ใจบรรณาการ

8.7

เขียนโดย บุคคลปริศนา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11.43 น.

  3 ตอน
  6 วิจารณ์
  7,023 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 14.29 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
เสียงดาบปะทะกันดังเกร้งกร้างประกายไฟแลบเลียอากาศ กระโจมข้างลานประลองเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ เหนือลานขึ้นไปเป็นอัฒจันทร์ และที่ประทับทอดพระเนตรของกษัตริย์ ที่ยามนี้ตัวแทนของทหารฝ่ายในกำลังนั่งดูอยู่
               
          องค์หญิงเรฟีน่าเสด็จมาที่ลานประลองการแข่งขันเกิดชะงักงันทุกสายตาจับจ้องไปที่รัชทายาทแห่งอาร์เซนทิส พระเกศาสีน้ำตาลแดงเป็นประกายยามต้องแสงอาทิตย์ ทรงชุดสีม่วงช้ำคล้ายดอกพิทูเนียตัวยาวมือขวาถือพัดขนนกสีขาวตามมาด้วยเหล่านางใน เสนาและทหารต่างหลีกทางให้ไปนั่งประทับ
               
          ทุกอย่างถูกประทับไว้ในสายตาของหนุ่มผมสีเหลืองทองเขานั่งรออยู่ในกระโจม เสียงของเหล่าชายฉกรรจ์ต่างพูดชื่นชมความงดงามขององค์หญิง
               
          “ถึงไหนแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
               
          “เราคัดได้สามสิบคนแล้วกำลังคัดให้เหลือสิบห้าคน ความจริงองค์หญิงไม่น่าจะต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เองเลย”
               
          “เราอยากดู ให้เริ่มคัดต่อได้แล้ว”
               
          เมื่อนั้นการคัดเลือกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จนในที่สุดก็ได้คนครบทั้งสิบห้าคนโดยที่ใช้เวลาไม่นานนัก เรฟีน่ายืนขึ้น
               
          “เรายินดีที่ได้องค์รักษ์มาคอยปกป้อง แต่ถึงได้องค์รักษ์ครบแล้ว เราก็อยากจะคัดหนึ่งในสิบห้าคนเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ ผู้ที่จะได้รับมอบดาบที่ตีโดยช่างฝีมือดีที่สุดในอาร์เซนทิส”
               
          อาคีรัสนั่งนิ่ง ข้างๆเขาคือชายผมสีแดงเพลิง ทั้งสองเหลือบมองกัน
               
          “เจ้ามาจากไหน” เขาเสยผมสีแดงที่ปรกหน้าก่อนจะถามสายตาจับจ้องอยู่ที่การประลองคัดหัวหน้าองครักษ์
               
          “ข้ามาจากชนเผ่าไม่ไกลจากอาร์เซนทิสเท่าไหร่” อาคีรัสตอบในท่าทีสงบนิ่ง
               
          “อย่ามาหลอกข้าเลย ฝีมือดาบของเจ้าข้ามองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนถิ่นนี้”
               
          อาคีรัสยิ้มก่อนจะหันมาจ้องมองหนุ่มที่ตอนนี้เป็นหนึ่งในองครักษ์แล้ว “ข้าจะไม่บังคับให้ใครมาเชื่อคำพูดของข้า แต่ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครมาสงสัยในตัวของข้า ข้าอาคีรัสยินดีที่ได้รู้จักเจ้า…”
               
          “โซซีมอส ข้ามาจากทางเหนือยินดีเช่นกัน ข้าแค่ถามและไม่ได้สงสัยรือใส่อะไรหรอก ดูสิอาคีรัส กว่าจะคัดเลือกผ่านไม่ง่ายแต่ก็ต้องมาคัดหาหัวหน้าอีก”
               
          “นั่นสิ ข้าอดแปลกใจคนที่รีบกระโดดไปคัดเป็นหัวหน้าไม่ได้”
 
          “ก็รู้ว่าหากแพ้ต้องโดนคัดออก คนชนะได้อยู่ต่อและต้องสู้ต่อให้ชนะได้เรื่อยๆจนครบทุกคนถึงจะได้เป็นหัวหน้า แต่ดันรีบเร่งออกไปก่อน ฮ่าๆ” โซซีมอสหัวเราะเสียงดัง
 
          อาคีรัสยิ้ม “บางทีนี่ก็คือแผนหนึ่งของการคัดเลือกหัวหน้า ขององค์หญิง” เขาว่าแล้วหันมามององค์หญิง
 
          “อื่ม ความฉลาด แล้วจากนั้นละอาคีรัส พอเหลือแต่เรา ระหว่างเราใครจะจะขึ้นไปคัดก่อน”
 
          “ใครก็ได้ ไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกันนัก จะเป็นข้าก็ได้ถ้าเจ้าต้องการจะรอเป็นคนสุดท้าย” อาคีรัสยิ้มเจ้าเล่ห์
 
          โซซีมอสไม่ตอบได้แต่นิ่งในใจขบคิด ขณะอาคีรัสนั่งนิ่งตีหน้าตาย และเมื่อทั้งเวทีตอนนี้เหลือแค่คนเดียว เมื่อนั้นทุกสายตาจับจ้องที่สองคนสุดท้าย เกิดความนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนเสียงเก้าอี้นั่งของอาคีรัสขยับ เขาทำท่าว่าจะลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ยืนร่างของโซซีมอสก็ออกไปก่อนแล้ว อาคีรัสนั่งลงตามเดิมก่อนจะกลั้นหัวเราะจนไหล่ไหว
 
          และก็เป็นดั่งคาดเมื่อโซซีมอสเอาชนะไปได้ สุดท้ายก็เหลือแต่ทั้งคู่ที่ได้ประลองกัน สองหนุ่มที่ว่ากันตามจริงแล้วยังเด็กกว่าทุกคนที่ถูกคัดเลือกมา แต่ด้วยเพราะฝีมือโดดเด่นแกร่งกล้าจึงสามารถสยบเสียงความขัดเคืองไปได้ เรฟีน่าขยับตัวอย่างสนใจ แสงสนธยาอาบไล้เวทีประลอง
 
          ทั้งสองหนุ่มต่างจ้องมอง และยิ้มให้แก่กัน แค่เจอกันไม่นานก็เหมือนทั้งคู่จะสนิทสนม แต่การประลองก็คือการประลอง เมื่อเนื้อเหล็กสัมผัสกันส่งเสียงดังก้องการต่อสู้จึงเริ่มต้น โซซีมอสกระโดดสูงเงื้อดาบจนบังแสงอาทิตย์แล้วฟันลงมาเห็นได้ชัดเจนว่าเขาเอาจริงแต่นั่นเปิดช่องว่างกว้างมากเหลือเกิน อาคีรัสตั้งดาบกันไว้น้ำหนักที่โดถมตัวลงมามากแต่ไม่สามารถทำอะไร ได้เลย อาคีรัสโต้กลับด้วยการถีบแต่หนุ่มผมแดงก็รวดเร็วพอที่จะหลบได้แต่นั้นเขาก็ถูกดาบของอาคีรัสพุ่งเข้าฟัน เหมือนว่าเขาคาดไว้แล้วว่าการโจมตีอย่างหนึ่งคู่ต่อสู้จะหลบหลีกอย่างไรแล้วก็จะฉากถอยแบบไหน อาคีรัสคำนวนไว้หมดแล้ว
 
          ทั้งคู่คือคู่ต่อสู้ที่สูสีต่างไม่ยอมกันง่ายๆ แล้วจังหวะที่โซซีมอสกำลังไล่เข้าฟาดฟันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นเองจู่ๆดาบของหนุ่มผมแดงก็หลุดจากมือ เมื่อโดนเตะแขนเต็มแรงดาบกระเด็นหวือไถลออกจากลานความตกใจฉายในนัยน์ตาของโซซีมอสยังไม่หมดก็ต้องสะดุ้งกับความแหลมคมของปลายดาบที่จิ้มแทงที่คอจากมือของอาคีรัสที่มองเขายิ้มๆ
 
          องค์หญิงปรบมือเสียงดังอยู่คนเดียวก่อนทุกคนจะปรบมือตาม
 
          “เจ้าสองคนเก่งมาก เป็นการคัดเลือกที่สนุก ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหัวหน้าองครักษ์คนใหม่”
 
          “ข้าอาคีรัส”
 
          “ดีขึ้นมานี่เถอะอาคีรัส มารับดาบและสาบานตน” เสียงหัวหน้าทหารฝ่ายใน เอ่ย
 
          อาคีรัสเดินขึ้นไป คุกเข่า มีคนยกแท่นพานไม้ในนั้นมีคนโทเหล้ารัมที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆพร้อมจอก ช่อดอกไม้เล็กี่แซมด้วยดอกไม้หลากหลายสี และมีมีดเล่มเล็กๆวางอยู่ เมื่อเขาหันไปมองด้านล่างองค์รักษ์ใหม่สิบสี่คนก็ได้รับเช่นกัน
 
          อย่างไม่ต้องให้บอก เขาคว้ามีดเล่มเล็กกรีดฝ่ามือเบาๆโลหิตแดงฉานถูกชำแรกให้ออกมาเขาเอาจอกมารองก่อนเทเหล้ารัมเติมลงไปแล้วยกขึ้นดื่มจนหมดก่อนนำช่อดอกไม้มาถือไว้
 
          เรฟีน่ายกดาบมายื่นมอบให้ทุกอย่างก็ใกล้จบพิธีพร้อมคบไฟรอบๆลานประลองถูกจุดขึ้นให้โชติช่วง แสงไฟสว่างไหว เมื่อนั้นก็มีคนนำกล่าวสาบานตนเสียงดังพร้อมกันดังบนลานนั้น
 
 
          กองไฟโชนช่วงกลางปุยหิมะอันหนาวเหน็บ เขานั่งมองกองไฟมานานเท่าไหร่แล้ว นั่งนึกย้อนวันวาน การประลองคัดเลือก คล้ายเสียงกล่าวสาบานตนยังดังก้องกังวาล มีหลายอย่างที่เขากล่าวแต่ขณะนี้เขาจำแต่คำพูดที่ว่า
 
          พิทักษ์องค์หญิงด้วยชีวิต!!!
 
          มันดังซ้ำๆในใจอยู่อย่างนั้น
           
          อาคีรัสขึงเครียด นี่เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ได้อย่างไรในเมื่อไม่สามารถช่วยองค์หญิงไว้ได้! คำกล่าวปฏิญาณไร้ความหมาย
 
 
 
 
          “ยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยทัก “หรือเจ้ายังกังวลพวกหมาป่าอยู่อีก เชื่อเถอะมันไม่กล้ามาอีกหรอก มันฉลาดพอว่าตอนนี้เหยื่อของมันแข็งแกร่ง” หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวขลิบเขียวเอ่ย แม้แต่ใบหน้าก้ถูกผ้าปิดเอาไว้ จึงเห็นแต่ดวงตาสีเปลวไฟคู่คมเรียวเท่านั้น
 
          “เปล่าหรอกข้าคิดอะไรบางอย่าง” อาคีรัสตอบ
 
          แล้วนางก็หัวเราะ “ข้าล้อเล่น ข้ารู้อย่างท่านแม้พวกเราไม่ช่วยไว้กระไรเสียก็หาทางเอาชีวิตรอดจากหมาป่าได้อยู่แล้ว”
 
          “นั่นเห็นจะกล่าวเกินจริง ข้าคงตายไปแล้วหากไม่ได้พวกท่านช่วย” เขาตอบ เสียงกิ่งสนแตกเปร๊ยะเพราะถูกเผาไหม้ กลิ่นใบสน ชวนง่วงงุน ปรือเปลือกตาอย่างยากลำบาก
 
          “หากง่วงก็นอนก่อนเถอะ หากพวกที่ออกไปสำรวจกลับมาข้าจะปลุกท่านเอง”
 
          “ข้าขอบใจพวกท่านมาก แม้ช่วยข้าแล้วและยังอกตามหาคนของข้าอีก”
 
          “อย่าได้ห่วง เรามีศัตรูคนเดียวกัน นอนเถอะ หากเราได้เดินทางท่านจะไม่ไหวนะ”
 
          อาคีรัสยิ้ม ก่อนทิ้งตัวลงนอนอย่างว่าง่ายๆที่นอนปูจากหนังกวางมูสและห่มด้วยขนสัตว์ ก่อนหลับตานั้นเขามองเปลวไฟ ฟากความหวังที่เป็นที่พึ่งเดียว
 
 
 
 
 
เป็นแนวที่เขียนเล่นๆ และจะใช้กลวิธีการเล่าไม่เป็นเส้นตรง เดี๋ยวจะเอาฉากปัจจุบันขึ้นก่อนแล้วค่อยเล่าย้อนกลับมาจุดเริ่มต้น เดี๋ยวจะเอาพาสอดีตขึ้นต้น เหล่าที่มาที่ไปแล้วค่อยกลับมาปัจจุบัน  การเล่าจะเหมือนหนังทีวีซีรี่ส์มากกว่า หากงง ก็ต้องขออภัยด้วยฮะ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา