เรื่องเล่าจากเพื่อน (ไม่) เก่า
9.6
เขียนโดย กุหลาบราตรี
วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.00 น.
2 ตอน
2 วิจารณ์
5,680 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2557 19.02 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ร้านกาแฟสื่อรัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เช้าวันที่สิบหกพฤษภาที่สดใสเศษใบไม้เต็มลานกว้างที่หน้าโรงเรียนทำให้คนที่มาเล่นที่โรงเรียนและนัดเจอกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันนานต้องรีบกวาดเศษใบไม้พวกนั้นไปกองไว้ที่มุมหนึ่งเผยให้เห็นสนามหญ้าสีเขียวขจีสวยงามทันทีเมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้วเพื่อนที่นัดมาพบกันมีสี่คนนั่นคือดาริน วินนี่ วิภาดา หนูดีพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะต้องย้ายโรงเรียนแต่ก็นัดมาเจกันที่นี่ทุกครั้ง
“ฉันคิดถึงตอนที่เราเรียนอยู่ที่นี่จัง” วินนี่พูดพลางทิ้งตัวลงนอนบนสนามหญ้าอย่างสบายใจ
“จริงสิได้ข่าวว่าเธอมีแฟนแล้วนี่ไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟังเลยนะ” หนูดีพูดหยอกอย่างเป็นกันเองก่อนจะลงนอนตามไปอีกคน
“อยากรู้จริงๆ เหรอมันอาจจะน้ำเน่าสำหรับพวกเธอก็ได้นะ” วินนี่พูดด้วยความเขินอายเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
“เล่ามาเลย” เพื่อนๆ พูดพร้อมกันเสียงดัง
“ก็ได้” เธอตอบเสียงใสก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มเรื่องนั้นให้เพื่อนฟัง
เมื่อห้าปีก่อนหน้านี้...ในหมู่บ้านพาดาวซึ่งเป็นหมู่บ้านเปิดใหม่ทำให้มีคนมาอยู่เยอะมากเพราะมีทั้งสิ่งอำนวยความสะอาดและระบบรักษาความปลอดภัยมากมายหนึ่งในนั้นมีวินนี่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่อสองวันก่อนหลังเลิกงานเธอมักจะมานั่งที่ร้านกาแฟเป็นประจำร้านนี้เป็นร้านที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเขียนความรู้สึกของตัวเองได้ที่หน้าประตูร้านหรือบนกระดาษที่ตั้งไว้หน้าร้านโดยมีปากกาวางไว้ให้เลือกมากมาย
“ให้ทุกคนเขียนที่หน้าประตูแล้วจะทำความสะอาดยังไงคะ” เธอถามเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความสงสัย
“เป็นปากกาพิเศษครับจากต่างประเทศถึงจะเช็ดกระจกมันก็จะไม่ลบออกแต่ตอนนี้ก็มีคนเขียนเยอะมากจนต้องหากระดานมาเพิ่มแล้ว” เขาพูดพลางมองไปหน้าร้าน
วินนี่เดินออกมานอกร้านมองดูข้อความพวกนั้นอย่างไม่คิดอะไรจนกระทั่งมาเจอขอความของใครคนหนึ่งซึ่งเขียนด้วยปากกาสีขาวและเป็นจุดเด่นมากๆ ‘อยู่คนเดียวมันเหงา’ ทำให้เธอที่รู้สึกแปลกๆ เขียนตอบข้อความนั้นไปว่า ‘เหงาเหมือนกัน’ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปทำงานที่ค้างอยู่แล้วรีบกลับบ้านทันทีเพียงไม่กี่นาทีที่เดินจากไปก็มีชายคนหนึ่งเดินมาอ่านข้อความที่คนตอบกลับมาทำให้ยิ้มออกมาแล้วเขียนต่อจากคำตอบนั้นไปก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
ที่ทำงานซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านสองเมตรเป็นงานในร้านเบเกอรี่เล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ก่อนหมู่บ้านพาดาวไม่นานมากนักในเวลาหกโมงเย็นเป็นเวลาที่มีลูกค้าเยอะที่สุดเพราะเป็นหลังเลิกงานและเด็กๆ ที่อกมาเที่ยงหรือกลับจากทำงานพิเศษในเวลานี้ก็มักจะเข้ามานั่งกินขนมนั่งเล่นนั่งคุยกันตามประสาทำให้คนที่กำลังคิดถึงเพื่อนเริ่มเหงาขึ้นมาอีกแต่ร้านนี้จะปิดสองทุ่มตรงเปิดร้านในเวลาสามโมงเช้าพักตอนเที่ยงตรงหนึ่งชั่วโมงผลัดเปลี่ยนกับเจ้าของร้านเพราะเป็นร้านเล็กๆ จึงมีลูกจ้างคือวินนี่คนเดียวกับเจ้าของร้านเท่านั้น
เช้าวันต่อมาก่อนไปทำงานหญิงสาวเดินมาที่หน้าร้านกาแฟซึ่งมีข้อความตอบกลับมาว่า ‘เพิ่งเจอเพื่อนมาคิดว่าหายเหงาแล้วนะ’ ทำให้คนที่ยังไม่เจอเพื่อนถึงกับจ้องมองด้วยรอยยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า ‘ยังเหงาเหมือนเดิม’ แล้วเดินไปทำงานทันทีในยามเช้าที่มีแสงแดดอ่อนทำให้ร้านที่เพิ่งเปิดมีลูกค้าเพียงไม่กี่คนและเจ้าของร้านที่ยังไม่เข้ามาเพราะมีธุระต้องไปทำจึงมีวินนี่ทำงานอยู่คนเดียว
“วินนี่ไปพักได้แล้วฉันกินข้าวมาเรียบร้อยแล้วนะแล้วก็ฝากซื้อลาเต้ด้วย” เธอพูดพร้อมกับหยิบเงินให้ทันทีก่อนจะรีบทำขนมตามที่สั่งไว้อย่างรวดเร็ว
ที่ร้านกาแฟตอนนี้มีลูกค้าเยอะจึงทำให้ต้องรอนานกว่าทุกวันแต่เพราะบรรยากาศที่เงียบสงบและเย็นสบายทำให้หลายคนที่ยังนั่งรออยู่ไม่ค่อยรีบร้อนมากนักเมื่อได้กาแฟที่สั่งไว้ก็เดินออกมาดูที่หน้าร้านเมื่อเห็นว่ายังไม่มีคนตอบจึงเดินกลับไปทำงานที่ร้านทันทีซึ่งในเวลานี้เริ่มร้อนมากแล้วทำให้คนที่กลับเข้ามาในร้านมีเหงื่อออกเต็มไปหมด
“อ้าววินนี่เป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าของร้านถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นว่ามีเหงื่อออกมาเยอะมาก
“เปล่า ไม่มีอะไรแค่อากาศร้อนเท่านั้นเอง” เธอพูดพร้อมเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนชุดทันที
หลังเลิกงานวินนี่ก็กลับบ้านมาตามปกติและเพราะวันนี้งานหนักจึงนอนพักอยู่นานจนตื่นสายจนแทบจะเปิดร้านไม่ทันแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีวันนี้ต้องปิดร้านครึ่งวันคนที่ยังไม่มาดูข้อความที่เขียนไว้ก็รีบเดินมาที่หน้าร้านกาแฟทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนตอบกลับมาก็เขียนตอบกลับไปตามปกติคล้ายกับว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอคลายเหงาลงไปได้บ้างและเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวันจนผ่านไปหนึ่งปี
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวนะหยุดเล่าก่อน” วิภาดาที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกขึ้นมาจนเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งฟังเพลินหันมามองด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรล่ะวิฉันกำลังฟังเพลินๆ เลย” ดารินถามเสียงดัง
“เขียนหน้าร้านกาแฟมาหนึ่งปีเต็มโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วยังไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นใครแล้วจะมารักกันได้ยังไง” วิภาดาถามด้วยความสงสัย
“ก็กำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง” วินนี่ตอบเสียงเรียบและเริ่มเล่าต่อไป
หลังจากที่วินนี่ได้เขียนข้อความกับใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครมานานถึงหนึ่งปีในวันนี้เป็นวันที่เธอต้องไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดซึ่งอาจจะทำให้ไม่ได้มาที่ร้านกาแฟนี้หลายวันจึงเขียนบอกไว้แล้วหายไปเลยตั้งแต่วันนั้นหลังจากวันที่ไม่มีข้อความตอบกลับคนที่ยืนมองอยู่นานก็เข้าไปถามเจ้าของร้านจนรู้ว่าคนที่คอยเขียนตอบกลับนั้นเป็นผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในร้านเบเกอรี่ที่ห่างจากหมู่บ้านนี้เพียงสองเมตรเท่านั้น
วินนี่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเพียงสองอาทิตย์เมื่อกลับมาที่หมู่บ้านพาดาวอีกครั้งก็เดินไปที่ร้านกาแฟซึ่งมีข้อความถามเต็มไปหมดว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมาเมื่อได้อ่านแล้วก็ทำให้คนที่เห็นยิ้มออกมาได้ทันทีก่อนจะเดินเข้าไปในร้านเป็นเวลาเดียวกันที่เจ้าของร้านบอกว่าจะเปลี่ยนกระจกใหม่เพราะมีคนเขียนเยอะมากจนดูไม่สวยงามทำให้หญิงสาวที่เพิ่งรู้เรื่องก็ไม่ได้ตกใจอะไร
“กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นยังไงบ้าง” เจ้าของร้านกาแฟถามอย่างเป็นกันเอง
“ก็ดีค่ะแต่อยากเจอเพื่อนมากกว่าแถมเพื่อนๆ ของวินนี่ก็ไม่ว่างตอนนี้ด้วย” เธอพูดเสียงเบาก่อนจะนั่งจิบกาแฟช้าๆ อย่างสบายใจ
เมื่อกลับเข้ามาทำงานใหม่ก็มีลูกค้าคนหนึ่งส่งดอกไม้สีขาวมาให้และส่งมาเป็นประจำทุกวันจนเธอไปเขียนบอกเรื่องนี้ไว้ที่หน้าร้านกาแฟนอีกครั้งและในวันต่อมาก็มีคำตอบมาแบบแปลกๆ ‘เขาอาจจะชอบคุณอยู่’ ซึ่งคนที่อ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเพราะไม่รู้ว่าคนที่ส่งดอกไม้ให้เป็นใครกันแน่
“ฉันว่าไม่ให้เขียนหน้าร้านแล้วดีกว่าให้เขียนที่ป้ายอย่างเดียวก็พอ” เจ้าของร้านที่ออกมาเห็นก็เริ่มพูดออกมา
“ทำไมล่ะ”
“มันไม่สวยตอนแรกที่มีข้อความน้อยๆ มันก็ดีอยู่หรอกแต่ตอนนี้มันเยอะแล้วก็รกมากๆ เลยนะ”
หญิงสาวที่รู้เรื่องนี้รีบเดินกลับบ้านด้วยความไม่สบายใจเพราะว่าถ้าประตูหน้าร้านถูกเปลี่ยนไปและไม่ให้เขียนอะไรอีกคงไม่ได้เจอกับคนที่ทำให้เธอหายเหงาตลอดเวลาที่ต้องชีวิตอยู่คนเดียวแน่ๆ แม้จะเขียนทิ้งไว้เรื่องที่จะเปลี่ยนประตูหน้าร้านและไม่ให้เขียนหน้าร้านไว้ก็ไม่มีใครเขียนตอบเลยจนผ่านไปสองวันหลังจากที่เปลี่ยนประตูร้านไปแล้วก็ไม่มีใครมาเขียนอะไรเลย
“เขาไม่มาที่นี่หลายวันแล้ว” เสียงของเจ้าของร้านดังมาแต่ไกล
“ใครเหรอคะ”
“ก็ผู้ชายที่เขียนที่หน้าร้านบ่อยๆ เห็นบอกว่าจะไปทำงานในตัวเมืองด้วยนะเห็นเป็นสถาปนิกคงไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้ว” คำพูดนั้นทำให้คนที่เพิ่งรู้เรื่องรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที
ชีวิตของวินนี่ก็ต้องทำงานตามปกติแม้จะเหงามากเมื่อไม่ผู้ชายคนนั้นที่คอยมาเขียนตอบที่หน้าประตูร้านแล้วแต่เมื่อผ่านไปสองเดือนดอกไม้สีขาวที่ห่างหายไปนานก็เริ่มส่งกลับมาอีกครั้งและมีข้อความที่หน้าประตู้ร้านเช่นเดิมทำให้คนที่ยืนอ่านอยู่รีบเดินเข้าไปถามเจ้าของร้านด้วยความแปลกใจและดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ด้วยว่ามีคนมาเขียนที่หน้าประตูร้านแบบนี้
“แล้วอย่างนี้คนอื่นจะไม่เขียนตามเหรอ” เธอพูดออกมาลอยๆ
“เขียนตามแน่นอนอย่าให้รู้นะว่าเป็นใครฉันกลับไปทำงานก่อนนะวันนี้ต้องขัดให้ออก” เขาพูดอย่างหัวเสียก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
“นี่เมื่อไหร่จะรักกันยะฟังจนเบื่อแล้วนะขอตอนที่รักกันเลยได้มั้ยถ้าเล่าต่อฉันคิดว่าคงผ่านไปอีกหลายปีแน่นอน” ดารินเริ่มบ่นทันทีเมื่อเห็นว่าไม่ได้เจอกันสักที
“แล้วเธอจะมาขัดฉันทำไมล่ะ” วินนี่เริ่มบ่นบ้าง
“ทั้งสองคนเลิกเถียงกันแล้วให้วินนี่เล่าต่อดีกว่านะ” หนูดีพูดขึ้นอย่างใจเย็น
เมื่อมีข้อความหน้าร้านที่หน้าร้านเพิ่มขึ้นทุกวันเจ้าของร้านก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่ว่าจะลบออกยังก็ดูเหมือนว่ายิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันวินนี่ที่เดินมาเจอกับข้อความที่ว่า ‘กลับมาแล้วนะมาเจอกันหน่อยได้ไหม’ แม้จะไม่ได้ตอบกลับไปแต่เมื่ออีกฝ่ายเขียนสถานที่และเวลานัดพบมาให้เธอก็ยอมไปตามสถานที่นั้นทันที
ในวันที่สิบห้ามีนาคมซึ่งเป็นวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาวและแสงสว่างจากพระจันทร์บนท้องฟ้าชายหนุ่มถือดอกไม่ช่อโตมารอตามที่นัดไว้อยู่นานจนถึงเวลาเที่ยงคืนตรงก็ยังรออยู่ที่นั่นจนเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้จากข้างหลังเมื่อเห็นว่าเขายังไม่รู้สึกตัวจึงพูดเสียงดังว่า
“รอใครอยู่เหรอ” คำพูดนั้นทำให้เขาหันมามองด้วยความตกใจก่อนจะยิ้มออกมาและยื่นเข้าไปหา
“เราเป็นแฟนกันได้มั๊ย” เขาพูดเสียงดังจนอีกฝ่ายแทบตั้งตัวไม่ทัน
“ทำไมคุณถึงชอบฉันล่ะแล้วดอกไม้สีขาวเป็นของคุณเหรอ” เธอถามทั้งที่รู้ทุกอย่างจากเจ้าของร้านกาแฟหมดแล้ว
“ก็ใช่ถ้าจะถามว่ารักตอนไหนก็คงตั้งแต่ตอนที่คนเขียนตอบกลับที่หน้าประตูร้านนั่นแหละ” เขาพูดเสียงเบาลง
“เราลองเป็นแฟนกันก็ได้นะแต่ว่า” เธอพูดเสียงดังและเงียบไว้จนอีกฝ่ายเงียบตามทันที “แต่ว่านายห้ามนอกใจฉันเข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจครับผม” เขาพูดพร้อมยื่นช่อดอกไม้ให้อย่างรวดเร็ว
“โห...คบกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ” วิภาดาถามด้วยความสงสัยเมื่อเพื่อนสาวเล่าจบแล้ว
“ความจริงหลังจากนั้นเขาก็พาฉันไปเจอเพื่อนแล้วก็พ่อแม่ของเขาด้วยนะตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะรักกันได้ถึงตอนนี้หรอกความจริงอาทิตย์หน้าก็ครบรอบที่เราคบกันด้วยนะ” วินนี่พูดอย่างมีความสุขจนเพื่อนๆ มองหน้าพลางส่งยิ้มมาให้
“อิจฉา!!!” เพื่อนๆ พูดพร้อมกันเสียงดังแล้วทิ้งตัวนอนหัวชนกันเหมือนตอนพักเที่ยงที่ชอบมานอนเล่นแบบนั้ด้วยกันเป็นประจำ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
“ฉันคิดถึงตอนที่เราเรียนอยู่ที่นี่จัง” วินนี่พูดพลางทิ้งตัวลงนอนบนสนามหญ้าอย่างสบายใจ
“จริงสิได้ข่าวว่าเธอมีแฟนแล้วนี่ไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟังเลยนะ” หนูดีพูดหยอกอย่างเป็นกันเองก่อนจะลงนอนตามไปอีกคน
“อยากรู้จริงๆ เหรอมันอาจจะน้ำเน่าสำหรับพวกเธอก็ได้นะ” วินนี่พูดด้วยความเขินอายเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
“เล่ามาเลย” เพื่อนๆ พูดพร้อมกันเสียงดัง
“ก็ได้” เธอตอบเสียงใสก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มเรื่องนั้นให้เพื่อนฟัง
เมื่อห้าปีก่อนหน้านี้...ในหมู่บ้านพาดาวซึ่งเป็นหมู่บ้านเปิดใหม่ทำให้มีคนมาอยู่เยอะมากเพราะมีทั้งสิ่งอำนวยความสะอาดและระบบรักษาความปลอดภัยมากมายหนึ่งในนั้นมีวินนี่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่อสองวันก่อนหลังเลิกงานเธอมักจะมานั่งที่ร้านกาแฟเป็นประจำร้านนี้เป็นร้านที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเขียนความรู้สึกของตัวเองได้ที่หน้าประตูร้านหรือบนกระดาษที่ตั้งไว้หน้าร้านโดยมีปากกาวางไว้ให้เลือกมากมาย
“ให้ทุกคนเขียนที่หน้าประตูแล้วจะทำความสะอาดยังไงคะ” เธอถามเจ้าของร้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความสงสัย
“เป็นปากกาพิเศษครับจากต่างประเทศถึงจะเช็ดกระจกมันก็จะไม่ลบออกแต่ตอนนี้ก็มีคนเขียนเยอะมากจนต้องหากระดานมาเพิ่มแล้ว” เขาพูดพลางมองไปหน้าร้าน
วินนี่เดินออกมานอกร้านมองดูข้อความพวกนั้นอย่างไม่คิดอะไรจนกระทั่งมาเจอขอความของใครคนหนึ่งซึ่งเขียนด้วยปากกาสีขาวและเป็นจุดเด่นมากๆ ‘อยู่คนเดียวมันเหงา’ ทำให้เธอที่รู้สึกแปลกๆ เขียนตอบข้อความนั้นไปว่า ‘เหงาเหมือนกัน’ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปทำงานที่ค้างอยู่แล้วรีบกลับบ้านทันทีเพียงไม่กี่นาทีที่เดินจากไปก็มีชายคนหนึ่งเดินมาอ่านข้อความที่คนตอบกลับมาทำให้ยิ้มออกมาแล้วเขียนต่อจากคำตอบนั้นไปก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
ที่ทำงานซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านสองเมตรเป็นงานในร้านเบเกอรี่เล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่ก่อนหมู่บ้านพาดาวไม่นานมากนักในเวลาหกโมงเย็นเป็นเวลาที่มีลูกค้าเยอะที่สุดเพราะเป็นหลังเลิกงานและเด็กๆ ที่อกมาเที่ยงหรือกลับจากทำงานพิเศษในเวลานี้ก็มักจะเข้ามานั่งกินขนมนั่งเล่นนั่งคุยกันตามประสาทำให้คนที่กำลังคิดถึงเพื่อนเริ่มเหงาขึ้นมาอีกแต่ร้านนี้จะปิดสองทุ่มตรงเปิดร้านในเวลาสามโมงเช้าพักตอนเที่ยงตรงหนึ่งชั่วโมงผลัดเปลี่ยนกับเจ้าของร้านเพราะเป็นร้านเล็กๆ จึงมีลูกจ้างคือวินนี่คนเดียวกับเจ้าของร้านเท่านั้น
เช้าวันต่อมาก่อนไปทำงานหญิงสาวเดินมาที่หน้าร้านกาแฟซึ่งมีข้อความตอบกลับมาว่า ‘เพิ่งเจอเพื่อนมาคิดว่าหายเหงาแล้วนะ’ ทำให้คนที่ยังไม่เจอเพื่อนถึงกับจ้องมองด้วยรอยยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า ‘ยังเหงาเหมือนเดิม’ แล้วเดินไปทำงานทันทีในยามเช้าที่มีแสงแดดอ่อนทำให้ร้านที่เพิ่งเปิดมีลูกค้าเพียงไม่กี่คนและเจ้าของร้านที่ยังไม่เข้ามาเพราะมีธุระต้องไปทำจึงมีวินนี่ทำงานอยู่คนเดียว
“วินนี่ไปพักได้แล้วฉันกินข้าวมาเรียบร้อยแล้วนะแล้วก็ฝากซื้อลาเต้ด้วย” เธอพูดพร้อมกับหยิบเงินให้ทันทีก่อนจะรีบทำขนมตามที่สั่งไว้อย่างรวดเร็ว
ที่ร้านกาแฟตอนนี้มีลูกค้าเยอะจึงทำให้ต้องรอนานกว่าทุกวันแต่เพราะบรรยากาศที่เงียบสงบและเย็นสบายทำให้หลายคนที่ยังนั่งรออยู่ไม่ค่อยรีบร้อนมากนักเมื่อได้กาแฟที่สั่งไว้ก็เดินออกมาดูที่หน้าร้านเมื่อเห็นว่ายังไม่มีคนตอบจึงเดินกลับไปทำงานที่ร้านทันทีซึ่งในเวลานี้เริ่มร้อนมากแล้วทำให้คนที่กลับเข้ามาในร้านมีเหงื่อออกเต็มไปหมด
“อ้าววินนี่เป็นอะไรหรือเปล่า” เจ้าของร้านถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นว่ามีเหงื่อออกมาเยอะมาก
“เปล่า ไม่มีอะไรแค่อากาศร้อนเท่านั้นเอง” เธอพูดพร้อมเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนชุดทันที
หลังเลิกงานวินนี่ก็กลับบ้านมาตามปกติและเพราะวันนี้งานหนักจึงนอนพักอยู่นานจนตื่นสายจนแทบจะเปิดร้านไม่ทันแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีวันนี้ต้องปิดร้านครึ่งวันคนที่ยังไม่มาดูข้อความที่เขียนไว้ก็รีบเดินมาที่หน้าร้านกาแฟทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนตอบกลับมาก็เขียนตอบกลับไปตามปกติคล้ายกับว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอคลายเหงาลงไปได้บ้างและเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวันจนผ่านไปหนึ่งปี
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวนะหยุดเล่าก่อน” วิภาดาที่นั่งฟังอยู่นานพูดแทรกขึ้นมาจนเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งฟังเพลินหันมามองด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรล่ะวิฉันกำลังฟังเพลินๆ เลย” ดารินถามเสียงดัง
“เขียนหน้าร้านกาแฟมาหนึ่งปีเต็มโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วยังไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นใครแล้วจะมารักกันได้ยังไง” วิภาดาถามด้วยความสงสัย
“ก็กำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง” วินนี่ตอบเสียงเรียบและเริ่มเล่าต่อไป
หลังจากที่วินนี่ได้เขียนข้อความกับใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครมานานถึงหนึ่งปีในวันนี้เป็นวันที่เธอต้องไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดซึ่งอาจจะทำให้ไม่ได้มาที่ร้านกาแฟนี้หลายวันจึงเขียนบอกไว้แล้วหายไปเลยตั้งแต่วันนั้นหลังจากวันที่ไม่มีข้อความตอบกลับคนที่ยืนมองอยู่นานก็เข้าไปถามเจ้าของร้านจนรู้ว่าคนที่คอยเขียนตอบกลับนั้นเป็นผู้หญิงที่ทำงานอยู่ในร้านเบเกอรี่ที่ห่างจากหมู่บ้านนี้เพียงสองเมตรเท่านั้น
วินนี่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเพียงสองอาทิตย์เมื่อกลับมาที่หมู่บ้านพาดาวอีกครั้งก็เดินไปที่ร้านกาแฟซึ่งมีข้อความถามเต็มไปหมดว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมาเมื่อได้อ่านแล้วก็ทำให้คนที่เห็นยิ้มออกมาได้ทันทีก่อนจะเดินเข้าไปในร้านเป็นเวลาเดียวกันที่เจ้าของร้านบอกว่าจะเปลี่ยนกระจกใหม่เพราะมีคนเขียนเยอะมากจนดูไม่สวยงามทำให้หญิงสาวที่เพิ่งรู้เรื่องก็ไม่ได้ตกใจอะไร
“กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นยังไงบ้าง” เจ้าของร้านกาแฟถามอย่างเป็นกันเอง
“ก็ดีค่ะแต่อยากเจอเพื่อนมากกว่าแถมเพื่อนๆ ของวินนี่ก็ไม่ว่างตอนนี้ด้วย” เธอพูดเสียงเบาก่อนจะนั่งจิบกาแฟช้าๆ อย่างสบายใจ
เมื่อกลับเข้ามาทำงานใหม่ก็มีลูกค้าคนหนึ่งส่งดอกไม้สีขาวมาให้และส่งมาเป็นประจำทุกวันจนเธอไปเขียนบอกเรื่องนี้ไว้ที่หน้าร้านกาแฟนอีกครั้งและในวันต่อมาก็มีคำตอบมาแบบแปลกๆ ‘เขาอาจจะชอบคุณอยู่’ ซึ่งคนที่อ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเพราะไม่รู้ว่าคนที่ส่งดอกไม้ให้เป็นใครกันแน่
“ฉันว่าไม่ให้เขียนหน้าร้านแล้วดีกว่าให้เขียนที่ป้ายอย่างเดียวก็พอ” เจ้าของร้านที่ออกมาเห็นก็เริ่มพูดออกมา
“ทำไมล่ะ”
“มันไม่สวยตอนแรกที่มีข้อความน้อยๆ มันก็ดีอยู่หรอกแต่ตอนนี้มันเยอะแล้วก็รกมากๆ เลยนะ”
หญิงสาวที่รู้เรื่องนี้รีบเดินกลับบ้านด้วยความไม่สบายใจเพราะว่าถ้าประตูหน้าร้านถูกเปลี่ยนไปและไม่ให้เขียนอะไรอีกคงไม่ได้เจอกับคนที่ทำให้เธอหายเหงาตลอดเวลาที่ต้องชีวิตอยู่คนเดียวแน่ๆ แม้จะเขียนทิ้งไว้เรื่องที่จะเปลี่ยนประตูหน้าร้านและไม่ให้เขียนหน้าร้านไว้ก็ไม่มีใครเขียนตอบเลยจนผ่านไปสองวันหลังจากที่เปลี่ยนประตูร้านไปแล้วก็ไม่มีใครมาเขียนอะไรเลย
“เขาไม่มาที่นี่หลายวันแล้ว” เสียงของเจ้าของร้านดังมาแต่ไกล
“ใครเหรอคะ”
“ก็ผู้ชายที่เขียนที่หน้าร้านบ่อยๆ เห็นบอกว่าจะไปทำงานในตัวเมืองด้วยนะเห็นเป็นสถาปนิกคงไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้ว” คำพูดนั้นทำให้คนที่เพิ่งรู้เรื่องรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที
ชีวิตของวินนี่ก็ต้องทำงานตามปกติแม้จะเหงามากเมื่อไม่ผู้ชายคนนั้นที่คอยมาเขียนตอบที่หน้าประตูร้านแล้วแต่เมื่อผ่านไปสองเดือนดอกไม้สีขาวที่ห่างหายไปนานก็เริ่มส่งกลับมาอีกครั้งและมีข้อความที่หน้าประตู้ร้านเช่นเดิมทำให้คนที่ยืนอ่านอยู่รีบเดินเข้าไปถามเจ้าของร้านด้วยความแปลกใจและดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ด้วยว่ามีคนมาเขียนที่หน้าประตูร้านแบบนี้
“แล้วอย่างนี้คนอื่นจะไม่เขียนตามเหรอ” เธอพูดออกมาลอยๆ
“เขียนตามแน่นอนอย่าให้รู้นะว่าเป็นใครฉันกลับไปทำงานก่อนนะวันนี้ต้องขัดให้ออก” เขาพูดอย่างหัวเสียก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
“นี่เมื่อไหร่จะรักกันยะฟังจนเบื่อแล้วนะขอตอนที่รักกันเลยได้มั้ยถ้าเล่าต่อฉันคิดว่าคงผ่านไปอีกหลายปีแน่นอน” ดารินเริ่มบ่นทันทีเมื่อเห็นว่าไม่ได้เจอกันสักที
“แล้วเธอจะมาขัดฉันทำไมล่ะ” วินนี่เริ่มบ่นบ้าง
“ทั้งสองคนเลิกเถียงกันแล้วให้วินนี่เล่าต่อดีกว่านะ” หนูดีพูดขึ้นอย่างใจเย็น
เมื่อมีข้อความหน้าร้านที่หน้าร้านเพิ่มขึ้นทุกวันเจ้าของร้านก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่ว่าจะลบออกยังก็ดูเหมือนว่ายิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันวินนี่ที่เดินมาเจอกับข้อความที่ว่า ‘กลับมาแล้วนะมาเจอกันหน่อยได้ไหม’ แม้จะไม่ได้ตอบกลับไปแต่เมื่ออีกฝ่ายเขียนสถานที่และเวลานัดพบมาให้เธอก็ยอมไปตามสถานที่นั้นทันที
ในวันที่สิบห้ามีนาคมซึ่งเป็นวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาวและแสงสว่างจากพระจันทร์บนท้องฟ้าชายหนุ่มถือดอกไม่ช่อโตมารอตามที่นัดไว้อยู่นานจนถึงเวลาเที่ยงคืนตรงก็ยังรออยู่ที่นั่นจนเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้จากข้างหลังเมื่อเห็นว่าเขายังไม่รู้สึกตัวจึงพูดเสียงดังว่า
“รอใครอยู่เหรอ” คำพูดนั้นทำให้เขาหันมามองด้วยความตกใจก่อนจะยิ้มออกมาและยื่นเข้าไปหา
“เราเป็นแฟนกันได้มั๊ย” เขาพูดเสียงดังจนอีกฝ่ายแทบตั้งตัวไม่ทัน
“ทำไมคุณถึงชอบฉันล่ะแล้วดอกไม้สีขาวเป็นของคุณเหรอ” เธอถามทั้งที่รู้ทุกอย่างจากเจ้าของร้านกาแฟหมดแล้ว
“ก็ใช่ถ้าจะถามว่ารักตอนไหนก็คงตั้งแต่ตอนที่คนเขียนตอบกลับที่หน้าประตูร้านนั่นแหละ” เขาพูดเสียงเบาลง
“เราลองเป็นแฟนกันก็ได้นะแต่ว่า” เธอพูดเสียงดังและเงียบไว้จนอีกฝ่ายเงียบตามทันที “แต่ว่านายห้ามนอกใจฉันเข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจครับผม” เขาพูดพร้อมยื่นช่อดอกไม้ให้อย่างรวดเร็ว
“โห...คบกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ” วิภาดาถามด้วยความสงสัยเมื่อเพื่อนสาวเล่าจบแล้ว
“ความจริงหลังจากนั้นเขาก็พาฉันไปเจอเพื่อนแล้วก็พ่อแม่ของเขาด้วยนะตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะรักกันได้ถึงตอนนี้หรอกความจริงอาทิตย์หน้าก็ครบรอบที่เราคบกันด้วยนะ” วินนี่พูดอย่างมีความสุขจนเพื่อนๆ มองหน้าพลางส่งยิ้มมาให้
“อิจฉา!!!” เพื่อนๆ พูดพร้อมกันเสียงดังแล้วทิ้งตัวนอนหัวชนกันเหมือนตอนพักเที่ยงที่ชอบมานอนเล่นแบบนั้ด้วยกันเป็นประจำ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ