เพื่อนทุกข์
9.0
เขียนโดย ช่องว่างระหว่างเมฆ
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.50 น.
1 ตอน
4 วิจารณ์
3,605 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 09.16 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในความมืดอันเบาบาง ไม่มืดมากจนไม่เห็นสิ่งใด แต่ก็ไม่สว่างใสจนเห็นชัด มืดมัวสลัวๆ เสียงพัดลมบนเพดานครางดังตอนที่หมุนตัวส่งสายลมไปทั่วห้องตามรัศมีที่ไปถึง มันครางดังสม่ำเสมอเป็นจังหวะจะโคนให้คนที่นอนอยู่หลับอย่างสนิท แต่กระนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิก ดังมาเช่นกันเสียงร้องไห้นั้นดังเบาๆแต่สู้เสียงพัดลม จนฉันนอนไม่ได้
เหลือบมองทะลุกระจกห้องพักพยาบาลที่ไฟสว่างโล่ง หลายคนเล่นมือถือหลายคนสัปหงก ยังไม่ถึงเวลาทีต้องมาตรวจตราคนไข้ ใช่ มันเป็นเวลาให้คนป่วยได้พักผ่อน ยกเว้นรายที่อาการหนักจริงๆเท่านั้น แต่เคสแบบนั้นจะอยู่ใกล้ห้องพักพยาบาลมากที่สุด
เสียงกระซิกยังดังต่อไป ฉันรู้แล้วว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากเตียงข้างๆ แต่ฉันทนไม่ไหว ลุกนั่งบนเตียงเพื่อมอง เจ้าของที่ร้องไห้ดังนั้นเป็นหญิงสาว อายุต้นยี่สิบ สายยางลงกระเพาะอาหารปรากฏชัดที่ใบหน้า มันถูกสอดใส่ตั้งแต่จมูกจนลงไปถึงกระเพาะ ฉันรู้ดีมันรู้สึกยังไง เธอคงมานานแล้ว หลังจากออกจากห้องฉุกเฉินคงอาจจะเพิ่งตื่น พอตื่นมารู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาย ยังมีลมหายใจเพื่อเผชิญความจริงอันปวดร้าวอยู่ ก็คงเสียใจร้องไห้
“ถึงเวลานอนแล้วร้องไห้ทำไม” ฉันถาม
หญิงสาวที่หลับไปทั้งน้ำตาดันเปลือกตาขึ้นมามองฉัน เธอไม่ตอบใช้มืออีกข้างที่ปราศจากสายน้ำเกลือเช็ดหน้าลวกๆ แล้วนอนตะแคงข้างหันไปอีกด้าน
นิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่ง จนฉันคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว กำลังจะล้มตัวลงนอน เสียงกระซิกดังขึ้นอีกแล้ว ลมเย็นจากหน้าต่างหอบเอาดอกไม้กลิ่นหอมเข้ามา เมื่อมาผสมเสียงร้องไห้เบาๆให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก ฉันไม่ชอบเลยรู้สึกวังเวงและเปลี่ยวเหงา และกลัว…
แต่ฉันก็นอนไม่ได้ เมื่อมีคนมาร้องไห้อยู่ตรงนี้
“ถ้าให้เดานะ เธอถูกคนรักทิ้งใช่ไหม” ฉันถามเสียงดังพอประมาณ เพราะว่าเตียงถัดไปจากเรานั้นว่าง เธอคนนั้นยังไม่ตอบ
“เขาไปมีคนใหม่ ใช่ไหม?” ฉันพูดอีก ไหนๆก็นอนไม่หลับแล้ว และเธอก็ไม่หลับด้วย ยิ่งพูดฉันยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้น
“แล้วเธอก็เลยกินยาล้างห้องน้ำเพื่อประชดเขา”
“ฉันแค่อยากให้เขามาสนใจฉันบ้าง” ในที่สุดเพื่อนข้างเตียงก็หันมาพูด
“แล้วเป็นไงล่ะ ได้ผลไหม หึไม่ได้ผลสินะเขาจะได้รีบหนีไปเลยสิไม่ว่า” ฉันเผลอหัวเราะเบาๆอย่างสมเพชเมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบ ฉันจึงพูดขอโทษ
“ที่พูดไปแบบนั้น เพราะฉันก็เคยผ่านมาแล้วต่างหากล่ะ” ฉันมองที่ป้ายชื่อของเธอ “ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกนะ นันทิภา ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยล่ะ ที่เจ็บและโง่เพราะผู้ชายเพื่อคำว่ารักเพียงคำเดียว” ฉันถอนหายใจ เมื่อคิดถึงเรื่องของตัวเอง
“เธอก็ด้วยเหรอ” นันทิภาถามแล้วก็ร้องครางเจ็บปวด แม้จะถูกล้างท้องไปแล้วก็ตามแต่สารจากน้ำยาล้างห้องน้ำนั้นยังคงฤทธิ์ติดค้างอยู่ มันคงเข้าไปกัดกินกระเพาะ จนเกิดเป็นแผลเจ็บแสบราวกับกลืนถ่านไฟแดงวาบลงไป เห็นแล้วฉันอดสงสารเธอไม่ได้
“ใช่! ทำไมนะ นัน ฉันขอเรียกนันเฉยๆนะ ทำไมนะ ทำไมเราถึงโง่ขนาดนี้ เรายอมทุกอย่างเสียทั้งตัวและหัวใจ เพียงเพราะคำว่ารักอย่างนั้นเหรอ”
นันทิภานิ่งเงียบ ฉันรู้คำพูดฉันมันเจ็บปวดแต่เราต้องย้ำตัวเองให้เจ็บปวด ราวกับตีซ้ำๆ ให้มันจำฝังใจ อย่าได้คิดสั้นทำร้ายตัวเองเพราะใครอื่นอีก คนที่รักตัวเราก็มีแค่ตัวเราเท่านั้นแหละจะมีใครมารักตัวเราถ้าไม่ใช่ตัวเรา แล้วเรายังจะทำร้ายตัวเองอีกทำไม
ฉันนิ่งเงียบให้ลมดึกเย็นๆพัดมาจากหน้าต่างพัดผมยาวของฉัน กลิ่นคล้ายดอกซ่อนกลิ่น หอมกำจาย เสียงพัดลมยังครางแกรกกรากเป็นจังหวะ เสียงเครื่องช่วยหายใจดังติ๊ดๆจากเตียงใดเตียงหนึ่ง แต่เราทั้งคู่กลับรู้สึกเงียบสงัด รู้สึกว่าเราสองคนแปลกแยกจากคนๆอื่นๆ แปลกแยกจากพยาบาลในห้อง คล้ายที่นี่คือโลกของเราทั้งสอง โลกแห่งความทุกข์
“ดูสิเรารักเขามากขนาดไหน เรายอมตายเพื่อเขา คนแบบนั้นไม่ควรค่าจะได้ความรักจากเราด้วยซ้ำ”
นันกลับมาร้องไห้อีกครั้ง เธอคงเก็บคำของฉันไปคิด ผสมกับเรื่องชีวิตของเธอ
“ฉันรักเขา ฉันทุ่มเทเพื่อเขามากขนาดไหน แต่…เขา…” เสียงของนันทิภา ขาดหายน้ำตารินไหลลงอีกครั้ง
“อย่าเศร้าไปเลยนัน นึกเสียว่ามันคือความฝัน พรุ่งนี้เธอจะตื่น ตื่นมาพบว่าใครกันแน่ที่รักเธอจริง เมื่อเจอแล้วขอให้เธอรักเขาให้มากๆ นอนเสียเถอะ…ฉัน…” เสียงของฉันขาดห้วงลงบ้าง มือกุมปากไว้ลำคอโกงอยากจะอาเจียน
นันทิภามองดูฉันอย่างตกใจ
“เธอเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก” ฉันพูดอู้อี้ อะไรบางอย่างทะลักล้นย้อนจากช่องท้องขึ้นมา ขย้อนน้ำคาวขื่นออกมา
นันทิภาเบิกตาโพลง เมื่อเห็นเลือดออกมาจากปากสาวเตียงข้างๆ
“ไม่เป็นไรๆ” หญิงสาวยังเอ่ยบอกละล่ำละลัก พลางเช็ดปาก
“นอนเถอะนัน เชื่อฉันวันพรุ่งนี้เธอจะได้พบกับชีวิตใหม่ เธอจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าใครกันแน่ที่รักเธอจริงๆคนที่รักเธออย่างไม่มีข้อแม้”
“ฉันยังไม่ง่วง เล่าเรื่องของเธอก่อนสิ ฉันอยากฟังเรื่องของเธอ เธอชื่ออะไร” นันทิภาถามคู่สนทนา
“ปริม ฉันชื่อปริม เรื่องของฉันกับเรื่องเธอมันก็ไม่ต่างกันหรอกนัน เรื่องของพวกเรามันก็น้ำเน่าเหมือนๆกัน เริ่มคล้ายกัน จบเหมือนกัน แล้วยังโง่ฆ่าตัวตายหมือนกันอีก ทั้งที่เขาไม่รักเรามันก็เจ็บปวดอยู่แล้วยังจะไปทำร้ายตัวเองให้คนที่รักเราเจ็บปวดมากขึ้นอีก พวกเรามันโง่นัน! เรามันโง่!” ปริม ขึ้นเสียง
ทั้งคู่เงียบนิ่ง จมดิ่งไปกับความปวดร้าว
“ฉันขอโทษนะนัน” เสียงของปริมสั่นเครือ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้องขอบคุณเธอมากกว่า มันก็จริงอย่างที่เธอพูดบอก เรามันโง่ ฉันเข้าใจแล้ว ปริม ดูสิเมื่อกี้ฉันยังร้องไห้กับคนที่เขาทิ้งฉันไปอยูเลย ฉันเฝ้าแต่ทำทุกอย่างเพื่อเขา แต่กับคนที่รักฉันอย่างพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยทำเพื่อพวกท่านเลยฉันมันโง่จริงๆ ”
“ฉันด้วยคน ฉันมันก็โง่” ปริมว่า
แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เป็นการหัวเราะราวกับสมเพชตัวเอง หัวเราะให้กับความโง่เขลาของพวกเธอเอง แล้วขณะนั้นเองปริมก็เริ่มไอ ไอเสียงดังเลือดถะถั่งออกมา นันทิภาตกใจเลือดกองใหญ่มากเปรอะลงเต็มผ้าปูเตึยงสีขาว ไหลลงบนพื้น
เธอร้องตะโกนให้พยาบาลมาหา แต่ไม่มีใครมาเลยสักคน พยาบาลนั่นนั่งสัปหงกในห้องกระจก นันจึงออกแรงเอื้อมมือยื่นไปกดปุ่มขอความช่วยเหลือ ปากก็บอกให้เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมชะตากรรมให้ทำใจดีๆ
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกนัน เธอควรนอนพักได้แล้วจะได้หายเร็วๆ” เสียงของปริมเบางใบหน้าที่สะท้อนแสงไฟสลัวๆนั้นซีดจางจนไร้สีเลือด นันกดปุ่มข้างเตียงจนจมลึก เมื่อเห็นว่าพยาบาลกำลังรีบเดินออกมา
“ทำใจดีๆปริม พวกเขากำลังจะมาช่วยแล้ว”
“ไม่มีใครช่วยฉันได้หรอกนัน” เสียงปริมบอกถึงความอ่อนล้า นันมองเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอ เป็นยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน
นันทิภาหันไปมองพยาบาลอีกครั้ง พวกเขากำลังเดินมา อีกคนเดินไปเปิดไฟ พลันแสงไฟที่นางพยาบาลเปิดสว่างวาบ
“เตียง20 มีอะไรหรือเปล่า กดขอความช่วยเหลืออะไร”
“เตียงโน้นค่ะ เธออาเจียรออกมาเป็นเลือด” หญิงสาวชี้ไปที่เตียงติดหน้าต่าง เตียงที่ปริมนั่งอยู่ตรงนั้น
“ไหน?” พยาบาลทำหน้างุนงง
“ก็นี่ไงค่ะ คนที่อยู่ ตะ…” นันทิภาหันกลับมาแล้วตกใจ เตียงว่างเปล่า ไร้ปริม ไร้กองเลือด อันที่จริงมันเป็นเตียงว่างผ้าห่มยังถูกพับอย่างเป็นระเบียบ ไม่ปรากฏว่าใครมานอนที่นี่แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน ปริมหายไปไหน คนที่คุยกับเธอตั้งนานนั่นอยู่ไหนกัน
“ปริม” เสียงนันร้องอย่างตกใจ พยาบาลคนหนึ่งทำหน้าเลิกลัก
“คุณคงตาฝาด ไม่ก็เพ้อจากอาการเจ็บปวด ฉันจะให้ยาระงับปวดนะคะ และจะให้ยานอนหลับกับคุณด้วยนอนหลับเถอะค่ะอย่าคิดมากนะคะ อย่าเสียใจไปเลย” พยาบาลสาวบอก อีกคนกำลังวัดความดัน เมื่อพยาบาลทั้งคู่ทำงานเสร็จแล้ว ก็เดินจากไป นันทิภาได้ยินเสียงแว่วเบาๆแทบจะจับใจความไม่ได้จากพยาบาลอีกคนว่า
“อีกคนแล้วหรือเนี่ย นี่คงเจอเธอเข้าไปจังๆ...ขนลุก”
“อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวคนไข้กลัวปริมเขามีเจตนาดีแน่ คงมาคุยด้วยเพราะเห็นใจเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน”
“น่ากลัว นี่คงไม่ไปไหนเลยใช่ไหมเนี่ยจะสองปีแล้วนะมีคนไข้เจออยู่เรื่อยๆเลย”
“ฉันสงสารปริมมากกว่า...ฉันสงสารเธอจริงๆ” พยาบาลคนนั้นพูดแล้วเสียงก็ค่อยๆหายไป
นันทิภานอนขบคิดหนัก ว่าที่เธอเจอมันคืออะไร แต่แล้วร่างกายเธอก็ยอมแพ้ต่ออำนาจฤทธิ์ยา ก่อนจะเคลิ้มหลับไปนั้นเอง เธอได้ยินเสียงเบาๆคลายปลิวมากับสายลมยามดึกที่เย็นยะเยือกหนาวเข้าไปถึงไขสันหลัง
‘นอนเถอะนัน พรุ่งนี้เธอจะตื่น ตื่นมาพบว่าใครกันแน่ที่รักเธอจริง เมื่อเจอแล้วขอให้เธอรักเขาให้มากๆ นอนเสียเถอะนัน’
(คั่นเวลาด้วยเรื่องสั้นที่หัดเขียนแนวผู้หญิงอีกเรื่องหนึ่ง) อาจงงตอนเปลี่ยนสรรพนาม ฉันแล้วเปลี่ยนเป้นเธอ นั้นด้วยความที่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นเองขอบคุณที่อ่าน รักคนอ่าน อยากกอดคนคอมเม้นท์ <3
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ