[ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่สาม : เพื่อนบ้าน

7.7

เขียนโดย larceta

วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 09.45 น.

  3 ตอน
  7 วิจารณ์
  6,865 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 15.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ช่วงปลาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     ความเงียบเกิดขึ้นอีกพักใหญ่ก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับตัวลุกขึ้น     "หิวแล้วสิครับ"  เขาพูดพลางเอามือลูบท้อง "ที่บ้านผมตอนนี้ไม่มีอะไรพอจะทำอาหารได้เลย  เมื่อกี้เห็นคุณถือถุงกับข้าวมาด้วย  มีของสดหรือเปล่าครับ"     มีนาฟังคำพูดที่คล้ายมาจากที่แสนไกลก็ผงกหน้าครั้งหนึ่ง     "ดีเลยครับ" เขายิ้มอย่างยินดี "ผมน่ะ  เห็นอย่างนี้แต่ก็ทำอาหารทานเองทุกวันนะครับ  เพราะผมน่ะเกลียดการออกไปทานอาหารที่ร้านสุดๆเลย พูดก็พูดเถอะ ขนาดร้านที่ว่าๆดังๆคนไปต่อคิวกินกันน่ะผมก็ไปลองชิมมาแล้ว รสชาติมันอย่างกับเอาเท้าทำเลย  ไม่รู้จริงๆว่าทานกันได้ยังไง  ...ไม่สิ  อาจเพราะทานแต่ไอ้พวกแบบนี้ก็ได้  ถึงได้มีพวกปัญญาน้อยอย่างคุณเยอะเต็มโลกแบบนี้"     มีนาไม่แสดงอาการใดๆโต้ตอบ น้ำตาเธอเหือดแห้ง  และต่อมรับความรู้สึกก็เหมือนมีบางอย่างกดทับจนมึนชา  กรินต์เดินผ่านเธอไปพร้อมกับผิวปากท่อน 'We had joy, we had fun, we had seasons in the sun ' ของเพลง Season in the sun ไปด้วย  ทว่าท่าทางอารมณ์ดีนั้นก็อยู่ได้เพียงไม่นาน  พักหนึ่งหลังเข้าไปในครัว  เขาถือถุงอาหารออกมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง     "มีแต่ของแช่แข็งทั้งนั้นเลยนี่ครับ" เขาพูดอย่างไม่พอใจ "ไม่รู้หรือไงว่าอาการแช่แข็งน่ะมีอันตรายขนาดไหน  ถึงจะบอกว่ารักษาสภาพด้วยความเย็นก็เถอะ  แต่เชื้อโรคแล้วก็แบคทีเรียบางอย่างน่ะมันยังทนอยู่ได้นะครับ  แล้วอีกอย่าง  ไอ้ของที่ผ่านมือใครต่อมือใครมานับไม่ถ้วนแบบนี้  แค่คิดก็คลื่นใส้ทานไม่ลงแล้วล่ะครับ"     เขาโยนถุงของนั้นลงตรงหน้าเธอ  เศษน้ำแข็งบางส่วนกระเด็นใส่หน้า  เธอสะบัดหน้าเพื่อเอามันออก แต่ความเย็นเยียบคงตกค้างอยู่อีกครู่ใหญ่     "ของสดคือวัตถุดิบทำอาหารชั้นเลิศ รองลงมาคือของที่เก็บไว้ในตัวเย็น ส่วนของแช่แข็งน่ะมันไม่ต่างอะไรเลยกับขยะ" เขากอดอกพูด "ไม่ได้คุยนะครับ  แต่ตอนอยู่บ้านหลังเก่าน่ะ  แทบร้อยเปอร์เซนต์เลยที่วัตถุดิบทำอาหารของผมจะเป็นของสด ผมใช้ผักในแปลงเล็กๆที่ผมปลูกไว้หลังบ้าน ส่วนเนื้อนั้นจะได้มาจากการที่ผมล้วนมาจากการล้มหรือเชือดสัตว์ทั้งเป็นๆ  ทว่าในเรื่องนี้  หากเป็นหมูหรือวัว  เราคงไม่สามารถกินหมดได้ครั้งเดียวและไม่พ้นต้องใช้การแช่เพื่อเก็บรักษา ส่วนที่เหลือ  เพราะอย่างนั้น ผมจึงมีจะเลือกสัตว์ที่เชือดแล้วกินได้หมดไม่เหลือซากให้เป็นภาระ อย่างเช่นปลา  ไก่  แล้วก็กระต่าย"     กระต่าย? มีนาทวนคำพูดเขาด้วยสีหน้า  ราวกับชื่อๆนี้เป็นสิ่งแปลกปลอมในจากประโยคเมื่อกี้     "ไม่เคยทานเหรอครับ" ชายหนุ่มอ่านจากสายตาเธอแล้วพูดตอบ "คุณน่าจะลองทานดูนะครับ  รสชาติเพอร์เฟคสุดๆอย่างที่คุณไม่มีทางหาได้จากเนื้อหมูหรือวัวหรือเนื้อ ชนิดใดๆในโลกเลยล่ะ โดยเฉพาะถ้าเอามาย่างหรือทำสตูว์ละก็เด็ดสุดๆ ของโปรดสุดๆของผมเลยล่ะ"     เขาหลุดมาดเคร่งขรึมเมื่อพูดถึงอาหารจานโปรด สีหน้าระรื่นที่แสดงออกมานั้นบ่งบอกถึงความชื่นชอบเนื้อกระต่ายเอามากๆ และนั่นเองที่เรียกน้ำย่อยให้หลั่งจนท้องรองดังขึ้นมาอีก     "หิวมากแล้วสิ  คงเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า แล้วก็ออกแรงมากไปด้วยสิ"     เขาถอนใจแล้วมองดูอาหารแช่แข็งที่โยนไปบนโต๊ะอย่างจำใจยิ่ง แต่ในเมื่อที่นี่ไม่มีของสด เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอามันไปทำเป็นอาหาร     ทว่าขณะที่เขาเบนสายตาหนีจากมัน   สายตานั้นก็หันไปเจอกับศพไร้หัวที่เขาจับนั่งไว้ที่เก้าอี้ข้างตัวเองพอดี ภาพที่เห็นประจวบเหมาะกับความคิดและความเกลียดชังอาหารแช่แข็งเข้าใส้พอดี     "จริงสิ  ถ้าพูดถึงเนื้อสดๆ ที่นี่ก็มีอยู่นี่นา"     ดังสายฟ้าฟาดลงที่ตัว  หญิงสาวขนลุกเกรียวกับคำพูดนั้น ต่อมความรู้สึกอยู่ขั้นโคม่าถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนนักโทษที่ถูกรักษาตัวจนหายเพื่อมารับโทษประหาร  ขณะชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในครัว  เธอเฝ้าคิด  ไม่ว่าจะอะไร  เธออ้อนวอนต่อพระเจ้าไม่ให้เขาเจอสิ่งที่ต้องการ  เฝ้าหวังว่าชายหนุ่มจะล้มเลิกสิ่งที่คิดอยู่  สิ่งที่เธอไม่อยากแม้แต่จะคิดว่าเขาคิดจะทำมัน  ความคิดที่ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนในท้อง  ลางร้ายดำมืด  เหมือนหนอนหนามที่กลืนลงทั้งเป็นแล้วกำลังใต่อยู่รอบผนังกระเพราะของเธอ     แต่คำอธิษฐานของเธอไม่เป็นผล  หลังจากหายไปพักใหญ่  และมีเสียงกุกกักดังขึ้นเป็นระยะ ชายหนุ่มกลับมาพร้อมกับมีดเดินป่าเล่มใหญ่ของพ่อที่ดูเหมือนจะไม่ดีพอนักใน ความคิดเขา       "มีใหญ่ที่สุดเท่านี้เองเหรอเนี่ย" เขาพูดแล้วเอาปลายมีดจิ้มที่หลังมือตัวเอง  เลือดสีแดงไหลซ้ำออกมา "แต่อย่างน้อยก็คมใช้ได้  แบบนี้พอได้อยู่ครับ"     พูดแล้ว  เขาก็เลื่อนโต๊ะรับแขกออกแล้วเดินไปที่ศพไร้หัว ถอดเสื้อผ้าแล้วลากมานอนหงายที่พื้น  ร่างไร้ศีรษะทำให้ส่วนสูงลดลงอีกราว 20-30 ซม. แต่ร่างนั้นยังคงใหญ่โตเสมอในสายตาของมีนา     ยะ..อย่านะ  สายตาของเธอพร่ำบอกกรินต์ทุกขณะที่เขาเคลื่อนไหวตัว  และยิ่งถี่ระรัวเมื่อเขาคุกเข่าลงที่ข้างศพ     กรินต์จ้องหน้าเธอตอบ เลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากนิดๆแล้วพูดขึ้น "คอยดูให้ดีนะครับ งานระดับมืออาชีพแบบนี้หาดูได้ยาก"     แทบจะทันทีที่เขาพูดคำนั้นออกมา มีดของเขาก็ได้แทงที่หน้าท้องของศพ  เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดออกมาทันที  แม้จะไม่มากนักแต่ก็พอจะย้อมใบมีดและใบหน้านั้นให้กลายเป็นสีแดงเลือด       กรินต์ปาดหลังมือเช็ดเลือดบริเวณดวงตาแล้วเริ่มลงมือต่อ ท่าทางการแล่อันคล่องแคล่วไม่ต่างจากนักเชือดสัตว์  ไล่จากบนลงล่าง แล้วไล่จากล่างขึ้นบน ไล่เรียงจนกระทั่งถึงขั้นตอนการเฉือนหนังออกและได้เนื้อส่วนออกมา     "ว้าว  ยอดเลย เนื้อสดสวยแถมไม่ค่อยมีไขมันด้วย"     เขากล่าวชื่นชมเมื่อได้เนื้อที่ต้องการ  เขาเอาเสื้อของศพที่โยนกองไว้มาเช็ดมีดก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัวเพื่อ เอาเนื้อไปทำอาหาร ตลอดขั้นตอนตั้งแรกจนถึงสุดท้าย เขาผิวปากท่อน 'We had joy, we had fun, we had seasons in the sun ' เคล้ากับเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของมีนา เสียงกรีดร้องที่แม้จะจะปิดปากเอาไว้แล้วก็ยังทะลุออกมาได้ ทั้งเธอยังดิ้นและสะบัดหน้าอย่างแรงราวกับต้องการปฏิเสธสิ่งที่เห็นตรงหน้า อย่างสุดชีวิต     แล้วเมื่อกลิ่นคาวของเลือดและความตายสาดปะทะจมูก จากความเศร้าโศกเสียใจก็เปลี่ยนความสยดสยองคลื่นเหียน เธออาเจียร กระเพราะของเธอก็บีบตัวจนเล็กเหลือเท่ากำปั้นเด็ก  แต่เพราะทางออกถูกปิดไว้ มันจึงได้แต่จุกอยู่ที่ปากและลำคอ กลิ่นคาวคลุ้งของน้ำย่อยที่ผสมโรงเข้มข้นกับกลิ่นคาวแห่งความตายโชยคลุ้งไป ทั่วทั้งบริเวณ      ราว 30 นาทีหลังจากที่มีเสียงกร็อกแกร่กและกลิ่นเครื่องเทศเครื่องปรุงโชยผ่านออกมา จากในครัว ชายหนุ่มกลับมาพร้อมเนื้อเสต็กสีน้ำตาลเข้ม ราดซอสหอมกลิ่นเครื่องเทศและมีผักประดับอย่างสวยงาม  หากไม่รู้มาก่อนว่าเนื้อนั้นทำมาจากเนื้ออะไรก็คงพูดได้ว่ามันน่าอร่อยเหลือ เกิน     น่าอร่อยเหลือเกิน  ... ถ้อยคำลอยคว้างอยู่ในอากาศว่างเปล่า     หลังกล่าวคำขอบคุณพระเจ้าสำหรับมื้ออาหาร เขาก็จัดการละเลียดเสต็กต่อหน้าเธอด้วยการโต๊ะพับตัวเล็กออกมากางตรงหน้า  เอ่ยชมไม่ขาดปากว่าเนื้อนี้เป็นเนื้อที่เยี่ยมที่สุดที่เคยกินมารองจากเนื้อ กระต่าย  ตลอดเวลานั้น มีนาได้แต่นั่งตาลอยดูสิ่งที่เกิดขึ้น  แม้แต่กระเพราะก็ไม่เหลือแรงจะบีบตัว เธอยังไม่สลบแต่กระนั้นก็ไม่อาจพูดได้ว่ามีสติหลงเหลือ บัดนี้ หากไม่นับภาพและเสียงของชายที่อยู่ตรงหน้าแล้ว  ทุกอย่างรอบตัวเงียบหายไปราวกับหลุดไปในอีกมิติ ภาพติดตาตกค้าง สูญเสียประสาทรับการรับฟัง ราวกับทหารในสนามเพลาะแดนหน้าที่แก้วหูฉีกขาดจากเสียงปืนและเสียงระเบิด     "ขอบคุณมากเลยนะครับ  สำหรับอาหารอร่อยมือนี้"       กรินต์ประสานมือแล้วก้มขอบคุณ ก่อนที่จากนั้น เขาจะเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนบนผนังแล้วทำท่าทางตกใจราวกับเพิ่งรับรู้ว่ามีมัน อยู่ด้วย      "โอ้  นี่เวลาขนาดนี้แล้วเหรอครับ  คนในบ้านผมใกล้จะกลับมาแล้ว ดูท่าจะถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับไปรายงานผลการเยี่ยมเพื่อนบ้านให้ฟังแล้วสิ"     เขาพูดแล้วก็ถอนหายใจครั้งหนึ่ง  ก่อนจะลุกขึ้นนำจานชามไว้วางไว้ที่ซิงค์แล้วกลับออกมา  เช็ดมือด้วยผ้าเช็ดมือก่อนจะหันมาคลายผ้าปิดปากให้มีนา  เศษอาหารที่จมกองคาปากเธออยู่ไหลย้อย  เขาเอี้ยวตัวหลบแล้วทำเสียง จิ้! ในปาก  จากนั้นก็เดินอ้อมมาแล้วใช้มีดตัดเชือกที่รัดแขนขาให้เธอ  ประครองเธอที่จะล้มให้นั่งแล้วเอามือของเธอมาวางกับกองอาเจียรที่หน้าขา  ราวกับจะให้มันช่วยปิดไม่ให้เห็นแล้วเกิดอาการสะอิดสะเอียน     "โอเค งั้นไว้ผมจะมาใหม่นะครับ" เขายกมือแล้วทำท่าจะหันไป  แต่แล้วก็หันกลับมาราวกับเพิ่งนึกได้ "ลืมบอกไป ผมชอบคุณนะครับ นานมากแล้วที่ผมไม่เคยชอบใครแบบนี้ น่าเสียดายที่วันนี้ดูคุณไม่ค่อยอยากอาหาร แต่ครั้งหน้าถ้ามีเนื้อสดๆละก็ ผมจะได้แสดงฝีมือให้คุณลองชิมบ้าง รับรองไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน"       เขาทิ้งคำพูดนั้นไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง  เสียงเคาะรองเท้าก่อกแก่กดังขึ้นตามด้วยเสียงประตูเปิดแล้วปิดลง  หลักฐานยืนยันว่าเขาไปจากบ้านนี้แล้ว     มีนายังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้  ก้มหน้าะปล่อยให้น้ำและเศษอาเจียรละเลงไหลท่วมมือ  ในสมองของเธอตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคอมพิวเตอร์ที่พักการทำงานหน้าจอขึ้นสกรีน เซอเวอร์ ภาพต่างๆในความทรงจำถูกหยิบสลับเปลี่ยนมาแสดงบนหน้าจอ  ลำดับก่อนหลังยุ่งเหยิง  จากภาพหนึ่งในงานวันเด็กตอนอนุบาลที่เธอสวมชุดหลากสีฟูฟ่องเต้นบนเวที  ตัดย้อนมาเป็นภาพที่เธอและเพื่อนไปเที่ยวทะเลตอนมัธยม  จากนั้นก็ย้อนไปที่งานวันเกิดตอน 10 ขวบที่คนในครอบครัวกำลังปรบมือร้องเพลง Happy Birthday หลังจากที่เธอเป่าเทียนวันเกิดบนเค้กที่มีชื่อ MINA เขียนด้วยครีมบนหน้าเค้ก       สำหรับเธอในตอนนี้  ไม่ว่าภาพไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นอดีตอันแสนไกลที่ไม่มีวันกลับมาได้อีกแล้ว-+++-     นานเนิ่นนาน  กาลเวลาห่มคลุมด้วยความมืดก็เข้าปกคลุมบ้านทั้งหลัง  วิกาลแห่งเขตข้ามวัน   ล่วงมากว่า หกชั่วโมงแล้วที่เธอนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น  สมองว่างเปล่า ว่างเหมือนทะเลทรายที่ไร้ทราย  มหาสมุทรลึกสุดหยั่งที่ไร้สรรพสิ่งกำเนิด     ทว่าเมื่อย่างเข้าชั่วโมงที่ 8 แม้ความคิดจะว่างเปล่า  แต่ความหิวโหยที่เป็นสัญชาติญาณอยู่เหนือกว่าได้ผลักดันให้เธอต้องลุกยืน ขึ้นเพื่อหาสิ่งเติมเต็ม     เธอกระโผลกกระเผลกเดินเข้าไปในครัว จวนเจียนจะล้มเมื่อไปถึงซิงค์ เปิดก๊อกน้ำล้างปาก  กลั้วกลืนน้ำลึกถึงคอแล้วบ้วนทุกอย่างที่คั่งค้างออกมา ทำซ้ำหลายสิบรอบจนสิ่งที่เข้าไปเหมือนกับสิ่งที่ออกมา       แล้วจากนั้น  เธอก็เดินมาเปิดตู้เย็นมหึมา อาหารแช่แข็งยังอยู่  ทว่าตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกว่าอยากกิน  เช่นกันกับอย่างอื่น  ไม่ว่าจะเป็นนม ไข่ ใส่กรอก สลัด ผลไม้กระป๋อง  ทุกอย่างล้วนอยู่นอกกรอบความกระหายอยากของเธอทั้งสิ้น  สุดท้าย  เธอเดินกลับมาที่โต๊ะรับแขกคุกกี้ชิ้นหนึ่งที่คาบไว้ในปากอย่างไม่รู้รส มองศพตรงหน้าเธอ ศพที่ถูกชำแหละแล้วเหลือทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง เหม่อค้างนานราวกับกลับสู่สภาวะแช่แข็งอีกครั้ง       นานพักใหญ่  เธอโยนคุกกี้ไร้รสชาติในปากทิ้งแล้วก้มลงหยิบมีดที่วางอยู่ที่พื้น  จิ้มมันที่หลังฝ่ามือเพื่อทดสอบความคม  ยกวัดน้ำหนักแล้วทดลองตัดอากาศ ก่อนจะก้มกึ่งคลานยังไปซากศพอีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ชำแหละ วางมือข้างพาดที่พื้น  นึกทบทวนขั้นตอนการแล่เนื้อซ้ำๆหลายครั้งก่อนจะจรดมีดลงไป...     น่าอร่อยเหลือเกิน  ... ถ้อยคำลอยคว้างอยู่ในอากาศว่างเปล่า
 
++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา