เมื่อไหร่กัน

7.3

เขียนโดย ฮางมะ

วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.51 น.

  2 ตอน
  10 วิจารณ์
  5,916 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 15.06 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) จบแบบที่สอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เมื่อไหร่กันที่เขามีความ รู้สึกนี้ เราก็รู้จักกันมานานแล้วนี่ มาหวั่นไหวอะไรกันตอนนี้ หรือเพราะเราโสด? เพราะเราเหงา? เพราะเราเพิ่งอกหัก หรือเพราะเธอสวยขึ้นหรือเพราะเธอมีแฟน!

               

               ปราย คือผู้หญิงที่ใกล้ชิดเขามาตลอดเวลาเราไปไหนไปด้วยกันเฮไหนเฮนั่น เธอคือเพื่อนผู้ชายแต่กายเป็นผู้หญิง เราพูดภาษาพ่อขุนต่อกัน กินเหล้า อย่างไม่สะทกสะท้านต่อดีกรีของแอลกอฮอล์ เคยเมาจนหัวราน้ำตอนรับน้อง เธอเป็นคนไม่ยอมใคร นิสัยที่เหมือนผู้ชายทั่วๆไป ซึ่งก็เพราะเหตุนี้บางทีเขาก็เผลอคิดไปว่าเธอเป็นผู้ชายจริงๆ

               

               ทำไมนะ ทำไมเขาเพิ่งมารู้สึกสนใจเธอ เอาตอนที่เธอมีแฟน

               

               “ไอ้ ปรายมีแฟน” ไอ้นะพูดขึ้น แล้วชี้ให้เขาดู หญิงสาวคนหนึ่งตอนแรกเขามองผ่านๆเห็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งปล่อยผมยาวสลวยแต่ง หน้าบางๆ กำลังพูดคุยยิ้มหัวกับหนุ่มหน้าใสคนหนึ่งที่อยู่ ที่โต๊ะหินอ่อน เขาไม่คิดว่าจะเป็นปรายเลยแม้แต่นิด

 

               จาก ผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจรูปร่างหน้าตา ไว้ผมมัดรวบ ใบหน้ามัน มีสิวขึ้น เดี๋ยวนี้เธอเปลี่ยนไปมันทำให้เขารู้ว่า ปรายสวยขึ้น

 

               “กู ไม่อยากจะเชื่อ ไอ้ปรายมันสวยขึ้น กูไม่อยากจะเชื่อจริงๆที่มันมีแฟน” เจ้าปอนหนุ่มทรงผมแอฟโฟร ส่ายศรีษะอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

               “มัน ไปคบกันตอนไหนวะ” เขาถามขึ้น

 

               “ไม่ รู้โว้ย แม่ง ไอ้นั่นก็โครตหล่อ เป็นกูยังอยากเป็นแฟนด้วยเลย” มานะพูดแล้วก็หัวเราะ คนหัวฟูหัวเราะตามเพื่อน แต่เขาเครียด

         

                “อะไรก็ไม่สำคัญนะ ว่ามันเป็นคนดีหรือเปล่า” เขาว่า เพื่อนสองคนหัวเราะ

               

               “แหม ไอ้คนห่วงเพื่อน เห็นเพื่อนสวยขึ้นมาหน่อยเป็นห่วงเลยนะ เมื่อก่อนกูเห็นไอ้ปรายจะไปหัวหกก้นขวิดกับใครไม่เห็นมึงว่าอะไรเลย”

               

               “ก็…พวก มึงเห็นเหรอ ว่ามันหลงไอ้หมอนั่นขนาดไหน ขนาดยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างหนักเพื่อมัน พวกมึงไม่ห่วงเพื่อนหรือวะ”

               

               “เหอะ น่า ให้มันมีความสุขมั่งเถอะ ตลอดชีวิตมันไม่เคยสมหวังเรื่องความรัก ได้แต่แอบรักเขาไปทั้งปีทั้งชาติ ได้เจอคนหล่อๆมาให้รัก เราควรมีความสุขกับมัน” ปอนว่าแล้วก็แอบไปหัวเราะคิกคักกันสองคน

               

               “มันเป็นใครที่ไหนวะ ไอ้หมอนั่น”

               

               “เห็น ว่าหนุ่มจากมหาลัยอื่น เถอะน่าอย่าห่วงมันมากเลย มึงก็รู้ใครจะมาทำอันตรายไอ้ปรายได้ร้ายออกอย่างนั้น กลัวแต่ว่ามันจะไปทำคนอื่นมากกว่า”       

 

               “ห่วงอย่างเดียวนะเว้ย อย่าเสือกหวงล่ะ” เพื่อนหัวฟูว่าก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

               

               เขา จะมีสิทธิมาหวงอะไร ใช่ แม้ปรายจะเคยบอกว่าชอบเขาเมื่อครั้งหนึ่งตอนปีสอง แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอเมา และเขาเองก็ไม่ได้สนใจเธอเลยจึงไม่ได้ถือสา เราก็ยังเป็นเพื่อนมาจนถึงปีสี่ แต่ถ้าเธอมาบอกรักเขาตอนนี้คงจะดีไม่น้อย

 

               

               

               “พวกมึงอ่ะ ยืนทำไมตรงโน้นมานี่สิ” เสียงของเพื่อนสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มตะโกนมา

               

               “ไป มันเรียกล่ะ ไปทำความรู้จักแฟนมันหน่อย คราวนี้มึงอยากรู้อะไรก็ถามมันได้เลย” นะว่า

               

               เขาเลยก้าวเท้าตามไปอย่างช้าๆ สายตามองเพื่อนสาวสนิทซึงตอนนี้เขาเองก็ชักจะเริ่มไม่สนิทใจในความเป็นเพื่อน

               

               “ว่า ไง ไปยืนมองอะไรกันตรงโน้น กูเรียกตั้งนานไม่ได้ยิน” ปรายว่า แล้วก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าสวยมากขนาดนี้ กลิ่นน้ำหอมจากกายของเธอโชยมาอ่อนๆยามที่ลมพัดมาเบาๆ

               

               เมื่อ ไหร่กันที่สวยมากขนาดนี้ และเมื่อไหร่กันที่เธอมีแฟน ทำไมเขาไม่เคยมองเธออย่างจริงจังเลยสักครั้ง ทำไมถึงได้มองข้ามเธอมาตลอด ทำไม ทำไม ทำไม กว่าเขาจะรู้สึกว่ารักสิ่งใดก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว

               

               “มึง เป็นห่าอะไรวะไอ้โจ้ มองไอ้ปราย อย่างกับคนไม่รู้จักกันมาก่อนตะลึงในความสวยหรือไงวะ” คำพูดของปอนทำให้เขาตื่นจากความคิด ทุกคนหัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่แฟนหนุ่มของปราย

               

               “โทษที”

               

               “ยังไม่หายอกหักอีกเหรอโจ้ มันก็หลายเดือนแล้วนี่นาเขาไม่รักเราก็ช่างเหอะคิดมากทำไม”

               

               “เปล่า ฉันไม่ได้เศร้าใจอะไรฉันหายแล้ว”

               

               “แต่ กูว่ามึงไม่หายว่ะ มึงเป็นอะไรไปวะ ขนาดสรรพนามระหว่างมึงกับกู กลายเป็นฉันๆเธอๆ แหวะเลี่ยน” เพื่อนสาวว่า ทุกคนฮาครืนอีกครั้ง

               

               “ต่อหน้าแฟนมึง กูพูดไม่ออกดิ ถามจริงเหอะ มึงนี่ไม่คิดจะองจะแอ๊บอะไรต่อหน้าแฟนเลยเหรอ” เขาว่า

         

               “ไม่วะ คนกันเองทั้งนั้น ขี้เกียจแกล้งทำ”

               

               “นี่จะไม่แนะนำแฟนให้รู้จักหน่อยเหรอ” นะแซว

               

               “อ้อ…เอ่อ”

               

               “ผมมายด์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” หนุ่มหน้าตาเกาหลีเอ่ยทักทายทันที สายตามองมาที่เขาใบหน้านั้นยิ้มพราย

               

               “ผม ปอน ส่วนนี่ที่หน้าตายังกับตาตุ่มหมาก็ไอ้นะ ส่วนคนที่หน้าตาขรึมๆก็ไอ้โจ้ พวกเรายินดีที่ได้รู้จักครับ” ไอ้หัวฟูแนะนำตัวแทนเพื่อนเสร็จสรรพ

         

               “โหไอ้ปอน มาว่าหน้ากูเป็นตาตุ่มหมา เดี๋ยวก็จุดไฟเผาผมเสียดีไหมเนี่ย” ทุกคนหัวเราะ

               

               

               มายด์ เป็นหนุ่มตี๋ ผิวขาวหน้าตาดีเข้าขั่นหล่อสไตล์เกาหลีตามสมัยนิยม เขาเป็นหนุ่มนิเทศฯ จากมหาวิทยาลัยเอกชนมีชื่อ รู้จักกับปรายมาตั้งแต่มัธยม

               

               “ไม่ได้เจอกันสามปี มาเจออีกทีตอนไปเลี้ยงรุ่น” ปรายว่า

               

               “ถ่านไฟเก่าก็เลยคุ ยังงั้นเลย?” นะแซว

               

               ปรายไม่ปฏิเสธ ทุกคนหัวเราะ ทุกคน แต่ยกเว้นเขา

               

 

               ...ห่า!..นี่กูจะเศร้าทำไมวะ..

 

 

               “ผมต้องกลับก่อนนะ ปรายแล้วผมจะมาหาอีก” มายด์บอกก่อนจะลุกขึ้น

 

               “เดี๋ยว” ปรายเข้าไปกระซิบที่ข้างหูแฟนหนุ่ม ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมา

 

               “ไปก่อนนะ โชคดีครับทุกคน”

 

               เมื่อแฟนหนุ่มของเพื่อนสาวเดินหายลับไป ปอนกับเจ้านะก็ลุกขึ้น

 

               “พวกกูก็จะไปเหมือนกัน” ปอนบอก

 

               “อ้าวเห้ย พวกมึงจะไปไหนกัน” เขาร้องถาม

 

               “ไม่บอก!!” ทั้งคู่ตอบกลับ ก่อนจะเดินหัวเราะออกไป

 

               “เมากัญชาหรือเปล่าวะไอ้พวกนี้ อารมณ์ดีทั้งวัน” เขาพึมพำ

 

 

               “โจ้ เย็นนี้กูกลับกับมึงนะ”

 

               “ทำไมไม่ขอให้แฟนไปส่งล่ะ” เขาว่า พลางนึกสงสัยในน้ำเสียงตัวเอง ที่มันเจือด้วยความไม่พอใจ ไม่พอใจ?

 

               “ก็เขามีธุระ หรือมึงมีสาวคนใหม่ซ้อนแล้ว”

 

               “เปล่า ก็เห็นว่ามึงมีแฟนแล้วมานั่งซ้อนท้ายผู้ชายอื่น เดี๋ยวใครจะว่าเอา”

 

               “มึงเป็นไรมากป่ะเนี่ย มันดูเหมือนไม่ใช่ตัวมึง”

 

               “เป็น แต่ไม่มากเท่ามึง” เขาจ้องใบหน้าเพื่อนสนิทก่อนไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า “นี่สินะ เขาถึงเรียกว่าความรักทำให้คนเปลี่ยนไป จากคนไม่เคยจะแต่งหน้า ผมก็ไม่เคยเปลี่ยนทรง รังเกียจพวกที่ใส่กระโปรงสั้นแต่ตัวเองกลับใส่ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปเป็นคนละคนทันทีที่เจอความรัก”

 

               “ใช่ ความรักทำให้คนเปลี่ยนไป”ปรายว่าจ้องหน้าเขา “คนบางคนก็ต้องฝืนตัวเองเพื่อให้ได้รัก เหมือนพวกสัตว์ไง ที่บางชนิดมันยอมส่งเสียงร้องเพื่อแข่งกันเพื่อล่อตัวเมียให้มาหา มันเป็นธรรมดาของโลกอยู่แล้ว”

 

               “เขาเป็นคนดีไหม”

 

               ปราย เอียงคอ เมื่อทำแบบนั้นผมที่ยืดตรงยาวก็มาคลอเคลียกับแก้มสีชมพูอ่อน ดวงตากลมโตจ้องเขาอย่างสงสัย ยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากไปกว่าเดิม…กูจะบ้าตาย นี่เราชอบไอ้ปรายหรือเนี่ย?

 

               “มายด์น่ะ เขาดีไหม”

 

               “อ้อ ดีสิ เราเข้ากันได้ดี มายด์เป็นผู้ชายที่รู้ใจผู้หญิงดี อยู่กับเขาแล้วสบายใจ” เธอพูดแล้วยิ้มดูมีความสุขอย่างที่เธอบอกจริงๆ

 

               นี่เขาเป็นอะไร เขาควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ที่เห็นเพื่อนมีความสุข แต่อะไรในใจลึกๆก็รู้สึกหงุดหงิด

 

               “อื่ม…ก็ดีแล้วล่ะ ดีใจที่แก มีความสุข กลับกันเถอะ”

 

 

               เขา ว่าที่เขาเกิดอารมณ์เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนี้ มันจะหายไปในสักวันหนึ่ง มันก็แค่เกิดมาจากความเหงาของเขาเอง ประกอบกับปรายเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่ให้บ้าตายสิ พอนึกถึงหน้าเพื่อนซี้ต่างเพศขึ้นมาทีไร ใจเขาก็วูบไหวแบบแปลกๆเขาต้องหลบหน้าเธอไม่อยากเจอไม่อยากใกล้ แต่ใช่ว่าไม่ได้เจอหน้า จะหายจากความรู้สึกนั้นไปได้เลย ยิ่งไม่ได้เห็นหน้า สมองก็เปิดพื้นที่ให้ได้คิดจินตนาการ ว่าเธอกับแฟนจะไปถึงไหนกันแล้ว

 

<มันเกิดอะไรขึ้นกับกูเนี่ย !>

 

<เบื่อโว้ย!>

 

<เมื่อไหร่กัน มันเมื่อไหร่กัน>

 

<บอก>

 

<ไม่บอก>

 

<กูจะทำยังไงดี?>

 

 

               นั่น คือสเตตัสในเฟซบุ๊คของเขาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และยังมีเพลงที่เขา แชร์นับไม่ถ้วน ไม่กล้าบอกเธอ-อัสนี-วสันต์ ความลับในใจ-วงสิบล้อ ไม่บอกเธอ-เบทรูม ออดิโอ และอีกหลายเพลงที่เกี่ยวกับการแอบรักแต่ไม่กล้าบอก

 

               ทุกครั้งที่โพสต์และแชร์เพลงเพื่อนจะเขียนถามว่า

 

               “มึงเป็นห่าอะไร”

 

               ถ้า การเห็นปรายในโลกความเป็นจริงตอนที่เธอกระหนุงกระหนิงกับแฟน จะทำให้เขาเจียนคลั่งแล้วละก็ ในโลกออนไลน์ยิ่งกว่านั้นไปอีก สารพัดรูปที่เธอแชร์มาลง ความหวานระดับไร่อ้อยทั้งไร่ยังอาย

 

               ภาพที่เธอไปกินขนมเค้กกับมายด์ ผลัดกันป้อนกันไปมา มันจื้ดใจของเขา

 

<ทนไม่ไหวแล้ว โว้ย>

 

               เขาตะโกน ซึ่งก็แน่นอนตะโกนในเฟซบุ๊ค

 

 

               “มึง เป็นไรวะไอ้โจ้ เดี๋ยวโพสต์แต่อะไรก็ไม่รู้ อกหักยังไม่หายอีกเหรอ แล้วก็ไม่ค่อยจะเห็นหัวเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีเวลาที่จะให้เพื่อนอีกแล้วหรือไง” ปรายถาม ตอนนี้เขากับเธอนั่งอยู่ที่นั่งเดิมโต๊ะหินอ่อนตัวเก่า ไม่มีเพื่อนอารมณ์ดีสองตัวนั่น และก็ไม่มีแฟนของเธอเราอยู่กันลำพังทั้งที่เขาพยายามเลี่ยงตลอด

 

               “ไม่มีไร มายด์ไม่มาเหรอ” ถามไปอย่างนั้นแต่ความจริงแล้วดีใจที่ไม่เห็นไอ้หน้าเกาหลีนั่น

 

               “มาก็เห็นสิ” ตอบทั้งที่ก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่

 

               ยิ่ง พิศดูก็ยิ่งอดรู้สึกว่า ปรายเป็นคนอื่นไปแล้ว เธอไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป นอกจากเธอจะไม่ใช่คนเดิม เธอก็เอาใจเขาออกจากความรู้สึกเดิมๆด้วย ออกจากความรู้สึกแบบเพื่อนกลายเป็นอย่างอื่น ความรู้สึกตอนนี้คือ เขาไม่อยากเข้าใกล้เธออีก พอๆกับไม่อยากห่างจากตัวเธอแม้สักวินาที

 

               “บ้า!” เขาเผลอหลุดปากออกมา พร้อมกับส่ายหัว

 

               “อะไรของมึงเนี่ย ตกใจหมด” ปรายแหว

 

               “เปล่าไม่มีไร” ถอนหายใจแรง

 

               “กูว่ามึงมี มีอะไรก็พูดมาสิ เป็นเอามากนะ ให้พาไปหาจิตแพทย์เอาไหม”

 

               "กู ไม่ไม่ได้บ้า กูเพียงแค่อึดอัด มึงอย่ารู้เลย” พูดเสร็จเขาหอบหนังสือแล้วรีบเดินจากมา แต่ปรายก็เดินมาฉุดแขนไว้เดินอ้อมมาดักหน้า

 

               “กูไม่ให้มึงไป พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

 

               เขา มองหน้าอันแน่แน่วของเพื่อนสนิท เขาเองก็อยากจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจเต็มแก่ อยากจะพูดสิ่งที่มันอยู่ในอกออกมาให้หมด ทุกครั้งที่หัวใจมันเต้น มันเหมือนจะเป็นเครื่องจักรผลิตคำพูดบอกรักเธออย่างไม่อับจนถ้อยคำ แต่จะพูดอย่างไรดีล่ะ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเขาแทบจะบ้าตาย ตอนแรกนึกว่าความรู้สึกนี้มันจะเป็นแล้วหาย นึกว่ามันก็แค่อารมณ์เหงาของชายที่เพิ่งอกหัก แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย

 

               เฝ้า ภาวนาอยู่ทุกคืนวัน ขอเพียงเธอเป็นใครก็ได้ เป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิท การมีความรักที่ทรมานที่สุดในโลก ไม่ใช่การรักคนมีเจ้าของ หรือรักคนที่เขาไม่รักเรา แต่มันคือการรักเพื่อนสนิท เพื่อนที่รู้จักกันมานาน มันอึดอัดประมาณว่า ไม่บอกก็จะตาย บอกไปก็จะเสียความรู้สึกที่มีต่อกัน แต่เก็บเอาไว้ หัวใจก็เป็นเหมือนระเบิดเวลามันจะตายทุกครั้งที่เห็นหน้าเธอ

 

               “จะทำยังไงดี” อีกครั้งที่เขาเผลอพูดออกมา

 

               “มึง เป็นไรว่ะโจ้ ตั้งแต่คบกันมากูไม่เคยเห็นมึงเป็นอย่งนี้มาก่อนเลย” ปรายพูดอย่างแผ่วเบามือจับที่บ่าของเขา “กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย มีอะไรก็พูดออกมาสิ”

 

               ...หยุดบอกให้พูดออกมาสักทีได้ไหม!..

               

               ...พูดอีกครั้งเดียวทำนบถ้อยคำความรู้สึกที่เก็บกักไว้มันจะแตกออกมาแล้ว!..

               

               “ขอร้องเหอะ กูขออยู่คนเดียว” เขาขยับตัวจะเดินจากไปแต่เพื่อนสนิทก็รั้งไว้

 

               “ไม่ได้!” ปรายก็คนดื้อคนหนึ่ง แม้จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้สวยหวานยังไงก็ตาม แต่นิสัยห้าวๆขอเธอนั้นก็ไม่เคยหาย

               

                เธอจับคอเสื้อเขาราวกับนักเลงอันธพาลทั้งที่เขาสูงกว่าเธอมาก “วันนี้กูต้องรู้ให้ได้ ไหนว่าไง เป็นอะไร พูดมา” ยิ่งเธอเข้าใกล้ใจเขาก็กระเจิดกระเจิงกลิ่นกายของเธอ ช่างบีบเค้นหัวใจนัก

               

               ...อีกแล้ว บอกว่าอย่าสั่งให้พูด...

 

               “ปล่อย” เขาทำเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ

 

               “ไม่! ต้องบอกมาก่อนว่ามึงเป็นอะไร บอกมา!” ปรายเอาจริงทั้งสีหน้าและท่าทาง

 

 

               “กูรักมึง ปราย!” เขาตะโกน

 

 

               เขา ไม่รู้ว่าเขาเผลอพูดอะไรออกไปอีกไปบ้าง รู้แต่ว่าเขาพูดอะไรออกไปอีกหลายอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถเก็บกักเอาได้อีกแล้วหลังจากที่เธอสั่งให้พูด ตอนนั้นหูมันลั่นอื้อ หัวใจรัวเร็วยิ่งกว่ากระบอกสูบรถเฟอรรารี่ จำได้แต่ว่าปรายปล่อยคอเสื้อเขาแล้วถอยหลังไปสองก้าว

 

               เขา พลาดแล้ว! เขาเผลอพูดออกไป หัวใจเริ่มลดระดับความเร็ว หูได้ยินเสียงรอบด้าน คนพูดคุยกัน ได้ยินเสียงใครเล่นกีต้าร์ เล่นเพลงดังของหญิงลี ศรีจุมพล แว่วมาแต่เขาอยากได้ยินเสียงเธอพูดออกมามากกว่า

 

 

               “ก…กูขอโทษ ลืมๆมันไปซะเถอะ ขอโทษจริงๆ” เขาหันหลังกลับเดินออกมา

 

               “ลืมๆมันไปยังงั้นเหรอ?” คำพูดของเธอหยุดฝีเท้าเขาไว้ หยุดแต่ยังไม่หันมา “พูดอะไรรักษาคำพูดหน่อยสิ”

 

               เขายืนนิ่งใจเริ่มเต้นอีกครั้ง

 

               “ปล่อยให้รอตั้งนานนะ คำๆนี้ รู้บ้างไหมฉันรอฟังมันมากี่ปีแล้ว รู้บ้างไหม!”

 

               เขาหันมาอย่างรวดเร็ว เขามึนไปหมดแล้ว นี่มันอะไรกัน?

               

               “เพื่อ รอฟังคำๆนี้รู้ไหมฉันต้องลำบากอะไรบ้าง ต้องแต่งหน้าต้องทาปากใส่กระโปรงสั้นแค่คืบ เพื่อให้ใครบางคนมารัก” เธอร้องให้

 

               ปรายร้องไห้!

 

 

               “อะไร ฉันไม่เข้าใจ?”

 

               “ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อนายไง เพื่อให้นายมาสนใจ เพื่อให้นายหันมามองผู้หญิงคนนี้บ้าง"

 

               “แล้วมายด์ล่ะ?” เขาถาม นี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

               “ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากข้างหลังเขาหันไปมอง เห็น ปอนกับมานะ เดินหัวเราะมา “มายด์ลี่ เหรอ นั่นมันกระเทยเว้ย หนึ่งในหน้าม้าที่เอามาหลอกแกไง”

               

               “นี่พวกมึงหลอกกู”

 

               “เอ่อ จะทำไม กูเห็นไอ้ปรายมันแอบชอบมึงมาตั้งนานแล้ว มันอดที่จะสงสารไม่ได้ว่ะ การที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้คนอื่นมาสนใจมันเป็นเรื่องที่ทุเรศมาก มันไม่ได้ชอบหรอกกูรู้ แต่มันก็ยอมทำตามแผนของพวกกู เพราะมันชอบมึงไง”

 

               เขา เอามือปิดหน้าอย่างไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ แล้วยิ้มออกมาทุกคนหัวเราะปรายยังเช็ดน้ำตาแต่ก็มีรอยยิ้มบางๆ

 

               "สำหรับคนบางคน เราต้องบอกเขาด้วยความเงียบให้เขาสังเกตความเปลี่ยนแปลงของหัวใจเอง เหมือนนายไง"

 

 

               "ไอ้ปรายมันชอบแกตั้งนานแต่แกก็ไม่เคยสนใจ อย่างเพลงอะไรนะไอ้ปอน" มานะหันไปถามเพื่อนซี้

               

               "อ้อ เพลงนี้ไง มอง...มองเธอมาแสนนานฉันไม่กล้า" ปอนรับมุขก่อนจะร้องเพลงความลับของ วงพอส แล้วทั้งสองก็ร้องเพลงนี้ไม่หยุด

 

               “ไป เถอะปราย อย่าอยู่กับไอ้พวกนี้เลย” เขาว่าพลางดึงแขนเพื่อนสนิท ไปที่มอเตอร์ไซค์ เขาเขินเกินไปที่จะอยู่ต่อ ขึ้นไปนั่งควบฮอนด้าซีจี 125รุ่นคุณพ่อ แต่สตาร์ทเครื่องยังไงก็ไม่ติด

 

               ทุกครั้งสิน่าเวลาที่อยากไปให้พ้นจากความอีหลักอีเหลื่อนี่มักจะมีอะไรให้ขายหน้า

 

 

               “โจ้ๆรถเป็นไรอ่ะ” ปอนเพื่อนหัวฟูแซว

 

               "รถสตาร์ทไม่ติดก็เห็นอยู่เนี่ย" เขาเผลอตอบโดยไม่รู้ว่ามันเป็นมุข

               

               มานะได้ทีเป็นลูกคู่ “ทำไมไม่ใช้ไดเกียวทูทรีล่ะ เดี๋ยวเนี่ยใครๆเขาก็ใช้แต่ไดเกียว ทั้งนั้นแหละ”

 

               “เพราะใช้แล้วเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่าย” แล้วก็จบที่พูดพร้อมกันสองคน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

 

               แต่ไม่ว่าจะดังยังไง เสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเขาก็ดังกระหึ่มกว่าตอนมันติดเครื่อง ก่อนมันจะพาเขากับปราย

 

               ........

               

               

               สองคนหายลับไปแล้ว ทิ้งเพื่อนที่อยู่ข้างหลังรอยยิ้มอาบหน้า ปอนเดินมาแตะไหล่เพื่อน

 

               "แน่ใจเหรอว่ามึงอยากให้มันจบแบบนี้"

 

               "แบบนี้ก็ดีแล้วไง เพือนเรามีความสุข เราควรจะดีใจไปด้วย" มานะบอก

 

               "มึงก็ชอบเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่บอกเขาล่ะ" คนหัวฟูถาม แต่ได้ยินเสียงถอนหายใจจากเพื่อนสนิทเป็นคำตอบ

 

               "ชีวิตคนเราไม่ยืนยาวนะเว้ย คิดดีๆนา บอกไปแล้วก็ดีกว่าเขาไม่รู้"

 

               "มึงไม่เข้าใจกูหรอก"

 

               "เอ่อ กูไม่เข้าใจ ชอบเขาก็ไม่บอกว่าชอบ ยังจะคิดแผนช่วยเขาอีก แม่ง ชอบซาดิสต์ที่เห็นตัวเองทรมาน"

 

               "อาจจะจริง แต่อย่างน้อยกูก็มีความสุข ที่เห็นเพื่อนมีความสุข"

 

               เงียบ กันไปพักหนึ่ง

 

               "ปอน"

 

               "หือม์"

 

               "กูขออะไรมึงอย่างดิ"

 

               "ว่ามาเลย"

 

               "มึงอย่าบอกให้ใครรู้นะ ว่ากูชอบไอ้โจ้"

               

              

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา