ยามเมื่อแดนดิไลออนจากลาบ้านเกิด
7.4
เขียนโดย ShineLove
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.14 น.
1 บท
3 วิจารณ์
4,950 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.43 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) แดนดิไลออน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ยามเมื่อแดนดิไลออนจากลาบ้านเกิด
สายลมแผ่วเอื่อยๆ พัดมากระทบกับตัวของเด็กชายอายุประมาณ 12 ปีคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนเรียบตามพื้นชันของสนามหญ้าที่ถูกตัดแล้ว เด็กหนุ่มมองดูท้องฟ้าสีคราม กับปุยเมฆสีขาว ที่เคลื่อนตัวตามเวลาของโลก
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในช่วงปิดเทอมที่เขาจะได้กลิ้งตัวไปมาบนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ อย่างไร้ความเหน็ดเหนื่อย.. ไม่มีทั้งการบ้าน และงานที่ต้องทำช่วยพ่อกับแม่
“เฮ้ นิโคลัส! ลูกมาช่วยพ่อถือของหน่อยได้ไหม” หลังจากพักเหนื่อยมาตลอดครึ่งวันพ่อก็เดินถือของหลายๆอย่างมา พลางตะโกนเรียกลูกชายคนแรก ให้มาช่วยยกสัมภาระ “ครับพ่อ!” นิโคลัสขานรับแล้วรีบวิ่งไป “พ่อเอาของมาเยอะขนาดนี้ วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ?” เขาวางของลงพลางยิ้ม “พ่อคิดครอบครัวของเราควรจะมาปิกนิกบ้าง หลังจากที่เราทำงานมาตลอดหลายเดือนหนะ” “ดีเหมือนกันครับ เย่! จะได้พักผ่อนเสียที” เด็กชายกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ พ่อดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วโทรหาแม่ที่อยู่บ้านทันที ครั้นเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย ชายหนุ่มจึงชักชวนให้คุณแม่กับแมร์รี่ มาปิกนิกด้วยกันในช่วงยามเช้าอันสดใสแบบนี้ ตอนนี้คุณแม่กับแมร์รี่มาถึงแล้ว ทั้งสองลงจากรถเต่าสีดำ เมื่อแมร์รี่เห็นคุณพ่อกับ นิโคลัส กำลังปูเสื่อลายดอกไม้ เอาไว้สำหรับนั่ง เธอก็ตะโกนเรียกเสียงดังแจ้วจ้าว “พ่อคะ พี่นิโคลัสคะ! หนูกับแม่มาถึงแล้วหล่ะ!” หนูน้อยแมร์รี่วิ่งทวนสายลมที่พัดมา ทำให้ผมสีน้ำตาลยาวของเธอ ปลิวไสวดูสวยงาม “แมร์รี่ มาแล้วเหรอ.. มานั่งด้วยกันก่อนสิ!” พ่อขานเรียก “ที่รัก..คุณก็ด้วยนะ” เด็กน้อยกับคุณแม่เดินมา จนกระทั่งนั่งลงบนเสื่อ แมร์รี่ชอบใจ เพราะเธอรักเสื่อลายดอกไม้นี้มากๆ เธอเคยนั่งหลายครั้งแล้ว ครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ เท่าที่เธอจำความได้ ตอนนั้นแมร์รี่ ไปนั่งริมแม่น้ำกับคุณพ่อ ซึ่งกำลังตกปลาอยู่ จนวันนี้เธอก็ได้นั่งมันอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาววางตะกร้าไม้สีน้ำตาลไว้ข้างๆ เธอนำภาชนะ และอาหารว่าง ซึ่งมีขนมปังแซนวิชกับบิสกิต มาจัดเตรียมไว้อย่างเป็นระเบียบ พลางรินนมโคใส่แก้ว ทำให้ดูน่ารับประทานจริงๆ “ผมเริ่มหิวแล้วครับแม่ จะทานแล้วนะ!” นิโคลัสเอื้อมมือจะไปหยิบขนมปัง แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อแม่บอกให้หยุด “ไม่ได้นะ เราต้องอธิฐานกันก่อน!” “ก็ได้ฮะ..” เด็กชายมีฝีหน้าหิวโหย ทุกคนหลับตาลงพร้อมกัน หญิงสาวสวดมนต์ อธิฐาน จนกระทั่งเสร็จศัพท์ จึงลืมตาขึ้น แล้วรับประทานอาหารด้วยกัน ผ่านไปสิบห้านาที ทุกคนนั่งคุยพลางกินมื้อว่างกันอย่างมีความสุข นิโคลัสกับแมร์รี่เหลือบไปเห็น อะไรบางอย่าง ลักษณะปุยๆ มีสีขาวกลม ลอยทางทิศตะวันออกเต็มไปหมด “พ่อคะ!.. แม่คะ ดูปุยสีขาวพวกนั้นสิ!” แมร์รี่เอ่ย “สวัสดี เจ้าตัวขนพอง ฮิฮิ!” “โอ้ว อิ่มกันหรือยัง เดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาไป ดูเจ้าขนปุยพวกนั้นกันนะ” ชายหนุ่มชักชวน “อิ่มแล้วค่ะ/อิ่มแล้วครับ พ่อไปกันเถอะ!” ทั้งสองดื่มนมจนหมดแก้ว ลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งไปยังบริเวณนั้น อย่างรวดเร็วทันที เสียงฝีเท้ากระทบต้นหญ้าทำให้เกิดเสียง แสรกๆขึ้น เมื่อนิโคลัส แมร์รี่ คุณแม่ และคุณพ่อมาถึง ก็พบกับต้นไม้บางต้นที่มีดอกเป็นปุยสีขาว แต่บางต้นก็กลับไม่มี “พ่อคะ! นี่มันคือต้นอะไรคะ?” แคร์รี่ฉงนสงสัย ส่วนนิโคลัสก็กำลังมองปุยสีขาวเล็กๆที่ลอยไปมาพื้นหญ้า “ต้น‘แดนดิไลออน’ หนะลูก!” เขาตอบพลางคิด พ่อบอกกับเด็กทั้งสองคน “ต้นแดนดิไลออนนั้น ตอนที่มันยังไม่มีดอก แดนดิไลออนยังเป็นต้นเล็กๆอยู่ มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ ดอกของมันก็จะเป็นสีเหลืองบานสะพรั่ง หลังจากนั้นก็หุบตัว แล้วค่อยๆบานออก จนกลายเป็นปุยสีขาว ที่มีต้นเล็กๆเกาะอยู่บนฐานของลำต้น เจ้าปุยแดนดิไลออนหลายต้น จะมีเมล็ดหนึ่งอันเอาไว้เป็นของตน เมื่อแผ่ตัวของมันออกจนเสร็จ จึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านเกิดของมัน เพื่อผจญภัยไปพบกับโลกใหม่ และใช้เมล็ดอันนั้น สร้างครอบครัวที่น่ารักๆของมันอีกครั้งหนึ่ง” “ว้าว! ผมอยากเป็นครอบครัวแดนดิไลออนจังเลยครับ!” นิโคลัสทำแววตาประกาย “ใช่ค่ะน่าตื่นเต้นจัง!” เกรซยิ้มแปล้ แม่ยิ้มพลางโอบลูกไว้ “ครอบครัวของเราก็เหมือนแดนดิไลออนนะ ในตอนเด็กๆลูกจะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ หากวันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้น เหมือนเจ้าปุยขาวๆเหล่านี้แล้ว ลูกทั้งสองคน อาจจะต้องจากลาบ้านเกิด เพื่อเดินทางไปพบกับเรื่องราวใหม่ๆ ลูกมีเมล็ดที่เหมือนกับชีวิตของตนเอง ขึ้นอยู่กับลูกทั้งสอง ที่จะเลือกเส้นทางไหน บางเส้นทางมีทั้งพายุ หุบเขากว้าง แม่น้ำเชี่ยว และอีกหลายอย่างเลยจ่ะ” “ฟังดูลำบากขึ้นมาเลยค่ะ..” แมร์รี่ตอบ “โตขึ้นผมจะต้องเป็นเหมือนครอบครัวของมันให้ได้เลย!” นิโคลัสเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “ลูกของพ่อกับแม่ต้องทำได้อยู่แล้วเชื่อสิ!”
สายลมแผ่วเอื่อยๆ พัดมากระทบกับตัวของเด็กชายอายุประมาณ 12 ปีคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนเรียบตามพื้นชันของสนามหญ้าที่ถูกตัดแล้ว เด็กหนุ่มมองดูท้องฟ้าสีคราม กับปุยเมฆสีขาว ที่เคลื่อนตัวตามเวลาของโลก
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันในช่วงปิดเทอมที่เขาจะได้กลิ้งตัวไปมาบนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ อย่างไร้ความเหน็ดเหนื่อย.. ไม่มีทั้งการบ้าน และงานที่ต้องทำช่วยพ่อกับแม่
“เฮ้ นิโคลัส! ลูกมาช่วยพ่อถือของหน่อยได้ไหม” หลังจากพักเหนื่อยมาตลอดครึ่งวันพ่อก็เดินถือของหลายๆอย่างมา พลางตะโกนเรียกลูกชายคนแรก ให้มาช่วยยกสัมภาระ “ครับพ่อ!” นิโคลัสขานรับแล้วรีบวิ่งไป “พ่อเอาของมาเยอะขนาดนี้ วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ?” เขาวางของลงพลางยิ้ม “พ่อคิดครอบครัวของเราควรจะมาปิกนิกบ้าง หลังจากที่เราทำงานมาตลอดหลายเดือนหนะ” “ดีเหมือนกันครับ เย่! จะได้พักผ่อนเสียที” เด็กชายกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ พ่อดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วโทรหาแม่ที่อยู่บ้านทันที ครั้นเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย ชายหนุ่มจึงชักชวนให้คุณแม่กับแมร์รี่ มาปิกนิกด้วยกันในช่วงยามเช้าอันสดใสแบบนี้ ตอนนี้คุณแม่กับแมร์รี่มาถึงแล้ว ทั้งสองลงจากรถเต่าสีดำ เมื่อแมร์รี่เห็นคุณพ่อกับ นิโคลัส กำลังปูเสื่อลายดอกไม้ เอาไว้สำหรับนั่ง เธอก็ตะโกนเรียกเสียงดังแจ้วจ้าว “พ่อคะ พี่นิโคลัสคะ! หนูกับแม่มาถึงแล้วหล่ะ!” หนูน้อยแมร์รี่วิ่งทวนสายลมที่พัดมา ทำให้ผมสีน้ำตาลยาวของเธอ ปลิวไสวดูสวยงาม “แมร์รี่ มาแล้วเหรอ.. มานั่งด้วยกันก่อนสิ!” พ่อขานเรียก “ที่รัก..คุณก็ด้วยนะ” เด็กน้อยกับคุณแม่เดินมา จนกระทั่งนั่งลงบนเสื่อ แมร์รี่ชอบใจ เพราะเธอรักเสื่อลายดอกไม้นี้มากๆ เธอเคยนั่งหลายครั้งแล้ว ครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ เท่าที่เธอจำความได้ ตอนนั้นแมร์รี่ ไปนั่งริมแม่น้ำกับคุณพ่อ ซึ่งกำลังตกปลาอยู่ จนวันนี้เธอก็ได้นั่งมันอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาววางตะกร้าไม้สีน้ำตาลไว้ข้างๆ เธอนำภาชนะ และอาหารว่าง ซึ่งมีขนมปังแซนวิชกับบิสกิต มาจัดเตรียมไว้อย่างเป็นระเบียบ พลางรินนมโคใส่แก้ว ทำให้ดูน่ารับประทานจริงๆ “ผมเริ่มหิวแล้วครับแม่ จะทานแล้วนะ!” นิโคลัสเอื้อมมือจะไปหยิบขนมปัง แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อแม่บอกให้หยุด “ไม่ได้นะ เราต้องอธิฐานกันก่อน!” “ก็ได้ฮะ..” เด็กชายมีฝีหน้าหิวโหย ทุกคนหลับตาลงพร้อมกัน หญิงสาวสวดมนต์ อธิฐาน จนกระทั่งเสร็จศัพท์ จึงลืมตาขึ้น แล้วรับประทานอาหารด้วยกัน ผ่านไปสิบห้านาที ทุกคนนั่งคุยพลางกินมื้อว่างกันอย่างมีความสุข นิโคลัสกับแมร์รี่เหลือบไปเห็น อะไรบางอย่าง ลักษณะปุยๆ มีสีขาวกลม ลอยทางทิศตะวันออกเต็มไปหมด “พ่อคะ!.. แม่คะ ดูปุยสีขาวพวกนั้นสิ!” แมร์รี่เอ่ย “สวัสดี เจ้าตัวขนพอง ฮิฮิ!” “โอ้ว อิ่มกันหรือยัง เดี๋ยวพ่อกับแม่จะพาไป ดูเจ้าขนปุยพวกนั้นกันนะ” ชายหนุ่มชักชวน “อิ่มแล้วค่ะ/อิ่มแล้วครับ พ่อไปกันเถอะ!” ทั้งสองดื่มนมจนหมดแก้ว ลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งไปยังบริเวณนั้น อย่างรวดเร็วทันที เสียงฝีเท้ากระทบต้นหญ้าทำให้เกิดเสียง แสรกๆขึ้น เมื่อนิโคลัส แมร์รี่ คุณแม่ และคุณพ่อมาถึง ก็พบกับต้นไม้บางต้นที่มีดอกเป็นปุยสีขาว แต่บางต้นก็กลับไม่มี “พ่อคะ! นี่มันคือต้นอะไรคะ?” แคร์รี่ฉงนสงสัย ส่วนนิโคลัสก็กำลังมองปุยสีขาวเล็กๆที่ลอยไปมาพื้นหญ้า “ต้น‘แดนดิไลออน’ หนะลูก!” เขาตอบพลางคิด พ่อบอกกับเด็กทั้งสองคน “ต้นแดนดิไลออนนั้น ตอนที่มันยังไม่มีดอก แดนดิไลออนยังเป็นต้นเล็กๆอยู่ มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ ดอกของมันก็จะเป็นสีเหลืองบานสะพรั่ง หลังจากนั้นก็หุบตัว แล้วค่อยๆบานออก จนกลายเป็นปุยสีขาว ที่มีต้นเล็กๆเกาะอยู่บนฐานของลำต้น เจ้าปุยแดนดิไลออนหลายต้น จะมีเมล็ดหนึ่งอันเอาไว้เป็นของตน เมื่อแผ่ตัวของมันออกจนเสร็จ จึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านเกิดของมัน เพื่อผจญภัยไปพบกับโลกใหม่ และใช้เมล็ดอันนั้น สร้างครอบครัวที่น่ารักๆของมันอีกครั้งหนึ่ง” “ว้าว! ผมอยากเป็นครอบครัวแดนดิไลออนจังเลยครับ!” นิโคลัสทำแววตาประกาย “ใช่ค่ะน่าตื่นเต้นจัง!” เกรซยิ้มแปล้ แม่ยิ้มพลางโอบลูกไว้ “ครอบครัวของเราก็เหมือนแดนดิไลออนนะ ในตอนเด็กๆลูกจะต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่ หากวันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้น เหมือนเจ้าปุยขาวๆเหล่านี้แล้ว ลูกทั้งสองคน อาจจะต้องจากลาบ้านเกิด เพื่อเดินทางไปพบกับเรื่องราวใหม่ๆ ลูกมีเมล็ดที่เหมือนกับชีวิตของตนเอง ขึ้นอยู่กับลูกทั้งสอง ที่จะเลือกเส้นทางไหน บางเส้นทางมีทั้งพายุ หุบเขากว้าง แม่น้ำเชี่ยว และอีกหลายอย่างเลยจ่ะ” “ฟังดูลำบากขึ้นมาเลยค่ะ..” แมร์รี่ตอบ “โตขึ้นผมจะต้องเป็นเหมือนครอบครัวของมันให้ได้เลย!” นิโคลัสเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “ลูกของพ่อกับแม่ต้องทำได้อยู่แล้วเชื่อสิ!”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ