บทสับสนคนแก้ใจ
-
เขียนโดย นายน่าเบื่อ
วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.36 น.
1 ตอน
1 วิจารณ์
3,557 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557 17.40 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทสับสนคนแก้ใจ
จอคอมส่องแสงสว่างในห้องมืดที่เงียบสงบ ผมกำลังนั่งมองจอด้วยความรู้สึกสับสนปนกันไปหมด แม้ยามนี้เวลาจะเดินไปเลื่อย ๆ ด้วยความแน่นอนที่ผู้คนยอมรับไว้ในตัวเลข หากแต่มันไม่ได้สำคัญกับผมเลย ขณะที่นั่งมองจอคอมเบื้องหน้า ไม่มีความรู้สึกว่าจะลุกออกไปที่ไหน เบื้องหน้าคือความอยากที่จะกดนิ้วลงไปอย่างลังเล แสงนัว ๆ หน้าจอกับห้องมืด ๆ ทำให้ผมนั่งถอนใจอีกหน หน้าจอคอมที่เดิม
ผ่านมาไม่นานในความรู้สึกเลยกับหลายอย่างในหนึ่งอาทิตย์ ผมห่างหายกับการเขียนไปหนึ่งอาทิตย์ มันก็ไม่นานหรอกถ้าจะเทียบกับเวลาเอื่อยเฉื่อยทั้งชีวิตที่ใช้มา หากแต่ในความรู้สึกครั้งนี้มันต่างออกไป เหมือนหัวใจที่อ่อนแรงลงกับเหตุการณ์บ้า ๆ สร้างความสนเทให้มากกว่าความเท่บนหน้ากระดาษ เรื่องราวของความรักมันเย็นชืดเพียงผ่านความสับสน นี้ชีวิตผมแปลผันไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเอง ยิ่งนึกเท่าไหร่ก็ยิ่งมองหน้าจอคอมที่เปิดโปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด ค้างไว ณ ช่วงความคิดแบบนี้ที่สับสนเกินจะเขียนอะไรลงไปบนหน้ากระดาษว่างเปล่า ก็คิดไว้แล้วเหมือนกันว่าคงไม่สามารถพิมพ์อะไรได้หรอก ถ้าพิมพ์ได้มันคงไม่ค่อยมีสาระที่จะทำให้ใครอ่านมีความสุข
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มตกลงเพื่อหลบไปอีกซีกโลก ภายในห้องของผมแสงก็ลดลงเช่นกัน ผมแปลกใจทีเดียวที่ตัวเองยังสนใจรอบรอบตัว สิ่งเหล่านั้นยังคงให้ความรู้สึกอันแสนถวิลหา สัปดาห์หนึ่งแล้วที่ไม่ได้มองอะไรรอบข้างอย่างเพลินจิต ในตัวตนสั่นไหวมากกว่าจะจับต้องสัมผัสอ่อนโยนของความรู้สึก คงมีเพียงคลื่นความหวนหาไห้ใจหล่นไปในความวังเวง ผมพึ่งค้นพบในเวลาที่แสงแดดในห้องคล้อยต่ำลง เหมือนการแต้มสีที่ไม่สละสลวย แต่ก็กลมกลืนกันอย่างแปลกประหลาด สีดำของความมืด และแสงสีแดงของดวงตะวัน แม้สุดท้ายทุกแสงใดจะถูกกลื่นกลับไปในความมืดมิด แต่ผมก็พบความมืดที่กำลังจะจุดแสงใหม่ หนึ่งสัปดาห์ที่ปล่อยให้ความวังเวงครอบครองสุขในตัวตนไว้ มันช่างเป็นห้วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงให้ตัวผมแปลกออกไป แปลกไปในโลกที่สนเท ลืมเลือนแม้เศษกระดาษอันสำคัญยิ่ง เศษกระดาษที่จดบทเดี่ยวดายของชีวิตชิ้นนั้น ผมก็พึ่งรู้ว่ามันสำคัญก็ตอนที่แสงของทั้งห้อง เหลือเพียง แสงจางหน้าจอคอม
หน้าจอส่องแสงสว่างท้าความมืดยามราตรี ห้องที่มืดมิดไม่ต่างอะไรกับความวังเวงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรกับการอกหัก ใช่แล้วผมอกหักมา มันเป็นความวังเวงที่แสนสับสน และมันทำให้ผมหลงลืมหลายสิ่งรอบตัว คนเราจะอกหักได้ซักกี่ครั้งของชีวิตกัน แล้วตอนนี้ผมจะเขียนอะไรออกมาดี มองหน้าเวิร์ดที่ว่างเปล่า กระดาษสีขาวยังไม่มีตัวอักษร ปลายนิ้วยังไม่ได้กดลงไปบนแป้นพิมพ์ มันเหมือนกับตอนนั้นจริง ๆ ตอนที่เริ่มเขียนการบรรยายภาพครั้งแรก ในตอนนั้นผมยังจำภาพนั้นได้ดี จำช่วงเวลา จำความรู้สึกสับสน ภาพใบนั้นมีแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องลงบนตึกเป็นครั้งสุดท้ายของวัน เป็นภาพใบเก่าของพ่อที่บังเอิญถ่ายโดยไม่รู้ตัว เมื่อผมมองภาพนั้นครั้งแรก ความรู้สึกยามนั้นเหมือนผมกำลังมองแสงที่สะท้อนออกมา เหมือนได้กลิ่นลมบนด่านฟ้าตึกต่ำ ในตอนนั้นก็อยากเขียนเหมือนตอนนี้ อยากจะเขียนอะไรซักอย่างเพื่อให้ภาพนั้นมีความแปลกมากขึ้นไปอีก แต่แล้วผมก็ทำได้เพียงนั่งจ้องมันเท่านั้น นั่งจ้องรูปที่สวยแปลกตา รูปที่พ่อถ่ายโดยไม่รู้ตัว นึกแล้วก็รู้สึกขำตัวเอง เพราะจนถึงวันนี้ผมยังเขียนคำบรรยายหลังภาพใบนั้น ด้วยอาการเหมือนนั่งจ้องจอคอมตอนนี้ “สับสน”
ห้วงภวังค์ร้ายกาจเกินจะทำให้ใครหลุดออกมา ห้วงภวังค์มักลื้อซากความทรงจำ และพาลอยลองไปสู้อนาคตอันไม่แน่นอน หน้าจอคอมยังส่องแสงมุมหนึ่งของห้องมืด ผมไม่มีความคิดอยากเปิดไฟในห้องเลย แม้แต่แอร์ก็ยังคงดับนิ่ง เอาเถอะถือว่าผมประหยัดพลังงาน ประหยัดหัวใจอันร้อนลน เหมือนลืมวันคืนไปกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพึ่งรู้ตอนนี้เองว่าเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของปี มองดูวันที่ด้วยความเหนื่อยหน่าย ใกล้ปีใหม่อีกแล้ว เทศกาลที่ต้องอยู่ตามลำพังในปีนี้ กลิ่นความเหงาลอยเบา ๆ ในอากาศ ความเหงากำลังจะมากดดันให้เห็นเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยน ราตรีสุดท้ายข้ามปีคงจะเหงามากแน่ ๆ เคยมีกลับจากไป แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไรในตอนนี้ เพราะยังไงความเหงาก็คือความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตอย่างหนึ่ง หากผมมองย้อนดูดีดี ความเหงานี้แหละที่สร้างเรื่องราวมากมายให้ผมผ่านช่วงชีวิตเอื่อย ๆ มาได้ รู้สึกว่ามุมปากยิ้มนิดน้อยเวลานึกถึงเรื่องที่เหงามาก หัวเราะตัวเองดังในใจ ยังมีหัวใจให้เหงาอีกนาน
แล้วความคิดก็กลับมาจุดเดิมอีกแล้ว หน้าจอที่ว่างเปล่า ความรู้สึกสับสนยังคงมีในหัวใจ สับสนจนไม่รู้จะบอกออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร ถ้าเปรียบมันคงเหมือนกับความรู้สึกอยากในวัยเด็ก เหมือนตอนเราลงเล่นในแม่น้ำนานสองนานกับเพื่อน เรามัวเมาหลงระเริง เราลืมความเป็นไปรอบตัว แต่แล้วเราก็กลับมาสู้ความจริง เรามองดูแสงตะวันคล้อยต่ำลงอย่างไม่อยากมอง ผมในตอนนี้จะเหมือนกับความสับสนนั้นไหม มองดูหน้าจอคอมว่างเปล่า ทั้งอีกใจก็ไม่อยากมอง แต่แล้วทุกอย่างคงจบลงอย่างเดิม ผมต้องเริ่มกดนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดเสียที หากยังคงสับสนลังเล ผมก็คงยังไม่ขึ้นจากน้ำ ผมอาจจะเจอกับคำบ่นมากมายยืดยาว อาจจะเจอกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งนั้นอาจน่ากลัว หรือน่ารัก แล้วแต่ตัวผมในเวลานั้นจะรับรู้เถิด ยังไงตอนนี้ก็ต้องเขียนให้ได้สักนิด แม้ในใจยังสับสน แต่ตอนนี้ปลายนิ้วกดลงบนแป้นคีย์บอร์ดแล้ว
กดลงไปแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียงคำในความคิดออกมาเป็นประโยคแบบไหน เหมือนได้กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนลอยมา ผ่านโสตอันหนังน้อยปล่อยเบา นี้หรือเรากำลังจะพิมพ์เรื่องราวอันหอมหวานดี ในหัวกำลังสับสนอีกตามเคย น่าเสียดายความกล้าที่กดนิ้วลงไปบนแป้นคีย์บอร์ด มันเหมือนกับตอนนั้นอีกแล้ว ตอนที่กดปลายปากกาลงไปหลังภาพถ่ายใบนั้น ความรู้สึกของผมเริ่มตื่นตัว และแล้วดอกไม้ในโสตก็ไม่ยอมบานออก กลิ่นหอมของดอกกลางคืนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ มันยังไม่สามารถแทรกความสับสนได้เลย แต่แล้วก็พบบางอย่างในใจสั่นไหว เศษกระดาษเดียวดายกำลังปลิวในหัวใจสับสน สายลมคือเสียงร้องเรียกความอยากเขียน มือของผมกดลงไปบนแป้นพิมพ์คำ สู้ประโยค สู่เรื่องราว
เริ่มมันเริ่มต้นอีกหนที่บนนี้
“หน้าจอคอมส่องแสงสว่างในห้องมืดที่เงียบสงบ ผมกำลังนั่งมองจอด้วยความรู้สึกสับสนปนกันไปหมด แม้ยามนี้เวลาจะเดินไปเลื่อย ๆ ด้วยความแน่นอนที่ผู้คนยอมรับไว้ในตัวเลข หากแต่มันไม่ได้สำคัญกับผมเลย ขณะที่นั่งมองจอคอมเบื้องหน้า ไม่มีความรู้สึกว่าจะลุกออกไปที่ไหน เบื้องหน้าคือ....”
----------------------------------------------------------------------------
ผมว่าตัวผมน่าเบื่อนะ สุดท้ายเรื่องเลยออกมาแบบนี้
เรื่องนี้พิมพ์สด พิมพืเสร็จมาเมื่อกี้เลยครับ ยังมีน้ำหยดเป็นคำผิดเพียบ
แต่เอาเหอะ เรื่องนี้ยอมรับว่าระบายอารมณืตัวเอง มันเลยไม่มีสาระครับ
ขอบคุรที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องของนายน่าเบื่อคนหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ดีมาก ก้ขอให้เรื่องมันทำให้ท่านผู่อ่าน รู้สึกซักนิดน้อยก็พอแล้ว
กราบสวัสดี
จอคอมส่องแสงสว่างในห้องมืดที่เงียบสงบ ผมกำลังนั่งมองจอด้วยความรู้สึกสับสนปนกันไปหมด แม้ยามนี้เวลาจะเดินไปเลื่อย ๆ ด้วยความแน่นอนที่ผู้คนยอมรับไว้ในตัวเลข หากแต่มันไม่ได้สำคัญกับผมเลย ขณะที่นั่งมองจอคอมเบื้องหน้า ไม่มีความรู้สึกว่าจะลุกออกไปที่ไหน เบื้องหน้าคือความอยากที่จะกดนิ้วลงไปอย่างลังเล แสงนัว ๆ หน้าจอกับห้องมืด ๆ ทำให้ผมนั่งถอนใจอีกหน หน้าจอคอมที่เดิม
ผ่านมาไม่นานในความรู้สึกเลยกับหลายอย่างในหนึ่งอาทิตย์ ผมห่างหายกับการเขียนไปหนึ่งอาทิตย์ มันก็ไม่นานหรอกถ้าจะเทียบกับเวลาเอื่อยเฉื่อยทั้งชีวิตที่ใช้มา หากแต่ในความรู้สึกครั้งนี้มันต่างออกไป เหมือนหัวใจที่อ่อนแรงลงกับเหตุการณ์บ้า ๆ สร้างความสนเทให้มากกว่าความเท่บนหน้ากระดาษ เรื่องราวของความรักมันเย็นชืดเพียงผ่านความสับสน นี้ชีวิตผมแปลผันไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นเอง ยิ่งนึกเท่าไหร่ก็ยิ่งมองหน้าจอคอมที่เปิดโปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด ค้างไว ณ ช่วงความคิดแบบนี้ที่สับสนเกินจะเขียนอะไรลงไปบนหน้ากระดาษว่างเปล่า ก็คิดไว้แล้วเหมือนกันว่าคงไม่สามารถพิมพ์อะไรได้หรอก ถ้าพิมพ์ได้มันคงไม่ค่อยมีสาระที่จะทำให้ใครอ่านมีความสุข
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มตกลงเพื่อหลบไปอีกซีกโลก ภายในห้องของผมแสงก็ลดลงเช่นกัน ผมแปลกใจทีเดียวที่ตัวเองยังสนใจรอบรอบตัว สิ่งเหล่านั้นยังคงให้ความรู้สึกอันแสนถวิลหา สัปดาห์หนึ่งแล้วที่ไม่ได้มองอะไรรอบข้างอย่างเพลินจิต ในตัวตนสั่นไหวมากกว่าจะจับต้องสัมผัสอ่อนโยนของความรู้สึก คงมีเพียงคลื่นความหวนหาไห้ใจหล่นไปในความวังเวง ผมพึ่งค้นพบในเวลาที่แสงแดดในห้องคล้อยต่ำลง เหมือนการแต้มสีที่ไม่สละสลวย แต่ก็กลมกลืนกันอย่างแปลกประหลาด สีดำของความมืด และแสงสีแดงของดวงตะวัน แม้สุดท้ายทุกแสงใดจะถูกกลื่นกลับไปในความมืดมิด แต่ผมก็พบความมืดที่กำลังจะจุดแสงใหม่ หนึ่งสัปดาห์ที่ปล่อยให้ความวังเวงครอบครองสุขในตัวตนไว้ มันช่างเป็นห้วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงให้ตัวผมแปลกออกไป แปลกไปในโลกที่สนเท ลืมเลือนแม้เศษกระดาษอันสำคัญยิ่ง เศษกระดาษที่จดบทเดี่ยวดายของชีวิตชิ้นนั้น ผมก็พึ่งรู้ว่ามันสำคัญก็ตอนที่แสงของทั้งห้อง เหลือเพียง แสงจางหน้าจอคอม
หน้าจอส่องแสงสว่างท้าความมืดยามราตรี ห้องที่มืดมิดไม่ต่างอะไรกับความวังเวงช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรกับการอกหัก ใช่แล้วผมอกหักมา มันเป็นความวังเวงที่แสนสับสน และมันทำให้ผมหลงลืมหลายสิ่งรอบตัว คนเราจะอกหักได้ซักกี่ครั้งของชีวิตกัน แล้วตอนนี้ผมจะเขียนอะไรออกมาดี มองหน้าเวิร์ดที่ว่างเปล่า กระดาษสีขาวยังไม่มีตัวอักษร ปลายนิ้วยังไม่ได้กดลงไปบนแป้นพิมพ์ มันเหมือนกับตอนนั้นจริง ๆ ตอนที่เริ่มเขียนการบรรยายภาพครั้งแรก ในตอนนั้นผมยังจำภาพนั้นได้ดี จำช่วงเวลา จำความรู้สึกสับสน ภาพใบนั้นมีแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องลงบนตึกเป็นครั้งสุดท้ายของวัน เป็นภาพใบเก่าของพ่อที่บังเอิญถ่ายโดยไม่รู้ตัว เมื่อผมมองภาพนั้นครั้งแรก ความรู้สึกยามนั้นเหมือนผมกำลังมองแสงที่สะท้อนออกมา เหมือนได้กลิ่นลมบนด่านฟ้าตึกต่ำ ในตอนนั้นก็อยากเขียนเหมือนตอนนี้ อยากจะเขียนอะไรซักอย่างเพื่อให้ภาพนั้นมีความแปลกมากขึ้นไปอีก แต่แล้วผมก็ทำได้เพียงนั่งจ้องมันเท่านั้น นั่งจ้องรูปที่สวยแปลกตา รูปที่พ่อถ่ายโดยไม่รู้ตัว นึกแล้วก็รู้สึกขำตัวเอง เพราะจนถึงวันนี้ผมยังเขียนคำบรรยายหลังภาพใบนั้น ด้วยอาการเหมือนนั่งจ้องจอคอมตอนนี้ “สับสน”
ห้วงภวังค์ร้ายกาจเกินจะทำให้ใครหลุดออกมา ห้วงภวังค์มักลื้อซากความทรงจำ และพาลอยลองไปสู้อนาคตอันไม่แน่นอน หน้าจอคอมยังส่องแสงมุมหนึ่งของห้องมืด ผมไม่มีความคิดอยากเปิดไฟในห้องเลย แม้แต่แอร์ก็ยังคงดับนิ่ง เอาเถอะถือว่าผมประหยัดพลังงาน ประหยัดหัวใจอันร้อนลน เหมือนลืมวันคืนไปกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพึ่งรู้ตอนนี้เองว่าเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของปี มองดูวันที่ด้วยความเหนื่อยหน่าย ใกล้ปีใหม่อีกแล้ว เทศกาลที่ต้องอยู่ตามลำพังในปีนี้ กลิ่นความเหงาลอยเบา ๆ ในอากาศ ความเหงากำลังจะมากดดันให้เห็นเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยน ราตรีสุดท้ายข้ามปีคงจะเหงามากแน่ ๆ เคยมีกลับจากไป แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไรในตอนนี้ เพราะยังไงความเหงาก็คือความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตอย่างหนึ่ง หากผมมองย้อนดูดีดี ความเหงานี้แหละที่สร้างเรื่องราวมากมายให้ผมผ่านช่วงชีวิตเอื่อย ๆ มาได้ รู้สึกว่ามุมปากยิ้มนิดน้อยเวลานึกถึงเรื่องที่เหงามาก หัวเราะตัวเองดังในใจ ยังมีหัวใจให้เหงาอีกนาน
แล้วความคิดก็กลับมาจุดเดิมอีกแล้ว หน้าจอที่ว่างเปล่า ความรู้สึกสับสนยังคงมีในหัวใจ สับสนจนไม่รู้จะบอกออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร ถ้าเปรียบมันคงเหมือนกับความรู้สึกอยากในวัยเด็ก เหมือนตอนเราลงเล่นในแม่น้ำนานสองนานกับเพื่อน เรามัวเมาหลงระเริง เราลืมความเป็นไปรอบตัว แต่แล้วเราก็กลับมาสู้ความจริง เรามองดูแสงตะวันคล้อยต่ำลงอย่างไม่อยากมอง ผมในตอนนี้จะเหมือนกับความสับสนนั้นไหม มองดูหน้าจอคอมว่างเปล่า ทั้งอีกใจก็ไม่อยากมอง แต่แล้วทุกอย่างคงจบลงอย่างเดิม ผมต้องเริ่มกดนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดเสียที หากยังคงสับสนลังเล ผมก็คงยังไม่ขึ้นจากน้ำ ผมอาจจะเจอกับคำบ่นมากมายยืดยาว อาจจะเจอกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งนั้นอาจน่ากลัว หรือน่ารัก แล้วแต่ตัวผมในเวลานั้นจะรับรู้เถิด ยังไงตอนนี้ก็ต้องเขียนให้ได้สักนิด แม้ในใจยังสับสน แต่ตอนนี้ปลายนิ้วกดลงบนแป้นคีย์บอร์ดแล้ว
กดลงไปแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียงคำในความคิดออกมาเป็นประโยคแบบไหน เหมือนได้กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนลอยมา ผ่านโสตอันหนังน้อยปล่อยเบา นี้หรือเรากำลังจะพิมพ์เรื่องราวอันหอมหวานดี ในหัวกำลังสับสนอีกตามเคย น่าเสียดายความกล้าที่กดนิ้วลงไปบนแป้นคีย์บอร์ด มันเหมือนกับตอนนั้นอีกแล้ว ตอนที่กดปลายปากกาลงไปหลังภาพถ่ายใบนั้น ความรู้สึกของผมเริ่มตื่นตัว และแล้วดอกไม้ในโสตก็ไม่ยอมบานออก กลิ่นหอมของดอกกลางคืนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ มันยังไม่สามารถแทรกความสับสนได้เลย แต่แล้วก็พบบางอย่างในใจสั่นไหว เศษกระดาษเดียวดายกำลังปลิวในหัวใจสับสน สายลมคือเสียงร้องเรียกความอยากเขียน มือของผมกดลงไปบนแป้นพิมพ์คำ สู้ประโยค สู่เรื่องราว
เริ่มมันเริ่มต้นอีกหนที่บนนี้
“หน้าจอคอมส่องแสงสว่างในห้องมืดที่เงียบสงบ ผมกำลังนั่งมองจอด้วยความรู้สึกสับสนปนกันไปหมด แม้ยามนี้เวลาจะเดินไปเลื่อย ๆ ด้วยความแน่นอนที่ผู้คนยอมรับไว้ในตัวเลข หากแต่มันไม่ได้สำคัญกับผมเลย ขณะที่นั่งมองจอคอมเบื้องหน้า ไม่มีความรู้สึกว่าจะลุกออกไปที่ไหน เบื้องหน้าคือ....”
----------------------------------------------------------------------------
ผมว่าตัวผมน่าเบื่อนะ สุดท้ายเรื่องเลยออกมาแบบนี้
เรื่องนี้พิมพ์สด พิมพืเสร็จมาเมื่อกี้เลยครับ ยังมีน้ำหยดเป็นคำผิดเพียบ
แต่เอาเหอะ เรื่องนี้ยอมรับว่าระบายอารมณืตัวเอง มันเลยไม่มีสาระครับ
ขอบคุรที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องของนายน่าเบื่อคนหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ดีมาก ก้ขอให้เรื่องมันทำให้ท่านผู่อ่าน รู้สึกซักนิดน้อยก็พอแล้ว
กราบสวัสดี
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ