คนบนภู ครูบนดอย
-
เขียนโดย ดำรักษ์กวี
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 00.13 น.
1 ตอน
2 วิจารณ์
4,401 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 00.26 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ขอโทษนะครับ!! ผมไม่อยากรู้จักคนใจร้ายอย่างคุณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เช้าวันหนึ่งของทุกๆวัน วันนี้ก็เป็นวันแรกเริ่มธรรมดาหนึ่งในสัปดาห์ของคนทำงาน
วันนี้อากาศหนาวจัด ลมพัดพัดพลิ้วไสวเย็นอะไรอย่างนี้ มีหมอกลงมาปกคลุมพื้นที่ต้นไม้ต้นหญ้าสี
เขียวอ่อนๆ ทำให้เกิดน้ำค้างบนยอดหญ้าเม็ดเล็กเม็ดน้อย บางต้นก็เย็นจัดจนแทบจะเป็นเกล็ดน้ำ
แข็งเลยทีเดียว ผมตื่นขึ้นมาดูความสวยงามของเช้าวันนี้ พอสักครู่ พระอาทิตย์ก็เริ่มโพล่ขึ้นมาจาก
เส้นขอบภูเขาลูกโน่น ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้มากเท่าไร มันเริ่มโพล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ ช้าๆ เรื่อยๆ
พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ บางๆ สีจางๆที่สวยงามเป็นสันญาณของเช้าวันใหม่ที่เริ่มต้นด้วยดี
จากนั้นก็ไปทำงานกัน สายแล้ว สายแล้วนะ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้เข้าไปสอนเด็กๆ ที่
อยู่บนดอยหลังจากที่มาปรับตัวกับสภาพแวดล้อม สัก3-4วันมาแล้ว ที่ข้างบนแห่งนี้มีแต่ต้นไม้
ใหญ่ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าสูงๆหนาๆ บางที่ก็มีต้นไม้ต่ำสูงเรียงลาย สลับกันไปตามธรรมชาติ
หมู่บ้านบนดอยแห่งนี้มีชาวบ้าน ชาวสวน ชาวนาที่ทำไร่เลื่อนลอยตามแนวพระราชดำริของในหลวง
ชาวบ้านบางคนก็ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากเลยทีเดียว แต่ขาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่มี
คือ ไฟฟ้า ไฟฟ้าข้างบนนี้ไม่ค่อยจะทั่วถึงกันมากนัก เพราะห่างไกลจากในตัวเมืองมาก จะมีก็แต่
แผงโซลาเซลล์ที่พอจะแบ่งๆกันใช้ในแต่ละบ้าน
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็รีบลงมาเพื่อที่จะไปสอนเด็กๆ ก็เจอกับจักรยาน คันหนึ่ง
เก่าๆ รุ่นสมัยไหน ปีพ.ศ.ไหนก็ไม่รู้แต่รู้ว่ามันคงจะผ่านการใช้งานมามากเลยทีเดียว ผมคิดว่าผม
คงจะต้องปั่นเจ้าคันนี้ไปสอนแน่ๆ เฮ้....ทำไงได้ละก็นี่มันดอยนี้น๊า จากนั้นก็เริ่มออกจากบ้านพักครู
ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไร ขี่ไปได้สักพัก “อ่าว..ยังไงเนี้ย” อยู่ดีๆโซ่ก็หลุดเฉยเลย
ตายล่ะ!! ความซวยเข้ามาเยือนผมแล้ว ผมยิ่งใส่โซ่ไม่เป็นอีก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เฮ่อ!! ได้
แต่ถอนหายใจภาวนาให้ใครผ่านมาทางนี้ที หรือว่าผมตรงเข็นมันไปจริงๆ รอสักพัก ก็ไม่เห็นใครผ่าน
มา ก็คิดว่าต้องเข็นมันไปแล้วล่ะ เหนื่อยแน่เรางานนี้สงสัยวันนี้คงฤกษ์ไม่มีแน่ๆเลย สอนวันแรกแท้ๆ
ผมเดินไปบ่นไป เอ้!!!ๆๆ ยังไง เหมือนจะได้ยินเสียงรถ ที่กำลังจะขับมาทางนี้ เย้ๆ ผมนึกดีใจว่ามี
คนจะมาช่วยเราแล้ว มีคนจะมาทางนี้จริงๆด้วย ฮ่าๆๆ อย่างน้อยวันนี้คงจะไม่ใช่วันที่ผมซวยที่สุดและ
โชคร้ายที่สุดแน่ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกทีเสียงรถคันนี้ คันที่ผมรอเห็นไกลๆ เป็นรถเก๋งคันสีแดงจี้
ดจ๊าดน่าดู สวยหรูมีระดับจริงๆ คงจะคันหลายแสนทีเดียว เขาขับเร็วมากทำให้ฝุ่นที่อยู่บนถนนลูกรัง
กระจุยกระจาย ฟุ้งขึ้นตามมาด้านหลังของรถคันนี้ ใกล้จะถึงแล้ว ใกล้จะถึงผมอีกนิดเดียว พอถึงมา
ผมรถคันนั้นค่อยๆ ชะลอรถจอด และเปิดกระจกลงอย่างช้าๆ ผมสังเกตุเห็นเธอคนนั้น ว้าวววว สวย
สวยจริงๆด้วย ใครส่งนางฟ้าลงมาช่วยผมเนี้ย ขอบคุณ ขอบคุณสวรรค์ที่ทรงแม่ตาแก่ลูกช้าง เธอใส่
เสื้อสีชมพูออกหวานๆนิดหนึ่ง ใส่กระโปรงลายดอกสีฟ้าอ่อนๆ สรุปคือสวยว่างั้น พอผมเห็นเธอเป็น
ครั้งแรก ทำไมหัวใจของผมมันเต้น แรงและเร็วชอบกลๆ ยังไงก็ไม่รู้หรือว่าผม....ไม่นะ ไม่ ไม่มีทาง
เธอถอดแว่นสีดำของเธอออกแล้ว ถามผมว่า
“คุณค่ะ รถเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ”
ผมตอบไปว่า “อ่อ ครับ เป็นๆ ครับ พอดีโซ่มันหลุดครับ”
“อ่อ ค่ะ” เธอตอบมาด้วยน้ำเสียงที่หายสงสัย
ไม่ทันไรเธอก็ปิดกระจกของเธอลง อย่างช้าๆ จากนั้นก็ออกรถไป อย่างรีบร้อนใจเหมือน
จะไปไหนของเธอกันแน่ “อ่าวว...ยังไงเนี้ยคุณๆ คุณ เดี๋ยวก่อนคุณ กลับมาก่อน” ผมยังไม่ทันได้
พูดขอร้องให้เธอช่วยผม เธอก็ไปซะแล้ว ไปแบบนี้ไม่ใยดีต่อผม ผมได้แต่มองด้านหลังของรถเธอ
พร้อมกับปิดจมูกจากฝุ่นที่มาจากรถของเธอ เฮ่อ! ว่าแล้ววันนี้คงเป็นวันซวยของผมจริงๆนั่นแหละ
เซ็งมากในตอนนั่นเหมือนคนที่กำลังโดนหวยกินมาพึ่งเสร็จใหม่ๆ เหมือนโดนหวยกินไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่
ครั้ง จะมีอะไรที่ซวยไปกว่านี้อีก เจอคนก็ใจร้ายเอามากๆ จากนั้นผมก็ตัดสินใจเข็นมันต่อไป เข็นมัน
ต่อไปเรื่อยจนถึงโรงเรียนที่ผมจะมาสอนพอถึงเหงื่อก็ท่วมหน้า ท่วมตัวของผม จากความเหนื่อยล้า
จากการเข็นรถจักรยานคันเก่าๆ ขึ้นมาทางสูงชันทางขึ้นของโรงเรียน สาย สายพอดี ผมว่าแล้ว พอ
เอารถไปจอดครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ก็เข้ามาและทักทายผมเป็นการตอนรับที่ดีมาก
“อ้าวว..ครูทำไมเหงื่อถึงท่วมตัวขนาดนี้ล่ะ ยังมาสายอีกน่ะ” ครูใหญ่ถามผม
“ก็...รถคันนี้มันเก่ามาก และโซ่ของมันก็หลุด ผมก็เลยเข็นมันมาตั้งแต่ท้ายหมู่บ้านโน้นนะครับครู”
“อ่าวหรอ...งั้นผมก็ขอโทษแทนภารโรงด้วยนะครับ สงสัยเขาจะยังไม่เปลี่ยนรถคันใหม่ให้ครู นี่เมื่อ
วานผมก็บอกแกไปตั้งหลายรอบแล้ว งั้นผมจะเปลี่ยนรถคันใหม่ให้ครูล่ะกันนะครับ”
“ขอบคุณมากครับครูใหญ่ ผมนึกว่าวันนี้ผมคงจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไปทั้งวัน ขอบคุณครับ”
“ไปครับครู ไปสอนกันดีกว่าเด็กรอนานแล้วครับ”
ผมได้แต่นึกดีใจใจที่บนดอยนี้ยังมีคนที่ใจดีแบบครูใหญ่อยู่ อย่างน้อยครูใหญ่ก็คอยดูและ
ผมอย่างดีพอเข้าไปถึงห้องเรียน ก็เห็นเด็ก ตัวเล็ก ตัวน้อย ที่นั่งรอผมจะมาสอนอยู่อย่างเป็น
ระเบียบเอามากๆผมได้ยิ้มและสั่งสายตาออกไปให้กับเด็กที่ น่ารัก น่ารักทั้งหลายแต่ละคนอายุไม่
เท่ากัน บางก็มากบางก็น้อย มีผู้ชายผู้หญิงสลับกันไป แต่ผมว่าเด็กพวกนี้คงนิสัยดีแน่ๆ ดูจากสีหน้า
ของพวกเขาที่ตั้งหน้าตั้งตารอผมจะมาสอน เพราโรงเรียนแห่งนี้ มีครูไม่กี่สิบคน ที่มาสอนไม่มากนัก
ไม่มีครูคนไหนอยากจะขึ้นมาสอนบนดอยเท่าไร เนื่องจากมันลำบากเอามากๆ วันนี้ผมจะให้เด็ก ฝึก
เขียน เป็นการเริ่มแรกของวันเรียนใหม่ๆ ที่เด็กๆรอคอย เด็กข้างบนนี้เขียนไม่คอยจะถูกต้องกัน
เท่าไร เพราะอาจจะไม่เคยได้สัมผัสการเขียนมามานัก แต่เวลาที่พวกเขาเขียน เด็กพวกนี่จะยิ้มและ
หัวเราะอยู่เสมอเด็กมีความสุขกับการเขียนมาก ผมเห็นก็ดีใจกันไปตามๆกัน เสียงระฆังของโรงเรียน
ดังขึ้น เด็กก็วางดินสอและจับสมุดมาส่ง เพราะได้เวลากินข้าวเที่ยงของเด็กๆ แล้วมันช่างเป็นเวลาที่
ใครๆต่างก็รอคอยเหมือนกันทุกๆคนนั้นแหละ ผมก็รอเวลานี้อยู่เหมือนกัน จะได้พักสักที พร้อมกับ
กินข้าวและตรวจงานของเด็กที่ทำเสร็จ พอกินข้าวเสร็จก็ตรวจสมุด ของเด็กๆดู ตรวจไปดูไป ก็แอบ
ยิ้มและหัวเราะอย่างค่อยๆอยู่คนเดียว งานที่เด็กเขียนส่งมานั้น บางคนก็เขียนผิดเขียนถูก บางคนก็
เขียนตัวหนังสือใหญ่บ้างเล็กบ้างตามประสาของเด็กแต่ความสุขเล็กๆน้อยอย่างนี้เนี้ยแหละมันคือ
แรงบันดาลใจของผม ที่เวลาเห็นแล้วมันทำให้เราผ่อนคลายมาก และเป็นสิ่งที่มันทำให้ผมอยากจะ
สอนเด็กๆให้เขียนได้ดีกว่านี้ อ่านไปเพลินไปในห้องพักครู อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “พ่อค่ะ
พ่อ” เป็นน้ำเสียงที่ใครก็นึกสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่มาส่งเสียงไม่เกรงใจชาวบ้านเขาเลย ครูหลายๆ
คนอดนึกสงสัยไม่ได้จึงพากันแห่ออกมาด้วยกันทั้งหมดรวมไปถึงผมด้วย ก็เห็นภาพครูใหญ่ที่กำลัง
กอดกับหญิงสาวคนหนึ่ง “เอ้ ครูใหญ่ ทำอะไรนะ เดี๋ยวเมียมาเห็นจะว่าเอานะ ไม่ดีเลยนะครูใหญ่
เนี้ย” ครูที่ออกมาดูจงจะว่าครูใหญ่ “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนครับอย่าพึ่งเขาใจผิด ครับ นี่เป็นลูกสาวของ
ผมเอง” “หา!!! ลูกสาวครูใหญ่” ครูทุกคนต่างพร้อมออกเสียงพร้อมกันด้วยความตกใจ เหมือนไม่รู้
ว่าครูใหญ่จะมีลูกสาว
“ก็เนี่ยลูกสาวผมจริง เธอพึ่งจะปิดเทรอม และขึ้นมาเที่ยวเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวกับ สิ่งธรรมชาติ เพื่อไปทำโครงงานที่ได้ทำ เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะจบนะครับ”
“อ่อ......” ครูทุกคนออกเสียงพร้อมเพรียงกันอีกแล้ว ด้วยความหายสงสัย แต่...เอ้! เดี๋ยวก่อนนะ
พอเธอเข้ามาใกล้ ที่จะทำความรู้จักกับครูทุกๆคน ผมก็เห็นว่าเธอคนนี้คุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมา
ก่อน อ๋อ! นึกออกแล้ว เธอคือคนใจร้ายที่ผมเจอตอนเช้านี้เอง ทำไมโลกมันช่างกลมหรือว่ามันแบน
อะไรอย่างงี้เนี้ย พอมาถึงผมที่ครูใหญ่จะแนะนำให้รู้จักเป็นคนสุดท้ายของครูในโรงเรียน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ” เธอถามผมด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสา เหมือนเธอไม่เคยเจอผม นางมาร
ร้ายชัดๆ เลยเธอคนนี้
ผมทำเบือนหน้าหนี้ออกจากเธอเหมือนจะไม่อยากรู้จัก และตอบไปว่า “ขอโทษนะครับ ผมไม่อยา
กรู้จักคนใจร้ายอย่างคุณ”จากนั้นผมก็เดินหนี้ออกมาจากวงล้อมของครูๆ ทุกคนที่สงสัยว่าทำไม
“อ่าว ครู ครูจะไปไหน” ครูใหญ่ตะโกนถาม และรีบเดินตามมา
“ครูเป็นไรรึเปล่าครับ ทำไมครูถึงไม่อยากรู้จักลูกสาวขอผมล่ะ”
“ผม ไม่อยากรู้จักคนที่ไม่มีน้ำใจแบบเธอครับครูใหญ่” จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในห้องพักครูและ
ตรวจดูสมุดของเด็กต่อไป เธอคนนั้น ก็ทำสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเอามาก
เหมือนว่าจะมีใครไปพูดแทงใจดำเธอรึเปล่า ก็ไม่ รู้ แล้วเดินหนีออกไป ครูทุกคนต่างก็แยกย้ายกัน
ไปสอนตามๆกัน ตามหน้าที่ของตัวเอง เพราะใกล้เวลาที่จะได้สอนในภาคตอนบ่าย แต่ผมไม่มีสอน
ก็เลยว่าง วันนี้ยังจะไม่ได้สอนอะไรมานัก ตารางที่ครูใหญ่จัดให้สอนยังไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าที่ควร
ผมก็เลยว่าอยากจะขอออกไปสำรวจบริเวณรอบรอบๆโรงเรียนดูสักหน่อย ว่าเป็นไงบ้าง มีอะไรที่ผม
พอจะช่วยเหลือโรงเรียนแห่งนี้ได้อีก นอกจากการมาสอนหนังสือให้กับเด็กๆอีก พออกมาสักพัก
เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งจดบันทึกอะไรสักอย่าง พอจะเข้าไปดุ นั่นไง ว่าแล้ว เธอ... เธอ!!! เจอ
เธอเข้าให้อีกแล้วสิ ทำไม ทำไม ก็ไม่รู้เหมือนกันวันนี้ต้องมาเจอกับเธอทั้งวัน ทั้งที่ไม่อยากจะเจอ
กันเท่าไร ผมทำท่าจะเดินหนีออกห่างจากที่เธอนั่ง
“เอ้ นี่คุณ คุณจะไปไหนละ”ถามผมด้วยความสงสัย
“เรื่องเมื่อ เช้าฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะ คือฉันรีบนะ ขอโทษจริงนะค่ะ”
พอได้ยินคำขอโทษจากเธอ ผมก็หายโกรธ หายโกรธนิดๆ นะ “งั้น เอาเป็นว่า เดี๋ยวมื้อเย็นนี้ฉันจะ
เลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษละกันนะค่ะ” ผมได้แต่พยักหน้า ตอบตกลงไปด้วยสีหน้าที่ยินดีเอามากๆ
ตกเย็นได้เวลาของผมแล้วสิ ที่ต้องไปตามนัด เธอขับรถคันหรูๆของเธอมารับผม ผมขึ้นอย่างไม่รีรอ
อะไร หิวมากเลยในตอนนั้น เธอก็คงจะหิวเหมือนกันสังเกตจาการขับรถเร็ว เร็วมาก อ่า... ถึงแล้ว
สินะ ที่นี้มันที่ไหนกันละ พอลงมาจากรถก็เห็นป้าคนหนึ่งยืน ทำกับข้าวอยู่ ร้านนี้ก็คนเยอะเหมือน
กัน แต่บรรยากาศมันหนาวๆเหงาๆ ชอบกล ชอบกลยังไงก็ไม่รู้ พอไปนั่งถึงเธอก็สั่งเลย โดยไม่ถาม
ผมสักคำ สงสัยเธอคงหิว ผมได้แต่นั่งรอไม่กล้าสั่งเพราะแกล้งใจที่เธอเลี้ยง มีอะไรผมกินได้หมด
ทั้งนั่นเลยตอนนี้ อาหารมาวางที่โต๊ะเราแล้ว ผมไม่สนว่าจะเป็นอะไร กินๆๆๆๆ กินอย่างเดียวเลย
อ่าว..คุณไม่กินด้วยกันหรอ “ไม่ค่ะ เชิญคุณตามสบายเลยนะ” อิ่มๆ อิ่มแล้วละ ผมกินจนเกลียงเลย
“คุณรู้ไหมที่คุณกินๆอยู่นะมันคืออะไร มันเป็นเนื้อสวรรค์นะ” “อ่าวก็เนื้อสวรรค์แล้วไงละ ก็อร่อยดีนี้
ชื่อก็ยังเพราะอีกต่างหาก” “หรอ...แต่คุณไม่รู้ว่ามันคืออะไร” พอแม่ค้าคนขายกับข้ายินก็บอกว่า
“มันเป็นเนื้อหมานะจ๊ะพ่อหนุ่ม” ผมได้ยินคำว่าหมาปับ ก็สะอื้นทำท่าอย่าจะอวกกออกมาให้หมดทั้ง
ไส้ทั้งพุง ทำกับผมได้ไม่ถามสักคำว่าผมชอบรึเปล่า คุณนี้มันนางมารร้ายเห็นๆ จริงๆด้วย
วันนี้อากาศหนาวจัด ลมพัดพัดพลิ้วไสวเย็นอะไรอย่างนี้ มีหมอกลงมาปกคลุมพื้นที่ต้นไม้ต้นหญ้าสี
เขียวอ่อนๆ ทำให้เกิดน้ำค้างบนยอดหญ้าเม็ดเล็กเม็ดน้อย บางต้นก็เย็นจัดจนแทบจะเป็นเกล็ดน้ำ
แข็งเลยทีเดียว ผมตื่นขึ้นมาดูความสวยงามของเช้าวันนี้ พอสักครู่ พระอาทิตย์ก็เริ่มโพล่ขึ้นมาจาก
เส้นขอบภูเขาลูกโน่น ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้มากเท่าไร มันเริ่มโพล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ ช้าๆ เรื่อยๆ
พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ บางๆ สีจางๆที่สวยงามเป็นสันญาณของเช้าวันใหม่ที่เริ่มต้นด้วยดี
จากนั้นก็ไปทำงานกัน สายแล้ว สายแล้วนะ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะได้เข้าไปสอนเด็กๆ ที่
อยู่บนดอยหลังจากที่มาปรับตัวกับสภาพแวดล้อม สัก3-4วันมาแล้ว ที่ข้างบนแห่งนี้มีแต่ต้นไม้
ใหญ่ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าสูงๆหนาๆ บางที่ก็มีต้นไม้ต่ำสูงเรียงลาย สลับกันไปตามธรรมชาติ
หมู่บ้านบนดอยแห่งนี้มีชาวบ้าน ชาวสวน ชาวนาที่ทำไร่เลื่อนลอยตามแนวพระราชดำริของในหลวง
ชาวบ้านบางคนก็ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากเลยทีเดียว แต่ขาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่มี
คือ ไฟฟ้า ไฟฟ้าข้างบนนี้ไม่ค่อยจะทั่วถึงกันมากนัก เพราะห่างไกลจากในตัวเมืองมาก จะมีก็แต่
แผงโซลาเซลล์ที่พอจะแบ่งๆกันใช้ในแต่ละบ้าน
พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็รีบลงมาเพื่อที่จะไปสอนเด็กๆ ก็เจอกับจักรยาน คันหนึ่ง
เก่าๆ รุ่นสมัยไหน ปีพ.ศ.ไหนก็ไม่รู้แต่รู้ว่ามันคงจะผ่านการใช้งานมามากเลยทีเดียว ผมคิดว่าผม
คงจะต้องปั่นเจ้าคันนี้ไปสอนแน่ๆ เฮ้....ทำไงได้ละก็นี่มันดอยนี้น๊า จากนั้นก็เริ่มออกจากบ้านพักครู
ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไร ขี่ไปได้สักพัก “อ่าว..ยังไงเนี้ย” อยู่ดีๆโซ่ก็หลุดเฉยเลย
ตายล่ะ!! ความซวยเข้ามาเยือนผมแล้ว ผมยิ่งใส่โซ่ไม่เป็นอีก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เฮ่อ!! ได้
แต่ถอนหายใจภาวนาให้ใครผ่านมาทางนี้ที หรือว่าผมตรงเข็นมันไปจริงๆ รอสักพัก ก็ไม่เห็นใครผ่าน
มา ก็คิดว่าต้องเข็นมันไปแล้วล่ะ เหนื่อยแน่เรางานนี้สงสัยวันนี้คงฤกษ์ไม่มีแน่ๆเลย สอนวันแรกแท้ๆ
ผมเดินไปบ่นไป เอ้!!!ๆๆ ยังไง เหมือนจะได้ยินเสียงรถ ที่กำลังจะขับมาทางนี้ เย้ๆ ผมนึกดีใจว่ามี
คนจะมาช่วยเราแล้ว มีคนจะมาทางนี้จริงๆด้วย ฮ่าๆๆ อย่างน้อยวันนี้คงจะไม่ใช่วันที่ผมซวยที่สุดและ
โชคร้ายที่สุดแน่ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกทีเสียงรถคันนี้ คันที่ผมรอเห็นไกลๆ เป็นรถเก๋งคันสีแดงจี้
ดจ๊าดน่าดู สวยหรูมีระดับจริงๆ คงจะคันหลายแสนทีเดียว เขาขับเร็วมากทำให้ฝุ่นที่อยู่บนถนนลูกรัง
กระจุยกระจาย ฟุ้งขึ้นตามมาด้านหลังของรถคันนี้ ใกล้จะถึงแล้ว ใกล้จะถึงผมอีกนิดเดียว พอถึงมา
ผมรถคันนั้นค่อยๆ ชะลอรถจอด และเปิดกระจกลงอย่างช้าๆ ผมสังเกตุเห็นเธอคนนั้น ว้าวววว สวย
สวยจริงๆด้วย ใครส่งนางฟ้าลงมาช่วยผมเนี้ย ขอบคุณ ขอบคุณสวรรค์ที่ทรงแม่ตาแก่ลูกช้าง เธอใส่
เสื้อสีชมพูออกหวานๆนิดหนึ่ง ใส่กระโปรงลายดอกสีฟ้าอ่อนๆ สรุปคือสวยว่างั้น พอผมเห็นเธอเป็น
ครั้งแรก ทำไมหัวใจของผมมันเต้น แรงและเร็วชอบกลๆ ยังไงก็ไม่รู้หรือว่าผม....ไม่นะ ไม่ ไม่มีทาง
เธอถอดแว่นสีดำของเธอออกแล้ว ถามผมว่า
“คุณค่ะ รถเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ”
ผมตอบไปว่า “อ่อ ครับ เป็นๆ ครับ พอดีโซ่มันหลุดครับ”
“อ่อ ค่ะ” เธอตอบมาด้วยน้ำเสียงที่หายสงสัย
ไม่ทันไรเธอก็ปิดกระจกของเธอลง อย่างช้าๆ จากนั้นก็ออกรถไป อย่างรีบร้อนใจเหมือน
จะไปไหนของเธอกันแน่ “อ่าวว...ยังไงเนี้ยคุณๆ คุณ เดี๋ยวก่อนคุณ กลับมาก่อน” ผมยังไม่ทันได้
พูดขอร้องให้เธอช่วยผม เธอก็ไปซะแล้ว ไปแบบนี้ไม่ใยดีต่อผม ผมได้แต่มองด้านหลังของรถเธอ
พร้อมกับปิดจมูกจากฝุ่นที่มาจากรถของเธอ เฮ่อ! ว่าแล้ววันนี้คงเป็นวันซวยของผมจริงๆนั่นแหละ
เซ็งมากในตอนนั่นเหมือนคนที่กำลังโดนหวยกินมาพึ่งเสร็จใหม่ๆ เหมือนโดนหวยกินไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่
ครั้ง จะมีอะไรที่ซวยไปกว่านี้อีก เจอคนก็ใจร้ายเอามากๆ จากนั้นผมก็ตัดสินใจเข็นมันต่อไป เข็นมัน
ต่อไปเรื่อยจนถึงโรงเรียนที่ผมจะมาสอนพอถึงเหงื่อก็ท่วมหน้า ท่วมตัวของผม จากความเหนื่อยล้า
จากการเข็นรถจักรยานคันเก่าๆ ขึ้นมาทางสูงชันทางขึ้นของโรงเรียน สาย สายพอดี ผมว่าแล้ว พอ
เอารถไปจอดครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ก็เข้ามาและทักทายผมเป็นการตอนรับที่ดีมาก
“อ้าวว..ครูทำไมเหงื่อถึงท่วมตัวขนาดนี้ล่ะ ยังมาสายอีกน่ะ” ครูใหญ่ถามผม
“ก็...รถคันนี้มันเก่ามาก และโซ่ของมันก็หลุด ผมก็เลยเข็นมันมาตั้งแต่ท้ายหมู่บ้านโน้นนะครับครู”
“อ่าวหรอ...งั้นผมก็ขอโทษแทนภารโรงด้วยนะครับ สงสัยเขาจะยังไม่เปลี่ยนรถคันใหม่ให้ครู นี่เมื่อ
วานผมก็บอกแกไปตั้งหลายรอบแล้ว งั้นผมจะเปลี่ยนรถคันใหม่ให้ครูล่ะกันนะครับ”
“ขอบคุณมากครับครูใหญ่ ผมนึกว่าวันนี้ผมคงจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไปทั้งวัน ขอบคุณครับ”
“ไปครับครู ไปสอนกันดีกว่าเด็กรอนานแล้วครับ”
ผมได้แต่นึกดีใจใจที่บนดอยนี้ยังมีคนที่ใจดีแบบครูใหญ่อยู่ อย่างน้อยครูใหญ่ก็คอยดูและ
ผมอย่างดีพอเข้าไปถึงห้องเรียน ก็เห็นเด็ก ตัวเล็ก ตัวน้อย ที่นั่งรอผมจะมาสอนอยู่อย่างเป็น
ระเบียบเอามากๆผมได้ยิ้มและสั่งสายตาออกไปให้กับเด็กที่ น่ารัก น่ารักทั้งหลายแต่ละคนอายุไม่
เท่ากัน บางก็มากบางก็น้อย มีผู้ชายผู้หญิงสลับกันไป แต่ผมว่าเด็กพวกนี้คงนิสัยดีแน่ๆ ดูจากสีหน้า
ของพวกเขาที่ตั้งหน้าตั้งตารอผมจะมาสอน เพราโรงเรียนแห่งนี้ มีครูไม่กี่สิบคน ที่มาสอนไม่มากนัก
ไม่มีครูคนไหนอยากจะขึ้นมาสอนบนดอยเท่าไร เนื่องจากมันลำบากเอามากๆ วันนี้ผมจะให้เด็ก ฝึก
เขียน เป็นการเริ่มแรกของวันเรียนใหม่ๆ ที่เด็กๆรอคอย เด็กข้างบนนี้เขียนไม่คอยจะถูกต้องกัน
เท่าไร เพราะอาจจะไม่เคยได้สัมผัสการเขียนมามานัก แต่เวลาที่พวกเขาเขียน เด็กพวกนี่จะยิ้มและ
หัวเราะอยู่เสมอเด็กมีความสุขกับการเขียนมาก ผมเห็นก็ดีใจกันไปตามๆกัน เสียงระฆังของโรงเรียน
ดังขึ้น เด็กก็วางดินสอและจับสมุดมาส่ง เพราะได้เวลากินข้าวเที่ยงของเด็กๆ แล้วมันช่างเป็นเวลาที่
ใครๆต่างก็รอคอยเหมือนกันทุกๆคนนั้นแหละ ผมก็รอเวลานี้อยู่เหมือนกัน จะได้พักสักที พร้อมกับ
กินข้าวและตรวจงานของเด็กที่ทำเสร็จ พอกินข้าวเสร็จก็ตรวจสมุด ของเด็กๆดู ตรวจไปดูไป ก็แอบ
ยิ้มและหัวเราะอย่างค่อยๆอยู่คนเดียว งานที่เด็กเขียนส่งมานั้น บางคนก็เขียนผิดเขียนถูก บางคนก็
เขียนตัวหนังสือใหญ่บ้างเล็กบ้างตามประสาของเด็กแต่ความสุขเล็กๆน้อยอย่างนี้เนี้ยแหละมันคือ
แรงบันดาลใจของผม ที่เวลาเห็นแล้วมันทำให้เราผ่อนคลายมาก และเป็นสิ่งที่มันทำให้ผมอยากจะ
สอนเด็กๆให้เขียนได้ดีกว่านี้ อ่านไปเพลินไปในห้องพักครู อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “พ่อค่ะ
พ่อ” เป็นน้ำเสียงที่ใครก็นึกสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่มาส่งเสียงไม่เกรงใจชาวบ้านเขาเลย ครูหลายๆ
คนอดนึกสงสัยไม่ได้จึงพากันแห่ออกมาด้วยกันทั้งหมดรวมไปถึงผมด้วย ก็เห็นภาพครูใหญ่ที่กำลัง
กอดกับหญิงสาวคนหนึ่ง “เอ้ ครูใหญ่ ทำอะไรนะ เดี๋ยวเมียมาเห็นจะว่าเอานะ ไม่ดีเลยนะครูใหญ่
เนี้ย” ครูที่ออกมาดูจงจะว่าครูใหญ่ “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนครับอย่าพึ่งเขาใจผิด ครับ นี่เป็นลูกสาวของ
ผมเอง” “หา!!! ลูกสาวครูใหญ่” ครูทุกคนต่างพร้อมออกเสียงพร้อมกันด้วยความตกใจ เหมือนไม่รู้
ว่าครูใหญ่จะมีลูกสาว
“ก็เนี่ยลูกสาวผมจริง เธอพึ่งจะปิดเทรอม และขึ้นมาเที่ยวเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวกับ สิ่งธรรมชาติ เพื่อไปทำโครงงานที่ได้ทำ เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะจบนะครับ”
“อ่อ......” ครูทุกคนออกเสียงพร้อมเพรียงกันอีกแล้ว ด้วยความหายสงสัย แต่...เอ้! เดี๋ยวก่อนนะ
พอเธอเข้ามาใกล้ ที่จะทำความรู้จักกับครูทุกๆคน ผมก็เห็นว่าเธอคนนี้คุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมา
ก่อน อ๋อ! นึกออกแล้ว เธอคือคนใจร้ายที่ผมเจอตอนเช้านี้เอง ทำไมโลกมันช่างกลมหรือว่ามันแบน
อะไรอย่างงี้เนี้ย พอมาถึงผมที่ครูใหญ่จะแนะนำให้รู้จักเป็นคนสุดท้ายของครูในโรงเรียน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ” เธอถามผมด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสา เหมือนเธอไม่เคยเจอผม นางมาร
ร้ายชัดๆ เลยเธอคนนี้
ผมทำเบือนหน้าหนี้ออกจากเธอเหมือนจะไม่อยากรู้จัก และตอบไปว่า “ขอโทษนะครับ ผมไม่อยา
กรู้จักคนใจร้ายอย่างคุณ”จากนั้นผมก็เดินหนี้ออกมาจากวงล้อมของครูๆ ทุกคนที่สงสัยว่าทำไม
“อ่าว ครู ครูจะไปไหน” ครูใหญ่ตะโกนถาม และรีบเดินตามมา
“ครูเป็นไรรึเปล่าครับ ทำไมครูถึงไม่อยากรู้จักลูกสาวขอผมล่ะ”
“ผม ไม่อยากรู้จักคนที่ไม่มีน้ำใจแบบเธอครับครูใหญ่” จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในห้องพักครูและ
ตรวจดูสมุดของเด็กต่อไป เธอคนนั้น ก็ทำสีหน้าเหมือนจะไม่พอใจและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเอามาก
เหมือนว่าจะมีใครไปพูดแทงใจดำเธอรึเปล่า ก็ไม่ รู้ แล้วเดินหนีออกไป ครูทุกคนต่างก็แยกย้ายกัน
ไปสอนตามๆกัน ตามหน้าที่ของตัวเอง เพราะใกล้เวลาที่จะได้สอนในภาคตอนบ่าย แต่ผมไม่มีสอน
ก็เลยว่าง วันนี้ยังจะไม่ได้สอนอะไรมานัก ตารางที่ครูใหญ่จัดให้สอนยังไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าที่ควร
ผมก็เลยว่าอยากจะขอออกไปสำรวจบริเวณรอบรอบๆโรงเรียนดูสักหน่อย ว่าเป็นไงบ้าง มีอะไรที่ผม
พอจะช่วยเหลือโรงเรียนแห่งนี้ได้อีก นอกจากการมาสอนหนังสือให้กับเด็กๆอีก พออกมาสักพัก
เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งจดบันทึกอะไรสักอย่าง พอจะเข้าไปดุ นั่นไง ว่าแล้ว เธอ... เธอ!!! เจอ
เธอเข้าให้อีกแล้วสิ ทำไม ทำไม ก็ไม่รู้เหมือนกันวันนี้ต้องมาเจอกับเธอทั้งวัน ทั้งที่ไม่อยากจะเจอ
กันเท่าไร ผมทำท่าจะเดินหนีออกห่างจากที่เธอนั่ง
“เอ้ นี่คุณ คุณจะไปไหนละ”ถามผมด้วยความสงสัย
“เรื่องเมื่อ เช้าฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะ คือฉันรีบนะ ขอโทษจริงนะค่ะ”
พอได้ยินคำขอโทษจากเธอ ผมก็หายโกรธ หายโกรธนิดๆ นะ “งั้น เอาเป็นว่า เดี๋ยวมื้อเย็นนี้ฉันจะ
เลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษละกันนะค่ะ” ผมได้แต่พยักหน้า ตอบตกลงไปด้วยสีหน้าที่ยินดีเอามากๆ
ตกเย็นได้เวลาของผมแล้วสิ ที่ต้องไปตามนัด เธอขับรถคันหรูๆของเธอมารับผม ผมขึ้นอย่างไม่รีรอ
อะไร หิวมากเลยในตอนนั้น เธอก็คงจะหิวเหมือนกันสังเกตจาการขับรถเร็ว เร็วมาก อ่า... ถึงแล้ว
สินะ ที่นี้มันที่ไหนกันละ พอลงมาจากรถก็เห็นป้าคนหนึ่งยืน ทำกับข้าวอยู่ ร้านนี้ก็คนเยอะเหมือน
กัน แต่บรรยากาศมันหนาวๆเหงาๆ ชอบกล ชอบกลยังไงก็ไม่รู้ พอไปนั่งถึงเธอก็สั่งเลย โดยไม่ถาม
ผมสักคำ สงสัยเธอคงหิว ผมได้แต่นั่งรอไม่กล้าสั่งเพราะแกล้งใจที่เธอเลี้ยง มีอะไรผมกินได้หมด
ทั้งนั่นเลยตอนนี้ อาหารมาวางที่โต๊ะเราแล้ว ผมไม่สนว่าจะเป็นอะไร กินๆๆๆๆ กินอย่างเดียวเลย
อ่าว..คุณไม่กินด้วยกันหรอ “ไม่ค่ะ เชิญคุณตามสบายเลยนะ” อิ่มๆ อิ่มแล้วละ ผมกินจนเกลียงเลย
“คุณรู้ไหมที่คุณกินๆอยู่นะมันคืออะไร มันเป็นเนื้อสวรรค์นะ” “อ่าวก็เนื้อสวรรค์แล้วไงละ ก็อร่อยดีนี้
ชื่อก็ยังเพราะอีกต่างหาก” “หรอ...แต่คุณไม่รู้ว่ามันคืออะไร” พอแม่ค้าคนขายกับข้ายินก็บอกว่า
“มันเป็นเนื้อหมานะจ๊ะพ่อหนุ่ม” ผมได้ยินคำว่าหมาปับ ก็สะอื้นทำท่าอย่าจะอวกกออกมาให้หมดทั้ง
ไส้ทั้งพุง ทำกับผมได้ไม่ถามสักคำว่าผมชอบรึเปล่า คุณนี้มันนางมารร้ายเห็นๆ จริงๆด้วย
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ