[ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่สาม : เพื่อนบ้าน
7.7
เขียนโดย larceta
วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 09.45 น.
3 ตอน
7 วิจารณ์
6,864 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 15.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ช่วงต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรื่องที่สาม : เพื่อนบ้าน
ท่ามกลางแสงแดดหน้าร้อนประหนึ่งจะหลอมละลายโลกได้ มีนาเดินเหงื่อซกพร้อมกับถุงกับข้าวที่มีอยู่เต็มสองมือ "ซื้อมาเยอะเกินไปแล้วสิ" เธอมองถุงอย่างละเหี่ยใจ เพราะความหิวชักนำแท้ๆ ความหิวขนาดที่ทำให้เธอซึ่งแพ้อากาศร้อนๆยอมกระชากตัวเองจากห้องแอร์เย็นฉ่ำออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และเพราะมันอีกเช่นกันที่ทำให้เธอกวาดทุกอย่างที่อยากกินลงตระกร้า รู้ตัวอีกทีก็ตอนคิดเงินไปแล้ว จากธนบัตรหลายใบในกระเป๋าที่จ่ายไป ที่ได้กลับมาก็เพียงเหรียญจำนวนหนึ่งกำมือ ช่องแช่แข็งจะมีที่พอไหมนะ เธอคิด ด้วยความที่บ้านเธอเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีคนอาศัยหลายรุ่น ถึงขนาดของบ้านจะไม่ต่างจากบ้านทั่วไปที่อยู่กันสองสามคน แต่กับตู้เย็นนั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะต้องรองรับรสนิยมเรื่องอาหารการกินที่แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักคน ตู้เย็นที่บ้านจึงต้องใหญ่กว่าบ้านคนธรรมดาหลายเท่า ระดับเดียวกับตู้เย็นในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว และมันก็มักจะแน่นไปด้วยของที่เธอไม่อยากกินอยู่เสมออีกด้วย คิดถึงตรงนี้ เธอก็มาถึงบ้านพอดี ด้วยมือสองข้างถือของหนักจนเลื่อนเปิดประตูไม่ได้ และความที่ไม่อยากวางอาหารกับพื้นที่มีแอ่งน้ำเฉอะแฉะ เธอจึงตะโกนเรียกคนในบ้านให้มาเปิดประตูให้ แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียง ปึ๊ก! ก็ลั่นเข้ามาในหูเธอ พร้อมๆกับที่เธอรู้สึกถึงแรงสะเทือนที่หลังศีรษะใต้ขวัญ รอบตัวมืดลงเหมือนทีวีที่จอภาพถูกกดปิด....-+-
มีนาชักม่านที่หนักเหมือนมีหินถ่วงขึ้นหลังจากรู้สึกตัว ภายในตาโคลงเคลงราวกับเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล นานพอดูทีเดียวกว่าเธอจะรู้ว่าเธอนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตัวเองและถูกมัดกับเก้าอี้ไม้มีพนักพิงที่เอามาจากห้องครัว เกิดอะไรขึ้น... แค่คิดก็ปวดหัวแทบระเบิด โดยเฉพาะหลังหัวซึ่งในตอนนั้นเธอมองไม่เห็นว่ามีแผลแตกและมีเลือดแห้งเปรอะเส้นผมไปหมด "รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ" เสียงหนึ่งพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอมีท่าทางได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นและเพ่งสายตามองไปยังต้นเสียง ภาพเลือนรางของชายที่เธอไม่อาจเห็นใบหน้ากับเสียงฝีเท้าเดินผ่านเธอไปก่อนจะนั่งลงที่โซฟาด้านตรงข้ามเธอ "คุณหลับไปนานเลย ตอนนี้ 4 โมงเย็นแล้ว" เขาแจ้งเวลา ซึ่งขณะที่พูดนั้น มีนาเริ่มจะมองเห็นหน้าเขาชัดขึ้นแล้ว เป็นชายหนุ่มใบหน้าคมคาย ผมสั้น สูงโปร่ง และอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเธอ สวมชุดลายประหลาดเหมือนจิตรกรสาดสีใส่ผืนผ้าใบ "คะ...คุณเป็นใคร.." เธอเอ่ยถามด้วยเสียงอันแห่บพร่า ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้น "ผมชื่อกรินต์ครับ เป็นเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านข้างๆคุณวันนี้เอง" มีนานึกย้อน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน แต่การนึกออกเรื่องนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นเลย "มัน...เกิดอะไรขึ้น... ละ...แล้วทำไม...ฉันถึงโดนมัด..." เธอเอ่ยกระท่อนกระแท่น พยายามเรียบเรียงคำให้เป็นประโยคเท่าที่จะทำได้ กรินต์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "นั่นฝีมือผมเองครับ รวมถึงเรื่องที่ผมเองที่เป็นใช้ฟาดหัวคุณด้วยขวดแก้วนี่เอง" เขาโชว์ขวดแก้วที่มีรอยแตกใบหนึ่งในเธอดู หญิงสาวได้เห็นก็เกิดอาการตกใจ และนั่นก็ทำให้ศีรษะเธอปวดจี้ดอย่างแรงขึ้นมา ม่านตาชักปิดและต้องก้มคอลงราวกับถูกมือดึงกระชาก "นี่ยังปวดหัวอยู่อีกเหรอครับเนี่ย" เขาเม้มริมฝีปาก "ทั้งๆที่ผมก็ว่าตัวเองยั้งมือมากแล้วนะ แบบนี้คงต้องโทษความอ่อนแอของตัวคุณเองแล้วล่ะ" มีนาได้ยินที่เขาพูดก็ยกหน้าขึ้นอีกครั้งและพยายามเพ่งมองหน้ากรินต์ ทว่าความเจ็บปวดทำให้ตาเธอไม่สามารถโฟกัสภาพได้เลย กรินต์เห็นท่าทางเธอก็รู้ความคิด "ถ้าจะถามว่าผมตีคุณทำไม ก็เพราะคุณมาตะโกนโหวกเหวกตอนที่ผมกำลังทำงานอยู่ยังไงล่ะครับ" เขาตอบ "ผมน่ะ เกลียดพวกที่ชอบโหวกเหวกโวยวายมากๆเลยครับ โดยเฉพาะเวลาที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่" ทำงาน? เธอทบทวนคำเขาในความคิด แล้วตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า นอกจากเสียงของชายหนุ่มที่ชื่อกรินต์ข้างหน้านี้แล้ว ไม่มีเสียงของใครอื่นในบ้านนี้เลย "แล้วคนอื่น..." เธอเค้นเสียงถามอย่างพยายาม "ทุกคน...ไปไหน...." "คนอื่น...หมายถึงคนอื่นๆในบ้านเหรอครับ? คุณอยากเจอพวกเขาเหรอ" กรินต์ชักสีหน้าครุ่นคิดพร้อมใช้นิ้วชี้เกาขนที่ปลายคาง "เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะพามา ถึงงานจะยังไม่เรียบร้อยก็เถอะ" เขาพูดแล้วลุกออกไปนอกห้องที่ระเบียงทางเดิน ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมลากบางอย่างเป็นเสียงครืดคราดเข้ามาในห้องด้วย สิ่งนั้นคือ ร่างไร้ศีรษะของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มีนากรีดร้องสุดเสียง เสียงแห่บพร่าของเธอที่กรีดออกมานั้นราวกับทีวีไร้สัญญาณที่เปิดเสียงสุดวอลุ่ม ทำลายความเงียบดั่งฝ่ามือที่ดึงกระชากฉีกริ้วม่านแห้งกรอบเป็นชิ้นๆ ไม่เพียงแต่ความสยดสยองที่เธอรู้สึก ร่างนั้นแม้จะไม่มีศีรษะบนบ่า แต่จากขนาดรูปร่างและชุดที่สวมใส่ เธอรู้ว่านั่นร่างไร้ศีรษะนั้นคือคนในครอบครัวของเธอ ชายหนุ่มนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เดินมาหาแล้วยันเธอล้มไปทั้งเก้าอี้ "บอกแล้วไงครับ ผมไม่ชอบคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย" แม้จะบอกแบบนั้นแล้ว หญิงสาวที่ตกใจสุดขีดไม่อาจหยุดกรีดร้องได้ ชายหนุ่มพยายามไขหูไม่รับฟัง แต่สักพักก็ทนไม่ได้ต้องลงมือทุบตีเธอ ไม่กี่ครั้ง เสียงกรีดร้องก็เหลือเพียงเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด และเพื่อป้องกันไม่ให้เธอส่งเสียงได้อีก เขาจัดการปิดปากเธอด้วยเทปกาว เช่นกันกับที่แขนและขาที่เขาเพิ่มเทปกาวพันให้แน่นขึ้นอีกหลายชั้นก่อนจะดึงเก้าอี้ขึ้นตั้ง "เท่านี้ก็เงียบหูไปที" เขาพูดก่อนจะเดินไปลากร่างไร้ศีรษะมานั่งที่โซฟารับแขก บ่าที่เคยมีคอและศีรษะตั้งอยู่ตอนนี้เหลือเพียงท่อนเนื้อสั้นๆที่มีกระดูกโผล่ขึ้นออกมาตรงกลางเล็กน้อย ล้อมรอบด้วยแผ่นหนังฉีกขาดเปื่อยยุ่ย จากรอยตัดเฉียงๆและมีชิ้นหนังบางส่วนถูกดึงยืดออกมาจนดูคล้ายกับหนังยางนั้นแสดงให้เห็นว่า คอของคนๆนี้ถูกปาดรอบเป็นวงกลมก่อนจะจับหัก จากนั้นก็ถูกจับหมุนจนกระทั่งดึงหลุดได้ มีนามองร่างนั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เสียงร้องอู้อี้จากการถูกปิดปากมาพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลแทบจะเป็นสายเลือดอยู่แล้ว "ขนาดพูดไม่ได้ยังทำตัววุ่นวายได้ขนาดนี้เลยนะครับ คุณนี่มันอัจฉริยะในการกวนประสาทผมจริงๆ" กรินต์เขม่นเธอก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาข้างศพ ลายประหลาดบนเสื้อนั้น บัดนี้กระจ่างชัดแล้วว่านั่นไม่ลวดลายแต่เดิม แต่เป็นรอยเลือดที่น่าจะสาดกระเซ็นเข้าใส่ตอนที่เขาลงมีอปาดคอเหยื่อ "ให้ตายสิครับ วันนี้มันมีแต่เรื่องหงุดหงิดจริงๆสำหรับผม โดยเฉพาะเรื่องเป็นตัวแทนครอบครัวที่จะต้องมาเยี่ยมเยียนทักทายพวกคุณที่เป็นเพื่อนบ้าน มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลยนะครับที่ทำเป็นดีกับคนอื่นทั้งๆที่ในใจตัวเองไม่อยากเลยสักนิด ผมอยากรู้จริงๆเลยว่าใครกันเป็นผู้กำหนดว่าคนเราต้องทำความรู้จักเพื่อนบ้าน ทั้งยังต้องทำตัวเป็นมิตรแล้วคอยช่วยเหลือกันอีก ค่านิยมยุคโมเสโปเตเมียชัดๆ" ถึงตรงนี้ เขาก็มีรอยยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปาก ทว่าแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น รอยยิ้มก็ถูกหุบเม้มไปพร้อมๆกับที่เขาก้มหน้าแล้วถอนใจยาว ก้มหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง นานหลายนาทีจากนั้น เขาพูดทั้งที่ยังก้มหน้าว่า "...ผมน่ะ ทนไม่ไหวอีกแล้วกับการเสรแสร้งปิดบังตัวเอง..." คำพูดนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวหยุดร้องและถึงกับต้องหันมองหน้าเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาเงยสีหน้าที่หม่นหม่องขึ้นแล้วพูดต่อไปว่า "อย่างที่คุณเห็น เดาได้ไม่ยากใช่ไหมครับว่าผมน่ะเป็นไอ้โรคจิต ถ้าเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ ผมจะใส่มันให้สุดทางสุดโต่งอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจ ที่ผ่านมา ผมฆ่าคนมาแล้วมากมายเพราะเหตุผลเล็กๆน้อยๆ หรืออาจเรียกได้ว่าไม่มีเหตุผลเลยอย่างในครั้งนี้ และแน่นอนว่าผมไม่ได้รู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าเป็นคนชั่วร้ายสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทั่วไปเลยก็ว่าได้" เขาเว้นจังหวะปล่อยให้คำพูดซึมผ่านอากาศไปยังฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็พูดต่อไปว่า "แต่นี่คือสิ่งที่ผมเลือกจะเป็น ผมไม่อยากเป็นอย่างผู้คนมากมายที่ทนทุกข์ทรมานเพราะเสรแสร้งโกหก สังคมสอนสั่งเราให้ใส่หน้ากากเข้าหากัน ปิดบังธาตุแท้ ทำตัวเป็นคนดี เป็นมนุษย์ประเสริฐสะอาดเอี่ยม กดข่มสัญชาติญาณธรรมชาติเอาไว้ในตัวด้วยกฏซับซ้อนของสังคม ไร้อิสระเสรีในการกิน นอน ขับถ่าย หรือแม้แต่สืบพันธุ์" เขาหยุดหายใจครั้งหนึ่ง "กับคนที่สามารถเก็บกั้นมันไว้ตลอดรอดฝั่งก็ดีไป แต่อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นดินปืนที่พร้อมจะระเบิดขึ้นทุกเมื่อ ขอเพียงมีประกายไฟที่แรงพอเท่านั้น" เขาล้วงในกระเป๋าเสื้อหยิบไฟแช็คขึ้นมา ไฟแช็คราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่ว ตัวแทนไฟที่เขาพูดถึง "การระเบิดคือหายนะ" เขากล่าว "มันจะทำลายทุกอย่างจนพินาศ ไม่เพียงแต่ตัวคุณเท่านั้น แต่ไฟและความร้อนที่ออกมาจะทำให้ดินปืนของคนอื่นเกิดปะทุขึ้นไปด้วย ลุกลามจนอาจทำให้โลกนี้ถูกผลาญด้วยเพลิงนรก " เขาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อพูดถึงตรงนี้ พร้อมที่มือดันลานไฟแช็คเป็นเสียงแชะๆให้เกิดประกายไฟ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นแทนที่จะจุดไฟไปเลย "แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนั้นแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะเก็บเชื้อปะทุไว้กับตัว สุมกองไว้จนล้นหัว แบกรับความเสียงที่สักวันที่มันอาจระเบิดขึ้นได้ ที่ผ่านมา กี่ครั้งแล้วที่ไม่สามารถรักษาเก็บข่มอัตตาของตัวเองได้จนกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง ลุกลามจากเล็กน้อยจากคนเพียงไม่กี่คนกลายเป็นกลุ่มชนสองฝั่งที่ทุ่มแรงเข่นฆ่ากัน ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ จนในที่สุดก็เกิดเป็นจราจลและสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นล้านๆคน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็อาจจะพอศาสนาหรือเจตคติคอยช่วยกำกับมันไว้ได้บ้าง แต่สมัยนี้ จะมีสักกี่คนกันที่นับถือศาสนา แล้วน้อยอีกสักเท่าไรที่นับถือศาสนาในแง่ของคตินิยม ไม่ใช่วัตถุนิยม" เขากระแทกไฟแช็คลงกับโต๊ะ แม้เสียงที่เกิดจากมันจะไม่ดังอะไรนัก ทว่าท่ามกลางความเงียบ เสียงนั้นแทนได้เสมือนหนึ่งตัวแทนความวินาศที่เขากล่าวไป ก้มหน้าหยุดไปอีกพักหนุึ่ง เขายกหน้าขึ้มามองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาที่เขม่นและเคร่งเครียด "ระหว่างมนุษย์แบบนั้นกับผมที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้ คุณคิดว่าใครดีกว่ากันเหรอครับ?" คำพูดของเขาทำให้มีนาไม่อาจกลั้นความตกตะลึงได้ ดวงตาของเธอที่เบิกขยายพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดโปนในคลองจักษุโลหิตจับจ้องไปกรินต์อย่างไม่วางตา แน่นอนว่านั่นแสดงถึงความโกรธแค้นที่เธอ แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่ดวงตานั้นแสดงออกมา ในแววตานั้นยังมีความรู้สึกอื่นๆปะปนอยู่ด้วย เธอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ว่าอย่างไรดี
คล้ายกับเธอได้เห็นอนุสาวรีย์ผิดรูป แต่ทว่าภาพลักษณ์ของมันกลับกลมกลืนกับสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีผิด
-++-
ท่ามกลางแสงแดดหน้าร้อนประหนึ่งจะหลอมละลายโลกได้ มีนาเดินเหงื่อซกพร้อมกับถุงกับข้าวที่มีอยู่เต็มสองมือ "ซื้อมาเยอะเกินไปแล้วสิ" เธอมองถุงอย่างละเหี่ยใจ เพราะความหิวชักนำแท้ๆ ความหิวขนาดที่ทำให้เธอซึ่งแพ้อากาศร้อนๆยอมกระชากตัวเองจากห้องแอร์เย็นฉ่ำออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และเพราะมันอีกเช่นกันที่ทำให้เธอกวาดทุกอย่างที่อยากกินลงตระกร้า รู้ตัวอีกทีก็ตอนคิดเงินไปแล้ว จากธนบัตรหลายใบในกระเป๋าที่จ่ายไป ที่ได้กลับมาก็เพียงเหรียญจำนวนหนึ่งกำมือ ช่องแช่แข็งจะมีที่พอไหมนะ เธอคิด ด้วยความที่บ้านเธอเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีคนอาศัยหลายรุ่น ถึงขนาดของบ้านจะไม่ต่างจากบ้านทั่วไปที่อยู่กันสองสามคน แต่กับตู้เย็นนั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะต้องรองรับรสนิยมเรื่องอาหารการกินที่แทบจะไม่เหมือนกันเลยสักคน ตู้เย็นที่บ้านจึงต้องใหญ่กว่าบ้านคนธรรมดาหลายเท่า ระดับเดียวกับตู้เย็นในร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว และมันก็มักจะแน่นไปด้วยของที่เธอไม่อยากกินอยู่เสมออีกด้วย คิดถึงตรงนี้ เธอก็มาถึงบ้านพอดี ด้วยมือสองข้างถือของหนักจนเลื่อนเปิดประตูไม่ได้ และความที่ไม่อยากวางอาหารกับพื้นที่มีแอ่งน้ำเฉอะแฉะ เธอจึงตะโกนเรียกคนในบ้านให้มาเปิดประตูให้ แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียง ปึ๊ก! ก็ลั่นเข้ามาในหูเธอ พร้อมๆกับที่เธอรู้สึกถึงแรงสะเทือนที่หลังศีรษะใต้ขวัญ รอบตัวมืดลงเหมือนทีวีที่จอภาพถูกกดปิด....-+-
มีนาชักม่านที่หนักเหมือนมีหินถ่วงขึ้นหลังจากรู้สึกตัว ภายในตาโคลงเคลงราวกับเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล นานพอดูทีเดียวกว่าเธอจะรู้ว่าเธอนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตัวเองและถูกมัดกับเก้าอี้ไม้มีพนักพิงที่เอามาจากห้องครัว เกิดอะไรขึ้น... แค่คิดก็ปวดหัวแทบระเบิด โดยเฉพาะหลังหัวซึ่งในตอนนั้นเธอมองไม่เห็นว่ามีแผลแตกและมีเลือดแห้งเปรอะเส้นผมไปหมด "รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ" เสียงหนึ่งพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอมีท่าทางได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นและเพ่งสายตามองไปยังต้นเสียง ภาพเลือนรางของชายที่เธอไม่อาจเห็นใบหน้ากับเสียงฝีเท้าเดินผ่านเธอไปก่อนจะนั่งลงที่โซฟาด้านตรงข้ามเธอ "คุณหลับไปนานเลย ตอนนี้ 4 โมงเย็นแล้ว" เขาแจ้งเวลา ซึ่งขณะที่พูดนั้น มีนาเริ่มจะมองเห็นหน้าเขาชัดขึ้นแล้ว เป็นชายหนุ่มใบหน้าคมคาย ผมสั้น สูงโปร่ง และอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเธอ สวมชุดลายประหลาดเหมือนจิตรกรสาดสีใส่ผืนผ้าใบ "คะ...คุณเป็นใคร.." เธอเอ่ยถามด้วยเสียงอันแห่บพร่า ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้น "ผมชื่อกรินต์ครับ เป็นเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านข้างๆคุณวันนี้เอง" มีนานึกย้อน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน แต่การนึกออกเรื่องนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างขึ้นเลย "มัน...เกิดอะไรขึ้น... ละ...แล้วทำไม...ฉันถึงโดนมัด..." เธอเอ่ยกระท่อนกระแท่น พยายามเรียบเรียงคำให้เป็นประโยคเท่าที่จะทำได้ กรินต์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "นั่นฝีมือผมเองครับ รวมถึงเรื่องที่ผมเองที่เป็นใช้ฟาดหัวคุณด้วยขวดแก้วนี่เอง" เขาโชว์ขวดแก้วที่มีรอยแตกใบหนึ่งในเธอดู หญิงสาวได้เห็นก็เกิดอาการตกใจ และนั่นก็ทำให้ศีรษะเธอปวดจี้ดอย่างแรงขึ้นมา ม่านตาชักปิดและต้องก้มคอลงราวกับถูกมือดึงกระชาก "นี่ยังปวดหัวอยู่อีกเหรอครับเนี่ย" เขาเม้มริมฝีปาก "ทั้งๆที่ผมก็ว่าตัวเองยั้งมือมากแล้วนะ แบบนี้คงต้องโทษความอ่อนแอของตัวคุณเองแล้วล่ะ" มีนาได้ยินที่เขาพูดก็ยกหน้าขึ้นอีกครั้งและพยายามเพ่งมองหน้ากรินต์ ทว่าความเจ็บปวดทำให้ตาเธอไม่สามารถโฟกัสภาพได้เลย กรินต์เห็นท่าทางเธอก็รู้ความคิด "ถ้าจะถามว่าผมตีคุณทำไม ก็เพราะคุณมาตะโกนโหวกเหวกตอนที่ผมกำลังทำงานอยู่ยังไงล่ะครับ" เขาตอบ "ผมน่ะ เกลียดพวกที่ชอบโหวกเหวกโวยวายมากๆเลยครับ โดยเฉพาะเวลาที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่" ทำงาน? เธอทบทวนคำเขาในความคิด แล้วตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้สึกตัวว่า นอกจากเสียงของชายหนุ่มที่ชื่อกรินต์ข้างหน้านี้แล้ว ไม่มีเสียงของใครอื่นในบ้านนี้เลย "แล้วคนอื่น..." เธอเค้นเสียงถามอย่างพยายาม "ทุกคน...ไปไหน...." "คนอื่น...หมายถึงคนอื่นๆในบ้านเหรอครับ? คุณอยากเจอพวกเขาเหรอ" กรินต์ชักสีหน้าครุ่นคิดพร้อมใช้นิ้วชี้เกาขนที่ปลายคาง "เอางั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะพามา ถึงงานจะยังไม่เรียบร้อยก็เถอะ" เขาพูดแล้วลุกออกไปนอกห้องที่ระเบียงทางเดิน ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมลากบางอย่างเป็นเสียงครืดคราดเข้ามาในห้องด้วย สิ่งนั้นคือ ร่างไร้ศีรษะของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มีนากรีดร้องสุดเสียง เสียงแห่บพร่าของเธอที่กรีดออกมานั้นราวกับทีวีไร้สัญญาณที่เปิดเสียงสุดวอลุ่ม ทำลายความเงียบดั่งฝ่ามือที่ดึงกระชากฉีกริ้วม่านแห้งกรอบเป็นชิ้นๆ ไม่เพียงแต่ความสยดสยองที่เธอรู้สึก ร่างนั้นแม้จะไม่มีศีรษะบนบ่า แต่จากขนาดรูปร่างและชุดที่สวมใส่ เธอรู้ว่านั่นร่างไร้ศีรษะนั้นคือคนในครอบครัวของเธอ ชายหนุ่มนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เดินมาหาแล้วยันเธอล้มไปทั้งเก้าอี้ "บอกแล้วไงครับ ผมไม่ชอบคนที่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย" แม้จะบอกแบบนั้นแล้ว หญิงสาวที่ตกใจสุดขีดไม่อาจหยุดกรีดร้องได้ ชายหนุ่มพยายามไขหูไม่รับฟัง แต่สักพักก็ทนไม่ได้ต้องลงมือทุบตีเธอ ไม่กี่ครั้ง เสียงกรีดร้องก็เหลือเพียงเสียงครวญครางจากความเจ็บปวด และเพื่อป้องกันไม่ให้เธอส่งเสียงได้อีก เขาจัดการปิดปากเธอด้วยเทปกาว เช่นกันกับที่แขนและขาที่เขาเพิ่มเทปกาวพันให้แน่นขึ้นอีกหลายชั้นก่อนจะดึงเก้าอี้ขึ้นตั้ง "เท่านี้ก็เงียบหูไปที" เขาพูดก่อนจะเดินไปลากร่างไร้ศีรษะมานั่งที่โซฟารับแขก บ่าที่เคยมีคอและศีรษะตั้งอยู่ตอนนี้เหลือเพียงท่อนเนื้อสั้นๆที่มีกระดูกโผล่ขึ้นออกมาตรงกลางเล็กน้อย ล้อมรอบด้วยแผ่นหนังฉีกขาดเปื่อยยุ่ย จากรอยตัดเฉียงๆและมีชิ้นหนังบางส่วนถูกดึงยืดออกมาจนดูคล้ายกับหนังยางนั้นแสดงให้เห็นว่า คอของคนๆนี้ถูกปาดรอบเป็นวงกลมก่อนจะจับหัก จากนั้นก็ถูกจับหมุนจนกระทั่งดึงหลุดได้ มีนามองร่างนั้นก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว เสียงร้องอู้อี้จากการถูกปิดปากมาพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลแทบจะเป็นสายเลือดอยู่แล้ว "ขนาดพูดไม่ได้ยังทำตัววุ่นวายได้ขนาดนี้เลยนะครับ คุณนี่มันอัจฉริยะในการกวนประสาทผมจริงๆ" กรินต์เขม่นเธอก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาข้างศพ ลายประหลาดบนเสื้อนั้น บัดนี้กระจ่างชัดแล้วว่านั่นไม่ลวดลายแต่เดิม แต่เป็นรอยเลือดที่น่าจะสาดกระเซ็นเข้าใส่ตอนที่เขาลงมีอปาดคอเหยื่อ "ให้ตายสิครับ วันนี้มันมีแต่เรื่องหงุดหงิดจริงๆสำหรับผม โดยเฉพาะเรื่องเป็นตัวแทนครอบครัวที่จะต้องมาเยี่ยมเยียนทักทายพวกคุณที่เป็นเพื่อนบ้าน มันน่าหงุดหงิดชะมัดเลยนะครับที่ทำเป็นดีกับคนอื่นทั้งๆที่ในใจตัวเองไม่อยากเลยสักนิด ผมอยากรู้จริงๆเลยว่าใครกันเป็นผู้กำหนดว่าคนเราต้องทำความรู้จักเพื่อนบ้าน ทั้งยังต้องทำตัวเป็นมิตรแล้วคอยช่วยเหลือกันอีก ค่านิยมยุคโมเสโปเตเมียชัดๆ" ถึงตรงนี้ เขาก็มีรอยยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปาก ทว่าแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น รอยยิ้มก็ถูกหุบเม้มไปพร้อมๆกับที่เขาก้มหน้าแล้วถอนใจยาว ก้มหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง นานหลายนาทีจากนั้น เขาพูดทั้งที่ยังก้มหน้าว่า "...ผมน่ะ ทนไม่ไหวอีกแล้วกับการเสรแสร้งปิดบังตัวเอง..." คำพูดนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวหยุดร้องและถึงกับต้องหันมองหน้าเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาเงยสีหน้าที่หม่นหม่องขึ้นแล้วพูดต่อไปว่า "อย่างที่คุณเห็น เดาได้ไม่ยากใช่ไหมครับว่าผมน่ะเป็นไอ้โรคจิต ถ้าเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้ ผมจะใส่มันให้สุดทางสุดโต่งอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจ ที่ผ่านมา ผมฆ่าคนมาแล้วมากมายเพราะเหตุผลเล็กๆน้อยๆ หรืออาจเรียกได้ว่าไม่มีเหตุผลเลยอย่างในครั้งนี้ และแน่นอนว่าผมไม่ได้รู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าเป็นคนชั่วร้ายสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทั่วไปเลยก็ว่าได้" เขาเว้นจังหวะปล่อยให้คำพูดซึมผ่านอากาศไปยังฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็พูดต่อไปว่า "แต่นี่คือสิ่งที่ผมเลือกจะเป็น ผมไม่อยากเป็นอย่างผู้คนมากมายที่ทนทุกข์ทรมานเพราะเสรแสร้งโกหก สังคมสอนสั่งเราให้ใส่หน้ากากเข้าหากัน ปิดบังธาตุแท้ ทำตัวเป็นคนดี เป็นมนุษย์ประเสริฐสะอาดเอี่ยม กดข่มสัญชาติญาณธรรมชาติเอาไว้ในตัวด้วยกฏซับซ้อนของสังคม ไร้อิสระเสรีในการกิน นอน ขับถ่าย หรือแม้แต่สืบพันธุ์" เขาหยุดหายใจครั้งหนึ่ง "กับคนที่สามารถเก็บกั้นมันไว้ตลอดรอดฝั่งก็ดีไป แต่อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นดินปืนที่พร้อมจะระเบิดขึ้นทุกเมื่อ ขอเพียงมีประกายไฟที่แรงพอเท่านั้น" เขาล้วงในกระเป๋าเสื้อหยิบไฟแช็คขึ้นมา ไฟแช็คราคาถูกที่หาซื้อได้ทั่ว ตัวแทนไฟที่เขาพูดถึง "การระเบิดคือหายนะ" เขากล่าว "มันจะทำลายทุกอย่างจนพินาศ ไม่เพียงแต่ตัวคุณเท่านั้น แต่ไฟและความร้อนที่ออกมาจะทำให้ดินปืนของคนอื่นเกิดปะทุขึ้นไปด้วย ลุกลามจนอาจทำให้โลกนี้ถูกผลาญด้วยเพลิงนรก " เขาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อพูดถึงตรงนี้ พร้อมที่มือดันลานไฟแช็คเป็นเสียงแชะๆให้เกิดประกายไฟ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นแทนที่จะจุดไฟไปเลย "แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนั้นแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะเก็บเชื้อปะทุไว้กับตัว สุมกองไว้จนล้นหัว แบกรับความเสียงที่สักวันที่มันอาจระเบิดขึ้นได้ ที่ผ่านมา กี่ครั้งแล้วที่ไม่สามารถรักษาเก็บข่มอัตตาของตัวเองได้จนกลายเป็นชนวนของความขัดแย้ง ลุกลามจากเล็กน้อยจากคนเพียงไม่กี่คนกลายเป็นกลุ่มชนสองฝั่งที่ทุ่มแรงเข่นฆ่ากัน ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ จนในที่สุดก็เกิดเป็นจราจลและสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นล้านๆคน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็อาจจะพอศาสนาหรือเจตคติคอยช่วยกำกับมันไว้ได้บ้าง แต่สมัยนี้ จะมีสักกี่คนกันที่นับถือศาสนา แล้วน้อยอีกสักเท่าไรที่นับถือศาสนาในแง่ของคตินิยม ไม่ใช่วัตถุนิยม" เขากระแทกไฟแช็คลงกับโต๊ะ แม้เสียงที่เกิดจากมันจะไม่ดังอะไรนัก ทว่าท่ามกลางความเงียบ เสียงนั้นแทนได้เสมือนหนึ่งตัวแทนความวินาศที่เขากล่าวไป ก้มหน้าหยุดไปอีกพักหนุึ่ง เขายกหน้าขึ้มามองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาที่เขม่นและเคร่งเครียด "ระหว่างมนุษย์แบบนั้นกับผมที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้ คุณคิดว่าใครดีกว่ากันเหรอครับ?" คำพูดของเขาทำให้มีนาไม่อาจกลั้นความตกตะลึงได้ ดวงตาของเธอที่เบิกขยายพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดโปนในคลองจักษุโลหิตจับจ้องไปกรินต์อย่างไม่วางตา แน่นอนว่านั่นแสดงถึงความโกรธแค้นที่เธอ แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่ดวงตานั้นแสดงออกมา ในแววตานั้นยังมีความรู้สึกอื่นๆปะปนอยู่ด้วย เธอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ว่าอย่างไรดี
คล้ายกับเธอได้เห็นอนุสาวรีย์ผิดรูป แต่ทว่าภาพลักษณ์ของมันกลับกลมกลืนกับสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีผิด
-++-
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ