Waiting' end
6.3
เขียนโดย Sara
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 11.26 น.
1 ตอน
4 วิจารณ์
3,499 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2557 11.48 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ อากาศยามเช้าขอองวันนี้ยังคงสดใสดั่งเช่นเคย ท้องฟ้าสีครามที่ดูประดับด้วยไอเมฆเหมือนกับท้องทะเลที่เต็มไปด้วยฟองคลื่นสีขาว เหล่าปักษาต่างส่งเสียงร้องเพลงอันไพเราะอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยหมู่ดอกไม้นานาพันธุ์ แสงแดดสาดส่องผ่านเงาร่มไม้เข้ามาเป็นเส้นแสงสีทองสวยงาม น้ำค้างเม็ดเล็กๆเหมือนกับหยาดเพชรยังคงพราวพรางเกาะอยู่บนใบหญ้าและใบไม้ก่อนที่มันจะค่อยๆไหลลงตามแรงโน้มถ่วงและหยดลงสู่พื้นดิน นกน้อยตัวหนึ่งบินออกจากกิ่งไม้ที่มันเคยเกาะก่อนบินวนออกไปทางคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่แล้วลงเกาะบนแปลงดอกไม้บนหน้าต่างโดยไม่ได้เกรงกลัวคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น
แสงแดดส่องสะท้อนกับเรือนผมสีทองที่งามละเอียดราวกับแพรไหมของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มือของเธอถือหนังสือปกหนาอยู่หนึ่งเล่ม แหวนเพชรทองคำขาวที่นิ้วนางข้างซ้ายส่องประกายแวววาว
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างระหงของคนรับใช้สาวที่ถือถาดอาหารเข้ามานกตัวน้อยบินหนีไป
“อาหารเช้าค่ะคุณหนู” เธอกล่าวก่อนจะยกถาดอาหารที่มีน้ำชา ขนมปังเพลนสโคนสองสามชิ้น ถ้วนแยมสตรอเบอร์รี่และครีมสดเข้าไปวางบนโต๊ะเล็กๆข้างหน้าต่างข้างๆหญิงสาว พลางรินชาใส่แก้ว“เช้านี้อากาศดีนะคะ”
ร่างงามที่นั่งบนเก้าอี้ขยับยิ้มเล็กน้อย “อากาศดีทุกวัน แต่ทะเลสงบไปหน่อย” หญิงสาวพูด นัยน์ตาสีฟ้ายังคงเหม่อมองไปข้างหน้าที่ปรากฏเป็นภาพท้องทะเลอันกว้างใหญ่ มองเห็นท่าเรือและผู้คนที่เริ่มจะวุ่นวาย
สาวใช้ยกถ้วยน้ำชาให้หญิงสาวที่รับมันไปดื่มแล้วยืนมองอย่างสงบอยู่ตรงด้านหลังพลางมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ทะเลสงบแบบนี้มานานมากแล้ว ไม่พายุ ไม่มีคลื่นยักษ์ มีก็แต่เสียงลมทะเลที่พัดเข้ามาให้ได้ยินทุกครั้งและทุกเวลา เหล่านกนางนวลสีขาวบนฟากฟ้าบินว่อนเล่นลมก่อนจะบินโผลงเกาะโขดหินใหญ่แถวชายทะเลเป็นที่พักพิง กลิ่นอายทะเลที่สดชื่นช่วยพัดพาความเศร้าหมองให้หายไปสำหรับเธอ
...แต่สำหรับหญิงสาวตรงหน้ามันกลับทำให้เธอเงียบเหงา ทะเลอันสงบนิ่งทำให้คนที่มองมันเงียบสงบไปเหมือนกัน
สายลมพัดพาเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากท่าเรือขึ้นมา เป็นเสียงความวุ่นวายของคนเดินเรือกับทหารกลุ่มหนึ่งที่ทะเลาะกันจนฟังไม่ได้ศัพท์
แกร๊ก!
เสียงของถ้วยกระเบื้องที่กระทบกับจานกระเบื้องเรียกสติของสาวใช้ให้กลับมาเมื่อหญิงสาวตรงหน้าวางถ้วยน้ำชาที่ดื่มไปครึ่งหนึ่งลงแต่เธอก็ยังไม่ได้แตะอาหารเช้า
“ทานขนมสักหน่อยมั้ยคะ คุณหนู” สาวใช้ถามอย่างเป็นห่วง
“ข้ากำลังจะแต่งงาน” อยู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหมองลง มือเรียวหมุนแหวนที่สวมไว้บนนิ้วเล่น
สาวใช้มองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นนายที่ไม่ได้หม่นหมองลงเพราะความเศร้าหมอง เสียใจ หรือผิดหวัง แต่มันเป็นใบหน้าของคนที่กำลังหวัง ความหวังและการรอคอย
การรอคอยที่เป็นเวลามาเนิ่นนาน หลังการล่ำลาที่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มและคำสัญญา ผ่านไปหนึ่งวัน กลายมาเป็นหนึ่งอาทิตย์ จากหนึ่งอาทิตย์ก็กลายเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็กำลังจะกลายเป็นหนึ่งปี วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆตามโลกที่หมุนไป พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก ผู้คนบางคนที่ออกไปจากบ้านตอนเช้าก็กลับมา ส่วนคนที่ยังไม่กลับมาก็ยังคงต้องนั่งรอต่อไป...เหมือนกับหญิงสาวผู้นี้
เธอเห็นภาพนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างสายตาเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลปล่อยจิตใจไปตามสายลมมองหาใครคนใดคนหนึ่ง หญิงสาวที่แต่ก่อนเคยเป็นคนร่าเริงและแจ่มใสกลับกลายเป็นคนสงบและเยือกเย็นร่างกายซูบผอม
นี่คือผลของการเป็นฝ่ายที่ต้องรอ เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง ให้ความหวังตัวเองว่าวันนี้คงได้เจอแต่พอทันทีที่พระอาทิตย์ตกดินความหวังนั้นก็จมหายไปด้วยก่อนที่มันจะผุดขึ้นมาอีกครั้งทันทีที่รุ่งสางของวันใหม่มาเยือน
ไม่ใช่วันนี้ก็ต้องเป็นพรุ่งนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็เป็นมะรืนนี้ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนเคยชินกับการรอคอย แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผู้หญิงตรงหน้าก็ไม่เคยเบื่อการรอคอย เธอยังคงทำอย่างนี้ทุกวันนั่งรอและเฝ้ามองที่ปลายขอบฟ้าไม่ไหวหวั่นแม้แต่กาลเวลา
เรือลำแล้วลำเล่าแล่นเข้าออกสู่ฝั่งและกลับลงทะเล ใบเรือผ้าใบสีขาวกางรับลมยามล่องเรือ สมอเหล็กถูกหย่อนลงผืนน้ำยามเมื่อหยุดหรือจอดเทียบท่า เป็นอย่างนี้ทุกวันๆเหมือนเดิม
สาวใช้ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจยกถาดอาหารออกไปเหลือไว้แต่จานขนมหลังจากที่ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่ยอมทานอะไร
...เป็นแบบนี้มานานแล้ว
เธอหันไปมองนายหญิงของตนเองด้วยความเป็นห่วง
ดูแลตัวเองเพื่อเขาหน่อยบ้างเถอะค่ะ เป็นคำที่เธอเคยพูดไว้มาไม่นานมากนัก และนั่นก็ทำให้หญิงสาวค่อยๆกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ก็ครบปีแล้ว” เสียงหวานจากร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าเอ่ยราวกับกำลังพูดกับใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ก่อนที่ประตูจะปิดลง
ความหวังของการรอคอยคือการพบเจอ
จากการลาคือความทรมาน แต่มันจะหายไปเมื่อเราลืม
แต่การรอคอยคือสิ่งที่ทรมานมากกว่า เพราะว่าเราจะไม่มีวันลืม...และยังเป็นการตั้งความหวังที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นจริง ยิ่งกว่านั้น วันเวลาก็ดูเหมือนจะยิ่งยาวนานราวกับเป็นนิรันดร์
ยิ่งรู้ว่าคนที่รอคอยอยู่ที่ไหนจิตใจก็ยิ่งลอยไปหาถึงที่นั่งถึงแม้ว่าตัวจะทำได้แต่อยู่ที่เดิม และยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน มันก็ยิ่งอยากจะพบเจอ
เวลายังคงหมุนไป เข็มนาฬิกาจากนาฬิกาเรือนใหญ่ยังคงเดินดัง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ก่อนที่เสียงเพลงจากนาฬิกาจะดังเมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวชี้เล็กสิบสอง
อากาศข้างนอกเริ่มร้อนขึ้น แต่สายลมยังคงช่วยบรรเทาเอาไว้ได้
เวลายังคงผ่านไป
เสียงคลื่นและกลิ่นอายของทะเลคือสิ่งมหัศจรรย์ คือสัญญาณที่ยังคงสัมผัสได้ แม้มันจะดูเงียบเหงาไปก็ตาม...
ท่าเรือที่จ้อกแจ้กจอแจกำลังจะกลับมาสงบอีกครั้งยามเมื่อท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีส้มอ่อนนวลตา พระอาทิตย์กำลังจะจมลงสู่ทะเล ณ ที่ปลายขอบฟ้า
อีกวันนึงกำลังจะผ่านพ้นไป...
กลางพระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่ที่กำลังถูกบดบังด้วยผืนน้ำที่พราวระยิบระยับเงาสีดำเล็กๆนั่นปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าเหนือท้องทะเล ความมืดที่กำลังเข้ามากำลังจะพรากสติสัมปชัญญะของเธออีกครั้งเช่นทุกวัน...
ดวงตาของหญิงสาวค่อยๆเบิกกว้าง สติที่เลือนลางเริ่มกลับมา หัวใจเต้นรัวราวกับว่าจะทะลุออกมา มือสองข้างกุมกันแน่นอย่างมีความหวัง
ในยามที่เงาเล็กๆของสิ่งใหญ่ปรากฎขึ้นจนเห็นเป็นรูปร่าง
รอยยิ้มของเธอก็ผุดขึ้น
ในยามที่สิ่งนั้นเข้ามาใกล้จนเห็นชัดเจน
น้ำตาบริสุทธิ์ที่เหือดแห้งไปกลับมาเอ่อล้นอีกครั้ง
ในยามที่ธงสีน้ำเงินสะบัดขึ้นจากยอดเสากระโดงเห็นตราสัญลักษณ์ชัดเจน
เสียงหัวเราะที่ไม่เคยแว่วเสียงกลับดังขึ้นด้วยความดีใจ
“กลับมาแล้ว...”ก่อนที่ร่างระหงจะผุดลุกจากกเก้าอี้ หนังสือเล่มหนาตกลงสู่พื้นดังตุ้บ หญิงสาววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่พระอาทิตย์ล่ำลา ความมืดจะมาเยือนอีกครั้ง ถึงแม้จะไร้แสงจันทร์แต่ก็ยังมีแสงดาวที่พร่างพราย
แสงแดดส่องสะท้อนกับเรือนผมสีทองที่งามละเอียดราวกับแพรไหมของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มือของเธอถือหนังสือปกหนาอยู่หนึ่งเล่ม แหวนเพชรทองคำขาวที่นิ้วนางข้างซ้ายส่องประกายแวววาว
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างระหงของคนรับใช้สาวที่ถือถาดอาหารเข้ามานกตัวน้อยบินหนีไป
“อาหารเช้าค่ะคุณหนู” เธอกล่าวก่อนจะยกถาดอาหารที่มีน้ำชา ขนมปังเพลนสโคนสองสามชิ้น ถ้วนแยมสตรอเบอร์รี่และครีมสดเข้าไปวางบนโต๊ะเล็กๆข้างหน้าต่างข้างๆหญิงสาว พลางรินชาใส่แก้ว“เช้านี้อากาศดีนะคะ”
ร่างงามที่นั่งบนเก้าอี้ขยับยิ้มเล็กน้อย “อากาศดีทุกวัน แต่ทะเลสงบไปหน่อย” หญิงสาวพูด นัยน์ตาสีฟ้ายังคงเหม่อมองไปข้างหน้าที่ปรากฏเป็นภาพท้องทะเลอันกว้างใหญ่ มองเห็นท่าเรือและผู้คนที่เริ่มจะวุ่นวาย
สาวใช้ยกถ้วยน้ำชาให้หญิงสาวที่รับมันไปดื่มแล้วยืนมองอย่างสงบอยู่ตรงด้านหลังพลางมองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า ทะเลสงบแบบนี้มานานมากแล้ว ไม่พายุ ไม่มีคลื่นยักษ์ มีก็แต่เสียงลมทะเลที่พัดเข้ามาให้ได้ยินทุกครั้งและทุกเวลา เหล่านกนางนวลสีขาวบนฟากฟ้าบินว่อนเล่นลมก่อนจะบินโผลงเกาะโขดหินใหญ่แถวชายทะเลเป็นที่พักพิง กลิ่นอายทะเลที่สดชื่นช่วยพัดพาความเศร้าหมองให้หายไปสำหรับเธอ
...แต่สำหรับหญิงสาวตรงหน้ามันกลับทำให้เธอเงียบเหงา ทะเลอันสงบนิ่งทำให้คนที่มองมันเงียบสงบไปเหมือนกัน
สายลมพัดพาเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากท่าเรือขึ้นมา เป็นเสียงความวุ่นวายของคนเดินเรือกับทหารกลุ่มหนึ่งที่ทะเลาะกันจนฟังไม่ได้ศัพท์
แกร๊ก!
เสียงของถ้วยกระเบื้องที่กระทบกับจานกระเบื้องเรียกสติของสาวใช้ให้กลับมาเมื่อหญิงสาวตรงหน้าวางถ้วยน้ำชาที่ดื่มไปครึ่งหนึ่งลงแต่เธอก็ยังไม่ได้แตะอาหารเช้า
“ทานขนมสักหน่อยมั้ยคะ คุณหนู” สาวใช้ถามอย่างเป็นห่วง
“ข้ากำลังจะแต่งงาน” อยู่ๆหญิงสาวก็พูดขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหมองลง มือเรียวหมุนแหวนที่สวมไว้บนนิ้วเล่น
สาวใช้มองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นนายที่ไม่ได้หม่นหมองลงเพราะความเศร้าหมอง เสียใจ หรือผิดหวัง แต่มันเป็นใบหน้าของคนที่กำลังหวัง ความหวังและการรอคอย
การรอคอยที่เป็นเวลามาเนิ่นนาน หลังการล่ำลาที่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มและคำสัญญา ผ่านไปหนึ่งวัน กลายมาเป็นหนึ่งอาทิตย์ จากหนึ่งอาทิตย์ก็กลายเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็กำลังจะกลายเป็นหนึ่งปี วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆตามโลกที่หมุนไป พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตก ผู้คนบางคนที่ออกไปจากบ้านตอนเช้าก็กลับมา ส่วนคนที่ยังไม่กลับมาก็ยังคงต้องนั่งรอต่อไป...เหมือนกับหญิงสาวผู้นี้
เธอเห็นภาพนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างสายตาเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลปล่อยจิตใจไปตามสายลมมองหาใครคนใดคนหนึ่ง หญิงสาวที่แต่ก่อนเคยเป็นคนร่าเริงและแจ่มใสกลับกลายเป็นคนสงบและเยือกเย็นร่างกายซูบผอม
นี่คือผลของการเป็นฝ่ายที่ต้องรอ เหมือนกับการทำร้ายตัวเอง ให้ความหวังตัวเองว่าวันนี้คงได้เจอแต่พอทันทีที่พระอาทิตย์ตกดินความหวังนั้นก็จมหายไปด้วยก่อนที่มันจะผุดขึ้นมาอีกครั้งทันทีที่รุ่งสางของวันใหม่มาเยือน
ไม่ใช่วันนี้ก็ต้องเป็นพรุ่งนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็เป็นมะรืนนี้ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนเคยชินกับการรอคอย แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผู้หญิงตรงหน้าก็ไม่เคยเบื่อการรอคอย เธอยังคงทำอย่างนี้ทุกวันนั่งรอและเฝ้ามองที่ปลายขอบฟ้าไม่ไหวหวั่นแม้แต่กาลเวลา
เรือลำแล้วลำเล่าแล่นเข้าออกสู่ฝั่งและกลับลงทะเล ใบเรือผ้าใบสีขาวกางรับลมยามล่องเรือ สมอเหล็กถูกหย่อนลงผืนน้ำยามเมื่อหยุดหรือจอดเทียบท่า เป็นอย่างนี้ทุกวันๆเหมือนเดิม
สาวใช้ถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจยกถาดอาหารออกไปเหลือไว้แต่จานขนมหลังจากที่ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่ยอมทานอะไร
...เป็นแบบนี้มานานแล้ว
เธอหันไปมองนายหญิงของตนเองด้วยความเป็นห่วง
ดูแลตัวเองเพื่อเขาหน่อยบ้างเถอะค่ะ เป็นคำที่เธอเคยพูดไว้มาไม่นานมากนัก และนั่นก็ทำให้หญิงสาวค่อยๆกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ก็ครบปีแล้ว” เสียงหวานจากร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าเอ่ยราวกับกำลังพูดกับใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ก่อนที่ประตูจะปิดลง
ความหวังของการรอคอยคือการพบเจอ
จากการลาคือความทรมาน แต่มันจะหายไปเมื่อเราลืม
แต่การรอคอยคือสิ่งที่ทรมานมากกว่า เพราะว่าเราจะไม่มีวันลืม...และยังเป็นการตั้งความหวังที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นจริง ยิ่งกว่านั้น วันเวลาก็ดูเหมือนจะยิ่งยาวนานราวกับเป็นนิรันดร์
ยิ่งรู้ว่าคนที่รอคอยอยู่ที่ไหนจิตใจก็ยิ่งลอยไปหาถึงที่นั่งถึงแม้ว่าตัวจะทำได้แต่อยู่ที่เดิม และยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน มันก็ยิ่งอยากจะพบเจอ
เวลายังคงหมุนไป เข็มนาฬิกาจากนาฬิกาเรือนใหญ่ยังคงเดินดัง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ก่อนที่เสียงเพลงจากนาฬิกาจะดังเมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวชี้เล็กสิบสอง
อากาศข้างนอกเริ่มร้อนขึ้น แต่สายลมยังคงช่วยบรรเทาเอาไว้ได้
เวลายังคงผ่านไป
เสียงคลื่นและกลิ่นอายของทะเลคือสิ่งมหัศจรรย์ คือสัญญาณที่ยังคงสัมผัสได้ แม้มันจะดูเงียบเหงาไปก็ตาม...
ท่าเรือที่จ้อกแจ้กจอแจกำลังจะกลับมาสงบอีกครั้งยามเมื่อท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีส้มอ่อนนวลตา พระอาทิตย์กำลังจะจมลงสู่ทะเล ณ ที่ปลายขอบฟ้า
อีกวันนึงกำลังจะผ่านพ้นไป...
กลางพระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่ที่กำลังถูกบดบังด้วยผืนน้ำที่พราวระยิบระยับเงาสีดำเล็กๆนั่นปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าเหนือท้องทะเล ความมืดที่กำลังเข้ามากำลังจะพรากสติสัมปชัญญะของเธออีกครั้งเช่นทุกวัน...
ดวงตาของหญิงสาวค่อยๆเบิกกว้าง สติที่เลือนลางเริ่มกลับมา หัวใจเต้นรัวราวกับว่าจะทะลุออกมา มือสองข้างกุมกันแน่นอย่างมีความหวัง
ในยามที่เงาเล็กๆของสิ่งใหญ่ปรากฎขึ้นจนเห็นเป็นรูปร่าง
รอยยิ้มของเธอก็ผุดขึ้น
ในยามที่สิ่งนั้นเข้ามาใกล้จนเห็นชัดเจน
น้ำตาบริสุทธิ์ที่เหือดแห้งไปกลับมาเอ่อล้นอีกครั้ง
ในยามที่ธงสีน้ำเงินสะบัดขึ้นจากยอดเสากระโดงเห็นตราสัญลักษณ์ชัดเจน
เสียงหัวเราะที่ไม่เคยแว่วเสียงกลับดังขึ้นด้วยความดีใจ
“กลับมาแล้ว...”ก่อนที่ร่างระหงจะผุดลุกจากกเก้าอี้ หนังสือเล่มหนาตกลงสู่พื้นดังตุ้บ หญิงสาววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่พระอาทิตย์ล่ำลา ความมืดจะมาเยือนอีกครั้ง ถึงแม้จะไร้แสงจันทร์แต่ก็ยังมีแสงดาวที่พร่างพราย
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ