าผมลืมตาขึ้น ผมจึงถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เจ๊แววเล่าว่า ชาวบ้านได้ยินเสียงผมตวาดเสียงดัง จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิง พวกเขาจึงตัดสินใจออกมาช่วย ด้วยการพังประตูบ้านเข้าไป ก็เห็นผมนอนหมดสติอยู่ภายในห้องครัวบ้านชะแล่ม จึงพากันแบกร่างของผมออกมาไว้ที่บ้านผม แล้วโทรเรียกเจ๊แวว กับรถพยายาล
ผมพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ร่างกายของผมตอนนี้อ่อนแรงเหลือเกิน ผมเหลียวไปมองที่บ้านชะแล่ม ที่ตอนนี้ปิดไฟจนมืดมิดไปหมดแล้ว ผมหลับตาลงอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ เคลิ้มหลับไป กำหนดตั้งมั่นแน่วแน่ในจิตใจว่า "มารับพี่ไปทีเถิด ที่รักของพี่"
วันเวลาผ่านไปนานกว่าหกเดือน ผมยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ผมพยายามติดต่อกับชะแล่มทุกวัน ทุกวิถีทาง ทั้งตะโกนเรียก ทั้งแอบเข้าไปในบ้าน ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะออกมาพบผมเลย แม้กระทั่งฝันถึงก็ไม่เคย หากสิ่งที่เธอทำ เป็นการผลักผมให้พ้นไปจากเธอ เพื่อให้ผมได้มีอนาคตที่ดี โดยที่ไม่มีผีอย่างเธอมาเป็นตัวถ่วง อย่างที่เธอพูดล่ะก็ ป่านนี้เธอก็อาจจะไปสู่สุขติภพไปแล้วก็ได้
ผมได้งานทำสมใจ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเพียงไม่กี่วัน ได้ทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนดี ที่ทำงานไม่ไกลจากบ้านมากนัก แต่เพื่อนบ้านหลายคนเข้ามาถามไถ่ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งที่ผ่านมาแล้ว ทั้งถามประจำวัน ว่าวันนี้ผมเจออะไรบ้างหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่เคยรำคาญที่จะตอบว่า "ไม่เจออะไรเลย" แม้แต่น้อย
หกเดือนที่ผ่านมา งานของผมเข้าที่ขึ้นมาก จึงได้เวลาที่ผมจะพักผ่อน ด้วยการกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดสักที ผมเก็บเสื้อผ้าและเดินออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันรถไฟ ผมปิดประตูรั้วบ้านอย่างช้า ๆ แล้วจ้องมองแม่กุญแจอยู่อย่างนั้น พยายามข่มใจไม่ให้เหลียวหันไปมองบ้านชะแล้ม ผมหลับตา แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เบือนหน้าหนี แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ
เหมือนใจผมแทบจะสลายลงอีกครั้ง ผมคงไม่มีความสุขจริง ๆ นั่นแหละ ผมเกือบจะร้องไห้ แต่ก็ต้องข่มมันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครหาว่าผมบ้า เดินฝ่าน้ำตามาสถานีรถไฟคนเดียว ผมพยายามเดินก้มหน้ามาตลอดทาง ต่างกับวันที่ผมมาที่นี่วันแรก ที่ผมมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่วันนี้ผมกลับเดินซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก คล้ายความสุขและไฟในชีวิตของผม ถูกกระชากออกไปจากชีวิต ผมเดินขึ้นบันใดสถานีรถไฟช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองทาง
และเบื้องหน้าของผม ก็คือภาพของนางฟ้า ใส่ชุดนักศึกษา ตากลมมีประกาย เลิกคิ้วเรียวงาม มองมาที่ผมด้วยประกายที่ประหลาด เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมหยุดยืนเหม่อจ้องเธออย่างเลื่อนลอย มองเข้าไปในดวงตากลม ๆ คู่นั้นของเธอ ด้วยใจที่แผ่ซ่านไปด้วยความสุข ราวกันทั้งโลกนี้ เหลือเพียงแค่เราสองคน ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งไป เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงตราตรึงในหัวใจของผมเสมอมา...
"เดินทางปลอดภัยนะคะ... ที่รักของหนู"
...............................................................................................................
แต่จะว่าไป ไอ้กลิ่นน้ำหอมที่ยังคงคละคลุ้งอยู่นั่นมันคืออะไรกันแน่ กลิ่นน้ำหอมที่ทำเอาเราเกือบพิการเมื่อคืน ทำไมมันยังคงวนเวียนจนถึงตอนนี้? เมื่อความคิดส่วนนี้ปรากฏขึ้น มันจึงทำให้ความหื่นกามของผมสลายไปจนหมดสิ้น ผมเริ่มเกิดความกังวลใจขึ้น แล้วเหลียวไปมอง "นางฟ้า" ของผมอีกแวบหนึ่ง
ซึ่งคราวนี้ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมพอดี! บ๊ะแล้ว! ผมรีบเบือนหน้าหนีไปด้วยความเขินอาย รู้สึกตึงวูบ ๆ บนใบหน้า หัวใจเต้นรัวราวกับว่ามันจะระเบิดออกมา สักพักหนึ่งเสียงซักผ้าก็เงียบไป แล้วกลายเป็นเสียงลากรองเท้าแตะแทน เธอเดินมายืนอยู่ริมรั้ว ที่สูงราว ๆ หนึ่งเมตร แล้วเปล่งเสียงที่แสนจะไพเราะออกมา
นางฟ้า : สวัสดีค่ะ
ผมหันไปหาเธอแล้วตอบแบบทันทีทันด่วน
บุญทุย : สะ... สวัสดีครับ แหะ ๆ
ผมเขินอายจนพูดอะไรไม่ค่อยจะถูก เหมือนว่าลิ้นมันแข็งไปซะดื้อ ๆ เมื่อเห็นว่าเธอยิ้มให้ผม พร้อมกับเลิกคิ้วเรียวงามของเธอขึ้น ตากลม ๆ ของเธอเปล่งประกายที่แสนประหลาด ถ้าเธอเป็นเมดูซ่า ผมก็ยินดีที่จะกลายเป็นก้อนหิน เพียงเพื่อจะได้สบตาคู่นั้นแค่แวบเดียว
นางฟ้า : น้าเพิ่งมาอยู่เหรอคะ?
ผมได้ยินเสียงดังเพล้ง! มันถึกก้องอยู่ในหัวใจของผม... "น้า" คำนี้ทำให้วิมานของผมพังทลายไปกว่าครึ่งในพริบตาเลยจริง ๆ แต่ก็นะ เธอยังเรียนอยู่ ส่วนเราเองก็วัยทำงานแล้ว เธอจะเรียกเราแบบนั้นก็คงไม่แปลก หรือไม่ เธอก็อาจจะเป็นสาวขี้เล่น ที่ชอบพูดจาหยอกล้อก็ได้
บุญทุย : ใช่ครับ ผมเพิ่งย้ายมาจากต่างจังหวัดน่ะ อยู่คนเดียว ยังไม่รู้จักใครเลย ยังไงก็ ยินดีรู้จักนะครับ ผมชื่อบุญทุยครับ แล้วคุณ...
นางฟ้า : หนูชื่อชะแล่มค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่บุญทุย ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วสินะคะ เดี๋ยววันนี้หนูทำกับข้าวเลี้ยงพี่เอง
รูปงาม นามเพราะ เหมาะสมกับวัยมาก น้ำเสียงนุ่มนวลน่ารัก แถมยังมนุษย์สัมพันธ์ดีอีกต่างหาก คำถามอีกข้อหนึ่งของผมจึงได้รับการแก้ไขโดยอัตโนมัติ เพราะน้ำเสียงของชะแล่ม ฟังดูไม่เหมือนกับเสียงรุ่นพี่เมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นะ ช่างมัน เพราะประเด็นสำคัญตอนนี้คือ "เธอชวนเรากินอาหารฝีมือของเธอ!"
บุญทุย : อ๋อ ยินดีครับยินดี ว่าแต่ วันนี้ชะแล่มไม่ไปเรียนเหรอครับ
ชะแล่ม : พี่คะ... วันนี้วันเสาร์ค่ะพี่ หนูมีเวลาอยู่กับพี่ได้ทั้งวันเลย งั้นพี่ไปซื้อของมานะคะ เดี๋ยวหนูจดรายการให้ แล้วเดี๋ยวหนูทำกับข้าวให้เอง หนูขอซักผ้าก่อน มันใกล้จะเสร็จแล้วแหละ
ผมดีใจจนแทบจะคลั่งตาย เธอให้ผมกินข้าวด้วย ทำกับข้าวให้ เรื่องไปซื้อของแค่นี้ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ? เธอเดินเข้าไปในบ้าน สักพักหนึ่งก็เดินออกมาพร้อมนำกระดาษมาให้ผมหนึ่งแผ่น ที่เขียนรายการวัตถุดิบ ที่เราจะต้องใช้สำหรับเมนูวันนี้ครับคุณชาคริต แล้วผมก็เดินออกจากบ้าน ตรงไปที่ตลาดใกล้กับสถานีรถไฟ
ผมอาจจะพูดเกินไป แต่ผมบอกได้เลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขอย่างมาก ผมช่วยเธอทำกับข้าว ได้พูดคุยจิปาถะต่าง ๆ แลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน ผมคิดไปเองว่า ตอนนี้ผมเป็นสามี ที่กำลังช่วยภรรยาทำอาหาร มันช่างเป็นอะไรที่น่าจดจำอย่างที่สุดจริง ๆ ที่ในชีวิตชายโสด หน้าตาอินเตอร์ เดินทางรอนแรมมาจากบ้านนอกคนหนึ่ง กลับได้อยู่ใกล้ชิดนางฟ้าในเมืองใหญ่แบบนี้ ใครกันล่ะที่จะไม่ดีใจ คงจะมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ
ไม่นานนักอาหารทุกจานก็เสร็จสมบูรณ์ ผมกับเธอนั่งกินข้าวที่ห้องครัวบ้านชะแล่ม ฝีมือการทำอาหารของเธอดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น หมูผัดพริกแกงใส่ถั่วฝักยาว ที่รสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อน ผัดบวบใส่ไข่ หวาน มัน ตัดหวานเล็กน้อย ซี่โครงหมูทอดกระเทียมพริกไทย และ ไข่เจียวหมูสับราดซอสพริก พร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ หอมกรุ่นนั้น ผมพูดได้เลยว่า นี่เป็นอาหารที่พิเศษที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาของผม
เวลาล่วงเลยไปนานมาก เราสองคนหลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ซึ่งอาหารทุกอย่างล้วนเกลี้ยงจานสะอาดเอี่ยม เราก็ช่วยกันล้างจานจนเสร็จสรรพ แล้วพากันไปปูเสื่อนั่งคุยที่หลังบ้านของชะแล่ม เราคุยกันเนิ่นนาน เนิ่นนานจริง ๆ กินส้มตำเป็นมื้อเที่ยง แล้วนั่งคุยกันต่อคนเริ่มเย็นย่ำ ผมคงจะบ้าไปแล้ว ที่สรรหาเรื่องอะไรต่าง ๆ มาคุยได้จนถึงป่านนี้ แต่เธอก็อาจจะบ้ากว่าผมก็ได้ ที่ทนฟังผมเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้เนิ่นนาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อเลย
เราคุยกัน สบตากัน มอบความรู้สึกที่ดี ๆ ให้กันและกันอย่างไม่รู้หน่าย ผมมองไปที่ใบหน้าของเธออย่างเต็มตา และสุขใจ วิมานของผมถูกซ่อมแซมจนกลับคืนสู่สภาพเดิม อีกทั้งยังถูกแต่งเติมให้สวยงามขึ้นไปอีก มันถูกเติมด้วยภาพอนาคตของเราสองคน ใช้ชีวิตร่วมกัน มีลูกน้อย ๆ วิ่งเล่นทั่วบ้าน มีความสุขในแบบครอบครัวเล็ก ๆ และผมมั่นใจแล้วว่า "ผมรักเธอ"
เราคุยกันจนกระทั่งถึงเวลาเย็นย่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำลง เราสองคนจึงแยกย้ายกันไป แปลกดี ตั้งแต่เช้ามาเรายังไม่ได้อาบน้ำกันเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเราอยู่กันไปได้ยังไง เราล่ำลากันตามประสาเล็กน้อย ผมกลับมาที่บ้าน ส่วนชะแล่มก็ปิดบ้านมิดชิด แล้วกลับเข้าไปในบ้าน โดยที่ไม่ได้เปิดไฟสักดวงเดียวเมื่อผมกำลังจะเปิดประตูบ้าน เจ๊แววก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของผม
บุญทุย : สวัสดีครับเจ๊แวว
เจ๊แวว : จ้า สวัสดี เป็นยังไงบ้าง บ้านหลังใหม่ เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า?
ครั้นผมจะบอกว่าโดนรับน้องก็ยังไง ๆ อยู่ ไม่เหมาะไม่ควรแน่...
บุญทุย : หลับสบายดีครับเจ๊ เจ๊มานี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?
เจ๊แวว : เปล่าจ้าเปล่า ก็แค่จะมาถามเฉย ๆ น่ะว่าถูกใจหรือเปล่า ไม่มีอะไรหรอก
ผมสังเกตเห็นพิรุธของเจ๊แววได้อีกครั้ง สายตาของแกยังคงชำเลืองมองบ้านของชะแล่มเป็นช่วง ๆ เหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจถามให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย
บุญทุย : เจ๊... ผมถามจริง ๆ นะครับ... ทำไมเจ๊ชอบหันไปมองบ้านของชะแล่มบ่อย ๆ เหรอครับ?
ทันทีที่จบประโยค เจ๊แววมีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที ใบหน้าอวบ ๆ ของแกซีดเผือด ดวงตาลุกโตขึ้นมาอย่างน่าพิกล
เจ๊แวว : ทำไมรู้จักชื่อเจ้าของบ้านหลังนั้นล่ะ?
น้ำเสียงของแกแปลก ๆ พิกล จะว่าเสียงสูงก็ใช่ แต่เหมือนกับสะกดระดับเสียงไว้ไม่ให้ดังเกินไป ราวกับว่า ตกใจนะ แต่ไม่อยากให้ใครได้ยิน
บุญทุย : ก็วันนี้เราได้เจอกันแล้วน่ะครับ เธอทำกับข้าวให้ผมกิน แล้วเราก็คุยกันจนเย็นเลย... เจ๊มีอะไรหรือเปล่าครับ?
เจ๊แววเอามือมาทาบหน้าอก หายใจแรง ๆ คล้ายจะหอบ สีหน้าปรากฏแววของความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เจ๊แวว : แกเอ๊ย ย ย ย... เจ้าของบ้านหลังนั้นไม่ได้กลับบ้านมาสองปีแล้ว แล้วแกจะไปคุยกับใครได้?
ผมตะลึงงันอยู่กับที่ ความรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต มันชาไปหมด ขนทั่วตัวของผมลุกเกลียว ผมพยายามจะตั้งสติ แล้วหันไปมองบ้านของชะแล่ม แต่ผมก็ทำไม่ได้ รู้สึกคล้ายถูกผีอำ คิดจะขยับ แต่แม้จะเปล่งเสียงก็ยังจนปัญญา
เจ๊แวว : ไม่ใช่เพราะฉันไม่ค่อยได้มาแถวนี้หรอกนะ ซอยนี้ฉันผ่านทุกวัน คนแถวนี้ฉันก็รู้จัก พูดคุยกันตลอด เขารู้กันหมดแหละว่าชะแล่มน่ะ ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว อยู่ ๆ ก็หายไป แต่ตอนกลางคืน ไฟในบ้านก็จะเปิด แต่พอมีคนไปเรียกก็ไม่มีเสียงตอบ จนชาวบ้านเขาตัดสินใจงัดประตูเข้าไป ก็ไม่เจอใครเลย ไม่เจอทั้งชะแล่ม หรือแม้แต่ศพของชะแล่ม พวกเราเลยลงความเห็นกันว่า เธออาจจะไปตายที่อื่นก็ได้ บ้านที่แกอยู่นี่น่ะ ก็เป็นบ้านเก่าฉันเอง เพราะแบบนี้ไงฉันถึงย้ายออก ฉันนึกว่าชะแล่มคงจะไปดีแล้ว ฉันเลยประกาศขายบ้าน...
เจ๊แววยังไม่ทันที่จะพูดจบ ทันใดนั้น ไฟในบ้านชะแล่มทุกดวงก็เปิดขึ้นพร้อมกัน มันสว่างจ้าเสียจนผมมองเห็นมันได้ด้วยหางตา ผมกับเจ๊แววหันไปมองพร้อมกัน แล้วหันกลับมามองหน้ากันอย่างงุนงง สักพักเจ๊แววก็รีบเดินไปคว้ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป ผมเดินออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน เหลียวมองไปรอบ ๆ ก็เห็นชาวบ้านทุกคน พากันรีบเดินเข้าบ้านของตัวเอง แล้วรีบปิดประตูอย่างลนลาน ผมยืนเหม่อมองไปรอบ ๆ กายอยู่คนเดียวกลางถนน ในใจสับสนไปหมด
วิมานของผม ความฝันที่ผมวาดไว้ และความรักของผม มันแหลกสลายลงเวลานั้น ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าสิ่งที่ผมเห็น มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ภายในเวลาเพียงข้ามวันไปได้ น้ำตาของผมเอ่อล้นออกมา จนไหลรินอาบแก้ม ผมหันไปมองบ้านชะแล่มช้า ๆ
โถ... ผมเห็นเธอยืนอยู่หน้าประตูบ้าน มองมาที่ผม ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ เธอยกมือปิดปาก แล้วปล่อยให้ความรู้สึกพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา เธอยังคงสวยเหมือนเดิม ไม่เละ อาบเลือด หรือซีดเผือดเหมือนในหนังเลย เธอสะอื้นร่ำไห้เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป เราสองคนยืนจ้องกันและกัน ต่างคนต่างหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ แม้เราจะยืนห่างกันมาก และอยู่กันคนละภพก็ตาม ในเสียงสะอื้น เธอเปล่งคำพูดออกมา
ชะแล่ม : พี่... หนูขอโทษ...
จบคำ ร่างเธอก็ค่อย ๆ เลือนลางหายไปต่อหน้าต่อตาผม ผมหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดใจ แหงนหน้าลืมตามองท้องฟ้า โทษตัวเองที่โง่เง่าไม่รู้อะไรเลย โทษสวรรค์ที่ส่งนางฟ้าตนนี้ลงมาหาไส้เดือนอย่างผม โทษโชคชะตาที่นำพาให้เราได้มาพบเจอกัน ผมกำหมดเอาไว้แน่น ขบกรามฝืนความเจ็บ พยายามตั้งสติกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทันใด ผมก็ตัดสินใจวิ่งเข้าไปในบ้านของชะแล่ม!
ผมพังประตูเข้ามาในบ้านของเธอ ผมไม่เกรงกลัวอะไรแล้ว! เธอไม่ผิด! ผมไม่ผิด! ผมรักเธอด้วยหัวใจ ผมไม่ต้องการร่างกายของเธอก็ได้ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผี ห้ามรักกับคนเหรอ? ใครเป็นคนกำหนด? ต่อให้คน ๆ นั้นเดินมาบอกผมเอง ผมก็จะฝ่าฝืน!
บุญทุย : ชะแล่ม! ชะแล่มครับ! หนูอยู่ไหน? ออกมาเถอะนะ
แต่กลับมีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่ตอบผมกลับมา ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น จนจมูกเริ่มตัน หายใจไม่สะดวกเข้าไปทุกขณะ ผมทรุดตัวลงกับพื้น ทิ้งสองเข่าลงอย่างอ่อนแรง
บุญทุย : ชะแล่ม หนูไม่ต้องขอโทษพี่นะครับ หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หนูทำให้พี่มีความสุขมาก ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่มีความสุขมากจริง ๆ และพี่ยังมีความสุขอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าหนูจะเป็นอะไรก็ช่าง หนูคือความสุขของพี่นะครับ ออกมาหาพี่เถอะนะ พี่ขอร้อง...
ได้ยินเสียงชะแล่มร้องไห้อยู่ในห้องครัว ผมรีบยันกายลุกขึ้นพรวด แล้ววิ่งตามเสียงไป "โถ... ชะแล่มครับ" ผมอุทานออกมา เมื่อเห็นเธอยืนอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว ด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเลือด ผมยอมรับ ว่าผมเป็นคนที่กลัวผี และยิ่งมาในรูปลักษณ์แบบนี้ ผมก็ยิ่งกลัว แต่ตอนนี้ ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ความรักอาจจะบังตาผมอยู่ก็ได้ ช่างมันเถอะ ผมตัดสินใจแล้ว
ชะแล่ม : พี่ก็รู้ว่าหนูตายไปแล้ว พี่ยังจะมายุ่งกับหนูอีกทำไม?
เธอจ้องมองมาที่ผม แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกับที่ผมได้ยินเมื่อคืน ตอนนี้ผมได้รับคำตอบที่ผมสงสัยมาทั้งหมดแล้ว ว่าเสียงนั้นเป็นของเธอนั่นเอง
บุญทุย : พี่บอกแล้วไง ว่าหนูคือความสุขของพี่
ชะแล่ม : คนกับผีอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะพี่ พี่ดูหนูสิ... หนูถูกฆ่าข่มขืนที่บ้านของเพื่อน พวกมันรุมโทรมหนู แล้วเอามีดแทงหนู ถึงตอนนี้หนูจะเป็นคน หนูก็คงไม่กล้ารักพี่หรอก พี่เป็นคนดี เป็นคนที่กำลังจะมีอนาคต พี่อย่าเอามันมาทิ้งไว้ที่หนูเลย
บุญทุย : ต่อให้ตอนนี้หนูเป็นคน พี่ก็จะยังรักหนู อนาคตของพี่ พี่สร้างมันด้วยตัวเองได้ มันไม่ได้หายไปไหน แต่พี่จะมีความสุขได้ยังไงถ้าไม่มีหนู
ชะแล่ม : พี่เลิกบ้าสักทีเถอะ! พี่ก็แค่หลงหนู ไม่ใช่รักหนู ต่อให้หนูยังไม่ตาย แล้วเราได้เป็นแฟนกันจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า พี่จะรักหนูคนเดียวตลอดไป ไม่มีอะไรรับรองได้ว่า พี่จะไม่เบื่อหนูแล้วทิ้งหนูไป ยิ่งตอนนี้เราต่างคนต่างรู้ฐานะของกันและกันดี เรายิ่งรู้ชัด ๆ แล้วว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ พี่ยังจะมาคิดบ้า ๆ แบบนี้อีกทำไม?
ผมส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมกับเดินอ้าแขนเข้าไปหาเธอ
ชะแล่ม : ถ้าพี่เข้ามา หนูจะหลอกพี่ให้ช็อคตายไปเลย!
ผมชะงักเท้ากระทันหัน แล้วจ้องมองไปที่หน้าของชะแล่ม
บุญทุย : เอาสิ! เอาเลยชะแล่ม! ถ้าคนกับผีรักกันไม่ได้ พี่ก็จะขอเป็นผีอยู่กับหนูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย! ทำเลยชะแล่ม ทำสิ!
ผมตวาดเธอเสียงดังและเกรี้ยวกราด และมั่นคงในความคิดบ้า ๆ ของผม ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ก็ดี ผีไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิต ตายซะได้ก็ดี อย่างน้อยผมก็จะได้อยู่กับเธอตลอดเวลา แม้จะเป็นห้วงแห่งความตายก็เถอะ
ชะแล่มทรุดกายลงกับพื้น ยกสองมือปิดหน้าแล้วร้ำไห้ ผมเดินเข้าไปที่ข้างกายเธอ ย่อตัวลงแล้วโอบกอดเธออย่างแผ่วเบา สัมผัสร่างกายที่เย็นเฉียบของเธอ แล้วเราก็พาหลั่งน้ำตาออกมา นี่ผมกำลังร้องไห้กับผีเหรอเนี่ย?
เธอค่อย ๆ หันหน้ามาหาผมอย่างช้า ๆ พร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า ขอบตาเต็มไปด้วยคราบเลือด ผิวหน้าซีดผาด ผมจ้องประสานตากับเธอ อย่างไม่ได้มีความหวาดกลัวใดใดทั้งสิ้น ผมยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แล้วบรรจงจูบที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา
เราจ้องตากันอีกครั้ง ก่อนที่ลูกตาของเธอจะหลุดออกมาจากเบ้า กลิ่นเน่าโชยคละคลุ้งไปทั่ว เลือดสีแดงฉานหลั่งออกมาจากทางจมูกและดวงตา ผมกอดเธอแน่นขึ้น ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะสงสารเธอ เธออ้าปากช้า ๆ ฟันของเธอค่อย ๆ หลุดร่วงลงมาทีละซี่ จากนั้นเธอส่งเสียงกรีดร้องใส่หน้าผม "อ๊า า า า า า า า า า า!!" แล้วทุกภาพของผม ก็กลายเป็นสีดำ...
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ท่ามกลางผู้คนที่มุงดูอยู่รอบกาย ที่ส่งเสียงเซ็งแซ่สับสน ผมนอนหงาย ร่างกายอ่อนระทวยอยู่บนตักของเจ๊แวว ที่บริเวณหน้าบ้านของผมเอง เมื่อทุกคนเห็นว่าผมลืมตาขึ้น ผมจึงถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เจ๊แววเล่าว่า ชาวบ้านได้ยินเสียงผมตวาดเสียงดัง จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิง พวกเขาจึงตัดสินใจออกมาช่วย ด้วยการพังประตูบ้านเข้าไป ก็เห็นผมนอนหมดสติอยู่ภายในห้องครัวบ้านชะแล่ม จึงพากันแบกร่างของผมออกมาไว้ที่บ้านผม แล้วโทรเรียกเจ๊แวว กับรถพยายาล
ผมพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ร่างกายของผมตอนนี้อ่อนแรงเหลือเกิน ผมเหลียวไปมองที่บ้านชะแล่ม ที่ตอนนี้ปิดไฟจนมืดมิดไปหมดแล้ว ผมหลับตาลงอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ เคลิ้มหลับไป กำหนดตั้งมั่นแน่วแน่ในจิตใจว่า "มารับพี่ไปทีเถิด ที่รักของพี่"
วันเวลาผ่านไปนานกว่าหกเดือน ผมยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ผมพยายามติดต่อกับชะแล่มทุกวัน ทุกวิถีทาง ทั้งตะโกนเรียก ทั้งแอบเข้าไปในบ้าน ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะออกมาพบผมเลย แม้กระทั่งฝันถึงก็ไม่เคย หากสิ่งที่เธอทำ เป็นการผลักผมให้พ้นไปจากเธอ เพื่อให้ผมได้มีอนาคตที่ดี โดยที่ไม่มีผีอย่างเธอมาเป็นตัวถ่วง อย่างที่เธอพูดล่ะก็ ป่านนี้เธอก็อาจจะไปสู่สุขติภพไปแล้วก็ได้
ผมได้งานทำสมใจ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเพียงไม่กี่วัน ได้ทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนดี ที่ทำงานไม่ไกลจากบ้านมากนัก แต่เพื่อนบ้านหลายคนเข้ามาถามไถ่ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งที่ผ่านมาแล้ว ทั้งถามประจำวัน ว่าวันนี้ผมเจออะไรบ้างหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่เคยรำคาญที่จะตอบว่า "ไม่เจออะไรเลย" แม้แต่น้อย
หกเดือนที่ผ่านมา งานของผมเข้าที่ขึ้นมาก จึงได้เวลาที่ผมจะพักผ่อน ด้วยการกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดสักที ผมเก็บเสื้อผ้าและเดินออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันรถไฟ ผมปิดประตูรั้วบ้านอย่างช้า ๆ แล้วจ้องมองแม่กุญแจอยู่อย่างนั้น พยายามข่มใจไม่ให้เหลียวหันไปมองบ้านชะแล้ม ผมหลับตา แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เบือนหน้าหนี แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ
เหมือนใจผมแทบจะสลายลงอีกครั้ง ผมคงไม่มีความสุขจริง ๆ นั่นแหละ ผมเกือบจะร้องไห้ แต่ก็ต้องข่มมันเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครหาว่าผมบ้า เดินฝ่าน้ำตามาสถานีรถไฟคนเดียว ผมพยายามเดินก้มหน้ามาตลอดทาง ต่างกับวันที่ผมมาที่นี่วันแรก ที่ผมมองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่วันนี้ผมกลับเดินซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก คล้ายความสุขและไฟในชีวิตของผม ถูกกระชากออกไปจากชีวิต ผมเดินขึ้นบันใดสถานีรถไฟช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองทาง
และเบื้องหน้าของผม ก็คือภาพของนางฟ้า ใส่ชุดนักศึกษา ตากลมมีประกาย เลิกคิ้วเรียวงาม มองมาที่ผมด้วยประกายที่ประหลาด เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมหยุดยืนเหม่อจ้องเธออย่างเลื่อนลอย มองเข้าไปในดวงตากลม ๆ คู่นั้นของเธอ ด้วยใจที่แผ่ซ่านไปด้วยความสุข ราวกันทั้งโลกนี้ เหลือเพียงแค่เราสองคน ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งไป เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงตราตรึงในหัวใจของผมเสมอมา...
"เดินทางปลอดภัยนะคะ... ที่รักของหนู"
...............................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ