[ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่หนึ่ง : หมอก
เขียนโดย larceta
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 09.42 น.
แก้ไขเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 15.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) [ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่หนึ่ง : หมอก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรื่องที่หนึ่ง : หมอก
"ไม่จริงน่า"
ฉันอุทานขึ้นเมื่อเจ้ารถญี่ปุ่นมือสองคันเล็กของฉันจู่ๆก็เงียบเสียงลง แล้วจากนั้นไม่ว่าฉันจะพยายามสตาร์ทใหม่สักกี่ครั้ง นอกจากเสียงที่ราวกับคนแก่หลอดลมชำรุดไปแล้ว มันนิ่งเงียบ หลับสนิทเหมือนเต่าจำศีล นาฬิกาข้างหน้าปัดบอกตีเลข 5 ขึ้นนำหัวเลข 00 เช้ามากหรืออาจเรียกได้เป็นกลางคืนสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉันที่ต้องวิ่งไปอีก 40 กม. กับงานที่จะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าถือว่าใกล้สายเต็มทีแล้ว การทำงานที่เวลากะไม่ตรงกับชาวบ้านมีข้อดีตรงไม่ต้องเบียดเสียดกับมวลมหาประชากร แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน คือตั้งแต่ออกจากบ้านมา หมาสักตัวยังไม่มีวิ่งบนถนน แถมพอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองก็ไม่มีสัญญาณเลยสักขีด แม้แต่คลื่นโทรศัพท์ก็ยังไม่ตื่นนอน
"โธ่โว้ย! ซวยเช็ดเลย!"
ต้องโดนบ่นเรื่องไปสายอีกแน่ๆ ฉันคิดแล้วก้มหน้าหมอบหน้าแนบพวงมาลัย ลำโพงเบสส่งเสียงสะเทือนอยู่ข้างๆหู ฉันรำคาญมากเลยทุบปุ่มปิดเสียงเครื่องเล่นซีดี ยามหงุดหงิด เสียงเพลงยังกลายเป็นเสียงรบกวน
ทว่าเมื่อรอบตัวเงียบ ความเย็นเยียบก็เข้ามาแทนที่ ฉันยกหน้าขึ้นแล้วเอื้อมไปหยิบเสื้อโค้ทที่เบาะหลังมาสวม จากนั้นก็ตัดสินใจออกจากรถเพราะทนความอึดอัดอุดอู้ไม่ไหว แม้จะรู้ว่าข้างนอกนั้นยิ่งหนาวกว่าแถมยังมืดเหมือนกลางคืน แต่ถึงยังไง นี่ก็ไม่ใช่กลางป่าลึกหรือในหุบเขาเร้นลับอะไรเสียหน่อย ก็แค่ถนนธรรมดาๆเส้นนึงระหว่างบ้านกับทำงานที่ฉันวิ่งผ่านประจำ และสองข้างทางไม่มีอะไรนอกจากทุ่งนาแล้งๆ จะมีแปลกหน่อยก็แค่เรื่องที่วันนี้หมอกหนาเหลือเกินก็เท่านั้น
"เฮ่อ!"
ฉันยื่นปากพ่นลมหายใจออกเป็นควันสีขาว อากาศเย็นจนแสบจมูก อีกทั้งกำแพงหมอกหนาข้างหน้าก็ทำให้ระยะทัศนวิสัยมีไม่ถึง 20 เมตรในวงรัศมี อย่างกับอยู่ในก้อนเมฆ หรือจะเรียก 'กรงขังเมฆ' ก็คงได้
นี่ฉันขับรถผ่านมาได้ไงเนี่ย?
คำถามผุดขึ้น แล้วจากนั้น สมองก็เปิดโหมดเพ้อเจ้อ สารพัดความคิดผุดขึ้นมาในหัว ละเลงผสมกันเหมือนจับผลไม้สารพัดอย่างเข้าเครื่องปั่น ฉันแทบไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ คุ้นๆแค่มีฉากหนึ่งในหนังเรื่อง The Mist กับความรู้สึกอยากได้กาแฟร้อนๆสักแก้วอยู่ในนั้น ปกติฉันจะดื่มกาแฟที่ออฟฟิศเป็นประจำ แต่ที่นี่ฉันมีแค่บุหรี่สองมวนและมวนนึงก็คาดอยู่ที่ปากของฉันแล้ว
รู้ว่าไม่ดี แต่เลิกเท่าไรก็เลิกไม่ได้สักที
บุหรี่ก็เหมือนยาเสพติด ต่างกันแค่มันมีกฎหมายคุ้มหัว ลองได้ลองติดครั้งหนึ่ง เลิกยากแสนเข็นพอๆกับการฝึกหมาป่าเป็นหมาบ้าน สัญชาติญาณในตัวจะต่อต้านการแยกจากสิ่งที่ปกติเคยเป็น บีบเค้นดึงกระชากทุกวิธีทางให้กลับไปหาวีถีดั้งเดิม แน่นอน มีคนเอาชนะและเลิกได้สำเร็จ แต่นั่นไม่รวมฉันอยู่ด้วย
ในขณะที่ฉันพ่นควันผสมลมหายใจออกไปยังม่านหมอก เสียงกรอกแกร่กก็ดังขึ้นจากข้างหน้า คล้ายเสียงใครกำลังลากกิ่งไม้บนถนนพร้อมๆกับเงาดำตะคุ่มๆค่อยแทรกผ่านกำแพงสีขาวเข้ามา ใหญ่เหมือนรถบรรทุกที่วิ่งโดยไม่เปิดไฟ
ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์?
ฉันเงี่ยหูฟังจนแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์จริงๆ ทว่านั่นยิ่งกลายเป็นคำถามที่ตอบยากกว่าเดิม
แล้วนั่นมันอะไรล่ะ?
ฉันถอยจากถนนมาอยู่ข้างรถชิดด้านคนขับ ล้วงประตูเปิดไฟตัดหมอกแล้วคอยจับตาดู ไม่ใช่ว่าฉันกลัวอะไรหรอกนะ แต่อย่างคำโบราณบอก ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นดี
เสียงครืดคราดค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆจนเงาดำก็เข้าถึงวงรัศมี 20 เมตรของฉันและเปิดม่านเผยตัว
...เริ่มจากหนวดยาวคล้ายเส้นเชือกใหญ่กวัดแกว่งจากส่วนหัวทรงชมพู่ไร้ดวงตา
...ตามด้วยขายาวๆที่เต็มไปด้วยหนามปกคลุม 3 คู่ก้าวซ่อกแซก
...มีลำตัวเป็นทรงรียาวคล้ายไข่ และปีกสองชั้นด้านที่กระพรือหึ่งเบาๆ
...และที่สำคัญ ต้นกำเนิดเผ่าพันธ์ของมันนั้นเกิดก่อนมนุษย์หลายร้อยล้านปี และพบได้ทุกที่ตั้งแต่กองขี้ไดโนเสาร์ยันกล่องเครื่องสำอางค์ของแอร์โฮสเตส (หรือบางครั้งอาจเป็นของกัปตัน)
ไม่ผิดแน่นอน เจ้านี่ ดูยังไงก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'แมลงสาบ'
บุหรี่ครึ่งมวนร่วงจากปาก ฉันกลายเป็นก้อนน้ำแข็งตอนที่เจ้าแมลงสาบขนาดเท่ารถบรรทุกวิ่งผ่านหน้า จนเมื่อมันผ่านไปและหายไปในกำแพงหมอกอีกฝั่ง ฉันใช้มือที่แข็งเป็นหุ่นกระบอกหยิกหน้าตัวเอง เจ็บ ไม่ใช่ความฝัน
ฉันพุ่งกลับเข้ารถ ปิดประตูดังโครม หายใจหอบอยู่หน้าพวงมาลัยขณะมือเลื่อนไปเปิดสวิตซ์เครื่องเล่น บทเพลงที่ค้างอยู่เล่นต่อท่อนฮุกเพลง Creep ของคณะ Radiohead
'But I'm a creep (ฉันมันน่ารังเกียจ)
I'm a weirdo (ฉันมันเพี้ยน)
What the hell am I doing here? (ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่)
I don't belong here... (นี่ไม่ใช่ที่ที่ฉันควรอยู่)'
เข้าสถานการณ์เหลือเกิน เสียงเลื้อยยาวของทอมยอร์คในท่อนจบเหมือนเสียงในใจฉัน 'วิ่งหนีไป... วิ่งหนีไป... วิ่งหนีไป...' แต่หลังจากฉันคิดทบทวนดูแล้วก็เปลี่ยนใจ บ้านคนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปอีกตั้ง 5 กม. แถมไม่รู้ว่าเดินๆไปจะไปเจออะไรอีกข้างหน้านั่น ไม่บ้าก็ประสาทกลับแน่ถ้าคิดจะเดินดุ่มๆในสถานการณ์แบบนี้
จนเพลงจบ ฉันเริ่มสงบสติอารมณ์ได้และเริ่มคิดว่านั่นอาจเป็นภาพหลอน ที่เห็นมื่อกี้อาจเป็นผลกระทบอะไรสักอย่างจากการผิดสัญญาเลิกบุหรี่ สารนิโตคินที่อัดเข้าไปเกิน 10 มวนต่อวันอาจทำให้สมองเกิดภาพหลอน แน่นอนว่านี่เป็นแค่คำอ้างลอยไร้หลักฐาน แต่ตอนนี้สำหรับฉันจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่อ้างแล้วใจสงบลงได้ก็พอ
แต่ความสงบก็อยู่กับฉันได้ไม่นาน
10 วินาทีต่อมา อีกสารพัดสิ่งเคลื่อนที่ผ่านหน้ารถฉัน ทั้งหนูขนาดตัวเท่ารถมอเตอร์ไซค์ แมวตัวเท่ารถเก๋ง งูขนาดเท่ารถพ่วง แล้วก็ปลากระเบนขนาดเท่าพรหมเปอร์เซียผืนใหญ่ที่บินข้ามหัวไป ฉันนั่งคอแข็งมองจนขบวนของพวกมันผ่านพ้นก่อนจะกดย้อนเพลง ท่อนฮุคกระหน่ำซ้ำอีกครั้ง ทอมยอร์คโหยหวนอีกหน เมื่อจบเพลง ฉันกรีดเสียงร้องดังที่สุดตั้งแต่เกิดมา
ฉันควานหาโทรศัพท์แล้วกดโทร หาทุกคนในรายชื่อ แต่ความเป็นจริงยังย้ำชัด ตรงนี้เป็นจุดอับไร้สัญญาณ เครื่องตอบรับที่ใช้เสียงดาราสาวเป็นโอ เปอร์เตอร์ขานใส "ไม่สามารถติดต่อหมายเลขที่ท่านเรียกได้.." ทุกครั้งที่โทร ทว่าฉันก็ไม่ยอมแพ้ ไม่... ไม่ใช่ไม่ยอมแพ้ แต่ฉันต้องทำอะไรเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่เฉยๆแล้วประสาทกินไปเสียก่อน
แต่แล้วเมื่อไล่รายชื่อไปราว 20 คน สัญญาณต่อเชื่อมสำเร็จ
"สวัสดีครับ 'ต่ายเซอร์วิซ' ครับ"
เสียงต่ำทุ้มตอบรับจากปลายสาย เป็นเสียงของผู้ชายที่น่าจะมีอายุพอสมควร นั่นทำให้ฉันงงไปชั่วขณะ จำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักคนชื่อนี้ แล้วคำว่า 'เซอร์วิซ' ที่ต่อท้ายนั่น หมายความเป็นอู่ซ่อมรถหรือเปล่า?
"ฮัลโหลๆ"
เสียงจากปลายพูดย้ำจนฉันรู้สึกตัว
ฉันสูดหายใจลึกแล้วพูดไป
"เมื่อกี้นี้ฉันเห็นแมลงสาปยักษ์! งูยักษ์! แล้วก็ปลากระเบนบินได้!!"
สติแตก ใช่ นั่นแหละที่ฉันเป็น และฉันก็อยากระบายให้ใครสักคนรับรู้ด้วย ถ้าไม่ได้ระบายออกละก็ สมองซีกซ้ายของฉันอาจระเบิดเละเทะไปเลยก็ได้
ฝ่ายนั้นนิ่งไปนานก่อนจะตอบมาสั้นๆคำเดียวว่า "หา?" เป็นปฏิกิริยาตามปกติพึ่งมีทั่วไปเมื่อได้ยินเรื่องประหลาดๆบ้าๆแบบเมื่อกี้
ฉันสูดหายใจลึกอีกครั้ง ตั้งสติขณะที่เหงื่อเย็นเฉียบไหลซึมซอกคอแล้วพูดไปว่า "ขอโทษ ฉันสติแตกไปหน่อย บังเอิญรถของฉันเสียน่ะ แถมตอนยังมาเสียเอากลางหมอกด้วย ติดต่อใครก็ไม่ได้ก็เลย..."
"ใจเย็นครับๆ" เสียงปลายสายพูดขณะที่ฉันทำท่าจะร่ายยาวอีก "เอาเป็นว่า บอกตำแหน่งของคุณได้ไหมครับว่าอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ไกลเดี๋ยวผมจะไปดูให้"
ฉันตอบรับคำพูดนั้นและบอกพิกัด เขาตอบว่าไม่ไกลเลยเดี๋ยวจะไปดูให้ ฉันได้ยินแล้วก็ใจชื้น ถึงซ่อมไม่ได้ ยังไงถ้ามีคนมาอยู่ด้วยตอนนี้ก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้นหน่อย
15 นาทีโดยประมาณ พวกเขาก็มาถึง
"ต่ายเซอร์วิซครับ คุณใช่ไหมที่แจ้งว่ารถเสียเมื่อกี้"
บุหรี่อีกมวนและเป็นมวนสุดท้ายซึ่งสูบยังไม่ถึงหนึ่งในสามร่วงลงพื้น ปากฉันเผยออ้าอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เจ้าตัวที่กำลังคุยกับฉันอยู่นี้ไม่ใช่มนุษย์น่ะสิ
"ผมชื่อต่ายครับ เจ้าของต่ายเซอร์วิซ แล้วก็อย่างที่คุณเห็น ผมเป็นกระต่าย"
แค่เห็นก็รู้แล้ว! ฉันตะโกนในความคิด ถึงจะสวมชุดเหมือนกับมนุษย์แต่ฉันรับประกันด้วยหัวตัวเองเลยว่าเจ้านี่ไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้ ขนขาวทั้งตัวแบบนี้ หน้ายาวฟันยื่นหูตั้งแบบนี้ ไม่มีทางเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวง Leporidae หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า 'กระต่าย' แถมยังเป็นกระต่ายที่ชื่อ 'ต่าย' อีก นี่ฉันควรแนะนำตัว 'ฉันชื่อคนนะ ทำงานอยู่บริษัทมนุษย์เซอร์วิซ แล้วอย่างที่เห็น ฉันเป็นโฮโมเซเปี้ยน' ด้วยหรือเปล่า
ในรถมีกระต่ายมาด้วยกันสามตัว โดยตัวที่เป็นหัวหน้า (เจ้าของอู่) ที่หน้ามีแผลบากที่ตาเป็นคนที่ลงมาคุยกับฉัน มันมองเจ้าเต่าน้อยที่นอนนิ่งสนิทด้วยแววตาเคร่งเครียดเหมือนเห็นคนอาการโคม่าแล้วหันไปสั่งต่าย 2 กับ ต่าย 3 (ฉันตั้งชื่อให้เอง ทั้งสองตัวหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ... ไม่ เหมือนกันอย่างที่กระต่ายควรเป็นกระต่าย ถ้าไม่ใส่เสื้อสีต่างกันมา ฉันไม่มีทางดูออก) ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าตอบแล้วจัดการเตรียมกล่องเครื่องมือตรงไปรถฉัน เปิดฝาแล้วลงมือซ่อมแซมโดยไม่คิดจะถามฉันที่เป็นเจ้าของสักคำ
แต่จริงๆ ถึงถามอะไรมาตอนนั้น ฉันก็คงตอบไม่ได้อยู่ดี
"รถคุณอาการหนักนะ แต่ไม่เป็นไร พวกเราเป็นมืออาชีพ"
กระต่ายหน้าบากหยิบบุหรี่จากซองแกะใหม่ขึ้นมาคาบ จุดไฟด้วยไลท์เตอร์สีทองประกายก่อนจะหันมาทางฉัน ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นแล้วยื่นให้มวนหนึ่ง
"สักมวนไหมครับ"
ทั้งๆที่เพิ่งเตือนตัวเองเรื่องผลร้ายของนิโคตินมาหยก แต่ฉันก็ยื่นมือไปรับมาคาบไว้ในปาก กระต่ายจุดไฟให้ ฉันสูบอย่างอย่างหิวกระหาย ครั้งแรกกับยี่ห้อนี้ กลิ่นฉุยแปลกแปล่ง รสไม่คุ้นเคย แต่ก็ช่วยให้สมองโล่งสงัดอย่างประหลาดอย่างกับสูบใบกระท่อม (ฉันไม่เคยสูบนะ แค่เปรียบเปรยเฉยๆ)
หมดหนึ่งมวน ฉันรู้สึกในตอนนั้นเลย จะกระต่ายหรือไดโนเสาร์พูดได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว
ฉันยื่นคำถามแรกออกไปหลังจากที่มันจุดมวนที่สองให้
"ตกลงรถฉันเป็นอะไร"
"เป็นโรคเต่าครับ" กระต่ายหน้าบากตอบ
"หา?"
"เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เสมอเวลาที่ต้องทำอะไรซ้ำซากอยู่เป็นประจำๆน่ะครับ คล้ายกับอาการของคนที่ขาดแรงจูงใจในชีวิตไปนั่นแหละ"
เฮ้ๆ ฮัลโหลๆ นี่พูดกับใครอยู่เหรอ ฉันอยากถามแต่ก็ตัดสินใจทดไว้ในใจก่อน
"เอ่อคือ..ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ช่วยอธิบายละเอียดๆหน่อยสิ"
เจ้ากระต่ายพ่นควันยาว "ที่ผ่านมา คุณใช้เจ้านี่วิ่งไปมาระหว่างแค่บ้านกับที่ ทำงานเท่านั้นใช่มั้ยล่ะครับ นั่นแหละสาเหตุของโรคเต่า การที่เอาแต่วิ่งเส้นทางเดิมๆเวลาเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาทุกวันทำให้ทั้งอัตราการ เผาผลาญน้ำมัน การสึกของยาง การระเหยของน้ำยาทำความเย็น หรือแม้กระทั่งการเสื่อมลอกของฟิล์มกันแดดอยู่ ในอัตราเกือบจะคงที่หมด ซึ่งนั่นอาจจะดีในแง่ที่คุณสามารถควบคุมงบประมาณ ใช่จ่ายและซ่อมบำรุงได้ แต่ลองคิดถึงหัวอกรถที่ต้องทำอะไรซ้ำๆดูบ้างสิครับ สูดอากาศแบบเดิมๆ มองวิวเดิมๆทิวทัศน์เดิมๆทุกวันชนิดหลับตายังรู้เลยว่ากำลังผ่านแถวไหนอยู่ ชีวิตหน้าเบื่อพรรค์นี้จะไม่ให้หมดกำลังใจยังไงไหวล่ะครับ"
มันพูดอะไรของมันเนี่ย นี่จะบอกว่าฉันทำให้รถมันเบื่องั้นเหรอ ทั้งๆที่เป็นแค่เครื่องจักร ไม่สิ ทั้งๆที่เป็นแค่สิ่งที่เกิดการจากการเอาเหล็กกับพลาสติกมาประกอบกันเนี่ยนะ!?
เจ้ากระต่ายหันหน้ามา "ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ คงคิดว่าเป็นแค่เครื่องจักร ไม่สิ.. ทั้งๆที่เป็นแค่สิ่งที่เกิดจากการเอาเหล็กกับพลาสติกมาประกอบกันแท้ๆ แถมคนที่เติมน้ำมันแล้วก็จ่ายค่าซ่อมแซมก็ยังเป็นฉันอีก แกมีสิทธิ์อะไรจะมาบ่นเบื่อพ้องฉันที่เป็นเจ้าของ ถ้าฉันไม่ซื้อแก ไม่ทะนุบำรุงแก ป่านนี้แกอาจถูกทุบบี้แบนแล้วโดนเอาไปรีไซเคิลเป็นหม้อต้มสุกี้ยากี้แล้วก็ได้ อะไรทำนองนั้นสินะครับ" มันบอก "แต่ลองนึกดูดีๆสิ ทุกอย่างที่คุณพูดถึง ไม่ว่าจะพลาสติก อิฐ หิน ดินทราย หรือแม้กระทั่งน้ำมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสร้างขึ้นด้วยผลของพันธะกิริยาในโลก ...ไม่สิ ในจักรวาลเหมือนกันกับมนุษย์ไม่ใช่เหรอ แบบนั้นแล้วก็ถือว่าทั้งคุณและมันก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน การจะถือศักดิ์ว่า เพราะเป็นคนจ่ายเงินซื้อเป็นเจ้าของแล้วจะทำอะไรกับมันก็ได้แบบนั้นน่ะ ถูกต้องแล้วเหรอครับ"
ฉันหัวหมุนติ้ว ตรรกะบ้าอะไรของมันเนี่ย
"นี่จะบอกว่าไม่ว่าอะไรในจักรวาลนี้ทุกอย่างเท่าเทียมกันหมดงั้นเหรอ!!" ฉันแผดเสียงใส่ "จะบอกว่าตัว ฉัน โปรโตซัวร์ แมลงสาป รถมือสอง ซาลาเปาใส้อั่ว เชื้อมะเร็งเต้านม ฉลามวาฬ ดวงจันทร์ อุกกาบาตร จนไปถึงกาแล็กซี่แอนโดรเมด้า ทุกอย่างมีค่าเท่าเทียมกันหมดหรือไง!!"
"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น" มันส่ายหน้า "คนรวยคนจน แมวกับหมี ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์มีศักดิ์ต่างกันเป็นเรื่องที่รับรู้กันโดยชอบธรรมอยู่แล้ว แต่ที่ผมอยากบอกก็คือ การเป็นเจ้าของไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรกับมันก็ได้ การเอาใจใส่ในบางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยืดหยุ่นสายสัมพันธ์อันเปราะบางให้คงอยู่ด้วยกันได้ยาวนานขึ้น เหมือนคุณกับ 'มีมี' นั่นไง"
"เอ๋!?"
ฉันอุทานแล้วต้องถลึงตาใส่ หมอนี่พูดถึง -มีมี- งั้นเหรอ
"นี่นาย ทำไมถึง..."
"เพราะผมเป็นกระต่าย แล้วคุณก็เกิดปีกระต่าย เพราะอย่างนั้น ไม่มีอะไรของคนเกิดปีกระต่ายที่ผมจะไม่รู้หรอกครับ" มันยักหัวไหล่ด้วยท่าทางแบบคนรู้จริงแล้วพูดต่อ "ตอนนั้น คุณเองก็เสียใจไม่ใช่เหรอที่ทำกับมีมีไปแบบนั้น"
คำพูดนั้น จี้ใจดำฉัน มีมี คือตุ๊กตาผ้าเย็บที่แม่ทำให้ตอนเด็กๆซึ่งฉันรักมาก แต่เพราะครั้งหนึ่งที่ฉันเกิดโกรธอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ก็เลยลงมือฉีกทึ้งมัน รู้ตัวอีกที ตุ๊กตาตัวนั้นก็กลายเป็นเศษผ้าไปแล้ว
หลังจากนั้น ฉันก็ไม่มีตุ๊กตาให้เล่นอีกเลย
"คนเราไม่มีทางรู้ตัวจนกว่าจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป แล้วบางอย่างที่เสียไปนั้นอาจไม่ใช่แค่สิ่งของ แต่เป็นอะไรที่มีความหมายมากกว่า" เจ้ากระต่ายพ่นควันยาวครั้งที่สาม "ไม่มีทางเป็นอย่างคำโฆษณาผงซักฟอกหรอกนะครับ ผ้าที่เปื้อนน้ำมันแล้ว ต่อให้ทำความสะอาดขนาดไหนก็ไม่มีทางกลับมาขาวเหมือนใหม่ได้"
ฉันก้มหน้าฟังคำพูดของมัน อาจจะจริงก็ได้ สิ่งที่ฉันสูญเสียไปตอนนั้นไม่ใช่แค่มีมี แต่เป็น 'บางอย่าง' ที่อยู่ในใจฉัน บางอย่างที่ทำให้ตัวฉันเปลี่ยนไป เหมือนผ้าเปื้อนน้ำมันที่ไม่ว่าจะซักยังไงก็ไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้ ความรู้สึกนี้เหมือนจะดึงฉันให้จมลงในบ่อไร้ก้น ที่ที่ความมืดมากมายรายล้อม เงาตะคุ่มยื่นกลิ่นสาปเน่าเหม็นคละคลุ้งเอื้อมมา มันต้องการลากฉันลงไปอยู่กับพวกมัน พวกที่เหมือนกับน้ำมันดำที่จะย้อมผ้าในตัวฉันจนไม่มีทางจะซักล้างออกไปได้อีก
เจ้ากระต่ายไม่พูดอะไรอีกเลย จนกระทั่งบุหรี่มวนที่สามผ่านไปได้ครึ่งทาง ลูกน้องของมันก็บอกว่าซ่อมรถเสร็จแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า ที่ตรงนั้น แทนที่จะเป็นรถญี่ปุ่นมือสองของฉันที่จอดสงบนิ่งเหมือนเต่าหลับอยู่ กลับกลายเป็นสิ่งอื่นที่ทำให้ฉันต้องตะลึงตาค้างเมื่อได้เห็น..
กระต่ายสีขาวขนปุยขนาดเท่ารถยนต์ของฉัน....อยู่ตรงนั้น
"อะ...อะไรเนี่ย!?"
"เห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากกระต่ายด้วยเหรอครับ"
เจ้ากระต่ายทำหน้างงๆเหมือนฉันเห็นช้างแปดขาบินได้ แต่นั่นน่าจะเป็นสีหน้าของฉันมากกว่ามัน
"แล้วมันมาได้ยังไง!! แล้วรถฉันล่ะ!! รถฉันหายไปไหน!!"
ฉันสับสนจนพูดไม่เป็นภาษา
เจ้ากระต่ายเขม่นคิ้วก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจ "ก็นั่นแหละครับ รถของคุณ"
"เฮ้ย!!" ฉันแผดเสียงลั่นจนเจ้ากระต่ายเผลอกระถดตัวหนี
"จะตะโกนทำไมครับเนี่ย" มันตอบกลับด้วยสีหน้าหวาดๆที่ไม่เข้าแผลบากสู้ชีวิตนั่นเสียเลย
"ก็นั่นมันรถทั้งคันเลยนะ! ถึงจะเป็นรถมือสองที่จะตายแหล่มิตายแหล่ก็เถอะ จู่ๆกลายเป็นกระต่ายไปแบบนี้ จะให้ฉันยกมือชี้แล้วพูดว่า 'ถูกต้องนะคร้าบ!' อย่างนั้นเหรอ!!" ฉันถลึงตาใส่มัน "บ้าไปแล้ว! นี่พวกนายทำอีท่าไหนถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย!!"
เสียงฉันคงดังแล้วก็เกรี้ยวกราดมาก กระต่ายช่างสองตัวที่เป็นคนลงมือซ่อมถึงกับหน้าถอดสีไปเลย
ทว่า เจ้าหน้าบากหัวหน้าของพวกมันกลับไขหูแล้วตอบฉันราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
"ก็พวกผมเป็นช่างกระต่ายนี่นา และอะไหล่ทุกอย่างที่ใช้ซ่อมเอามาจากชิ้นส่วนของกระต่ายทั้งนั้น กับรถของคุณที่เสียไปเกินครึ่งคันเนี่ย ซ่อมแล้วก็เลยกลายเป็นกระต่ายแบบนี้แหละครับ" มันตอบพลางพ่นควันบุหรี่ยาวอีกครั้งแล้วโยนมวนสุดท้ายนั้นทิ้ง "แล้วอีกอย่าง ถ้าเป็นกระต่ายละก็ รับรองว่าหายขาดจากโรคเต่าได้แน่นอน เหมือนนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่านั่นไงล่ะครับ
คำตอบเหมือนเอาน้ำเย็นปนน้ำแข็งมาสาดใส่หน้า แล้วในนิทานนั่นกระต่ายมันแพ้เต่าไม่ใช่เหรอ! ฉันอยากเถียงแต่ปากไม่ขยับ ทั้งอึ้งทั้งมึนทั้งงง หัวหมุนเหมือนเพิ่งผ่านการปั่นจิ้งหรีดมายี่สิบกว่ารอบ
เจ้ากระต่ายทำท่าจะยื่นกุญแจรถที่รับจากต่าย 2 คืนให้ฉัน แต่แล้วก็หยุดคิดแว่บหนึ่งก่อนจะโยนกุญแจรถทิ้งไป "ไม่ต้องใช้แล้วนี่นา" จากนั้นก็ลดมือลงมาจับที่มือของฉัน 'มาสิ' เสียงจากมือนั้นบอก ขณะลากฉันที่กลายเป็นตุ๊กตาใบ้เดินอย่างไร้สติไปยังรถ...ไม่สิ ตอนนี้ มันไม่ใช่รถอีกแล้ว
"แรกๆอาจลำบากหน่อย แต่ใช้ไปบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินครับ"
มันเอามือแตะไหล่ที่แข็งเป็นหินของฉันขณะที่ฉันกำลังเงยหน้ามอง รถ...กระต่าย ต้นคอยับย่นที่กำลังกระเพิ่มเบาๆและใบหูที่กระดิกขึ้นลงเหมือนติดข้อต่อเอาไว้ แล้วยังเสียงหายใจฟืดๆนั่นอีก ต่อให้กระโดดบันจี้จัมป์จากหอไอเฟลลงมาดูยังไงก็กระต่ายชัดๆ
หลังจากในหัวขาวโพลนไร้คำพูดไปพักหนึ่ง ฉันก็เอ่ยถามมันทั้งที่ยังเบลอๆอยู่
"แล้วไอ้นี่มัน... ขับยังไง..."
"ไม่ยากครับ" เจ้ากระต่ายตอบแล้วชี้ไปข้างบน "แค่ขึ้นไปนั่งบนหลังคอ จับหูแทนคันบังคับ ที่หัวมีโหนกสองโหนก อันหนึ่งคันเร่ง อันหนึ่งเบรค"
เกียร์ออโต้ ฉันนึกถึงคำๆนี้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แล้วก็คิดต่อไปว่าถ้ากระต่ายเกียร์แมนน่วลอาจต้องมีสามโหนก แล้วก็มีหูที่สามสำหรับใช้เปลี่ยนเกียร์ ฉันขับรถเกียร์ธรรมดาล่าสุดเมื่อสิบปีที่แล้ว และหลังจากมันดับหลังจากวิ่งไปได้ 100 เมตร ฉันก็ไม่คิดจะยุ่งอะไรกับยานพาหนะที่ไม่ใช่เกียร์ออโต้อีกเลย
จากนั้น เจ้ากระต่ายแนะนำฉันอีกหลายอย่าง ตั้งแต่อัตราการสิ้นเปลืองพลังงาน (300 กิโลเมตร ต่อผัก 5 กิโลกรัม) การเปลี่ยนถ่ายเชื้อเพลิง (ถ่ายวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น) แล้วก็การซ่อมบำรุงเบื้องต้น (อาการของโรคและวิธีรักษา พร้อมแนะนำเว็ปไซต์ให้ด้วย) ก่อนจะตบท้ายด้วยการยื่นนามบัตร 'ต่ายเซอร์วิซ' ที่มีที่อยู่และเบอร์โทรติดต่อให้
"มีอะไรก็ติดต่อมาได้นะครับ สำหรับคุณ ผมเปิด 24 ชม." มันเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรก่อนจะทิ้งท้าย "อย่าลืมนะครับว่า กระต่ายรู้เรื่องกระต่ายดีที่สุด"
แล้วพวกมันทั้งสามก็ขึ้นรถลากจากไป ทิ้งให้ฉันกับเจ้ากระต่ายยักษ์ที่ก้มหมอบหายใจฟืดฟาดอยู่ท่ามกลางหมอกสองต่อสอง พักใหญ่ทีเดียวกว่าฉันจะฉันสลัดคราบเทวรูปหินได้ ฉันก้มลงหยิบเศษบุหรี่ครึ่งมวนมาคาบไว้ในปาก หลุดคำสบถ 'แม่เจ้า!!' ออกมาตอนที่เผลอกัดก้นจนผงนิโคตินทะลักเข้าคอ แสบคอไปหมด แต่ก็ทำให้ได้สติกลับมา
'นี่ฉันไม่ได้ฝันไปอย่างนั้นสินะ'
ฉันยกมือขึ้นสางผม ขยี้หัวเหมือนกำลังซักผ้า กระโดดสองขาไปมาเหมือนจิ้งโจ้ โขกหน้าผากกับป้ายจราจรระรัว และแน่นอน แหกปากร้องเพลง Creep โดยไม่ต้องมีดนตรี
'But I'm a creep (ฉันมันน่ารังเกียจ)
I'm a weirdo (ฉันมันเพี้ยน)
What the hell am I doing here? (ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่)
I don't belong here... (นี่ไม่ใช่ที่ที่ฉันควรอยู่)'
ทำนองท่อนฮุคย้ำชัดในหัวติดต่อกันนับรอบไม่ถ้วน จนถึงเมื่อนาฬิกาขาน เสียงบอกเวลา เจ็ดโมงตรง กลับสู่ความเป็นจริง สายยิ่งกว่าสายแล้ว
ฉันเหลือบมองเจ้ากระต่าย ..รถกระต่าย ตอนนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็เป็นพาหนะเดียวที่ฉันมีอยู่
"แม่เจ้า!"
ฉันสบถคำนั้นก่อนจะไต่ขึ้นหลังคอของมัน วางมือที่หูแล้วยืนเอาเท้าวางที่ตุ้มโหนก ทบทวนความจำ ขวาคันเร่ง ซ้ายเบรค แล้วสูดหายใจลึกเพื่อทำใจอีกราวนาทีแล้วตัดสินใจเหยียบปุ่มคันเร่งลงไป เจ้ากระต่ายก็แผดเสียงร้อง จี้ด!! ออกมาดังลั่น แล้วจากนั้น มันก็ออกวิ่ง.. หรือจะเรียกว่า 'กระโจน' จะเป็นคำที่ถูกต้องกว่า
ฉันมุ่งตรงไปยังกำแพงหมอกที่อยู่ด้านหน้า ไปยังโลกแห่งความเป็นจริงที่ต้องเผชิญด้วยสมองที่ราวกับจะโล่งขึ้นชั่วขณะหนึ่ง
เอาวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
จบแล้วครับ ที่นี้ใครต้องการเอามีดอีโต้มาฟันหัว Writer ก็เชิญได้เลย
ทุกความเห็นมีค่าครับ ยิ่งแรงก็ยิ่งดี (แต่เอาแรงแบบมีสาระนะ) เพราะผู้อ่านคือกระจกเงาของผู้เขียนครับ
...และสุดท้ายก็เป็นเหมือนบทท้ายเรื่องที่ผมเขียน 'อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด' ครับ
หมายเหตุ
Radiohead เป็นวงดนตรีแนวทดลอง/อัลเทอเนทีฟชื่อจากเกาะอังกฤษ ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน คือ Thom Yorke ,Jonny Greenwood , Colin Greenwood , Ed O'Brien และ Philip Selway โดยเพลง Creep ก็เป็นซิงเกิลเปิดตัวของวงและเป็นเพลงที่ดังที่สุด มีศิลปินนำไป Cover มากมาย แต่ปัจจุบันทางวงเปลี่ยนแนวดนตรีไปจนไม่เหลือเค้าแนวเพลงๆนี้แล้ว
ทดลองฟังเพลงนี้ได้ด้านบนเลยครับ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ