ใจบรรณาการ

8.7

เขียนโดย บุคคลปริศนา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11.43 น.

  3 ตอน
  6 วิจารณ์
  7,022 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 14.29 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
2
 
 
เสียงเท้าย่ำไปในหิมะหนาดังสวบสาบ หิมะโปรยปรายมาอย่างหนักบางส่วนทะลุลงมา บางส่วนเกาะเต็มทั้งกิ่งก้านต้นสนเมื่อหนักเข้าแล้วก็ค่อยๆหักลู่ลงมา รอบด้านที่พวกเขาเดินมามีแต่ต้นสน และต้นสน นี่คือป่าสนเครมดรีม
           
          “พักก่อนได้ไหม?” เสียงของโซซีมอสร้องดังขึ้นไอควันพุ่งออกปาก “เราเดินมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้พักกันเลย”
               
          อาคีรัสเงยหน้ามองไปบนฟ้าความมืดคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ เขาเองก็เหนื่อยไม่น้อยแต่จะให้หยุดไม่ได้องค์หญิงยังอยู่ในอันตราย ประชับผ้าคลุมสีน้ำตาลแล้วหันไปที่โซซีมอสกับทหารอีกสิบคน
 
          “พักก็ได้” เขามองไปที่เพื่อนสนิท “นายอยู่ดูพวกเราที่นี่นะ”
 
          “แล้วเจ้าจะไปไหน”
 
          “ข้าจะไปดูอะไรแถวนี้หน่อย”
 
          “อื่มกลับมาเร็วๆหน่อย มืดค่ำแล้ว เจ้าก็รู้ว่ามันอันตราย”
 
          อาคีรัสหันมาพยักหน้า แล้วรีบวิ่งไป
 
          “รีบเก็บฝืนก่อกองไฟ” โซซีมอสตะโกนสั่ง
 
          อาคีรัสออกวิ่งไปในป่า เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาดใจ แล้วเขาก็พบเบาะแสเมื่อก้มตัวลงสายตาเขาสบพบกับกองเลือดที่เปรอะเปื้อนหิมะขาว เท้าจะคืบคลานไปข้างหน้าแต่เสียงร้องโหยหวนของหมาป่าทำเขาชะงัก
 
          เขายืนขึ้น เสียงคำราต่ำๆดังอยู่รายรอบ ความมืดแผ่ลงมาจนเห็นดวงตาสีแดงฉานอยู่รายรอบ เขาอยู่ในดงของพวกมันแล้ว!!
 
          นึกย้อนไปตอนเช้าอาคีรัสไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในจุดนี้เลย
 
 
 
          ยี่สิบสองชั่วยามก่อน
 
 
 
          กองไฟลุกโชติช่วงในที่พักแรม ม้าถูกกผูกไว้รอบๆที่พักเป็นวงกลมกับหลัก เพื่อเป็นด่านหน้าในการป้องกันภัย ถัดมาคือเกวียนคันใหญ่และเป็นกระโจม คนอื่นๆต่างหาที่นอนกันรอบๆกระโจม เพียงกางผ้ากันน้ำค้างแล้วก็ปูผ้าก็นอนกันไปอย่างง่ายๆ
               
          อาคีรัสยืนมองท้องฟ้าที่ดวงดาวมากมายกระพริบวิบวาว
               
          “คืนนี้ดาวสวยจัง”                
 
          “องค์หญิงยังไม่บรรทมอีกหรือ”
           
          “เราไม่ง่วง อยากมองดาวมากกว่าอยู่ในกระโจมเราไม่เห็นดาว”
               
          “แล้วนี่ซินเธียอยู่ที่ไหนเนี่ย” เขาถามพลางมองเข้าไปในกระโจม
               
          “นางหลับไปแล้วล่ะ”
               
          “พระองค์แบบนี้มันจะ…”
               
          “อยู่เงียบๆสักพักได้ไหม อาคีรัส เราแค่อยากชมดาว เสร็จแล้วเราจะกลับไปนอนเอง” เรฟีน่าบอกแต่ดวงตายังคงจ้องมองไปที่บนฟ้าไกล
               
          อาคีรัสยืนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง เวรยามนั้นอยู่รอบนอก คนอื่นๆหลับไหลจากการเดินทางอันแสนไกลและเหนื่อยล้า       
               
          “ข้า…ข้าขอโทษองค์ด้วยในเรื่องเมื่อเตอนเย็น”
               
          “นี่เจ้าจะให้ข้าดูดาวเงียบๆไม่ได้หรือไง อาคีรัส” องค์หญิงแห่งอาร์เซนทิสบอกอย่างเหนื่อยหน่าย ทั้งคู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ ที่เจ้าพูดมาก็มีส่วนถูก ข้าจะทำอย่างไรได้อีกล่ะ ต้องยอมรับใช่ไหม”
               
          คำพูดนั้นเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกอ่อนล้า จนองครักษ์สัมผัสได้ เขาเห็นใจแต่จะทำอย่างไรได้เล่า แล้วอาคีรัสก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ องค์หญิงร้องไห้มาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ฑูตแห่งคาเดลเดินทางมาถึง เพราะศิริโฉมอันงดงามของพระองค์ที่เป็นที่กล่าวขวัญ องค์หญิงจึงตกเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจการปกครอง เป็นเครื่องบรรณาการที่มีชีวิต
               
          เขาถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ ห่มคลุมร่างบอบบางนั้น
               
          “ข้างนอกอากาศหนาวทำไมพระองค์ถึงไม่สวมเสื้อคลุมมาด้วย” เขาแกล้งพูดไปอีกอย่างทำน้ำเสียงตำหนิเหมือนเพื่อนสนิท “ทรงบรรทมได้…”
               
          พูดยังไม่จบประโยคร่างงามนั้นหันกลับมากอดองครักษ์หนุ่ม “ข้าทนไม่ได้แล้วอาคีรัส ข้าทนไม่ได้ที่ต้องเก็บความรู้สึกแบบนี้”
               
          “องค์หญิง!” เขารู้สึกตกใจมือทั้งสองข้างกำลังจะดึงร่างบางออกไปแต่แล้วก็ค้างอยู่อย่างนั้น แล้วฉับพลันก็แปรเปลี่ยนเป็นกอดตอบ
               
          กายทั้งสองแนบชิดกัน ใจก็ไม่ห่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ขัดขวางคนทั้งคู่คือหน้าที่ คือฐานันดรศักดิ์ เรฟีน่าก็ไม่ต่างกับดาวที่พราวแสงอยู่บนท้องฟ้าในคืนนี้หรอก เขารู้ เขาเห็น แต่เขาไม่สามารถที่จะได้ครอบครอง…
               
          ดาวลูกใหญ่ตกส่องแสงเป็นทางยาว ผ่านคนทั้งคู่ไป
 
 
 
 
           
               
          คณะบรรณาการเดินออกเดินทางในตอนสาย เหตุเพียงเพราะองค์หญิงมัวแต่ยืนชมความงามของท้องทุ่งมอร์นิ่งกลอรี่สีฟ้าสดใสงดงามห่มเนินเขาไปไกลสุดสายตาดุจเบ่งบานอวดโฉมเจ้าหญิงแห่งอาร์เซนทิสเป็นครั้งสุดท้าย
               
          งดงามแต่หยาดน้ำตาของเฟีน่าไหลลงเป็นทาง อีกแล้ว
               
          “ไหนเจ้าบอกว่าดอกไม้จะทำให้องค์หญิงดีขึ้นยังไงล่ะ” โซซีมอสถาม
           
          “จะไปรู้ได้ไงเล่า” เขาตอบ “แต่ก็จะดีขึ้นแน่ๆ เรามาห่วงเรื่องการเดินผ่านป่าเครมดรีมก่อนเถอะ เจ้าจัดกำลังพลเตรียมพร้อมหรือยังเราจะให้เกวียนขององค์หญิงอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยทหารทั้งซายขวา ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเราก็ต้องไม่หนี”
               
          “ถามจริงๆเถอะ เจ้าคิดว่าจะเจอกับอะไร โจรป่าอย่างนั้นเหรอ”
               
          “แค่โจรป่าข้าไม่กลัวหรอก และไม่มีโจรป่าหน้าโง่ที่ไหนจะกล้าดักปล้นกองคาราวานคณะเดินทางนี้ได้ แต่ที่ฉันกลัวก็คือ หน่วยรอบสังหาร”
               
          “หน่วยรบรอบสังหาร!” เพื่อนองครักษ์ร้องอย่างตกใจ “จากใคร?ที่ไหน เพื่ออะไร”
               
          “นี่เจ้ายังมองไม่ออกอีกเหรอ ในบรรดาเมืองทั้งหลายมีหลายเมืองนะที่อยากได้เมืองอาร์เซนทิส ไม่ใช่แค่คาเดล โดยเฉพาะไธรีน่า ”
           
          “อาร์เซนทิสเปรียบดั่งดินแดนอัญมณี ข้าเข้าใจ แล้ว” โซซีมอสตอบ ก่อนจะสั่งให้ออกเดินทาง จนไม่ได้ยินเสียงพูดของอาคีรัสว่า
               
          “ใช่ แล้วองค์หญิงก็เป็นเช่นดังอัญมณีเลอค่า เกินกว่าจะคว้าได้”
 
 
 
 
          เพียงล่วงได้ชั่วโมงที่สอง คณะเดินทางทั้งหมดก็ก้าวล่วงเข้าสู่ดงต้นสนหลายล้านเอเคอร์ และต้องใช้เวลานานสี่วันกว่าจะทะลุหลุดออกจากที่นี่ได้ แม้จะมีทางเดินไว้ แต่ขณะนี้หิมะได้ปกคลุมไปทั่วขุนเขา อากาศหนาว และทุกสิ่งสงัดเงียบ ยินเสียงร้องของกาดังมาเป็นครั้งคราว
               
          อากาศเย็น ยามที่ต้องพักแรงพวกเขาต้องตั้งกองไฟหลายกอง เสียงหมาป่ากู่ร้องจนนอนไม่สนิท แต่เชื่อว่าควันไฟคงจะกันความกระหายจากพวกมันได้ หากพวกมันสะกิดรู้ถึงภยันอันตรายที่อยู่ห่างไม่ไกล ยามดึกนกเค้าแมวโฉบเหยี่อส่งเสียงร้องแหลมปลุกยามให้ใจสั่นไหว จากนั้นก็เงียบหายไป
               
          ล่วงเข้าวันที่สองในดงสนที่เงียสงัดและลึกลับ ขณะที่ โซซีมอสกำลังลืมเรื่องที่อาคีรัสเคยเตือน ราวพลบค่ำ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้เห็นแสงตะวันใดจะส่องทะลุใบสนและหิมะที่ปกคลุมลงมาได้ ขณะที่เรฟีน่าออกเดินเล่นหลังจากนั่งเกวียนมาทั้งวัน ซินเธียง่วนอยู่กับงาน อาคีรัสเองขอตัวไปตรวจดูรอบๆตามนิสัยระวังภัย โซซีมอสเองก็กำลังตั้งทีมออกล่าสัตว์ พวกเขาไม่คิดว่า องค์หญิงคงไปไม่ไกลจึงให้ทหารสองนายตามไปดูอยู่ห่างๆ
               
          และเมื่อทุกคนกลับมา จึงพบว่า องค์ญิงเรฟีน่าหายไปแล้ว ศพทหารสองนายที่ตามไปนอนแน่นิ่งจมหิมะเลืดสีแดงฉานป้ายแปดเปรอะไปทั่ว
               
          ซินเธียเป็นลมล้มลงไปเมื่อเห็นสภาพศพ
               
          “แทงที่หัว อาวุธคมมาก” โซซีมอสเอ่ยขณะมองศพอย่างตกใจ
               
          “และรวดเร็ว ฝีมือมันไม่ธรรมดา ข้าจะตามไป”
               
          “ข้าด้วย กับทหารอีกสิบคน”
               
          อาคีรัสพยักหน้าตกลง ที่เหลือเขาสั่งทหารอีกสามสิบให้เนทางมุ่งหน้าไปต่อ
               
          “เดี๋ยวก็หลงกันหรอก” โซซีมอสบอก
               
          “ไม่ให้พวกขามุ่งหน้าไปก่อน ไปรอท่นอกป่าเครมดรีมได้ยิ่งดี เจอกันที่นั่น”
               
          “จะไม่ให้ใครส่งข่าวไปที่อาร์เซนทิสเหรอ”
               
          “ไม่ เราต้งจัดการเองอีกไม่กี่วันเราก็จะถึงเขตของคาเดลแล้ว ไปกลับเสียเวลา”
 
 
          เมื่อนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป
           
           
          เสียงคำรามดังขณะที่หมาป่าขนสีเทาขาวเดินเคลื่อนตัวเข้ามา อ้าปากแสยะยิ้ม แล้วพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ความหิวกระหายทำให้มันฉลาด และการล่าเป็นฝูงก็ทำให้มันดำรงเผ่าพันธุ์ มาช้านาน อาคีรัสตื่นจากความคิดและรีบชักดาบเข้าฟาดฟัน!
           
           หนึ่งตัวที่พุ่งเข้ามาหัวขาดกองอยู่กับพื้น เลือดกระฉูดอาบหิมะ และอีกตัวกระโจนหมายขย้ำคอเขาด้านหลัง เขาผละหลบ ก่อนม้วนตัวฟันดาบไปที่ลำตัว เจ้าหมายักษ์พุ่งไปกระแทกต้นสนกระเทือนจนหิมะตกลงมา
               
          หมาป่าขู่เห่ากรรโชก รอดูท่าที อาคีรัสเหนื่อยและหายใจแทบไม่ทันปอดเย็นเฉียบทุกครั้งที่สูดหายใจ เขาไม่รู้ว่าฆ่าหมาป่าตายไปกี่ตัวแล้ว แต่มันก็คงไม่น้อยเลย พวกมันยังดาหน้ามาเรื่อยๆอย่างไม่รู้จักเข็ดหลาบ และแน่นอน พวกมันรู้ว่าชัยชนะรออยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว
               
          เมื่อหมดเวลาพักยก มันก็พุ่งมาอีกครั้ง เขาถีบมันตกไปอีกตัวแล่นตามเข้ามา แต่อีรัสก็ฟันได้ทันก่อนคมเขี้ยวจะทันได้งับเนื้อ ไม่ต้องบอกเลยว่าโดนกัดแล้วจะเป็นเช่นไร หมาทุกตัวมีเชื้อป่า!
               
          และเมื่อนั้นเอง นาทีอันวิกฤติถึงชีวิตก็มาถึง เมื่อเขาฟันตัวที่พุ่งมาทำให้ตัวเซแล้วยังสะดุดซากตัวที่ตายแล้ว เขาล้มลง นั่นเองหม่าป่ากระหายเลือดก็พุ่งตัวเข้ามา แต่ก่อนจะมาถึงนั่นเองห่าลูกธนูก็พุ่งมาปลิดชีวิตสังหาร เสียงร้อง ‘เอ๊ง’ ดังระงม ห่าธนูไฟตามมาอีกระลอก หลายตัวไม่คิดสู้ หนีตาย บางตัวยังไม่ตายกระเสือกกระสนลากตัวทั้งที่ขาถูกธนูปักส่งเสียงร้องทรมาน แต่เมื่อธนูพุ่งทะลุร่างไปอีกดอก มันก็แน่นิ่งจมกองเลือดอยู่นั่นเอง
               
          คบไฟสว่างจ้า จนเขาตาพร่าเลือน เมื่อเห็นคนที่สว่างไสวก้าวเดินมา…
               
 
 
(ตอนนี้นาน และมันกำลังจะกลายเป็นแอ็กชั่นผจญภัยเสียและสิ คุมเรื่องไม่ด้แว้ววทำไงดีฮะ)

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา