เงาจาง
-
เขียนโดย โชจัง
วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.19 น.
1
6 วิจารณ์
3,709 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2558 14.22 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) เงาจาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเงาจาง
ผมเคยมีเพื่อนคนนึง มันชื่อไทร ไทรเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมก็ว่าได้ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ ป.๔ จนมาถึงตอนนี้ก็เกือบจะ ๙ ปี ได้แล้วมั้ง มันเป็น ๙ ปี ที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ถ้าถามว่าเพื่อนแท้มีจริงมั้ย ผมว่ามันนี่แหละเพื่อนแท้คนเดียวของผม กระทั่งวันหนึ่งที่ผมต้องไปร่วมงานศพ... ของมัน
ชัดเจนว่ามันคือการฆ่าตัวตาย เสียงกระสุนปืนดังลั่นขึ้นกลางดึกของวานก่อน แม่มันพบศพพร้อมปืนของพ่อมันในมือขวา ในสภาพศพเย็นชืด ระหว่างขมับสองข้างถูกเจาะทะลุด้วยลูกตะกั่วเม็ดเล็กๆ พร้อมโลหิตสีแดงฉานที่กำลังเจิ่งนองออกมาจากหัวมันอย่างน่าสยดสยอง
ผมเพิ่งรู้ข่าวการตายของมันเมื่อวานนี้ผ่านทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทันทีที่ลุงสรยุทธ์อ่านสคริปต์ข่าวเสร็จ น้ำตาปริมาณมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากเบ้าตาของผมในทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้ทิ้งตัวลงนอนเพื่อจะร่ำไห้ได้เต็มที่ ตำรวจสองนายก็ได้ขอเข้ามาพบตัวผม ในฐานะที่ผมอาจเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของมัน พวกเขาคงคิดว่าผมน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้แน่ๆ
ทว่า เมื่อผมได้ลองมานั่งคิดตริตรองดีๆ อีกที สิ่งที่เศร้ายิ่งกว่าการตายของไทร คือขณะที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎรกำลังสอบปากคำผม ในหัวของผมแทบไม่มีความคิดใดๆ เลยกับแต่ละคำถามที่เอ่ยออกมา ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ ส่ายหน้าไปมา แล้วได้แต่พร่ำบอกพวกเขาว่า “ผมไม่รู้อะไรเลย”
ที่ผมพูดมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความจริง
“ทำไมมันถึงฆ่าตัวตาย?”
“ผมไม่รู้”
“มันมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่า?”
“ผมไม่รู้”
“มันเป็นเพื่อนผมจริงๆ รึเปล่า?”
“ผมคิดว่าใช่ แต่สำหรับมัน... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เช้าวันถัดมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้ว มันเป็นวันจันทร์ที่นักเรียนอย่างผมต้องไปโรงเรียนเช่นทุกวัน ชีวิตผมยังต้องดำเนินต่อไป โดยที่โต๊ะข้างๆ กลายเป็นโต๊ะว่างไว้ให้วางขาเล่น เพื่อนทุกคนในห้องก็ยังทำตัวเหมือนปกติ บางทีคงมีแต่ผมคนเดียวแหละที่คิดมากเรื่องไทรคนเดียว
แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ความจริงก็คือถึงไทรจะอยู่หรือไม่อยู่ โลกก็สามารถหมุนต่อไปได้ ตัวตนของมันแทบไม่มีคุณค่าใดๆ เลยกับคนในห้อง มันเป็นคนเงียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษหรือแปลกแตกต่างจากชาวบ้านเลย เหตุผลข้อนี้ดูจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็ยิ่งตอกย้ำคำถามในใจผมเข้าไปใหญ่ ว่าทำไม “คนที่ไม่มีอะไรเลย” อย่างมันถึงตัดสินใจลั่นไกปืนกันนะ
วันแล้ววันเล่า มันก็ยิ่งทำให้หัวผมอยู่ไม่สุขอีกต่อไป แทบไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เพื่อนๆ ไม่ว่าจะในห้องเรียน พักเที่ยง หรือกระทั่งก่อนกลับบ้าน จะกล่าวถึงไทรผู้ล่วงลับคนนี้ มันไร้ตัวตน ไร้คุณค่าขนาดนั้นเชียวเหรอ การตายของมันอาจไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น แต่มันส่งผลกระทบเต็มๆ กับตัวผม ที่ได้แต่นั่งคิดแล้วคิดอีก กับคำถามที่วนเวียนไปมาในหัวเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นดั่งปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งผลมาถึงแฟนของผม พักหลังมานี้ สีหน้าของผมแทบไม่ได้เบิกบานเหมือนแต่เก่าเลย ความเครียดของผมพลอยทำให้แก้ว แฟนของผมอดเป็นห่วงไม่ได้ เรามีปากเสียงกัน แก้วบอกให้ผมเลิกคิดเรื่องไทรแล้วเดินหน้าต่อไป แต่ในฐานะเพื่อน ผมคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ อารมณ์ผู้หญิงนั้นแปรปรวนดั่งพายุ เธอไม่อาจทนกับสภาพของผมในตอนนี้ได้อีกต่อไป เธอเดินจากไปพร้อมกับประโยคทิ้งท้ายว่า “รู้จักมันดีพอรึยัง?”
“รู้จักมันดีพอรึยัง?”
ประโยคนี้ตอบโจทย์ทุกอย่างในหัวผมได้ทั้งหมด ผมคิดว่าผมเป็นเพื่อนมัน แต่การที่ผมแทบไม่รู้อะไรเลยกับเหตุการณ์ครั้งนี้ คงทำให้ความคิดนั้นเป็นเพียงลมปากที่พูดออกมาพล่อยๆ เท่านั้น ความจริงแล้วมันต้องมีอะไรมากกว่าที่ผมคิดแน่ๆ เพราะฉะนั้น เพื่อพิสูจน์ว่าผมเป็นเพื่อนมันจริง ผมต้องออกตามหาความจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ผมคงนอนตายตาหลับไม่ได้แน่นอน
วิธีง่ายๆ ในการออกค้นหาความจริงก็คือ ถามคำถามนี้กับเพื่อนคนอื่นๆ
“มึงคิดว่าไทรเป็นคนยังไง?”
ผมถามคำถามนี้กับทุกคนที่คิดว่ารู้จักกับไทร คำตอบส่วนใหญ่ก็ซ้ำๆ เดิมๆ “มันก็เป็นคนดีนะ” “ไม่รู้ดิ” “กูว่ากูไม่ค่อยสนิทกับมันเท่าไรอ่ะ” แทบทุกคนตอบด้วยประโยคทำนองนี้ กระทั่ง ผมได้เอ่ยถามคำถามนี้กับมิค เพื่อนที่น่าจะสนิทกับมันมากที่สุดรองๆ ลงมาจากผมเลยก็ว่าได้
ไทรเป็นมือกีตาร์ นี่คงเป็นตัวตนหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดของไทรแล้วมั้ง ตั้งแต่ ม.๓ แล้ว ที่ไทรตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ อีก ๒-๓ คน กลายเป็นวง “เสือเดช” วงร็อคระดับเทพ ที่โด่งดังอันดับต้นๆ ของโรงเรียน แต่คนที่ดังอยู่จริงๆ ก็เห็นจะมีแต่มิคที่เป็นนักร้องนำนี่แหละ นี่คือเหตุผลที่ผมตัดสินใจเดินเข้ามาถามมัน
“หลังๆ มาแม่งเหี้ยว่ะ”
คำตอบนี้เล่นเอาผมอึ้งไปพักใหญ่เลยทีเดียว เพราะอะไรกันนะ คนที่ผูกผันกันมาหลายปีอย่างมันถึงมองไทรเป็นคนอย่างนี้
“มึงจำได้ป่ะเดือนก่อนวงกูไม่ได้ลงสตริงอ่ะ” มิคเล่าให้ฟัง
“เออ ทำไมวะ” ผมถามต่อ
“ก็เพราะแม่งนี่แหละ ตอนซ้อมกันอยู่ดีๆ มันก็บอกอยากร้องบ้าง”
“?”
“คือเสียงมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรอ่ะ คนอื่นๆ ก็ค้านกันหมด” มิคเล่าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ทีนี้มันไม่ยอมเว้ย ตอนนั้นแม่งโคตรบ้าอ่ะ ตะโกนลั่นดังห้องซ้อมแถมจะเข้ามาบวกกูอีก จนกูต้องต่อยหน้ามันเตือนสติอ่ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมตกใจเล็กน้อย
“แต่ทีนี้มันยังไม่จบเว้ย พอแม่งล้มไปนอนเสร็จแล้วใช่ป่ะ อยู่ๆ มันก็ร้องไห้ว่ะ”
“!”
“เออ พวกกูก็เลยให้เวลามันไปสงบสติอารมณ์ สุดท้ายก็ไม่ได้เล่น... แต่ใครมันจะไปรู้วะ ว่าอยู่ๆ มันจะคิดสั้นงี้”
ทำไมมันถึงอยากจะร้อง? ทำไมมันถึงร้องไห้? คำให้การของมิคยิ่งตอกย้ำได้เป็นอย่างดี ว่าเบื้องหลังการตายของไทรมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ หลังจากนั้น ผมได้ถามคำถามนี้กับสมาชิกวงคนอื่นๆ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็เหมือนกับมิค หรือก็คือพฤติกรรมแย่ๆ ของไทรนั่นเอง
ตอนนี้ ผมคิดว่าจบจากสมาชิกวงเสือเดช ก็คงไม่มีใครเหลือให้ผมถามคำถามนี้แล้วแหละ ตั้งแต่เพื่อน ม.ต้น เพื่อน ม.ปลาย กระทั่งเพื่อนห่างๆ คนอื่นๆ ผมถามมาหมดแทบทุกคนแล้ว จะเหลือก็แต่เพียง ไอ้ขี้ยาที่ชื่อปอนด์นี่แหละ
ปอนด์เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมกับไทรมาตั้งแต่ ม.ต้น แต่จากพฤติกรรมแย่ๆ ของมัน ที่มักจะพาเพื่อนกลุ่มหนึ่งหนีออกนอกโรงเรียนไปเล่นยากัน เป็นเหตุให้เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากสุงสิงกับมันเท่าไรนัก ซึ่งนั่นก็รวมถึงผมกับไทรด้วย ถึงผมจะไม่อยากคุยกับมันเท่าไร แต่มันก็จำเป็น เพราะถึงจะเป็นเพียงความหวังริบหรี่ก็เถอะ ผมก็ต้องลอง
“กูว่าแม่งดีดจนตายอ่ะ”
ดีดที่ปอนด์พูดถึงคงไม่ใช่โดนม้าดีดตายแน่ๆ แต่ที่มันกำลังพูดถึงคืออาการเล่นยาเกินขนาด เหมือนที่ดาราดังๆ ชอบทำจนตายกัน แต่คนอย่างไทรเนี่ยนะจะเล่นยา?
“เดี๋ยวๆๆ นี่มันเคยไปกับมึงด้วยเหรอ?” ผมเอ่ยถามทันที
“เหี้ยนี่ยิ่งกว่าเคยอ่ะ” ปอนด์บอก “หลังๆ มานี่ไปกันบ่อยชิบหาย”
“แล้วมัน... เอ่อ... ไปกับมึงตั้งกะตอนไหนเนี่ย”
“ก็ไม่นานเท่าไรอ่ะ” ปอนด์ตอบด้วยสายตาเลื่อนลอย “อยู่ๆ แม่งก็เข้ามาหาพวกกูแล้วก็บอกเสี้ยน อยากไปด้วย กูก็เลยพามันไปเลย”
“...” ผมใคร่ครวญอยู่นาน “งั้นมึงก็ทำมัน...”
“เฮ้ยๆ อันนี้กูไม่เกี่ยวนะ ก่อนมันตายมันก็ไม่ค่อยมา...”
“มึงอ่ะเกี่ยวเต็มๆ เลย!!!” ผมกระชากคอเสื้อมันขึ้นมาเต็มแรงด้วยความโกรธ “เพราะมึง...”
“กฤต”
วินาทีนั้นผมโกรธเสียจนเดือดดาลสุดๆ ไม่มีเหตุผลใดเลย ที่ผมจะสามารถอภัยให้คนที่พาเพื่อนผมหลงผิดจนตายได้ถึงเพียงนี้ หมัดของผมพร้อมพุ่งเข้าใส่หน้ามันทุกเมื่อ หากแต่เสียงๆ หนึ่งที่ดังออกมาเพื่อเตือนสติผม กลับเป็นเสียงเล็กๆ ของแก้ว
ท่ามกลางความดำมืดของจิตใจที่เข้าปกคลุมจิตใจผม ใบหน้าอันตื่นตระหนกของเธอทำให้แสงสว่างถูกจุดขึ้นมาในใจผมอีกครั้ง ผมปล่อยตัวปอนด์ลง และเริ่มตระหนักได้ว่า ถึงไอ้ขี้ยาคนนี้จะผิดจริง แต่ส่วนหนึ่งมันก็เพราะไทรที่ไม่อาจควบคุมใจตนเองได้ ฤทธิ์ยาอาจจะร้ายแรงจริง แต่ที่ปัจจัยหนึ่งที่นำพามาสู่ความตาย คือสภาพจิตใจอันอ่อนแอของมันเอง
ผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รับรู้ให้แก้วฟัง เธอเป็นเหมือนที่ปรึกษาเดียวของผมในตอนนี้ และคำแนะนำเดียวของเธอที่ช่วยชี้นำผมก็คือ
“อย่าคิดมากเลย”
เย็นวันนั้น ผมตั้งใจจะทิ้งเรื่องของไทรเอาไว้เบื้องหลังก่อน แล้วตัดสินใจใช้ชีวิตของผมให้คุ้มค่าที่สุด ผมกับแก้วออกไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกในรอบหลายวัน เราไปดูหนัง กินข้าว กระทั่งนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน เป็นครั้งแรกหลังจากไทรตาย ที่ผมได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องพะวงเรื่องเพื่อนคนนี้อีกต่อไป ผมคงลืมเรื่องของมันไปแล้ว ถ้าผมไม่เดินลงมาส่งแก้วหน้าปากซอย
หลังจากส่งแฟนถึงบ้านเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปยังบ้านของผมบ้าง หากแต่ในขณะที่ผมกำลังยืนรอรถเมล์อยู่นั้นเอง ผมก็ได้พบกับชิ
ชิคือหัวโจกของโรงเรียนผม มันมักจะไปไหนมาไหนพร้อมกับเพื่อนแก๊งมันอีกหลายคน ส่วนใหญ่ก็เพื่อมีเรื่องกับอริต่างโรงเรียน ทุกๆ วันชิจะมาพร้อมแผลเต็มตัว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไร และช่างบังเอิญเหลือเกิน ที่ผมสนิทกับมันพอสมควรเลยทีเดียว
“อ้าว กฤต” ชิโบกมือทักทาย “มาทำไรแถวนี้เนี่ย?”
“ส่งเมีย” ผมยิ้มตอบ
“เหรอ?” ชิขานรับ “เออ ได้ข่าวว่าพักนี้มึงเอาแต่ไล่ถามคนเรื่องไอ้ไทรนี่หว่า”
“...” คำพูดนี้เล่นเอาเรื่องของไทรหวนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง “มึงรู้ไรมั่งวะ?”
“รู้?”
“มึงคิดว่ามันเป็นคนยังไง?” ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามนี้ไม่ได้
“อ๋อ” ชิยิ้มตอบ “เหี้ยดี”
“...” ผมนิ่งไปซักพักกับคำตอบตรงๆ เช่นนี้ “ทำไมวะ?”
“เรื่องมันนานแล้ว” ชิเริ่มเล่าพร้อมหยิบบุหรี่ตัวนึงขึ้นมาจุด “อยู่ๆ แม่งก็เข้ามาตีซี้กับพวกกู เสร็จแล้วก็ชอบไปไหนมาไหน ไปตีกับโรงเรียนอื่นแม่งก็ขอตามไปด้วย น่ารำคาญชิบหาย”
“...” ผมอึ้งไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“บอกตรงๆ นะ แม่งตายๆ ไปแหละดีแล้ว”
ประโยคที่ชิเอ่ยออกมาทำให้โทสะในใจผมถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง ผมตัดสินใจต่อยใส่หน้ามันเต็มๆ แรงโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ไทรเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม และผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาดูถูกมัน ถึงแม้ตัวมันจะตายไปนานแล้วก็ตาม
แต่สิ่งที่ผมลืมคิดไปอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่น่าไปหาเรื่องกับหัวโจกประจำโรงเรียนอย่างมันเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินไปโรงเรียนพร้อมตาบวมๆ แต่มันกลับไม่มีผลใดๆ เลย เมื่อเทียบกับเรื่องราวของไทรที่หวนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง
เมื่อคืนก่อน ผมคิดว่าแก้วได้ทำให้ผมลืมเรื่องราวทั้งหมดลงแล้ว แต่เมื่อได้พบกับชิ ไทรกลับเดินกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง เรื่องราวของไทรมันเกินกว่าที่ผมจะพรรณนาได้จริงๆ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องยาอีกต่อไป แต่การที่มันอยากเข้ากลุ่มกับชิขนาดนี้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
ตลอดทั้งวันผมได้แต่นั่งหน้าเครียดไม่ยอมพูดกับใคร เหมือนคำพูดของชิได้ทำร้ายผมทางอ้อมจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คาบเช้า พักเที่ยง คาบบ่าย เรื่อยมาจนถึงตอนเย็นที่ผมลงมานั่งคุยกับแก้วใต้ตึก แก้วเองคงเข้าใจความรู้สึกผมเต็มอก ที่เธอทำได้มีเพียงการปลอบประโลมผมให้หายเครียด แต่ไม่เลย ผมคงไม่มีทางหลุดพ้นได้หากไม่ได้ล่วงรู้ความจริง
แต่ความจริงกลับอยู่ใกล้กับผมแค่เอื้อมเท่านั้น เมื่อแก้วขอตัวไปห้องน้ำ เธอลืมโทรศัพท์ไว้บนม้านั่ง ตอนนั้นเอง ผมก็เริ่มคิดอะไรได้
“กูแอบชอบเพื่อนมึงว่ะ”
ไทรเคยพูดประโยคนี้กับผมตอน ม.๕ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนผมกับแก้วจะลงเอยกัน ผมตัดสินใจยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์แก้วขึ้นมา เปิดอ่านดูข้อความในไลน์ และพบกับข้อความหนึ่งที่ไทรส่งให้เธอ ในวันที่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ดูเหมือนว่าไทรจะชอบแฟนผมจริงๆ เขาส่งข้อความไปหาแก้วว่า “ยังไม่พออีกเหรอ?” ถึงผมจะไม่ได้เลื่อนขึ้นไปดูข้อความก่อนๆ แต่ก็พอจับใจความได้ ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นเพราะเรื่องรักสามเศร้าระหว่างผม ไทร และแก้วนั่นเอง
และคนที่ดูจะผิดเต็มๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน มันเป็นผมเองที่เผลอฆ่าไทรโดยไม่รู้ตัว
ไทรเป็นคนจืดจาง ขณะที่ผมเป็นคนเพียบพร้อมพอจะครองใจแก้วได้ เพราะอย่างนี้เอง มันถึงทำตัวให้มีคุณค่าพอเทียบเคียงกับผม มันอยากเป็นหัวหน้าวง ก็เพราะอยากโด่งดังแบบมิค มันติดยา ก็เพราะคิดว่าทำแล้วจะดูเท่ห์ มันอยากเข้ากลุ่มนักเลง เพราะอยากทำตัวเป็นลูกผู้ชาย
แต่เงาก็ย่อมเป็นเงาวันยังค่ำ ถึงมันจะทำตัวให้มีคุณค่าเช่นไร คนอื่นๆ ก็ได้แต่มองมันเป็นคนไม่มีอะไรดี เป็นแค่คนอยากดัง เป็นเพียงเงาที่อยากได้รับแสงสว่างจะได้มีตัวตนจริงๆ แต่ไม่ใช่เลย แสงสว่างมีแต่จะทำลายเงาให้จางหายไป มันเป็นได้แค่เงาจางๆ เท่านั้น
และถ้าถามผมอีกครั้งว่าผมรู้จักมันดีพอรึยัง ผมคงตอบได้สั้นๆ ว่า
“ไม่เลย”
ผมเคยมีเพื่อนคนนึง มันชื่อไทร ไทรเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมก็ว่าได้ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ ป.๔ จนมาถึงตอนนี้ก็เกือบจะ ๙ ปี ได้แล้วมั้ง มันเป็น ๙ ปี ที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ถ้าถามว่าเพื่อนแท้มีจริงมั้ย ผมว่ามันนี่แหละเพื่อนแท้คนเดียวของผม กระทั่งวันหนึ่งที่ผมต้องไปร่วมงานศพ... ของมัน
ชัดเจนว่ามันคือการฆ่าตัวตาย เสียงกระสุนปืนดังลั่นขึ้นกลางดึกของวานก่อน แม่มันพบศพพร้อมปืนของพ่อมันในมือขวา ในสภาพศพเย็นชืด ระหว่างขมับสองข้างถูกเจาะทะลุด้วยลูกตะกั่วเม็ดเล็กๆ พร้อมโลหิตสีแดงฉานที่กำลังเจิ่งนองออกมาจากหัวมันอย่างน่าสยดสยอง
ผมเพิ่งรู้ข่าวการตายของมันเมื่อวานนี้ผ่านทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทันทีที่ลุงสรยุทธ์อ่านสคริปต์ข่าวเสร็จ น้ำตาปริมาณมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากเบ้าตาของผมในทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้ทิ้งตัวลงนอนเพื่อจะร่ำไห้ได้เต็มที่ ตำรวจสองนายก็ได้ขอเข้ามาพบตัวผม ในฐานะที่ผมอาจเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของมัน พวกเขาคงคิดว่าผมน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้แน่ๆ
ทว่า เมื่อผมได้ลองมานั่งคิดตริตรองดีๆ อีกที สิ่งที่เศร้ายิ่งกว่าการตายของไทร คือขณะที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎรกำลังสอบปากคำผม ในหัวของผมแทบไม่มีความคิดใดๆ เลยกับแต่ละคำถามที่เอ่ยออกมา ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ ส่ายหน้าไปมา แล้วได้แต่พร่ำบอกพวกเขาว่า “ผมไม่รู้อะไรเลย”
ที่ผมพูดมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความจริง
“ทำไมมันถึงฆ่าตัวตาย?”
“ผมไม่รู้”
“มันมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่า?”
“ผมไม่รู้”
“มันเป็นเพื่อนผมจริงๆ รึเปล่า?”
“ผมคิดว่าใช่ แต่สำหรับมัน... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เช้าวันถัดมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้ว มันเป็นวันจันทร์ที่นักเรียนอย่างผมต้องไปโรงเรียนเช่นทุกวัน ชีวิตผมยังต้องดำเนินต่อไป โดยที่โต๊ะข้างๆ กลายเป็นโต๊ะว่างไว้ให้วางขาเล่น เพื่อนทุกคนในห้องก็ยังทำตัวเหมือนปกติ บางทีคงมีแต่ผมคนเดียวแหละที่คิดมากเรื่องไทรคนเดียว
แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ความจริงก็คือถึงไทรจะอยู่หรือไม่อยู่ โลกก็สามารถหมุนต่อไปได้ ตัวตนของมันแทบไม่มีคุณค่าใดๆ เลยกับคนในห้อง มันเป็นคนเงียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษหรือแปลกแตกต่างจากชาวบ้านเลย เหตุผลข้อนี้ดูจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็ยิ่งตอกย้ำคำถามในใจผมเข้าไปใหญ่ ว่าทำไม “คนที่ไม่มีอะไรเลย” อย่างมันถึงตัดสินใจลั่นไกปืนกันนะ
วันแล้ววันเล่า มันก็ยิ่งทำให้หัวผมอยู่ไม่สุขอีกต่อไป แทบไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เพื่อนๆ ไม่ว่าจะในห้องเรียน พักเที่ยง หรือกระทั่งก่อนกลับบ้าน จะกล่าวถึงไทรผู้ล่วงลับคนนี้ มันไร้ตัวตน ไร้คุณค่าขนาดนั้นเชียวเหรอ การตายของมันอาจไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น แต่มันส่งผลกระทบเต็มๆ กับตัวผม ที่ได้แต่นั่งคิดแล้วคิดอีก กับคำถามที่วนเวียนไปมาในหัวเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นดั่งปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งผลมาถึงแฟนของผม พักหลังมานี้ สีหน้าของผมแทบไม่ได้เบิกบานเหมือนแต่เก่าเลย ความเครียดของผมพลอยทำให้แก้ว แฟนของผมอดเป็นห่วงไม่ได้ เรามีปากเสียงกัน แก้วบอกให้ผมเลิกคิดเรื่องไทรแล้วเดินหน้าต่อไป แต่ในฐานะเพื่อน ผมคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ อารมณ์ผู้หญิงนั้นแปรปรวนดั่งพายุ เธอไม่อาจทนกับสภาพของผมในตอนนี้ได้อีกต่อไป เธอเดินจากไปพร้อมกับประโยคทิ้งท้ายว่า “รู้จักมันดีพอรึยัง?”
“รู้จักมันดีพอรึยัง?”
ประโยคนี้ตอบโจทย์ทุกอย่างในหัวผมได้ทั้งหมด ผมคิดว่าผมเป็นเพื่อนมัน แต่การที่ผมแทบไม่รู้อะไรเลยกับเหตุการณ์ครั้งนี้ คงทำให้ความคิดนั้นเป็นเพียงลมปากที่พูดออกมาพล่อยๆ เท่านั้น ความจริงแล้วมันต้องมีอะไรมากกว่าที่ผมคิดแน่ๆ เพราะฉะนั้น เพื่อพิสูจน์ว่าผมเป็นเพื่อนมันจริง ผมต้องออกตามหาความจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ผมคงนอนตายตาหลับไม่ได้แน่นอน
วิธีง่ายๆ ในการออกค้นหาความจริงก็คือ ถามคำถามนี้กับเพื่อนคนอื่นๆ
“มึงคิดว่าไทรเป็นคนยังไง?”
ผมถามคำถามนี้กับทุกคนที่คิดว่ารู้จักกับไทร คำตอบส่วนใหญ่ก็ซ้ำๆ เดิมๆ “มันก็เป็นคนดีนะ” “ไม่รู้ดิ” “กูว่ากูไม่ค่อยสนิทกับมันเท่าไรอ่ะ” แทบทุกคนตอบด้วยประโยคทำนองนี้ กระทั่ง ผมได้เอ่ยถามคำถามนี้กับมิค เพื่อนที่น่าจะสนิทกับมันมากที่สุดรองๆ ลงมาจากผมเลยก็ว่าได้
ไทรเป็นมือกีตาร์ นี่คงเป็นตัวตนหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดของไทรแล้วมั้ง ตั้งแต่ ม.๓ แล้ว ที่ไทรตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ อีก ๒-๓ คน กลายเป็นวง “เสือเดช” วงร็อคระดับเทพ ที่โด่งดังอันดับต้นๆ ของโรงเรียน แต่คนที่ดังอยู่จริงๆ ก็เห็นจะมีแต่มิคที่เป็นนักร้องนำนี่แหละ นี่คือเหตุผลที่ผมตัดสินใจเดินเข้ามาถามมัน
“หลังๆ มาแม่งเหี้ยว่ะ”
คำตอบนี้เล่นเอาผมอึ้งไปพักใหญ่เลยทีเดียว เพราะอะไรกันนะ คนที่ผูกผันกันมาหลายปีอย่างมันถึงมองไทรเป็นคนอย่างนี้
“มึงจำได้ป่ะเดือนก่อนวงกูไม่ได้ลงสตริงอ่ะ” มิคเล่าให้ฟัง
“เออ ทำไมวะ” ผมถามต่อ
“ก็เพราะแม่งนี่แหละ ตอนซ้อมกันอยู่ดีๆ มันก็บอกอยากร้องบ้าง”
“?”
“คือเสียงมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรอ่ะ คนอื่นๆ ก็ค้านกันหมด” มิคเล่าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ทีนี้มันไม่ยอมเว้ย ตอนนั้นแม่งโคตรบ้าอ่ะ ตะโกนลั่นดังห้องซ้อมแถมจะเข้ามาบวกกูอีก จนกูต้องต่อยหน้ามันเตือนสติอ่ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมตกใจเล็กน้อย
“แต่ทีนี้มันยังไม่จบเว้ย พอแม่งล้มไปนอนเสร็จแล้วใช่ป่ะ อยู่ๆ มันก็ร้องไห้ว่ะ”
“!”
“เออ พวกกูก็เลยให้เวลามันไปสงบสติอารมณ์ สุดท้ายก็ไม่ได้เล่น... แต่ใครมันจะไปรู้วะ ว่าอยู่ๆ มันจะคิดสั้นงี้”
ทำไมมันถึงอยากจะร้อง? ทำไมมันถึงร้องไห้? คำให้การของมิคยิ่งตอกย้ำได้เป็นอย่างดี ว่าเบื้องหลังการตายของไทรมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ หลังจากนั้น ผมได้ถามคำถามนี้กับสมาชิกวงคนอื่นๆ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็เหมือนกับมิค หรือก็คือพฤติกรรมแย่ๆ ของไทรนั่นเอง
ตอนนี้ ผมคิดว่าจบจากสมาชิกวงเสือเดช ก็คงไม่มีใครเหลือให้ผมถามคำถามนี้แล้วแหละ ตั้งแต่เพื่อน ม.ต้น เพื่อน ม.ปลาย กระทั่งเพื่อนห่างๆ คนอื่นๆ ผมถามมาหมดแทบทุกคนแล้ว จะเหลือก็แต่เพียง ไอ้ขี้ยาที่ชื่อปอนด์นี่แหละ
ปอนด์เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมกับไทรมาตั้งแต่ ม.ต้น แต่จากพฤติกรรมแย่ๆ ของมัน ที่มักจะพาเพื่อนกลุ่มหนึ่งหนีออกนอกโรงเรียนไปเล่นยากัน เป็นเหตุให้เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากสุงสิงกับมันเท่าไรนัก ซึ่งนั่นก็รวมถึงผมกับไทรด้วย ถึงผมจะไม่อยากคุยกับมันเท่าไร แต่มันก็จำเป็น เพราะถึงจะเป็นเพียงความหวังริบหรี่ก็เถอะ ผมก็ต้องลอง
“กูว่าแม่งดีดจนตายอ่ะ”
ดีดที่ปอนด์พูดถึงคงไม่ใช่โดนม้าดีดตายแน่ๆ แต่ที่มันกำลังพูดถึงคืออาการเล่นยาเกินขนาด เหมือนที่ดาราดังๆ ชอบทำจนตายกัน แต่คนอย่างไทรเนี่ยนะจะเล่นยา?
“เดี๋ยวๆๆ นี่มันเคยไปกับมึงด้วยเหรอ?” ผมเอ่ยถามทันที
“เหี้ยนี่ยิ่งกว่าเคยอ่ะ” ปอนด์บอก “หลังๆ มานี่ไปกันบ่อยชิบหาย”
“แล้วมัน... เอ่อ... ไปกับมึงตั้งกะตอนไหนเนี่ย”
“ก็ไม่นานเท่าไรอ่ะ” ปอนด์ตอบด้วยสายตาเลื่อนลอย “อยู่ๆ แม่งก็เข้ามาหาพวกกูแล้วก็บอกเสี้ยน อยากไปด้วย กูก็เลยพามันไปเลย”
“...” ผมใคร่ครวญอยู่นาน “งั้นมึงก็ทำมัน...”
“เฮ้ยๆ อันนี้กูไม่เกี่ยวนะ ก่อนมันตายมันก็ไม่ค่อยมา...”
“มึงอ่ะเกี่ยวเต็มๆ เลย!!!” ผมกระชากคอเสื้อมันขึ้นมาเต็มแรงด้วยความโกรธ “เพราะมึง...”
“กฤต”
วินาทีนั้นผมโกรธเสียจนเดือดดาลสุดๆ ไม่มีเหตุผลใดเลย ที่ผมจะสามารถอภัยให้คนที่พาเพื่อนผมหลงผิดจนตายได้ถึงเพียงนี้ หมัดของผมพร้อมพุ่งเข้าใส่หน้ามันทุกเมื่อ หากแต่เสียงๆ หนึ่งที่ดังออกมาเพื่อเตือนสติผม กลับเป็นเสียงเล็กๆ ของแก้ว
ท่ามกลางความดำมืดของจิตใจที่เข้าปกคลุมจิตใจผม ใบหน้าอันตื่นตระหนกของเธอทำให้แสงสว่างถูกจุดขึ้นมาในใจผมอีกครั้ง ผมปล่อยตัวปอนด์ลง และเริ่มตระหนักได้ว่า ถึงไอ้ขี้ยาคนนี้จะผิดจริง แต่ส่วนหนึ่งมันก็เพราะไทรที่ไม่อาจควบคุมใจตนเองได้ ฤทธิ์ยาอาจจะร้ายแรงจริง แต่ที่ปัจจัยหนึ่งที่นำพามาสู่ความตาย คือสภาพจิตใจอันอ่อนแอของมันเอง
ผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รับรู้ให้แก้วฟัง เธอเป็นเหมือนที่ปรึกษาเดียวของผมในตอนนี้ และคำแนะนำเดียวของเธอที่ช่วยชี้นำผมก็คือ
“อย่าคิดมากเลย”
เย็นวันนั้น ผมตั้งใจจะทิ้งเรื่องของไทรเอาไว้เบื้องหลังก่อน แล้วตัดสินใจใช้ชีวิตของผมให้คุ้มค่าที่สุด ผมกับแก้วออกไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกในรอบหลายวัน เราไปดูหนัง กินข้าว กระทั่งนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน เป็นครั้งแรกหลังจากไทรตาย ที่ผมได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องพะวงเรื่องเพื่อนคนนี้อีกต่อไป ผมคงลืมเรื่องของมันไปแล้ว ถ้าผมไม่เดินลงมาส่งแก้วหน้าปากซอย
หลังจากส่งแฟนถึงบ้านเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปยังบ้านของผมบ้าง หากแต่ในขณะที่ผมกำลังยืนรอรถเมล์อยู่นั้นเอง ผมก็ได้พบกับชิ
ชิคือหัวโจกของโรงเรียนผม มันมักจะไปไหนมาไหนพร้อมกับเพื่อนแก๊งมันอีกหลายคน ส่วนใหญ่ก็เพื่อมีเรื่องกับอริต่างโรงเรียน ทุกๆ วันชิจะมาพร้อมแผลเต็มตัว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไร และช่างบังเอิญเหลือเกิน ที่ผมสนิทกับมันพอสมควรเลยทีเดียว
“อ้าว กฤต” ชิโบกมือทักทาย “มาทำไรแถวนี้เนี่ย?”
“ส่งเมีย” ผมยิ้มตอบ
“เหรอ?” ชิขานรับ “เออ ได้ข่าวว่าพักนี้มึงเอาแต่ไล่ถามคนเรื่องไอ้ไทรนี่หว่า”
“...” คำพูดนี้เล่นเอาเรื่องของไทรหวนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง “มึงรู้ไรมั่งวะ?”
“รู้?”
“มึงคิดว่ามันเป็นคนยังไง?” ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามนี้ไม่ได้
“อ๋อ” ชิยิ้มตอบ “เหี้ยดี”
“...” ผมนิ่งไปซักพักกับคำตอบตรงๆ เช่นนี้ “ทำไมวะ?”
“เรื่องมันนานแล้ว” ชิเริ่มเล่าพร้อมหยิบบุหรี่ตัวนึงขึ้นมาจุด “อยู่ๆ แม่งก็เข้ามาตีซี้กับพวกกู เสร็จแล้วก็ชอบไปไหนมาไหน ไปตีกับโรงเรียนอื่นแม่งก็ขอตามไปด้วย น่ารำคาญชิบหาย”
“...” ผมอึ้งไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“บอกตรงๆ นะ แม่งตายๆ ไปแหละดีแล้ว”
ประโยคที่ชิเอ่ยออกมาทำให้โทสะในใจผมถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง ผมตัดสินใจต่อยใส่หน้ามันเต็มๆ แรงโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ไทรเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม และผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาดูถูกมัน ถึงแม้ตัวมันจะตายไปนานแล้วก็ตาม
แต่สิ่งที่ผมลืมคิดไปอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่น่าไปหาเรื่องกับหัวโจกประจำโรงเรียนอย่างมันเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินไปโรงเรียนพร้อมตาบวมๆ แต่มันกลับไม่มีผลใดๆ เลย เมื่อเทียบกับเรื่องราวของไทรที่หวนกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง
เมื่อคืนก่อน ผมคิดว่าแก้วได้ทำให้ผมลืมเรื่องราวทั้งหมดลงแล้ว แต่เมื่อได้พบกับชิ ไทรกลับเดินกลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง เรื่องราวของไทรมันเกินกว่าที่ผมจะพรรณนาได้จริงๆ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องยาอีกต่อไป แต่การที่มันอยากเข้ากลุ่มกับชิขนาดนี้ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
ตลอดทั้งวันผมได้แต่นั่งหน้าเครียดไม่ยอมพูดกับใคร เหมือนคำพูดของชิได้ทำร้ายผมทางอ้อมจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คาบเช้า พักเที่ยง คาบบ่าย เรื่อยมาจนถึงตอนเย็นที่ผมลงมานั่งคุยกับแก้วใต้ตึก แก้วเองคงเข้าใจความรู้สึกผมเต็มอก ที่เธอทำได้มีเพียงการปลอบประโลมผมให้หายเครียด แต่ไม่เลย ผมคงไม่มีทางหลุดพ้นได้หากไม่ได้ล่วงรู้ความจริง
แต่ความจริงกลับอยู่ใกล้กับผมแค่เอื้อมเท่านั้น เมื่อแก้วขอตัวไปห้องน้ำ เธอลืมโทรศัพท์ไว้บนม้านั่ง ตอนนั้นเอง ผมก็เริ่มคิดอะไรได้
“กูแอบชอบเพื่อนมึงว่ะ”
ไทรเคยพูดประโยคนี้กับผมตอน ม.๕ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนผมกับแก้วจะลงเอยกัน ผมตัดสินใจยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์แก้วขึ้นมา เปิดอ่านดูข้อความในไลน์ และพบกับข้อความหนึ่งที่ไทรส่งให้เธอ ในวันที่เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย
ดูเหมือนว่าไทรจะชอบแฟนผมจริงๆ เขาส่งข้อความไปหาแก้วว่า “ยังไม่พออีกเหรอ?” ถึงผมจะไม่ได้เลื่อนขึ้นไปดูข้อความก่อนๆ แต่ก็พอจับใจความได้ ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นเพราะเรื่องรักสามเศร้าระหว่างผม ไทร และแก้วนั่นเอง
และคนที่ดูจะผิดเต็มๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะเมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน มันเป็นผมเองที่เผลอฆ่าไทรโดยไม่รู้ตัว
ไทรเป็นคนจืดจาง ขณะที่ผมเป็นคนเพียบพร้อมพอจะครองใจแก้วได้ เพราะอย่างนี้เอง มันถึงทำตัวให้มีคุณค่าพอเทียบเคียงกับผม มันอยากเป็นหัวหน้าวง ก็เพราะอยากโด่งดังแบบมิค มันติดยา ก็เพราะคิดว่าทำแล้วจะดูเท่ห์ มันอยากเข้ากลุ่มนักเลง เพราะอยากทำตัวเป็นลูกผู้ชาย
แต่เงาก็ย่อมเป็นเงาวันยังค่ำ ถึงมันจะทำตัวให้มีคุณค่าเช่นไร คนอื่นๆ ก็ได้แต่มองมันเป็นคนไม่มีอะไรดี เป็นแค่คนอยากดัง เป็นเพียงเงาที่อยากได้รับแสงสว่างจะได้มีตัวตนจริงๆ แต่ไม่ใช่เลย แสงสว่างมีแต่จะทำลายเงาให้จางหายไป มันเป็นได้แค่เงาจางๆ เท่านั้น
และถ้าถามผมอีกครั้งว่าผมรู้จักมันดีพอรึยัง ผมคงตอบได้สั้นๆ ว่า
“ไม่เลย”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ