ความในจดหมายกับรูปถ่ายที่ถูกปลด

9.2

เขียนโดย wiwake

วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 20.08 น.

  1 ตอน
  6 วิจารณ์
  4,565 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556 20.34 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          ชีวิตบางคนงดงามจนเขียนเทพนิยายได้เล่มหนา
          แต่ชีวิตบางคนโศกสลดเพียงจะฝากความขื่นในจดหมายฉบับบาง……
 
วันนั้นเป็นวันที่ผมจำได้ดี .....วันที่จดหมายฉบับหนึ่งสอดใต้ช่องประตูห้องนอนที่ลงกลอนเมื่อยามผมปิดใจ   
ผมแกะอ่าน..............
 
ถึงลูกรัก
             ลูกเอย......คนบางคนเกิดมาลืมตาขึ้นมวลความรักอบอวลในมวลอากาศ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะหลับตาตายไปในมวลความรักนั้น   บางคนลืมตามาไม่ได้ความรักเลยในลมหายใจแรก แต่หลับตาตายไปอย่างคนร่ำรวยความรักจากคนรอบข้าง
นั่นขึ้นอยู่กับว่าคนๆหนึ่งจะรู้วิธีสร้างและจัดการกับความมีหรือไม่มีนั้นอย่างไรในช่วงชีวิตของเขา
             พ่อเองเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาลืมตาขึ้นก็สูดหาความรักไม่เจอเลย พ่อถูกเลี้ยงมาด้วยอาหารและอากาศแต่ไม่เคยได้ความรักและอาทร   อาทรที่พ่อมีต่อลูกนั้นคลุกเคล้าอยู่ในทุกเม็ดข้าวที่พ่อป้อน ทุกอากาศที่พ่อหายใจล้วนมีลูกอยู่เสมอ ลูกเองคงเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่พ่อไม่สามารถรดรินความรักให้เติบโตไปได้ตลอดชีวิตของลูก แต่พ่อมั่นใจว่าลูกคือสิ่งมีชีวิตไม่กี่อย่างที่พ่อรักตลอดช่วงชีวิตของพ่อที่เหลืออยู่ คงเป็นธรรมดาของโลก ปริมาณความสุขในช่วงชีวิตเรามีมากพอจะปลูกต้นไม้สักล้านต้น แต่ไม่เพียงพอจะรดน้ำต้นไม้สักต้นไปตลอดช่วงชีวิตของมัน มีความรักเกิดขึ้นทุกวันเวลาบนโลกใบนี้ในแสงแดด ในสายฝน ในลมหนาว น่าแปลกที่ความรักมีอย่างเหลือเฟือแต่เรากลับพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ใครทุกคนบนโลกรักเรา มันยากพอกันกับที่เราจะรักใครทุกคนบนโลกได้  แม้เราจะอยู่โลกใบเดียวกัน......แต่ราวกับว่าเรากับเขาอยู่กันในโลกคนละใบ
           ความหมางเมินบางประการที่ลูกมีต่อพ่อ พ่อเองไม่เคยน้อยใจ ความทรงจำของพ่อที่มีต่อลูกไม่ได้ถูกทาทับด้วยกลางวันและกลางคืนจนซีดจางเหมือนภาพถ่ายที่ถูกกาลเวลาทับถม ความทรงจำของพ่อแม้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ยังพอมีความสุขมาคละเคล้า มันทับถมกันคล้ายใบไม้และซากสัตว์บ่มเพาะจนเกิดแร่ธาตุอันมีค่าต่อตัวพ่อบ้าง
 
ผมอ่านถึงตรงนี้น้ำตาผมเริ่มเอ่อรดลงรอยหยดน้ำตาเดิมของพ่อบนกระดาษ
ผมอ่านต่อ.......
 
          ในความเปลี่ยวเหงา พ่อเคยประทังชีวิตด้วยอาหารเหลือในกองขยะ แต่กระนั้นพ่อก็โตขึ้นมาได้บนเส้นทางชีวิตทอดยาวที่ไม่เคยร้างผู้คน โตขึ้นหน่อยพ่อถูกพาเข้าไปในสถานสงเคราะห์ที่นั่นพ่อเริ่มอ่านเขียน และเริ่มรู้จักประกอบอาชีพ  พ่อเองไม่มีโอกาสได้รู้จักผู้ให้กำเนิด แต่พ่อไม่เคยร่ำหา คงเป็นด้วยความคุ้นชิน เมื่อคนเราออกมาจากครรภ์ พื้นที่บนโลกกว้างใหญ่ แม้ไม่อบอุ่นเท่าในครรภ์ แต่ก็มีพื้นที่ให้กระโดดโลดเต้นและมีที่ว่างพอให้ดิ้นทุราย แม้โลกจะกว้างและบางครั้งหนาวหรือร้อนเกินไปสำหรับตัวคนเดียวแต่นั้นทำให้ขาเราแข็งแรงและเริ่มเดินไปหาที่อบอุ่นและเย็นพอดีสำหรับเราในที่สุด..........
 
หากพ่อเป็นแก้ว ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่าแก้วนี้ได้มาจากทรายหาดไหน เหมือนของเหลวที่อยู่เบื้องหน้าผมในวันนั้น ผมรู้แค่ว่ามันทำให้ผมรับรสเมาแต่ไม่เคยตั้งคำถามว่าเหล้านี้หมักมาจากข้าวทุ่งใด
 
 
 ผมรู้ดีว่าลายมือในจดหมายนี้ไม่ใช่ของพ่อ เพราะในระยะหลังพ่อป่วยด้วยอาการแขนขาลีบอีกทั้งยังมีโรคหัวใจ พ่อคงวานให้คนอื่นช่วยเขียน แต่เนื้อความในจดหมายเป็นของพ่อแน่...
 
ผมอ่านในความต่อมา.....
 
          พ่อพบเจอผู้หญิงคนหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อสัมผัสได้ถึงความรัก เรารักกันและจากกันไป เธอจากไปด้วยโรคร้าย  ก่อนจากเธอให้กำเนิดพื้นที่ใหม่ พ่อค้นพบพื้นที่อบอุ่นเมื่อหนาวเหน็บและพบที่เย็นเมื่อร้อนใจ นั้นคือแม่ของลูก ต่อมาเธอจากไปกับใครอีกคนและเขาคนนั้นเป็นผู้ให้กำเนิดลูก    ไม่นานแม่กลับมาและนำลูกมาฝากไว้ เธอบอกว่า ขอฝากลูกไว้กับพ่อแล้วเธอจะกลับมา แต่เธอไม่เคยกลับ ลูกเองก็รู้อยู่แล้วว่าลูกไม่ได้เกิดจากพ่อ ลูกเกิดจากใครคนที่เป็นพ่อแท้ๆ
           แต่ลูกเอย...นับแต่นั้นพ่อค้นพบพื้นที่ใหม่อีกครั้ง พื้นที่ๆหัวใจมีแต่ให้ พ่อเองไม่รู้เลยว่าใครกันกำหนดเขียนบทชีวิตของพ่อ หลายครั้งพ่อนึกก่นด่าแต่หลายคราก็ต้องขอบใจเขาอยู่เหมือนกันที่ทำให้พ่อได้รู้ความหมายของการมีอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว
 
ผมรู้ดีว่าท่านไม่ใช่พ่อของผม ท่านเป็นคุณตา แต่ผมเรียกว่า “พ่อ”
ผมอ่านความสุดท้ายในฉบับ.........
 
 
                    ท้ายนี้......พ่อเคยคิดว่าน้ำตามันมีค่าเพราะเราได้ปลดเปลื้องวาระบางอย่างในชีวิตและพ่อร้องอยู่อย่างนั้นจนเถาวิญญาณมันเหี่ยวเฉาในร่างกายที่พอจะเรียกว่าเป็นคน พ่อรู้จักมันดี...... รู้ว่าน้ำตามันไม่เคยพามือตีนและสมองของพ่อให้เขยื้อนไปหาสิ่งที่มีค่ากว่ามาซับความเจ็บปวด แล้ววันหนึ่งลูกก็เป็นเหมือนผ้าซับน้ำตา ซับความเจ็บปวดบางอย่างที่พ่อสูญเสีย  พ่อไม่รู้เลยว่าพ่อจะจากโลกใบนี้ไปอย่างจนความรักจากคนอื่นหรือไม่  แต่นั้นไม่สำคัญเพราะพ่อร่ำรวยความรักที่พ่อสะสมมาทั้งชีวิตนี้เพื่อให้ลูก   การที่พ่อจดหมายมานี้เพื่อบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อคิดถึงลูกและรักลูกเสมอ
                                                                                                                                  คิดถึง.......
                                                                                                                                           พ่อ
 
ทุกหยดน้ำตาบนโลกล้วนมีเรื่องราว.....แม้กระดาษบางไม่พอจะรองรับน้ำตาหลายหยด..แต่หนาพอจะรับเรื่องราวที่หนักกว่าฝนทุกห่าบนโลกใบนี้
 
 
ผมพับจดหมายเก็บเข้าซอง ยันกายลุกขึ้น ปลดกลอนประตูด้วยใจที่เปิดอีกครั้ง
 
เป็นเวลากว่าหกเดือนมาแล้วที่พ่อไม่เคยเห็นหน้าผม แม้ผมจะอยู่บ้านเดียวกับพ่อตลอดเวลา
พ่อเข้าใจว่าผมไม่ได้กลับบ้าน
 
พ่อล้มป่วยมาสองปีแล้ว ด้วยความเห็นแก่ตัวของผม ผมพยายามออกห่างหลายครั้ง.....แต่ครั้งนี้ยาวนานที่สุด
 
ผมจ้างคนมาดูแลพ่อแทน และบอกกับคนรับจ้างว่าอย่าให้พ่อรู้ว่าผมอยู่บ้าน ผมมีภรรยา ผมคิดจะไปอยู่กับเธอ และไม่เคยคิดจะดูแลพ่อไปตลอด
 
เหตุที่ผมหลอกว่าไปธุระนั้นเพียงเพราะว่าผมพูดน้าวให้พ่อไปอยู่บ้านพักคนชรา แต่พ่อไม่ยอม ตัวผมเองก็ไม่อยากต้องมาติดกับพ่อ การดูแลใครสักคนก็เหมือนกับเราเอาโซ่มาล่ามผูกติดสิ่งนั้นไว้ ผมต้องการชีวิตของผม ผมคิดริยำถึงเพียงนั้น!
 
คำที่ผมหลอกพ่อเมื่อหกเดือนที่แล้วคือ
 
“เดี๋ยวผมฝากพ่อไว้กับเขาก่อนนะ ผมไปธุระ สักพักผมจะกลับ"
 
แต่ผมไม่เคยไปและไม่เคยกลับจนกระทั่งวันนี้
 
บางใบบังยอดบางใบบังดอกผล ผมคิดจะโค่นไม้นี้ด้วยไม่สนใจร่มเงาและมองหาแต่ดอกผล
 
กลับกันกับพ่อ พ่อแค่ต้องการพื้นที่เพียงน้อยนิดสำหรับร่มเงาและไม่เคยหวังใดในดอกผล
พ่อจึงดูแลไม้เนรคุณต้นนี้จนเติบใหญ่
 
 
     ผมเดินไปที่ห้องพ่อ เปิดประตูบานที่พ่อไม่เคยลงกลอน คล้ายว่าพ่อต้อนรับผมอยู่เสมอ ด้วยใจที่ไม่เคยลงกลอน
 
“ผมกลับมาแล้วพ่อ”    ผมพูดอย่างนั้น
ผมจรดหัวลงแทบเท้าพ่อที่วางอยู่ปลายเตียง
 
คนบางคนเขาหัวสูงขนาดก้มหัวเสมอตีนผู้เป็นพ่อไม่ได้ ผมก็หัวสูงแต่วันนี้ผมก้มหัวต่ำเสมอตีนพ่อ
ผมไม่แน่ใจเลยว่าจะทำให้ชีวิตผมดีขึ้น.......แต่ผมแน่ใจที่สุดว่าพ่อต้องรู้สึกดีขึ้น
 
พ่อยิ้มให้แล้วถามคำถามที่เคยถามประจำ  ”กินข้าวกินปลาหรือยัง?”
 ผมไม่ตอบอะไร แค่มองตาพ่อแล้วยิ้มตอบและเดินกลับออกมา
ก่อนพ้นประตู พ่อเอ่ย  ”พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”
 
          ผมก็เหมือนกับหลายๆคนที่คิดว่า การมีอยู่ของสิ่งปกติ ก็เหมือนกับยามเช้าทักทายและยามเย็นร่ำลา น้อยครั้งเราจะคิดขอบคุณหรือสนใจการมีอยู่ของสิ่งธรรมดาสามัญนี้ แต่ผมคิดผิดเมื่อการมีอยู่นี้จากไป ผมจึงตระหนักว่านี้คือปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่จะไม่เกิดขึ้นแล้วในชั่วชีวิตนี้ของผม
 
รุ่งเช้ามาพ่อสิ้นลม .........
 
ในหลายๆประโยคเรามักเลือกจำในประโยคพิเศษ
แต่ประโยคธรรมดาสามัญยังก้องอยู่ในโสด เพราะมันเป็นประโยคสุดท้าย
“พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”
ชีวิตคนเราพร้อมเสมอที่จะพบเจอแต่ไม่เคยพร้อมกับการจากไป......
 
หลายปีให้หลังผมป่วยด้วยเส้นโลหิตในสมองแตกและเป็นอัมพาต ภรรยาทิ้งผมไว้ให้ลูกชายดูแล
เป็นเวลานานแล้วที่ผมทำไม่ได้แม้แต่จะเอื้อนเอ่ย.....
 
ผมมองดูรูปถ่ายซีดจางที่กาลเวลาทับถม แต่ความทรงจำไม่เคยถูกทาทับ
 
          ใครบางคนพอใจจะทิ้งคุณค่าบางประการมากกว่ารูปถ่ายงดงามบนผนังบ้านตัวเอง
.....ภาพถ่ายจะถูกปลดเมื่อความงามบนภาพถ่ายนั้นถูกทาบทับโดยกลางวันและกลางคืน....
ด้วยสันดานความเมยเฉยและไม่แยแสต่อสิ่งใดของกาลเวลา มันโหดร้ายขนาดพรากคนที่เรารัก แต่มันก็ใจดีอยู่บ้างด้วยการมอบโอกาสบางอย่างให้เรา…. โอกาสที่เราจะทำความเข้าใจกับชีวิต
 
ลูกชายของผมปลดรูปนั้นลงและแทนที่ด้วยรูปทะเลสดใส
 
เขาหันมาบอกกับผม   “เดี๋ยวผมฝากให้คนมาดูแลพ่อสักพักนะ ผมมีธุระหลายวัน”
 
                              ผมมองดูรูปทะเล
                              ใจผมดั่งผิวทะเล
                              แม้ในยามลมสงบ
                              ยังปรากฏริ้วคลื่น
 
 
วิเวกวังเวง วิเหวงโหวง

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา