เรื่องที่เจ็ด : นาวาบนผืนทราย
เขียนโดย larceta
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.29 น.
แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.53 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
5) 5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมไปถึงตึกแถวเก่าโทรมย่านชานเมืองช่วงก่อนเที่ยง เมื่อไปถึง ผมเลี้ยวไปด้านหลังแล้วเลือกจอดรถที่ใต้ร่มไม้ เด็กวัยรุ่นในเสื้อเชิร์ตวงร็อคคนหนึ่งมาเคาะกระจกรถผมพร้อมบอกว่าตรงนี้จอดไม่ได้ ต้องไปจอดตรงที่เสียค่าจอดรถด้านหน้า ผมไม่สนใจท่าทางกร่างๆนั้นแล้วยื่นเงิยแบงค์ใหญ่ที่สุดพร้อมกับบอกว่าไม่ต้องทอน เด็กนั่นอ้าปากค้างไปหลายวินาที ก่อนจะพยักหน้าอย่างขันแข็ง รีบเอาเงินใส่กระเป๋าราวกับกลัวจะมีคนเห็นแล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมทันที
พวกเราลงจากรถแล้วเดินเลียดริมอาคารตามทางเดินเป็นรูปตัว L เพื่อไปอ้อมไปด้านหน้า ระหว่างทาง พวกเราเดินผ่านห้องสองสามห้องที่มีผ้าใบผืนใหญ่กั้นอยู่ข้างหน้า เหมือนจะเป็นร้านค้าหรือไม่ก็ร้านอะไหล่ แต่เงามืดของผ้าใบทำให้มองไม่ชัด อีกทั้งพวกเราเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจด้วยว่ามันจะเป็นร้านอะไร เราเดินข้างกันโดยเว้นระยะห่างราวช่วงตัว ไม่มีการพูดคุย เสียงเพลงลูกกรุ่งยุคเก่าดังแว่วช่องว่างระหว่างรอยต่อของผนังตึก
มาถึงด้านหน้า เราเดินผ่านห้องแถวแรกที่ว่างแล้วผลักประตูกระจกเข้าห้องที่สอง กระจกบานใหญ่ด้านหน้ามีข้อความที่มาจากแปะสติ๊กเกอร์ตัวหนังสือสีเขียวว่า คลีนิครักษาโรคทั่วไป ซึ่งลักษณะภายในก็สองคล้องกับชื่อ นางพยาบาลชุดสีขาวสวมผ้าปิดปากสองคนนั่งอยู่หลังเคาเตอร์ที่เป็นทั้งประชาสัมพันธ์และที่จ่ายยา ม้านั่งยาวที่ผนังข้างหนึ่งติดกับชั้นวางนิตสาร ส่วนบนผนังก็มีโปสเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข คำเตือนเรื่องอันตรายจากการสูบบุหรี่และการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยอยู่ข้างกัน รูปปอดของคนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอยู่ติดกับภาพผู้ติดเชื้อ HIV ระยะสุดท้าย ภาพอันน่าเวทนาที่ราวกับจะย้ำเตือนทุกคนที่ดูมันว่า "อีกเดี๋ยวแกก็เป็นแบบนี้แหละ"
ดูภายนอก ที่นี่ดูไม่ต่างจากคลีนิครักษาโรคทั่วไปที่มีอยู่ทุกที แต่สำหรับพวกเรา ....คนที่รู้จักและได้ติดต่อมาที่นี่ก่อนหน้านี้ ที่นี่นอกจากชั้นล่างที่เปิดรักษาโรคทั่วไปแล้ว ยังมีชั้นบนสำหรับการรักษากรณีพิเศษอยู่ด้วย
มันคือคลีนิคสำหรับทำแท้ง
สองอาทิตย์หลังจากที่ได้พบเจอกันครั้งนั้น หลังจากส่งงานที่ไม่สนใจแล้วว่าจะสมบูรณ์หรือไม่ ผมขอลาหยุดสามวันโดยใช้พักร้อนที่เหลือทั้งหมด ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้หยุดนัก ด้วยภรรยาของผมมักจะต้องเดินทางไปต่างประเทศเสมอ ทำให้ผมไม่รู้จะลาหยุดไปเพื่ออะไร
ผมขับรถออกจากบ้านราว 8 โมงเช้าในเช้าวันแรกเพื่อไปรับเธอที่ป้ายรถเมล์ที่ห่างจากคอนโดออกไปสองป้ายแล้ววิ่งชึ้นทางด่วนเพื่อเลี่ยงรถติดมายังคลีนิคชานแห่งนี้ ที่ซึ่งเธอเป็นคนหาเจอและติดต่อไว้ก่อนจะไปพบกับผม ผมไม่รู้ว่าเธอรู้จักที่นี่จากใครหรือยังไง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปาก หรืออาจจะพูดได้ว่า ผมไม่กล้าพอที่จะถามเธอ
"ยินดีต้อนรับค่ะ ติดต่อเรื่องอะไรคะ"
นางพยาบาลร่างเล็กคนหนึ่งเห็นเราเดินเข้ามาก็เอ่ยทักทาย ในเมื่อไม่มีคนไข้อื่นอยู่ เราจึงตรงไปที่เคาร์เตอร์แล้วแจ้งชื่อที่นัดเอาไว้สำหรับคลีนิคพิเศษ พยาบาลคนนั้นพยักหน้าอย่างไม่มีท่าทางตกใจให้เห็น อันที่จริง ตั้งแต่ที่เห็นพวกเราซึ่งปิดหน้าด้วยผ้าปิดปากผืนใหญ่กับแว่นสายตาที่ดูยังไงก็รู้สวมมาเพื่ออำพราง เธอก็คงรู้แล้วถึงจุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่
"ตอนนี้คุณหมอติดเคสอีกประมาณ 2 ท่านค่ะ แต่จะขึ้นไปนั่งรอข้างบนก็ได้"
เธอแจ้งก่อนจะผายมือบอกว่าจะนำทางขึ้นไปที่ชั้นสอง หญิงสาวผู้มากับเดินตามอย่างว่าง่ายไปยังมู่ลี่ทึบๆที่คล้ายกับฉากกั้นเวทีละคร ไม่มีท่าทีลังเล แม้ตอนนี้จะเป็นเดือนที่ 4 แล้ว แต่ด้วยเป็นคนผอมบาง แม้ช่วงท้องจะนูนขึ้นแต่ก็ไม่มากจนผิดสังเกตุ
หลังยืนคิด ผมตัดสินใจบอกแก่นางพยาบาลไปว่าขอไปรอข้างนอก นางพยาบาลหันมองไปที่เธอคนนั้นราวกับจะถามว่าเอาอย่างไรดี แต่เธอก็ไม่ตอบอะไรแล้วเดินหายมูลี่ที่เปิดไว้ เมื่อเป็นอย่างนั้น พยาบาลสาวจึงหันกลับมาแล้วหน้าตอบผมด้วยท่าทางที่เหมือนจะบอก "ฉันเข้าใจค่ะ" ก่อนจะเดินเขาไปหลังม่านมูลี่อีกคน
หลังทั้งสองคนเข้าไป ผมเดินออกจากคลีนิคแล้วมองซ้ายมองขวาหาที่ไป มีร้านอาหารกับร้านกาแฟที่อยู่ถัดไปสองล็อค แต่ดูสภาพของร้านแล้วผมตัดสินใจนั่งไม่ลง จึงซื้อเพลงกาแฟเย็นแก้วหนึ่งแล้วเดินกลับไปที่รถ เปิดแอร์แล้วเอนเบาะพิงตัวนอน ปิดเปลือกตาลงอย่างหวังว่าจะหลับได้สักที
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ไม่มีสักคืนที่ผมจะนอนหลับได้
นับแต่ได้พบเธอคราวนั้น สมองผมก็เป็นเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีปุ่มปิดการทำงาน ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา ในหัวผมก็ไม่เคยหยุดคิดเรื่องนี้ได้ ทุกคืน ผมปิดตา หลอกตัวเองว่ากำลังหลับ นับตัวเลข นับแกะ ใช้วิธีต่างๆนานาเท่าที่จะนึกออก แต่นับตั้งแต่ตะวันลับฟ้าจนกระทั่งแสงยามเช้าส่องเข้ามาและกลายเป็นสีโอลด์โรสเมื่อมองผ่านเปลือกตา ก็ไม่มีสักวินาทีเดียวที่ความคิดของผมหยุดทำงาน
โดยหากจะพูดถึงโชคดีของผมที่ยังมีอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องที่หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของผมก็มีเหตุที่ต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศและจะไม่ได้กลับมาจนถึงก่อนช่วงปีใหม่ ทำให้นับแต่นั้น ผมจึงไม่จำเป็นต้องฝืนหลับตาบนที่นอนอีก
เมื่อภรรยาไม่อยู่ เวลากลางคนของผมจึงย้ายจากเตียงนอนมาเป็นโซฟาหน้าทีวี คืนแรก ผมดูเช่าหนังมาสิบเรื่องเพื่อเปิดกล่อมตัว ทว่าผมก็ดูจบทั้งสิบเรื่องโดยไม่มีหลับแม้แต่ช่วงเดียว คืนต่อมา ผมหันมาพึ่งยานอนหลับ แต่ก็ไม่ได้ผลอีก และนับตั้งแต่คืนที่สามเป็นต้นไป แอลกอฮอล์ก็เข้ามา และมันก็กลายเป็นเพื่อนหนึ่งเดียวในยามราตรีของผมไป นับจากคืนที่สามจนถึงเดียวนี้ ผมดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นปริมาณที่มากกว่าทั้งปีรวมกันเสียอีก
ทว่าแม้จะดื่มมากขนาด ผมก็ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะเมา ไม่ต้องพูดถึงการนอน ผมไม่เคยหลับได้ คอมพิวเตอร์ในหัวผมไม่ยอมล่าถอยยอมปิดตัวเอง มันเฝ้าคิดและขยันหาเรื่องราวเข้ามาในหัวผม โดยเรื่องทุกเรื่องไม่ว่าจะเริ่มต้นแบบไหน มันก็จบลงโดยคำพูดเดียวกัน
"ฉันจะเอาเด็กออกจากตัวฉัน...ฉันไม่ต้องการเด็กคนนี้"
ไม่ต้องการอย่างนั้นหรือ ผมนึก และพาลนึกไปถึงต้นตอของมัน เพศสัมพันธ์ เหตุกำเนิดดังเดิมที่เกิดจากธรรมชาติ เหตุที่อวัยวะเพศของชายกับหญิงมีรูปร่างที่ประหนึ่งมีไว้เพื่อสวมใส่ซึ่งกันและกันและสร้างความกระสันซ่านอันแสนสุขนี้เองที่เป็นกุศโลบายที่ธรรมชาติใช้เพื่อก่อให้เกิดการขยายเผ่าพันธุ์ หากมันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดและไร้ซึ่งความสุขแล้ว คงไม่มีใครที่อยากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งหากเป็นแบบนั้น มนุษย์คงสูญพันธ์ไปหมดโลกตั้งแต่ล้านปีที่แล้วแล้ว
แต่ทั้งที่เป็นกระบวนการที่เป็นไปตามธรรมชาติ กลับมีใครบางคนที่ไม่ต้องการมัน
ขณะหลายคนต้องการเอาก้อนเนื้อที่กำลังจะมีชีวิตออกไปร่าง หลายต่อหายคนกลับกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ก้อนเนื้อน้อยๆในตัวเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต เฝ้ารอถึง 9 เดือนเพื่อจะได้พบชีวิตน้อยๆที่มีเลือดเนื้อของตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้นมา
ช่วงเวลาที่ห่อหุ้มด้วยเปลือกเปราะบางที่พร้อมจะแตกสลายไปในพริบตาได้ทุกเมื่อ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ