เรื่องที่ห้า : เราล้วนหลับไหลในเปลวเพลิง
เขียนโดย larceta
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.17 น.
แก้ไขเมื่อ 22 เมษายน พ.ศ. 2557 21.07 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ช่วงต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เรื่องที่ห้า : เราล้วนหลับไหลในเปลวเพลิง
ใต้เปลือกบางๆที่เรียกว่าชั้นผิวโลก มีชั้นหินหลอมเหลวที่ชื่อว่า "แมนเทิล" ซึ่งมีอุณภูมิสูงถึงพันองศาเซลเซียสและมีความหนาถึง 3000 กิโลเมตรโดยประมาณ ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งร้อนขึ้นเป็นสองพัน สามพัน สี่พัน ห้าพัน และเมื่อลงทะลุไปถึงที่แก่นโลก ที่นั่น อุณหภูมิสูงจะถึงหกพันองศาเซลเซียส
ใต้เท้าของเรา คือเปลวเพลิงอันร้อนอย่างยิ่งยวด
-[lI[k-
"กาแฟ แฮม ไข่ดาว เอาสุกๆ"
ผมสั่งรายการอาหาร 3 อย่างทั้งๆที่บริกรยังไม่ได้ยื่นเมนูมาให้ด้วยซ้ำ แต่ยังไงที่นี่ก็เป็นคอฟฟี้ช็อป ถ้าไม่มีสามอย่างนี้ ถือว่าสอบตกไปเลยในการเป็นร้านคอฟฟี่ช็อป
"ค่ะ กาแฟ แฮม ไข่ดาว เอาสุกๆ หนึ่งที่นะคะ"
บริกรสาวทวนรายการด้วยหน้าตาไม่รับแขกอย่างยิ่ง ไม่รู้เพราะเธอไม่ชอบงานแบบนี้แต่จำเป็นต้องมาทำ หรือเพราะผมขัดจังหวะในการทำหน้าที่ในฐานะของเธอไปก็ไม่รู้ แต่ช่างเถอะ เธอจะรู้สึกยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม เพราะผมมีเรื่องที่ต้องเอาใจใส่มากกว่าจะมาสนใจอารมณ์ของบริกรคนหนึ่ง
ผมมีงานที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ
"วันนี้ ต้องลงมืออีกครั้ง"
เสียงพูดจากคนที่นั่งโต๊ะข้างหลังผมดังเข้ามา ไม่ใช่ว่าพวกเขาพูดดังจนผมได้ยิน แต่เป็นผมต่างหากที่วางเครื่องดักฟังไว้ที่พุ่มไม้ใกล้ๆกับโต๊ะดังกล่าว โต๊ะที่มีคนสี่คนนั่งล้อมกันเป็นสี่เหลี่ยม ชายสาม หญิงหนึ่ง ทุกคนสวมแจ๊กเก็ตแล้วก็หมวกเบสบอลซึ่งมีสัญลักษณ์เดียวกัน รูปอินทรีย์กางปีกที่โค้งเข้าหาลูกโลกที่อยู่เหนือหัว คล้ายจะจับเอาโลกไปไว้ใต้ปีกของมัน
พวกมันคือ "อินทรีย์" ที่ผมเฝ้าติดตามมานานแล้ว
"ที่เก่าเวลาเดิม อย่าไปสาย"
ผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผมพูดขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าฉายเค้าความหลักแหลม จากท่าทางและคำพูด หมอคนนี้คงเป็นหัวหน้ากลุ่ม
"ขอให้เทพอินทรีย์จงคุ้มครองทุกคน"
เขาเอ่ยทิ้งท้ายพร้อมกับยกมือขึ้นไขว้กันแทนรูปอินทรีย์กางปีก สัญลักษณ์ "อินทรีย์" ที่พวกอินทรีย์จะต้องทำเสมอเมื่อจะลงมือกระทำการใดๆ
แบบนี้ แน่ชัดแล้วว่าพวกนั้นจะลงมือ
ไม่ทันที่ผมจะได้อาหารที่สั่งไว้ ทั้งสี่คนก็ลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไป ผมทิ้งระยะจากที่คนสุดท้ายเดินออกแล้วลุกตามไป สวนกับบริกรสาวคนเดิมที่กำลังยกอาหารมาเสิร์ฟ ผมซึ่งไม่ต้องการมันแล้วจึงวางเงินธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดลงบนจานของเธอ
"ไม่ต้องทอน"
ผมบอกเธอ ซึ่งแน่นอน เธอทำหน้าประหลาดใจอย่างที่สุด แต่อย่างที่บอก ผมไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆพวกนี้
ผมมีหน้าที่ที่สำคัญมากๆต้องทำ
-[lI[k-
ผมตามพวกมันไปโดยเว้นระยะไม่ให้พวกมันรู้ตัว ไม่อาจคุยได้ว่าผมเชี่ยวชาญเรื่องนี้ระดับมือโปร แต่ก็ไม่อ่อนด้อยไร้ประสบการณ์จนพลาดกับการสะกดรอยพวกที่เดินดุ่มๆไม่มองหน้ามองหลังแบบนี้
พวกมันออกนอกเมืองมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงอาคาร ร้างย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ป้ายหลุมศพโครงการพัฒนาที่ดินที่ล้มเหลวจากการเศรษกิจที่แตกฟองสบู่เมื่อหลายสิบปีก่อน สถานที่เคยวาดฝันจะให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งจะยกระดับความเป็นอยู่ของ ประชาชนในประเทศที่ปัจจุบันถูกยึดครองด้วยวัชพืช สัตว์พาหะนำโรค แล้วก็รังของ "อินทรีย์" ที่ผมกำลังตามอยู่นี้
จากสายข่าวภายในที่ได้มา อินทรีย์เป็นกลุ่มหรือเรียกได้ว่าเป็นแกงค์ก็ไม่ผิด แกงค์อันธพาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่ เป็นหนุ่มสาว มีคำขวัญประจำแก็งค์ "โลกเสรีย์ใต้ปีกแห่งอินทรีย์" , โลกเสรีย์ที่สร้างโดยการทำตัวเป็นอันธพาล ทำลายทรัพย์สิน ขโมย ปล้น จี้ ขู่กรรโชก รวมไปถึงเกี่ยวข้องดับคดีลักพาตัวและคดีฆาตรกรรมหลายคดีที่เกิดขึ้น ในช่วงอีกด้วย ทำให้แม้จะเป็นแกงค์ของเด็กวัยรุ่น แต่ก็เป็นที่จับตามองและเฝ้าระวังอย่างสูงทีเดียวจากทางการ
"อ๊าก!!!"
เสียงร้องแผดดังมาจากภายในอาคาร เป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ด้วยสียงนั้น ผมลอบเข้าไปในอาคารแล้วซ่อนตัวหลังโต๊ะที่เป็นจุดกำบังก่อนจะเยี่ยมหน้ามอง ไม่ผิดไปจากที่คิด ที่พวกนั้นสี่คนกำลังยืนล้อมอยู่ก็คือ ชายคนหนึ่งที่ถูกมัดด้วยโซ่ เลือดอาบร่าง ใบหน้าบวมเบ่งจนไม่อาจเดาเค้าหน้าตา
"นะ...นี่ แบบนี้มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ บางทีหมอนี่อาจจะไม่รู้เรื่องจริงๆก็ได้นะ"
เสียงจากหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มพูดขึ้น น้ำเสียงเวทนา ดูท่าเธอคงทนดูสภาพของชายที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ไหวแล้ว
แต่แล้วเสียงเด็ดขาดที่แผดตามมาก็ดังกลบความเห็นใจนี้ไปจนหมดสิ้น
"ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!!"
ผู้ชายคนนั้น คนที่มีหน้าตาท่าทางดูชาญฉลาดที่สุดในกลุ่มคนทั้งสี่พูดและปรามหญิงสาวด้วยสายตา
"อย่าให้ความเห็นใจมาบังตาความเป็นจริง เพราะพวกมัน พวกเราต้องสูญเสียเพื่อนพ้องไปเท่าไรแล้ว จำไม่ได้หรือไงกัน!!"
'สูญเสียพวกพ้อง' ผมคิด ดูท่าจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการล้ำเส้นอิทธิพลกันสินะ ดูท่าจะพวกอินทรีย์จะกำลังมีปัญหากับกลุ่มอื่นๆ
"บอกข้ามา คนที่ส่งเอ็งมาน่ะคือพวกเหยี่ยวใช่ไหม!"
ผู้นำกลุ่มตะโกนพร้อมกับกระชากคอชายที่ถูกมัดมาประชิดจัว ด้วยชื่อ "เหยี่ยว" ที่หลุดออกมาทำให้ผมรู้ว่าอริเป็นพวกไหน
"ฉะ...ฉันไม่รู้...เรื่อง"
ชายผู้ถูกโซ่พันธนาการตอบ ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทและปากที่บวมเป่งจนแทบขยับไม่ได้ ทำให้เสียงนั้นแหบพร่าและไร้เรี่ยวแรงยิ่ง
"ปากแข็งนักใช่มั้ย งั้นฉันจะงัดปากแกออกมาเอง"
เมื่อคำตอบของเขาไม่เป็นที่พอใจ การทุบตีจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง เริ่มแรกก็มีแค่หัวกลุ่มคนเดียว ทว่าต่อมา หลังจากเฉยมานาน คนอื่นก็ร่วมกันรุมประชาทัณฑ์เขาด้วย รวมถึงหญิงสาวที่เมื่อกี้ยังมีท่าทางเห็นใจเขาอยู่เลยก็ลงมือละเลงมือละเลงเท้าด้วยสีหน้าที่สะอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
จากสภาพที่แทบจะไม่เหลือเค้าลางของมนุษย์อยู่แล้ว เขาซึ่งถูกกระหน่ำทุบตีด้วยมือและเท้ากลายเป็นก้อนเนื้อชุ่มเลือด เลือดไหลออกแทบทุกทวารที่มี หนังศีรษะบางส่วนของเขาหลุดออกจนเห็นกระโหลก ลูกตาข้างหนึ่งหลุดออกมาและถูกเหยียบจนเละเทะ
ไม่มีทางรอดแล้ว
ผมมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างอดทน ไม่เข้าไปแทรกกลางเหตุการณ์แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องโหดร้าย เพราะไม่อย่างนั้น ทุกอย่างที่ทำมาก็จะล้มเหลวทั้งหมด ที่ผมทำได้ก็เพียงภาวนาให้ชายผู้นั้นทรมานก่อนตายให้น้อยที่สุด
หลังรุมสกรัมจนเหนื่อบหอบ ทุกคนหยุดมือเท้าแล้วเดินแยกออกมา
"นี่ตกลง มันจะไม่รู้จริงๆเหรอวะเนี่ย"
หัวหน้ากลุ่มขยี้ผมด้วยท่าทางหัวเสีย ไม่รู้เพราะความผิดพลาดที่จับคนผิดมา หรือเพราะว่าถ้ารู้ว่าต้องเปลืองแรงขนาดนี้โดยไม่ได้อะไร น่าจะหาวิธีฆ่าแบบอื่นที่เปลืองแรงน้อยกว่านี้จะดีกว่า
ครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็หันไปสั่งการคนอื่นๆให้นำอุปกรณ์ที่เตรียมมาออกมา ที่ผมเห็น เป็นแกลลอนน้ำมันแบบหูหิ้วจำนวน 10 ถังซึ่งซ่อนอยู่ไว้ในช่องใต้พื้น
"ต้องถ่ายรูปไว้" ผมคิดและคว้ากล้องมือถือขึ้นแล้วกดชักภาพ
ทว่าทันที่ผมกดมัน ด้วยความประมาทเลิ่นเล่ออย่างไม่น่าให้อภัย ผมลืมปิดแฟลชซึ่งทำให้แสงแฟลชจากกล้องสะท้อนวาบออกมาจนเหมือนไฟพลุ
"สะ...แสงมาจากไหนวะ!!"
ชายที่ไว้ผมทรงหัวทรงนกหัวขวานซึ่งเห็นแสงคนแรกตะโกนขึ้น ก่อนที่ชายอีกคนที่ไว้ผมปิดตาข้างหนึ่งแบบเด็กอีโมจะชี้มาทางผม
"มีคนอยู่ตรงนั้น!!"
"แกเป็นใครกันวะ!!" ชายหัวหน้ากลุ่มตะโกน
ผมไม่เสียเวลาตอบคำถาม ลุกจากที่กำบังแล้วเตรียมตัวออกวิ่ง
"อย่าให้มันหนี!!"
หัวหน้ากลุ่มสั่งการ ชายหนุ่มนกหัวขวานที่นอกจากจะไว้ผมทรงประหลาดยังไวเหมือนลิงได้วิ่งอ้อมมาดักหน้าผม ขนาดห่างกันเกือบ 20 เมตรมันก็ยังวิ่งมาทันได้ ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่า "ไวปานวอก" นั้นเป็นอย่างไร
จากนั้น อีก 2 คนหนึ่งหญิงหนึ่งชายก็ตามมาสมทบ หนุ่มอีโมมาพร้อมมีมีดพร้ายาวจากหยิบจากหลัง ส่วนผู้หญิงก็มีท่อนเหล็กแป๊บในมือ
"อยู่ดีไม่ว่าดี ดันทะเล่อทะล่าเข้ามาในที่ของพวกเรา "อินทรีย์" แบบนี้ แกนี่มันรนหาที่ตายแท้ๆเลยว่ะ"
ชายหัวตั้งชักมีดพกที่เหน็บเอาไว้ออกมา แสงเงินวาบวับสะท้อนเข้าตาผม คงลับมาอย่างดีเลยทีเดียว
"ในเมื่อเอ็งเห็นสิ่งที่พวกข้าทำแล้ว ข้าคงต้องส่งเอ็งไปเที่ยวยมโลกแล้วว่ะ!!"
ด้วยมีดในมือ เขาพุ่งเข้ามาหาผมโดยใช้มันนำหน้ามาก่อน ใบมีดคมกริบที่หวังจะแทงผมให้ดับดิ้น
แต่ในจังหวะที่มีดจะมาถึงตัว ผมซึ่งมองเห็นการเคลื่อนไหวก็เอี้ยวหลบแล้วหมุนตัวอ้อมไปเข้าข้างหลังมันได้
"อะ..อะไรกันเนี่ย!?"
เจ้าหนุ่มหัวขวานตกใจที่เห็นผมหลบมีดมันได้ ซึ่งผมก็ให้โอกาสมันพูดได้เท่านั้น จากข้างหลัง ผมจับหัวทรงทุเรศมันแล้วบิดกลับด้านจนเกิดเสียง กร๊อบ! ขึ้นดังลั่น ก่อนจะทิ้งร่างนั้นลงพื้นในสภาพตาเหลือกโปนน้ำลายฟูมปาก
"เฮ้ย!?"
อีกสองคนที่เห็นตกใจร้องขึ้นและถึงกับผงะถอยออกไป ปฏิกิริยาปกติที่ต้องเห็นคนถูกหักคอตรงหน้า สีหน้าของพวกนั้นแสดงถึงความหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด
บอกตรงๆ ที่จริงผมไม่ได้กลัวเจ้าพวกนี้เลยสักนิด
เทียบกันแล้ว ในขณะที่เด็กพวกนี้ที่อายุยังน้อยอาจมีความสดและไฟของวัยหนุ่มเป็นพลังในการขับเคลื่อนร่างกาย แต่นั่นก็ไม่ข้อได้เปรียบที่จะทำให้เด็กพวกนี้เหลือกว่าผม ด้วยร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนของหน่วยพิเศษและเคยเข้าไปร่วมรบในสงครามตะวันออกกลางมาแล้ว หากเปรียบเป็นเครื่องจักร ผมก็เป็นเหมือนเครื่องยนต์รุ่นเก่าที่อาจไม่มีแรงม้าสูงแต่เสถียร ไม่เหมือนพวกเด็กเหล่านี้ที่แม้จะมีเครื่องยนต์แรงม้าสูง แต่การควบคุมและใช้งานที่สะเปะสะปะทำให้ค่ากำลังมหาศาลนั้นสูญเสียไปมาก
"ว่าไง จะไม่เข้ามาแล้วเรอะ ปอดแหกแล้วหรือไงกัน"
ผมข่มขู่พร้อมกับทำมือกวักเรียกเป็นการลองเชิงวัดใจ ในจังหวะที่พวกนี้กำลังอกสั่นขวัญแขนอยู่นี้ การทำสงครามจิตวิทยาให้พวกนั้นยิ่งลนมากขึ้นจะยิ่งทำให้ผมได้เปรียบ
"จะ...จะปากดีไปแล้วโว้ย!!"
เด็กหนุ่มอีโมพุ่งเข้ามาด้วยมีดพร้า ติดกับดักอย่างง่ายดาย
อย่างที่บอก เด็กพวกนี้ก็เหมือนรถที่แรงแต่เครื่องไร้ความเสถียร อาศัยการตะบี้ตะบันไปข้างหน้าอย่างเดียว ต่างจากผมที่แม้จะเป็นรถเก่าแต่เครื่องนิ่งกว่า ขอแค่ตั้งหลักได้ที่เหลือก็แค่เหยียบคนเร่งพุ่งให้สุดแรงเท่านั้น รถยนต์ที่ขับส่ายไปมาไม่มีทางตามรถที่วิ่งด้วยความเสถียรได้อยู่แล้ว
ขอแค่ครั้งเดียวก็จบแล้ว
"กระ...กรี๊ด!!"
หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นเลือดที่พุ่งจากคอของหนุ่มอีโม มีดของเขาเองซึ่งผมใช้จังหวะที่เข้าประชิดจับแขนแล้วบิดจนหัก ก่อนจะชิงมีดจากมือแล้วใช้มันเจ้าของมันเองอย่างทีเห็น
ในความตกใจและหวาดกลัว ดูเหมือนเธอจะรู้แล้วว่าการสู้กับผมจะเกิดผลเช่นไร ขนาดผู้ชายสองคนยังไม่รอด แล้วเธอที่เป็นแค่ผู้หญิงจะไปทำอะไรได้ ดังนั้น เธอจึงหันหลังและเตรียมจะวิ่งหนี
แต่มารู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว
ปึ๊ก!!
ด้วยมีดในมือที่ผมขว้างออกไป มันปักเข้าเป้าที่กลางหลังหัวเธอ ร่างเธอล้มลงกับกองขยะ ฝูงแมลงวันเหม็นเน่าแตกฮือส่งเสียงกระพรือปีกหึ่งเซ็งแซ่ เลือดของเธอไหลที่ไหลนองปะปนกับน้ำขยะเน่าส่งกลิ่นคาวฟ่อนเฟะออกมา
เท่านี้ ผมก็จัดการได้สามคนแล้ว ที่เหลือก็แค่คนเดียวเท่านั้น...
ปัง!!
-[lI[k-
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ