ใจบรรณาการ
8.7
เขียนโดย บุคคลปริศนา
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11.43 น.
3 ตอน
6 วิจารณ์
7,021 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 14.29 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความใจบรรณาการ
พ้นผ่านเนินเขาลูกที่สองพวกเขาก็รู้ว่าเดินทางมาไกลจนไม่สามารถหันกลับไปมองเห็นปราสาท อาร์เซนติสได้อีก คณะเดินทางก็รุดหน้าไปเรื่อยๆ
หญิงสาวในเกวียนคันใหญ่เลิกผ้าม่านที่หน้าต่างมองย้อนไปด้านหลัง ผมสีน้ำตาลประกายสีแดงอ่อนพริ้วไสวตามแรงลม ดวงตาสีมรกตบัดนี้มีน้ำตาเอ่อล้นจนแวววาว จนคนควบม้าอยู่ข้างๆเกวียนมองอย่างเห็นใจ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนมองฟ้าสีส้มแสดระบายคลื่นเมฆ เขาเร่งม้าคู่กายจนแซงทหารผู้ถือธง
“หยุด” เขาประกาศเสียงดังลั่นลากเสียงยาว ผสมกับเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ แล้วจากนั้นคณะเดินทางที่มีคนกว่าห้าสิบชีวิตก็หยุดลง “เราจะพักกันที่นี่ รีบกางกระโจมให้องค์หญิงและก่อกองไฟเร็วเข้า”
“ข้าไม่คิดว่าเราจะพักกันที่นี่ มันโล่งเกินไป ลมแรงหากหิมะตกทุกคนจะหนาวตาย เจ้าน่าจะให้พักที่ในเขตป่าสนข้างหน้านะ อาคีรัส”
อาคีรัสลงจากหลังม้าเขายื่นเชือกให้คนดูแลที่กุลีกุจอมารับ “ป่าสนเครมดรีมอันตรายกว่าที่นี่อีก ดูสิโซซิมอส จะมีอะไรให้ปลอดภัยกว่านี้นอกจากเนินดอกมอร์นิ่งกลอรี่ รุ่งเช้าพอองค์หญิงตื่นจากบรรทมพระองค์จะได้ดูอะไรที่สวยงามเผื่อว่าจะหายจากการโศกศัลย์ได้บ้าง อีกอย่างข้าว่าหิมะยังไม่ตกวันนี้แน่ แต่ยังไงเราก็มีกระโจมกันแล้วนี่”
“งั้นก็ตามใจเจ้าเจ้าเป็นหัวหน้าองครักษ์นี่ ว่าแต่ไม่มีอันตรายแน่นะ” โซซิมอสถามอย่างไม่แน่ใจ
“มีหรือไม่นั่นมันหน้าที่เราเหล่าองค์รักษ์อยู่แล้วนะ” อาคีรัสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยุดยิ้มเมื่อเห็นองค์หญิงเสด็จลงมาจากเกวียน พร้อมพี่เลี้ยงร่างอวบ
“เดี๋ยวก่อนเพคะองค์หญิง รอหม่อมฉันด้วย”
“เราทั้งอึดอัดทั้งเหมื่อยนี่ ซินเธีย เจ้าจะให้นั่งรอกระโจมกางเสร็จอีก เราไม่รอแล้ว”
องค์หญิงในชันษาสาวแรกรุ่นกำลังมุ่งตรงมาทานี้ อาคีรัสได้ยินเสียงโต้ตอบนั้น ก่อนจะเลี่ยงเดินหนีไปเพื่อดูความเรียบร้อย
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะอาคีรัส” น้ำเสียงใสนั้นบอกมาอย่างแข็งกระด้าง เขาหยุดกึกก่อนจะหันมา “นี่เจ้าจะไปที่ไหน”
“ข้ากำลังจะเดินไปตรวจดูรอบๆนะพ่ะยะค่ะ” เขาตอบตามความเป็นจริง เป็นหนึ่งในหน้าที่ขององครักษ์ที่จะต้องคอยตรวจตราดูแลความปลอดภัย
“ข้าไปด้วย”
“หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่เหมาะนะพ่ะยะค่ะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าจะไปด้วย อ่อเลิกพูดราชาศัพท์กับข้าเสียที” องค์หญิงเอาแต่ใจบอก
“งั้นกระหม่อมขอตามไปด้วย” โซซีมอสว่า
“หม่อมฉันด้วย” พระพี่เลี้ยงซินเธียบอก
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องห่วงข้าข้าแค่จะไปเดินเล่นเท่านั้น ก็อยากรู้ว่าไปกับองครักษ์อาคีรัสแล้วข้าจะไม่ปลอดภัย”
แล้วนางก็ออกเดินนำหน้าองครักษ์หนุ่มไป
อาคีรัสโคลงศรีษะก่อนเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฝากดูแลความเรียบร้อยด้วยนะซีมอส” เขาบอกแก่เพื่อนสนิท
องครักษ์ผมสีแดงเพลิงรับปาก ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับการดูแลการตั้งที่พัก ซินเธียก็เกณท์คนไปช่วยกันหาน้ำมาเตรียมตั้งเตาต้มน้ำ
ควันไฟพวยพุ่งหม้อซุปกำลังเดือดจัด กระโจมสีขาวหลังใหญ่กางออกบนเนินหญ้า เสียงเอะอะตะโกนดังปลุกทุ่งหญ้าที่เงียบสงบนั้นมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
อาคีรัสและองค์หญิงแห่งอาร์เซนทิสเดินชื่นชมทุ่งหญ้า ทั้งคู่เดินขึ้นเดินสูงก่อนจะหันลงมามองแคมป์พักแรมชั่วคราวด้านล่าง
“อีกกี่วันอาคีรัส…อีกกี่วันที่เราจะเดินทางไปถึงคาเดลโรเชีย” แม้คำถามนั้นสื่อถึงความต้องการอยากรู้คำตอบแต่น้ำเสียงนั้นเบาหวิวคล้ายไม่อยากจะพูดออกไป
“อีกสามวันเราจะพ้นอาณาเขตแห่งอาร์เซนทิสจากนั้นเดินอีกห้าวันเราก็จะถึงกรุงคาเดล”
“อีกแปดวันสินะ” น้ำเสียงนั้นหวิวไหว “อีกแปดวันข้าต้องเป็นของขวัญให้กับองค์ชายแห่งคาเดลซึ่งเขาเป็นใครข้าก็ไม่รู้ มีหน้าตาอุบาทว์อย่างไร มีนิสัยกักขฬะแค่ไหนก็ไม่รู้ ทำไมชีวิตข้าต้องกลายเป็นของบรรณาการให้ใครต่อใครได้อย่างไร ข้าจะทำอย่างไรดี”
“บางทีเรื่องอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พระองค์คิดไว้”
“ใช่สิ ยังมีเรื่องเลวร้ายมากกว่านี้รอข้าอยู่”
“องค์หญิงเรฟีน่า” อาคีรัสพูดขึ้น ขณะลมเย็นกำลังไกวต้นหญ้า แสงสุดท้ายของวันกำลังงดงามตา เส้นขอบฟ้าบางลงทุกที ราตรีกาลกำลังกล้ำกราย “หากพระองค์ไม่อยากทำ พระองค์ก็มีทางเลือกเสมอ”
“ทางเลือก? เจ้าว่าข้ามีทางเลือกอย่างนั้นหรือ ข้ายังจะมีทางเลือกอย่างไรนอกจากทำตามเส้นทางที่สองอาณาจักรได้ขีดเส้นไว้”
“มันขึ้นอยู่กับว่าพระองค์กล้าหรือเปล่า” เส้นผมสีเหลืองทองของเขาพริ้มไสวตามแรงลม เหลืองดั่งทุ่งข้าวสาลียามถูกแดดสุดท้ายของวันอาบไล้
“เจ้าจะให้ข้าหนีไปอย่างนั้นหรืออาคีรัส อาร์เซนทิสเป็นประเทศราชของคาเดลโรเชียนะ ข้าจะยังดีดดิ้นหลุดจากอุ้งมือของอำนาจไปไหนได้อีก หากข้าหนีไปคนที่จะได้รับกรรมคือเสด็จพ่อเสด็จแม่และประชาชนชาวอาร์เซนทิสทุกคน”
“ถ้าอย่างนั้นพระองค์จะเป็นทุกข์ต่อไปอยู่ใยในเมื่อพระองค์ก็เข้าใจดี คำแนะนำของข้าอีกอย่างก็คือ ทรงยอมรับผลและรีบเดินทางไปหาเจ้าชายโรลันด์โดยเร็วจะดีกว่า”
“เจ้า!” เรฟีน่าตวาด “นี่หรือคือคำแนะนำ”
“ข้าพระองค์หมดเรื่องจะพูดแล้วโปรดเสด็จกลับลงไปข้างล่างเถอะ”
“ใช่สิเจ้าก็เหมือนเสด็จพ่อกับคนอื่นๆในวังที่เห็นข้าเป็นแค่สินค้าเป็นของขวัญเพื่อมอบให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้”
องครักษ์หนุ่มตกใจเมื่อเห็นองค์หญิงทรงกรรแสงเขาถอนหายใจเสียงดังจนคนร้องไห้นั้นได้ยิน
“พระองค์ทรงกังวลมากไปแล้ว บางทีเจ้าชายโรลันด์อาจเป็นคนดีอาจรูปงามก็ได้ อย่าทรงตีตนไปก่อนเลย”
“ไม่หรอก เจ้าไม่รู้ อาคีรัส ความรักนั้นต้องใช้เวลาข้าไม่ได้รักเขาถึงเจ้าชายอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่ามาแต่ข้ากับเขาจะรักกันได้อย่างไร”
“แล้วพระองค์จะมีใครให้รักล่ะในเมื่อพระองค์ไม่ได้เจอใครเลย พระองค์ก็แค่เด็กสาวแรกรุ่นที่จดจำคำพูดหรือจากหนังสือที่บอกมาว่าความรักต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ แต่แท้จริงพระองค์นั้นไม่ได้เข้าใจมันเลย” องครักษ์หนุ่มว่า
“เจ้า! อาคีรัสชักจะมากไปแล้วนะ อย่างเจ้าจะไปรู้อะไรได้ล่ะว่า…” เรฟีน่าจ้องตาองครักษ์หนุ่ม “ว่า…การที่มีความรักแต่ไม่สามารถ…บอกให้รู้ได้มันเจ็บปวดแค่ไหน” แล้วนางก็รีบวิ่งลงเนินกลับไปพร้อมหยดน้ำตา
เขาถอนหายใจอีกครั้ง ทางข้างหน้ายังอีกไกลนักแต่เขากลับรู้สึกหวั่นใจเหลือเกินเขาเข้าใจความรู้สึกขององค์หญิง เขาเข้าใจดี เป็นเพราะเราทั้งคู่ใกล้กันเกินไป แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันช่างไกลห่างกันยิ่งนัก
“เจ้าเป็นองครักษ์นะ” เขาเตือนตัวเอง ก่อนจะรีบตามลงไป
กะเขียนห้าตอนตอนละสองสามหน้าถือว่าเป็นการทดลองการเขียนแนวใหม่ๆนะครับ มีอะไรแนะนำได้นะครับ จะได้ปรับปรุงครับ
พ้นผ่านเนินเขาลูกที่สองพวกเขาก็รู้ว่าเดินทางมาไกลจนไม่สามารถหันกลับไปมองเห็นปราสาท อาร์เซนติสได้อีก คณะเดินทางก็รุดหน้าไปเรื่อยๆ
หญิงสาวในเกวียนคันใหญ่เลิกผ้าม่านที่หน้าต่างมองย้อนไปด้านหลัง ผมสีน้ำตาลประกายสีแดงอ่อนพริ้วไสวตามแรงลม ดวงตาสีมรกตบัดนี้มีน้ำตาเอ่อล้นจนแวววาว จนคนควบม้าอยู่ข้างๆเกวียนมองอย่างเห็นใจ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนมองฟ้าสีส้มแสดระบายคลื่นเมฆ เขาเร่งม้าคู่กายจนแซงทหารผู้ถือธง
“หยุด” เขาประกาศเสียงดังลั่นลากเสียงยาว ผสมกับเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ แล้วจากนั้นคณะเดินทางที่มีคนกว่าห้าสิบชีวิตก็หยุดลง “เราจะพักกันที่นี่ รีบกางกระโจมให้องค์หญิงและก่อกองไฟเร็วเข้า”
“ข้าไม่คิดว่าเราจะพักกันที่นี่ มันโล่งเกินไป ลมแรงหากหิมะตกทุกคนจะหนาวตาย เจ้าน่าจะให้พักที่ในเขตป่าสนข้างหน้านะ อาคีรัส”
อาคีรัสลงจากหลังม้าเขายื่นเชือกให้คนดูแลที่กุลีกุจอมารับ “ป่าสนเครมดรีมอันตรายกว่าที่นี่อีก ดูสิโซซิมอส จะมีอะไรให้ปลอดภัยกว่านี้นอกจากเนินดอกมอร์นิ่งกลอรี่ รุ่งเช้าพอองค์หญิงตื่นจากบรรทมพระองค์จะได้ดูอะไรที่สวยงามเผื่อว่าจะหายจากการโศกศัลย์ได้บ้าง อีกอย่างข้าว่าหิมะยังไม่ตกวันนี้แน่ แต่ยังไงเราก็มีกระโจมกันแล้วนี่”
“งั้นก็ตามใจเจ้าเจ้าเป็นหัวหน้าองครักษ์นี่ ว่าแต่ไม่มีอันตรายแน่นะ” โซซิมอสถามอย่างไม่แน่ใจ
“มีหรือไม่นั่นมันหน้าที่เราเหล่าองค์รักษ์อยู่แล้วนะ” อาคีรัสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยุดยิ้มเมื่อเห็นองค์หญิงเสด็จลงมาจากเกวียน พร้อมพี่เลี้ยงร่างอวบ
“เดี๋ยวก่อนเพคะองค์หญิง รอหม่อมฉันด้วย”
“เราทั้งอึดอัดทั้งเหมื่อยนี่ ซินเธีย เจ้าจะให้นั่งรอกระโจมกางเสร็จอีก เราไม่รอแล้ว”
องค์หญิงในชันษาสาวแรกรุ่นกำลังมุ่งตรงมาทานี้ อาคีรัสได้ยินเสียงโต้ตอบนั้น ก่อนจะเลี่ยงเดินหนีไปเพื่อดูความเรียบร้อย
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะอาคีรัส” น้ำเสียงใสนั้นบอกมาอย่างแข็งกระด้าง เขาหยุดกึกก่อนจะหันมา “นี่เจ้าจะไปที่ไหน”
“ข้ากำลังจะเดินไปตรวจดูรอบๆนะพ่ะยะค่ะ” เขาตอบตามความเป็นจริง เป็นหนึ่งในหน้าที่ขององครักษ์ที่จะต้องคอยตรวจตราดูแลความปลอดภัย
“ข้าไปด้วย”
“หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่เหมาะนะพ่ะยะค่ะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าจะไปด้วย อ่อเลิกพูดราชาศัพท์กับข้าเสียที” องค์หญิงเอาแต่ใจบอก
“งั้นกระหม่อมขอตามไปด้วย” โซซีมอสว่า
“หม่อมฉันด้วย” พระพี่เลี้ยงซินเธียบอก
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องห่วงข้าข้าแค่จะไปเดินเล่นเท่านั้น ก็อยากรู้ว่าไปกับองครักษ์อาคีรัสแล้วข้าจะไม่ปลอดภัย”
แล้วนางก็ออกเดินนำหน้าองครักษ์หนุ่มไป
อาคีรัสโคลงศรีษะก่อนเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฝากดูแลความเรียบร้อยด้วยนะซีมอส” เขาบอกแก่เพื่อนสนิท
องครักษ์ผมสีแดงเพลิงรับปาก ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับการดูแลการตั้งที่พัก ซินเธียก็เกณท์คนไปช่วยกันหาน้ำมาเตรียมตั้งเตาต้มน้ำ
ควันไฟพวยพุ่งหม้อซุปกำลังเดือดจัด กระโจมสีขาวหลังใหญ่กางออกบนเนินหญ้า เสียงเอะอะตะโกนดังปลุกทุ่งหญ้าที่เงียบสงบนั้นมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
อาคีรัสและองค์หญิงแห่งอาร์เซนทิสเดินชื่นชมทุ่งหญ้า ทั้งคู่เดินขึ้นเดินสูงก่อนจะหันลงมามองแคมป์พักแรมชั่วคราวด้านล่าง
“อีกกี่วันอาคีรัส…อีกกี่วันที่เราจะเดินทางไปถึงคาเดลโรเชีย” แม้คำถามนั้นสื่อถึงความต้องการอยากรู้คำตอบแต่น้ำเสียงนั้นเบาหวิวคล้ายไม่อยากจะพูดออกไป
“อีกสามวันเราจะพ้นอาณาเขตแห่งอาร์เซนทิสจากนั้นเดินอีกห้าวันเราก็จะถึงกรุงคาเดล”
“อีกแปดวันสินะ” น้ำเสียงนั้นหวิวไหว “อีกแปดวันข้าต้องเป็นของขวัญให้กับองค์ชายแห่งคาเดลซึ่งเขาเป็นใครข้าก็ไม่รู้ มีหน้าตาอุบาทว์อย่างไร มีนิสัยกักขฬะแค่ไหนก็ไม่รู้ ทำไมชีวิตข้าต้องกลายเป็นของบรรณาการให้ใครต่อใครได้อย่างไร ข้าจะทำอย่างไรดี”
“บางทีเรื่องอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พระองค์คิดไว้”
“ใช่สิ ยังมีเรื่องเลวร้ายมากกว่านี้รอข้าอยู่”
“องค์หญิงเรฟีน่า” อาคีรัสพูดขึ้น ขณะลมเย็นกำลังไกวต้นหญ้า แสงสุดท้ายของวันกำลังงดงามตา เส้นขอบฟ้าบางลงทุกที ราตรีกาลกำลังกล้ำกราย “หากพระองค์ไม่อยากทำ พระองค์ก็มีทางเลือกเสมอ”
“ทางเลือก? เจ้าว่าข้ามีทางเลือกอย่างนั้นหรือ ข้ายังจะมีทางเลือกอย่างไรนอกจากทำตามเส้นทางที่สองอาณาจักรได้ขีดเส้นไว้”
“มันขึ้นอยู่กับว่าพระองค์กล้าหรือเปล่า” เส้นผมสีเหลืองทองของเขาพริ้มไสวตามแรงลม เหลืองดั่งทุ่งข้าวสาลียามถูกแดดสุดท้ายของวันอาบไล้
“เจ้าจะให้ข้าหนีไปอย่างนั้นหรืออาคีรัส อาร์เซนทิสเป็นประเทศราชของคาเดลโรเชียนะ ข้าจะยังดีดดิ้นหลุดจากอุ้งมือของอำนาจไปไหนได้อีก หากข้าหนีไปคนที่จะได้รับกรรมคือเสด็จพ่อเสด็จแม่และประชาชนชาวอาร์เซนทิสทุกคน”
“ถ้าอย่างนั้นพระองค์จะเป็นทุกข์ต่อไปอยู่ใยในเมื่อพระองค์ก็เข้าใจดี คำแนะนำของข้าอีกอย่างก็คือ ทรงยอมรับผลและรีบเดินทางไปหาเจ้าชายโรลันด์โดยเร็วจะดีกว่า”
“เจ้า!” เรฟีน่าตวาด “นี่หรือคือคำแนะนำ”
“ข้าพระองค์หมดเรื่องจะพูดแล้วโปรดเสด็จกลับลงไปข้างล่างเถอะ”
“ใช่สิเจ้าก็เหมือนเสด็จพ่อกับคนอื่นๆในวังที่เห็นข้าเป็นแค่สินค้าเป็นของขวัญเพื่อมอบให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้”
องครักษ์หนุ่มตกใจเมื่อเห็นองค์หญิงทรงกรรแสงเขาถอนหายใจเสียงดังจนคนร้องไห้นั้นได้ยิน
“พระองค์ทรงกังวลมากไปแล้ว บางทีเจ้าชายโรลันด์อาจเป็นคนดีอาจรูปงามก็ได้ อย่าทรงตีตนไปก่อนเลย”
“ไม่หรอก เจ้าไม่รู้ อาคีรัส ความรักนั้นต้องใช้เวลาข้าไม่ได้รักเขาถึงเจ้าชายอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่ามาแต่ข้ากับเขาจะรักกันได้อย่างไร”
“แล้วพระองค์จะมีใครให้รักล่ะในเมื่อพระองค์ไม่ได้เจอใครเลย พระองค์ก็แค่เด็กสาวแรกรุ่นที่จดจำคำพูดหรือจากหนังสือที่บอกมาว่าความรักต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ แต่แท้จริงพระองค์นั้นไม่ได้เข้าใจมันเลย” องครักษ์หนุ่มว่า
“เจ้า! อาคีรัสชักจะมากไปแล้วนะ อย่างเจ้าจะไปรู้อะไรได้ล่ะว่า…” เรฟีน่าจ้องตาองครักษ์หนุ่ม “ว่า…การที่มีความรักแต่ไม่สามารถ…บอกให้รู้ได้มันเจ็บปวดแค่ไหน” แล้วนางก็รีบวิ่งลงเนินกลับไปพร้อมหยดน้ำตา
เขาถอนหายใจอีกครั้ง ทางข้างหน้ายังอีกไกลนักแต่เขากลับรู้สึกหวั่นใจเหลือเกินเขาเข้าใจความรู้สึกขององค์หญิง เขาเข้าใจดี เป็นเพราะเราทั้งคู่ใกล้กันเกินไป แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันช่างไกลห่างกันยิ่งนัก
“เจ้าเป็นองครักษ์นะ” เขาเตือนตัวเอง ก่อนจะรีบตามลงไป
กะเขียนห้าตอนตอนละสองสามหน้าถือว่าเป็นการทดลองการเขียนแนวใหม่ๆนะครับ มีอะไรแนะนำได้นะครับ จะได้ปรับปรุงครับ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ