กุเจี๊ยวผีเสื้อกระบือดอย&ความคิดถึงของดอกซ่อนกลิ่น
7.8
เขียนโดย claymask
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.23 น.
2 บท
2 วิจารณ์
5,288 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 15.29 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) เนื้อเรื่อง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ.
กลุ่มควันจากท่อไอเสียรถทัวร์ กระจายออกเป็นวงกว้าง ลมจากฤดูร้อนพามันม้วนขึ้น กลืนหายไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ครางกระหื่ม
ผมมองซ้ายขวาบ่อยครั้ง เหมือนสัตว์ถูกเจ็บที่ต้องระวังภัยจากพรานแกะรอยผู้ช่ำชอง เด็กหัวเกรียนในเวลากลางวันเช่นนี้ หลายคนคงคิดว่าผมกลัวสารวัตรนักเรียน จริงๆแล้ว ผมกลัวตำรวจน่ะ สายตาผม จดจ้องมอง ทีวี ที่ร้านค้าโชว์ห่วยในบริเวณนั้น -เด็ก สี่คน หนีออกจากบ้านเมตตาในเวลาตีห้าของวันนี้.....- เนื้อความข่าวสั้น ผมอยากหาซื้อหมวกมาสวมอำพราง ในใจพลางคิดถึงเพื่อนอีกสามคนและเชื่อว่า คงจะมีแต่ผมคนเดียว ที่หลบหนีการจับกุมได้อย่างแนบเนียน ไม่ใช่เพราะผมมีของดีติดตัวหรอก แต่เพราะ จุดหมายในการหนีของผมแตกต่างจากของเพื่อนน่ะ
"กูอยากกลับบ้านว่ะ" มันเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ของเพื่อนก่อนที่จะวางแผนหนีออกมา "แล้วมึงล่ะ ไอ้ตุ้ย " "กูไม่รู้ว่ะ อยู่ที่นี่กูก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ออกไปก็ดี ไปสูดอากาศซักพัก เดี๋ยวเขาก็คงหาเราเจอ" "อ้าวไอ้เหี้ยนี่ ปากพาซวย นี่เห็นว่ามึงวางแผนใช้ได้หรอกนะ"
ผมพยายามหาเศษเหรียญทุกซอกทุกมุมของ กางเกงยีนส์ เป็นครั้งที่สามซึ่งคำตอบก็ยังเหมือนเดิม เงินมีอยู่ เจ็บสิบบาท ยังขาดอยู่หลายส่วน ที่จะนำพาร่างกายผมไปถึงจุดหมายที่ใดซักที่ซึ่งผมก็ยังไม่รู้จุดหมาย เหงื่อไหลโทรม เสื้อยืดสีขาวขุ่น ตรงกลางอก ห้อยไว้ด้วย วัตถุมงคลรูปทรงกลมใหญ่ ใครหลายคนยินดีจ่ายค่าบัตรคิว เพื่อที่จะได้บูชาและปล่อยให้คนอื่นๆได้บูชากันด้วยราคาซึ่งแพงขึ้นมามากโข ห้อยแล้วรวยจริงๆ
((น้องชาย ที่ห้อยคอนั่น ขาย หรือปล่าว ผมสะสม ที่ประเทศผมเขาชอบกันมาก)) ชายต่างประเทศหน้าตาใจดี หนวดเครายาวเฟื้อย ร่างสูงใหญ่ ยิ้มแย้มทักทาย
((ที่ประเทศผมเขาไม่เรียกว่า ขาย ครับ เขาเรียกว่าให้เช่า เพื่อไปบูชา)) นี่คงเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ และผู้อบรมที่ สถานสงเคราะห์ชื่นชมในความสามารถของผม ผมสื่อสารภาษาอังกฤษได้พอสมควร
((ใช่ๆ ฉันต้องของโทษด้วย เสียมารยาทจริงๆ ว่าแต่น้องชายให้เช่าหรือปล่าว)) เขายกมือไหว้จรดเหนือหัวก่อนหยิบวัตถุมงคลไปเพ่งดูใกล้ๆ เมื่อผมอนุมัติ
((คุณคิดค่าเช่าบูชาเท่าไร?)) เขายิ้มพร้อมถูมือไปมา ดูท่าเขาร้อนใจพอดู ((สี่พันห้า)) ผมพยายามพูดดึงน้ำเสียงช้าๆ กลั้นหายใจรอฟังคำตอบ
((โอเค))
ผมมีหมวกผ้าใบใหม่ ใส่ให้มันเฉียงไปทางซ้าย ซื้อขนมขบเคี้ยว น้ำเย็นๆซักขวด พร้อมนิตสารอ่านฆ่าเวลาบนรถทัวร์ ผมรู้จุดหมายปลายทางแล้ว ด้วยเงินที่ได้มาจากฝีมือการทำวัถตุมงคลปลอมของ ลุงหนำ ทำให้ผมได้เงินเกินคาด "กรุงเทพ-เชียงราย กรุงเทพเชียงราย" เสียงคนใช้โทรโข่งประกาศเรียก คนเริ่มทยอยขึ้นรถทัวร์ ผมเหลือบไปเห็น พ่อ แม่ และลูกชายตัวน้อย นั่งเยื้องไปทางข้างหน้าผม ลูกชายนอนอมยิ้มบนตักพ่อ หลังจากดื่มนมขวดที่แม่พึ่งชงให้ แสงแดดอ่อนแรง ....... และตัวผมก็เริ่มล้า ผมปิดตาลงก่อนที่ความมืดจะคลืบคลาน ผมมั่นใจว่าคืนนั้นผมไม่ได้ฝัน . . . . . .
หมอกลงที่ดอยหลวง อากาศเย็นจนชื้น เสียงนกร้องระงม ผมเดินตัดบริเวณต้นสนเขาไปจนเจอทางเล็ก ที่ทำการเจ้าหน้าที่ จึงถามถึงลุงหนำว่าอยู่หรือปล่าว เจ้าหน้าที่ชี้ไปตรงน้ำตกปูแกง
ลุงหนำ แกไม่ใช่ลุงแท้ๆของผมหรอก แกรับจ้างทำเต็นท์ให้ที่พักต่างๆ กินบริเวณ สามจังหวัด ลำปาง เชียงราย พะเยา ก่อนหน้านี้ แกเป็นช่างฝีมือ แกะบล๊อคนี่ชำนาญนัก ไอ้วัตถุมงคลที่ผมพึ่งจะขายฝรั่งไปนั่นแหล่ะฝีมือแกล่ะ แกบอกลองทำดู ทำเสร็จแกก็ทำลายบล๊อคเลย ผมแซวแกอยู่บ่อยๆ ว่าทำปลอมซะเหมือน แกโมโหเลยนะ บอกผมว่า -ของจริงโว๊ยไอ้ตุ้ย วัตถุดิบกับวิธีทำนี่เด๊ะๆเลยโว๊ย- ผมบอกแกว่า ปลอมสิลุง ลุงปลุกเสกด้วยเหล้าขาว กับเนื้อเก้ง จะไม่ปลอมได้ไง แกบ่นกระปอดกระแปด อยู่ในลำคอ
ผมเจอลุงหนำที่กรุงเทพ แกมาหาซื้อหนังสือเก่าๆที่จตุจักร หนังสือวิธีการทำเต็นท์ ในนั้นมีวัตถุดิบของผ้าทำเต็นท์ การขึ้นรูป การเก็บ เต็นท์รูปแบบต่างๆ การลงสีผ้า
ผมเดินไปหาหนังสือโป๊แถวนั้น เห็นแกงกๆเงิ่นๆ หนังสือแปลไทย แต่มันก็มีทับศํพท์บางอย่างที่แกไม่เข้าใจ เราเสียเวลาในร้านอาหารที่สวน พอสมควร เลือกร้านที่ฝรั่งมานั่ง และผมก็ถามถึงศัพท์บางคำในนั้นที่ไม่เข้าใจ "ลุงต้องนำเข้า ผ้าใบว่ะ ถ้าจะให้เหนียวทนนาน และแตกต่างจากชาวบ้าน"
"มึงบอกกูที"
"ผมหาข้อมูลพวกแขกแถวพาหุรัดให้ได้ มันนำเข้าผ้าจากจีน น่าจะถูก"
"แขกกับจีน.... และหนังสือฝรั่ง?"
"โลกเราแคบขึ้นไม่ดีหรือลุง"
"แล้วกูจะมีโอกาสปี้อีพวกชาติที่มึงพูดมาบ้างไหมวะ"
"อยู่ที่ว่าเจี๊ยวลุงใหญ่พอรึปล่าว"
"มึงนี่กวนตีน"
ผมได้วัตถุมงคลเป็นสินน้ำใจ จากลุงหนำ ลูกสาวของแขกแถวพาหุรัด เรียนที่เดียวกับผม และก็เป็นเหตุให้ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน เมื่อมดแดงประจำห้องหมั่นไส้ที่มาเกาะแกะ มะม่วงของมัน -ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ทำตัวตามตูดผู้หญิง ไอ้หน้าตัวเมีย- ผมบอกอาจารย์ว่าผมจำเหตุการณ์ไม่ได้ รู้ตัวอีกที หูของมดแดงตัวนั้นก็อยู่ที่ปากผม ใบหน้ามันดูยับเยิน น้ำตาผมไม่มีซักหยด วันต่อมาผมก็มีบ้านใหม่ และคืนนั้นผมฝันร้าย
ลุงหนำนั่งตกปลาอยู่ริมน้ำตก ใกล้ๆต้นเฟินก้านดำ ผมค่อยๆเดินย่องไปข้างหลัง ถอดเสื้อและกางเกงออก เสร็จแล้วก็กระโดดลงน้ำไปใกล้ๆเบ็ดแก
"ไอ้ตุ้ยมึงกวนตีนกูอีกแล้ว มึงไปเล่นที่อื่นไม่เป็นรึ ปลากูหนีหมด" คำทักทายของลุง ที่ไม่ได้เจอผมเสียนาน แทนที่จะบอกคิดถึงกัน
หลังจากนอนเล่นลอยคอ ฟังเสียงกระแสน้ำไหล่เอื่อยผ่านตัวไปซักพัก ตัวผมก็เริ่มสั่นหนาว
"ลุงไม่ไปส่งเต๊นท์รึวันนี้"
"มีแต่งานซ่อมว่ะ แถมซ่อมของคนอื่นด้วย ช่วงบ่ายๆ"
เต็นท์ลุงหนำตอนแรก ก็เจาะตลาดเขายากพอควร แกอาศัยการซ่อมเต็นท์ให้จุดเที่ยวอื่นๆก่อน และพอจะรู้จักเจ้าหน้าที่ในอุทยานต่างๆอยู่บ้าง ไม่นาน ชื่อเสียงความเหนียวทนของเต็นท์แก บวกการเพนท์ลายสวยๆลงบนเต็นท ์ ก็เป็นที่ต้องการของแขกที่มาเที่ยว แค่สามปี แกขยายฐานลูกค้ามาได้สามจังหวัดแล้ว แต่ก็ยังคงเจาะตลาดเชียงใหม่ลำบากอยู่ สามปีมานี่ แกเก็บเงินได้มากโข ออกกระบะใหม่ หาลูกหลานมาดูแลกิจการ ตามสาขาต่างๆ
"ไอ้ตุ้ย ฝรั่งเริ่มขึ้นมาที่นี่เยอะแล้วว่ะ จะว่าไปกูก็ชอบหรอกนะเงิน แต่ก็กลัวที่นี่มันแออัดไปว่ะ"
"ไม่ดีหรือ เผื่อลุงจะได้ปี้ไง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม"
ลุงหนำยิ้มอย่างมีเลศนัย หัวเราะในลำคอ หึๆ
"มึงมาก็ดีแล้ว ร้านกาแฟเปิดใหม่ในหมู่บ้านก่อนเข้าอุทยาน ไม่มีใครพูดฝรั่งได้เลย กูจ้างมึงช่วงมึงปิดเทอมได้ใช่ไหม"
"ได้ซิลุง" ผมยิ้มเหงา เมื่อลุงหนำคิดว่าผมพึ่งจะปิดเทอม จริงๆผมปิดมานานแล้ว
"ว่าแต่ทำไม มึงต้องสักรูปคนหัวเป็น สังคตังไว้ที่หัวไหล่ด้วยฟะ" ลุงหนำถามถึงรูป บ๊อบ มาเล่ย์ที่ผมสักไว้ ตอนอายุสิบสี่
"เขาเป็นคนคิดค้นการทำเต๊นท์น่ะ ลุง คนสำคัญในประวัติศาสตร์"
"เออ แหมคนนี้เองรึที่ทำให้กูพอจะมีกินวันนี้ มีตัวอักษรเขียนไว้ใต้รูปสักด้วยมันแปลว่าไรฟะ ไอ้ตุ้ย"
-NO WOMEN NO CRY-
"ไม่มีมูล หมาไม่ขี้" ผลแปลส่งๆไป
"สงสัยมันมาเที่ยวเมืองไทยแล้วได้โคลงนี้ไป กูนึกว่าฝรั่งมามันจะมาแต่พัฒพงษ์เสียอีก ไปไอ้ตุ้ย กูจะพามึงไปร้านกาแฟจะได้จัดที่นอน" . . . . . . . . . . . โรงเรียนผมยังไม่เปิดเทอมเสียที เมื่อผ่านไปแล้วสี่เดือน ลุงหนำไม่เคยถามถึง เนื่องเพราะลูกค้าฝรั่งเริ่มหนาตามากขึ้นกว่าแต่ก่อน สองเท่าตัว แกถามถึงวัตถุมงคลที่แกเป็นคนทำขึ้นมา ผมบอกไปตามความจริง แกหัวร่อลั่นว่าไม่เสียที หลอกฝรั่งได้
ร้านกาแฟ ซึ่งในตอนนี้ สัดส่วนการขายกาแฟในร้าน ไม่มากเท่ากับขายเหล้าและเบียร์ จากการแนะนำของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เราต่อเติมที่เพิ่ม เปิดเย็นขึ้น จะว่าไปก็คือดึกพอสมควร เปลี่ยนแสงไฟในร้าน จัดให้มันดูมีบรรยากาศคันทรี่เล็กน้อย โต๊ะไม้ยาว ต้นไม้หลากชนิดประดับ กีตาร์สองตัววางทาบแสงไฟหราหน้าเวที วันไหนโชคดี ซินญอ กอนซาเลสที่มาพักเดือนละครั้ง จะมาสีไวโอลินคลอเสียงกีตาร์โปร่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ
วันนั้นผมนั่งเช็ดแก้วไวน์อยู่หน้าเคาท์เตอร์ ดนตรีจากกีตาร์โปร่งยังเล่นคลอเบาๆ เสียงไวโอลิน แหลมหวาน ซินญอค่อยๆคลี่คลายจังหวะด้วยน้ำหนักการเล่น ราวกับเขากำลังล่อวัวกระทิง ด้วยผ้าสีแดง ผมบอกไม่ถูกมันดูมีชั้นเชิง และเมื่อบทเพลงมาถึงท่อนที่เร่าร้อน ราวกับซินญอ หยิบดาบที่ซ่อนไว้หลังผ้าแทงเข้าไปที่จุดตายของกระทิง เสียงคนดูเงียบกริบหลังเพลงจบ สามี ภรรยาหลายคู่ กระซิบกระซาบกันเบาๆใต้แสงเทียนบนโต๊ะ เป็นประโยคที่ผมคุ้นเคยเสมอ เมื่อซินญอ เล่นเพลงจบ -คุณยังจำวันนั้นได้ไหม- อดีตอันหวานหอมของคู่สามีภรรยา ถูกจุดขึ้นมาด้วยการสีไวโอลินของซินญอแค่เพลงเดียว
แล้วเธอก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ทำให้ผมรู้ว่าวันนั้น ฝนตก ผมที่เธอรวบไว้ด้านหลังเปียกหมาดๆ เธอดูสง่าและลึกลับ เสื้อกล้ามสีขาว เว้าหลังเผยให้เห็น รอยสักมังกร น่าจะเป็นศิลปะการวาดและลงสีของญี่ปุ่น กางเกงเดินป่าสี่ส่วนสีขี้ม้า ยังไม่อาจปิดเรียวขา ที่งดงามนั้นได้ แขกผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้านทั้งหลาย ดูจะปรับเปลี่ยนกริยาท่าทาง ไปทางกรุ้มกริ่ม ไฟที่โต๊ะเธอดูจะสว่างกว่าโต๊ะคนอื่นๆทั่วไป ผมคิดว่าเธอจะจุดบุหรี่สูบ แต่ก็เปล่า เธอสั่งไวน์จากฝรั่งเศษมาหนึ่งขวด เวลาของผมหยุดชะงักชั่วครู่เมื่อเธอมองมา แวบนึงในความคิด ผมกลับอยากเห็นหน้าตาของแม่ผู้ให้กำเนิดผม
ในขณะที่ผมตกอยู่ในภวังค์ มีเสียงหนึ่งเล็ดรอดเข้ามาผ่านรูหูของผม เป็นเสียงชายแก่ๆ แถวหลังเคาท์เตอร์
"อยู่ที่ว่าเจี๊ยวมึงใหญ่พอรึปล่าว" กระแสน้ำเสียงเจือความกวนตีนไม่น้อยในความคิดผม
ผมยังจำวันนั้นได้ แม้เสียงไวโอลินจาก ซินญอ กอนซาเลส จะยังดูห่างไกลออกไปก็ตามที
. . . . . . . . . .
เธอพักอยู่หลายวัน เช่าเต็นท์ในอุทยาน เดินชมธรรมชาติ ตกเย็นก็มานั่งฟังเพลง จิบไวน์ การคงอยู่ของเธอในหลายวันมานี้ ทำให้ผมต้องช่วยตัวเองบ่อยครั้ง แก่นกายผมแข็งตัวเร็ว และก็สิ้นสุดเร็ว อย่างน้อยในวัยหนุ่มนี้ก็ทำให้ผมฟื้นตัวเร็วเช่นกัน ผมช่วยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนใบหน้าเธอพร่าเลือน
"ชื่อตุ้ยใช่ไหม"
"ครับ" ผมสงสัยเล็กน้อยที่อยู่ดีๆเธอก็เดินเข้ามาทัก
"พี่คุยกับลุงหนำแล้ว ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้เธอเตรียมตัว ไปอินเดียได้เลยนะ"
ได้ความว่า เธอสนใจเต็นท์ที่ลุงแกทำ จะส่งไปขายต่างประเทศ แบ่งเงินให้ลุงหนำตามสมควร ผมพูดอังกฤษได้ และลุงหนำก็ให้เครดิตผมย่างล้นหลาม 'มันถึงกับสักรูป คนที่คิดค้นการทำเต็นท์ไว้ที่หัวไหล่เชียวนะครับคุณผู้หญิง'
เธอต้องการให้ลูกค้ามั่นใจ และสินค้าดูมีที่มา เธอต้องการคนมีความรู้ในเรื่องเต็นท์และพูดอังกฤษพอได้ ผมใช้เวลา สามวัน ตระเวณไปกับลุงหนำ จัดฉากให้ชาวเขาใส่ชุดตามเผ่า แล้วทำท่าลงมือวาดรูปบนผืนผ้าใบ อีกสองวัน ผมให้ชาวเขาขี่ช้าง แล้วให้ถือพานเงินสลักลวดลาย มีเต็นท์ที่เพนท์แล้ว วางไว้บนพานนั้น
จากรูปถ่ายที่จัดฉาก เต็นท์ลุงหนำดูมีประวัติศาสตร์ หรือความขลังอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น วันพรุ่งนี้ต้องเดินทาง ผมเตรียมจัดข้าวของ
"แล้วทางนี้ใครจะช่วยลุงล่ะ" ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ลุงหนำยิ้มอย่างมีเลศนัยเหมือนวันนั้น ข้างตัวแกมีหญิงวัยกลางคนชาวฮอลแลนด์รูปร่างท้วมนั่งอยู่ข้างๆ ผมพึ่งจะสังเกตุ เพราะเธอคนนี้แวะมานั่งที่ร้านบ่อย โดยแกปรากฏตัวเวลาใกล้เคียงกับ ลุงหนำเสมอ
"รุด กุลลิท" อยู่ดีๆลุงหนำแกก็เอ่ยทะลุกลางป้องขึ้นมา
"อะไรของลุงวะ รุดกุลลิท"
"กูแค่รู้ว่าเธอเป็นคนฮอลแลนด์ และคนฮอลแลนด์ที่กูรู้จัก ก็มีอยู่คนเดียว กูพูดประโยคนั้นทักเธอ" [***รุด กุลริท นักฟุตบอลทีมชาติฮอลแลนด์ที่เคยพาทีมชาติไปถึงแชมป์ยูโร ปี 1988 ด้วยทรงผมทรงงูเก็งกองและด้วยการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ***]
"แต่ก็อย่างที่มึงว่าวะไอ้ตุ้ย อะไรก็ไม่สำคัญเท่าขนาดเจี๊ยว"
"ผมรู้มาตั้งนานแล้ว ว่าพวกฝรั่งมันชอบของแปลก"
"แต่ตอนนี้กูก็พูดอังกฤษพอได้และฟังเข้าใจมากขึ้นนะโว๊ย เช่น Women แปลว่าผู้หญิง Cry แปลว่า ร้องไห้"
"ถือว่าได้อาจารย์ดี" ผมเหน็บเล็กๆ
"อายครูไม่รู้วิชา อายภรรยาไม่มีบุตร แต่ถ้าเอาครูมาเป็นภรรยาจะได้ทั้งวิชาและบุตร" ลุงหนำพูดหน้านิ่งๆ เหมือนปราชญ์สอนหนังสือ
"ลุงหนำแม่งมีปรัชญา"
ลุงหนำกระดกเหล้าขาวเข้าปากอึกสุดท้าย พูดคำว่า 'วัวล่า' เลียนแบบ ซินญอ กอนซาเลส หลังเล่นเพลงจบ แกจูงมือสาวฮอลแลนด์ลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ประตูร้าน
"คืนนี้กูไม่ต้องการปรัชญา ขอแค่ ไวอะกร้าซักเม็ด"
แกหันมาพูดกับผมก่อนเดินจากไป ผมรู้สึกว่าคืนนี้หนาวเหมือนเมื่อคืนก่อนที่ผ่านๆมา . . . . .
รุ่งเช้า เธอคนนั้นขับรถส่งผมไปที่สนามบินเชียงใหม่ พาสปอร์ตและวีซ่า เตรียมไว้พร้อม มันเป็นชื่อใหม่ เธอบอกกับผมว่า ลุงหนำรู้แล้วว่าผม หนีออกจากบ้าน เมื่ออ่านจากหนังสือพิมพ์ มีรูปผม ชื่อผมกับเพื่อนอีกสามคนหรา เธอจัดเตรียมให้ใหม่หมด รวมทั้งประวัติผมด้วย
'ตุ้ยยังต้องเรียนรู้อีกมาก' เธอบอกผมอย่างนี้
เรานั่งซักซ้อม การพูดคุยเมื่อเจอลูกค้า กลิ่นหอมของเธอทำแก่นกายผมผงาดอีกครั้ง เสื้อเธอคอลึกจนเห็นร่องอก ชุดชั้นในลูกไม้สีดำ เวลาเธอเอาผมไปทัดที่หู กริยาเธองามงดหมดจด ผมลืมการพูดคุยในรถ เอาแต่จินตนาการถึงตอนร่วมรักกับเธอ
เธอมองหน้าผม เมื่อเธอเห็นว่าผมเอาแต่จ้องอกเธอ ผมหน้าแดงซ่าน 'กลับมาพี่จะสอนให้ทุกอย่าง เธอยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ' เธอลูบหน้าผมช้าๆ ดูอบอุ่นอ่อนโยน
เธอหันมาพูดกับผมก่อนผมลงจากรถเข้าสนามบิน "พี่ชื่อ ดา นะ" . . . . . ไม่น่าเชื่อว่า การพูดคุยครั้งแรกที่อินเดีย ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี บางทีผมอาจจะไม่ได้พูดอะไรเลย รูปภาพที่ถ่ายมามันพูดแทนหมดแล้ว ล๊อตแรกที่สั่ง เพียงพอจะให้ผมกับ ลุงหนำมีเงินใช้แบบพอเพียงเป็นปีๆ
พี่ดาขึ้นมาที่ ร้านกาแฟในอีกสองอาทิตย์ต่อมา ผมยิ้มหน้าบาน รีบรายงานผลให้พี่ดาฟัง
"เล่าเรื่อง คงคา แม่น้ำแห่งชีวิตให้พี่ฟังหน่อย" พี่ดา ดูจะไม่สนใจเรื่องค้าขายที่ผมพึ่งทำสำเร็จเลย
ค่ำนั้นในห้องของผม พี่ดาเรียกผมเข้าไปในห้องอาบน้ำ ผมสั่นไม่ใช่ด้วยไอน้ำ พี่ดาหันหลัง....เธอบอกถูหลังให้พี่ที รอยสักรูปมังกร เลื้อยไล่จากแผ่นหลังจนเกือบถึงลำคอ ผมถูที่หลังเธอเบาๆ
พี่ดาจับมือผม มาด้านหน้าและบีบไปที่หน้าอกของพี่ดา สบู่เหลวลื่น แต่เมื่อถูไปที่หน้าอกพี่ดา หัวนมก็เป็นจุดที่นิ้วผมสะดุด เมื่อถูไถไปมา ท่อนผมแข็งและร้อ***เซ็นเซอร์***นราวกับเหล็กตีดาบ และมันบดเบียดไปกับแนวสะโพกของพี่ดา พี่ดาครางเบาๆ เอามือเอื้อมมาข้างหลังลูบไล้แก่นกายผมอย่างทะนุถนอม เวลาผ่านไปแช่มช้า จนกระทั่งพี่ดาหันหน้ามา ผมเธอเปียก รูปปากดูสวยงาม ลิปสติกยังล้างไม่หมดจด เธอมองที่รอยสัก นักคิดค้นเต็นท์ของผม และเราก็เริ่มหัวเราะ จนกระทั่ง พี่ดาจับแก้มผมด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้ลิ้นลากช้าๆ จากลำคอของผม ผ่านหน้าอก พี่ดาดูดขบเม้มมัน แก่นกายผมมีปฏิกริยาแทบระเบิด ผมหลับตาแล้ว
ลิ้นพี่ดา เลียตวัดตรงหัวหยัก น้ำจากฝักบัวยังราดรดที่ตัวเราสอง ผมเผลอบดเอว แทงแก่นลึกจนสุดคอพี่ดา เธอครางอย่างพึ่งพอใจ ใช้ลำคอบีบรัดเป็นจังหวะอย่างช่ำชอง ผมจิกผมพี่ดาแน่น และเริ่มครางไม่เป็นภาษา พี่ดาถอนป***เซ็นเซอร์***ากจากท่อนผม และใช้มือชักมันอย่างแรงและเร็ว ผมรู้สึกเจ็บนิดๆ ความสุขกับความเจ็บปวดเป็นของคู่กันมีใช่หรือ น้ำรักผมกระฉูด หลั่งถั่งท้น เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พี่ดาอ้าปากรอ น้ำเหนียวบางส่วนเปรอะผมพี่ดา ตรงปลายเส้น ส่วนใหญ่จะละเลงไปบนใบหน้าเธอ หัวหยักผมผงกเมื่อเสร็จ พี่ดา อมและดูดมันอีกครั้งทำความสะอาด
"เสร็จเร็วจัง นี่เคยเอาผู้หญิงมาบ้างไหมเนี่ย"
"เคยครับ" ผมโกหก แต่หน้านี่แดงฉาน
เราไปต่อกันที่เตียง ครั้งที่สอง ผมเสร็จช้าพอควร พี่ดาโกนขนตรงนั้นซะเกลี้ยง เธอสอนให้ผมใช้ลิ้น เธอสอนให้ผมเล้าโลม
เสียงพี่ดา ครางสุดกระสันต์ เมื่อผมขยับเอวเร็วขึ้นเล็กน้อย ในท่านอน เธอบอกจะถึงแล้ว จะถึงแล้ว และครางลั่นไม่เป็นภาษา ผมทนเสียงนั่นไม่ไหว ปล่อยให้มันทะลักทลายอีกครั้ง คราวนี้พี่ดาหยุด จ้องหน้าผม "นี่ก็เป็น อีกมารยา ของหญิง จำไว้ให้ดีนะตุ้ย" . . . . . . . . อีกสองอาทิตย์ ผมต้องไปญี่ปุ่น และเหมือนเคยการเจรจา ราบลื่น "ตุ้ยเห็น ภูเขาฟูจิรึปล่าว เธอค่อนข้างขี้อายนะ ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นง่ายๆ" พี่ดาก็ไม่เคยฟังเรื่องงานของผมเลย
ช่วงนี้ลุงหนำ ทำงานราวกับทาสผิวดำในเมืองคนขาว "ไม่มีเวลากระทั่งจะปี้ มึงไม่ต้องเอาออร์เดอร์มาขนาดนี้ก็ได้ไอ้ตุ้ย กูเหนื่อย"
ฝนเริ่มลงเม็ดหนักในเดือนนี้ พี่ดาโทรมา มีงานเรื่องเต็นท์ให้ผมไปเจรจาอีกครั้ง ยอดเขาสูงชันที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เทือกเขาอะคอนคากัว ผมสวมเสื้อหลายชั้นด้วยความหนาว ปากหายใจเป็นไอ การเจรจาคราวนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ผมบอกพี่ดาว่า เป็นเพราะชาวบ้านกลัวข่าวลือเรื่องโจรบนภูเขา ไม่มีกะใจจะซื้อเต็นท์ แต่เหตุผลที่แท้จริง เพราะผู้เฒ่า ยูเร แห่งเทือกเขานั้น อนุรักษณ์นิยม แกยังใช้กระโจมของแกด้วยความภูมิใจ ไม่ยอมใช้ของนอก
"เสียงขลุ่ยไผ่ ของผู้เฒ่าเป็นอย่างไร" พี่ดาถาม "งดงามเหมือน ร่องหลืบ ของพี่ดา" ผมตอบทะลึ่ง
-----------------------------------
ฝนยังไม่หยุดตก ร้านกาแฟคนเบาบาง ชายร่างสูงใหญ่ เดินเข้ามาในร้าน ร่างกายเปียกปอน เขายังคงยิ้มอย่างร่าเริง ดูอารมณ์ดี หนวดเคราของเขาถูกโกนเกลี้ยง มีเพียงวัตถุมงคลกลมใหญ่ ที่ทำให้ผมจำเขาได้ มือเขาสั่น แต่ปากเขาพูดชัดเจน ((เตกิล่าขวดนึงครับ))
เขาจงใจนั่งโต๊ะเดียวกับผม หญิงวัยกลางคนชาวฮอลแลนด์ผู้ดูแลร้านยกเหล้ามาเสริฟร์
((ผมขอเพลง กับนักดนตรีได้ไหม)) ชายร่างใหญ่พูด ((เพลงอะไร)) หญิงฮอลแลนด์ถาม
"No women No Cry"
เมื่อเตกีล่าเข้าปาก มือเขาหายสั่น และเขาก็เริ่มพูดกับผมช้าๆ ((ผมจำคุณได้ คุณขายสิ่งนี้ให้ผม)) เขาชูอวด ((ใช่))
((มันเป็นของปลอม))
((ใช่)) ผมไม่กล้าโกหก
((คุณรู้ไหม อย่างน้อยผมก็ศรัธธาว่ะ จริงหรือปลอมมันอยู่ที่ใจ ทำใจยอมรับมันได้หรือปล่าว ก็แค่นั้น ผมไม่โกรธคุณนะ)) ชายร่างใหญ่บอก ผมหันไปขอแก้วเพิ่ม พร้อมบอกชายร่างใหญ่ว่า ขวดนี้ขอเลี้ยง
((คุณมีความหลังกับเพลงนี้รึ)) ผมถาม ((มากๆ เป็นที่สุด)) เขาปรบมือหลังเพลงจบ นักร้องร้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในความคิดผม
ผมเล่าให้เขาฟังเช่นกัน เมื่ออายุสิบสี่โดนผู้หญิงหักอก ตอนแรกกะสักแค่บ๊อบมาเล่ย์ แต่พี่ที่สักเห็นร้องไห้ไม่หยุดเลยเพิ่มประโยคใต้รูปให้ฟรี ในขณะที่ผมพูดคุยเรื่องธุระของ เขาว่ามาเที่ยว หรือมาดูลู่ทางธุรกิจ ประตูร้านก็เปิดออก พี่ดาทำให้ผมรู้ว่า ฝนหยุดตกแล้ว
((เสตลล่า!!!!! ในที่สุดผมก็หาคุณเจอ)) ชายร่างใหญ่ทานเสียงดังเมื่อมองไปยังทิศทางที่พี่ดาเดินมาหา
((คุณมาหาฉันทำไม)) พี่ดาเอ่ยเสียงเรียบๆ
((ผมคิดถึงคุณ)) . . . . . . . . ความคิดถึงของชายร่างใหญ่ มาพร้อมกับฤดูฝน เจือกลิ่นดินที่ลอยมาหลังฝนโปรย เขาเป็นศัลยแพทย์ชื่อดัง และพี่ดา หรือ สเตลล่า หรือ ชื่ออะไรอีกหลายชื่อ ตามแต่เธอต้องการจะเปลี่ยน เป็นลูกค้าของเขา จะว่าไปมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ประหลาด เขาซ่อนความเป็นชายของพี่ดาเอาไว้ได้มิดชิด หรืออีกนัยน์หนึ่ง เขาปลดปล่อยความเป็นหญิงของพี่ดา การผ่าตัดแปลงเพศ ของพี่ดา สมบูรณ์แบบมาก โดยเฉพาะตรงร่องหลืบนั้น หลายคนในวงการแพทย์ ถือว่ามันเป็นศิลปะขั้นสูง นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นธรรมชาติ กระทั่งภายในเมื่อเขาทดลองใช้แล้วเขาพบว่า มันคือของจริง มันมีกล้ามเนื้อ การบีบรัด และการคลาย จะมีก็แต่น้ำหล่อลื่น น้ำรัก และความตื้นของช่อง ที่ไม่สามารถทำให้เหมือนจริงได้ เขาบอกผมว่า เป็นธรรมดาที่เด็กประสบการณ์น้อยอย่างเธอจะไม่รู้
-เธอยังต้องเรียนรู้อีกมาก- เสียงพี่ดาดังแว่วที่หูผมข้างซ้าย -จริงหรือปลอมมันอยู่ที่ใจ ทำใจยอมรับมันได้หรือปล่าว ก็แค่นั้น- เสียงเขาเข้าไปที่หูขวา ความรู้สึกของผมตอนนี้ คงเหมือนกับกระทิงที่ถูกล่อลวงด้วยผ้าสีแดงสด และมาธาร์ดอร์ก็ค่อยๆเสียบดาบเข้ามาตรงจุดตายของผมช้าๆ
พี่ดาจากเขามา เมื่อเขากลับไปหาภรรยาเก่า นับแต่นั้นมา เขาบอกผมว่า เขาผ่าตัดตรงส่วนนั้นไม่ได้อีกต่อไป เพราะเมื่อคิดถึง ผลงานอันแสนสมบูรณ์แล้ว มือจะสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ต้องใช้เหล้าช่วย ซึ่งลูกค้าก็หมดความศรัธธา ((ผมหย่ากับเมียแล้ว)) เขาบอกพี่ดา โดยมีผมเป็นพยาน
พี่ดาน้ำตาไหล เขาคนนั้นคือผู้ชุบชีวิตให้พี่ดาให้เป็นในสิ่งที่เธออยากเป็น
เฉกเช่นเดียวกับพี่ดา ที่ให้โอกาส และสอนผมในหลายๆเรื่อง พี่ดากอดผมเนิ่นนาน ก่อนจากลา ความบอุ่นจากตัวพี่ดา แผ่ซ่านมาถึงผม แวบนึงในความคิดที่ผมอยากเห็นหน้าของแม่ พี่ดาจากไปในคืนนั้น บอกแค่ว่าคงไม่ได้เจอกันอีก แต่จะมีคนมาดีลงานแทนเธอ ลุงหนำมองผมนิ่งไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่า พี่ดาทำอาชีพอะไรกันแน่
รู้แต่เพียงว่า บ๊อบมาเล่ย์ พูดผิดไปอย่าง เมื่อน้ำตาอาบเสื้อชุ่มไปถึงไหล่ ตัวอักษรใต้รูปสัก มองเห็นจางๆ
----------
กลุ่มควันจากท่อไอเสียรถทัวร์ กระจายออกเป็นวงกว้าง ลมจากฤดูร้อนพามันม้วนขึ้น กลืนหายไปพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ครางกระหื่ม
ผมมองซ้ายขวาบ่อยครั้ง เหมือนสัตว์ถูกเจ็บที่ต้องระวังภัยจากพรานแกะรอยผู้ช่ำชอง เด็กหัวเกรียนในเวลากลางวันเช่นนี้ หลายคนคงคิดว่าผมกลัวสารวัตรนักเรียน จริงๆแล้ว ผมกลัวตำรวจน่ะ สายตาผม จดจ้องมอง ทีวี ที่ร้านค้าโชว์ห่วยในบริเวณนั้น -เด็ก สี่คน หนีออกจากบ้านเมตตาในเวลาตีห้าของวันนี้.....- เนื้อความข่าวสั้น ผมอยากหาซื้อหมวกมาสวมอำพราง ในใจพลางคิดถึงเพื่อนอีกสามคนและเชื่อว่า คงจะมีแต่ผมคนเดียว ที่หลบหนีการจับกุมได้อย่างแนบเนียน ไม่ใช่เพราะผมมีของดีติดตัวหรอก แต่เพราะ จุดหมายในการหนีของผมแตกต่างจากของเพื่อนน่ะ
"กูอยากกลับบ้านว่ะ" มันเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ของเพื่อนก่อนที่จะวางแผนหนีออกมา "แล้วมึงล่ะ ไอ้ตุ้ย " "กูไม่รู้ว่ะ อยู่ที่นี่กูก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ออกไปก็ดี ไปสูดอากาศซักพัก เดี๋ยวเขาก็คงหาเราเจอ" "อ้าวไอ้เหี้ยนี่ ปากพาซวย นี่เห็นว่ามึงวางแผนใช้ได้หรอกนะ"
ผมพยายามหาเศษเหรียญทุกซอกทุกมุมของ กางเกงยีนส์ เป็นครั้งที่สามซึ่งคำตอบก็ยังเหมือนเดิม เงินมีอยู่ เจ็บสิบบาท ยังขาดอยู่หลายส่วน ที่จะนำพาร่างกายผมไปถึงจุดหมายที่ใดซักที่ซึ่งผมก็ยังไม่รู้จุดหมาย เหงื่อไหลโทรม เสื้อยืดสีขาวขุ่น ตรงกลางอก ห้อยไว้ด้วย วัตถุมงคลรูปทรงกลมใหญ่ ใครหลายคนยินดีจ่ายค่าบัตรคิว เพื่อที่จะได้บูชาและปล่อยให้คนอื่นๆได้บูชากันด้วยราคาซึ่งแพงขึ้นมามากโข ห้อยแล้วรวยจริงๆ
((น้องชาย ที่ห้อยคอนั่น ขาย หรือปล่าว ผมสะสม ที่ประเทศผมเขาชอบกันมาก)) ชายต่างประเทศหน้าตาใจดี หนวดเครายาวเฟื้อย ร่างสูงใหญ่ ยิ้มแย้มทักทาย
((ที่ประเทศผมเขาไม่เรียกว่า ขาย ครับ เขาเรียกว่าให้เช่า เพื่อไปบูชา)) นี่คงเป็นสิ่งที่เพื่อนๆ และผู้อบรมที่ สถานสงเคราะห์ชื่นชมในความสามารถของผม ผมสื่อสารภาษาอังกฤษได้พอสมควร
((ใช่ๆ ฉันต้องของโทษด้วย เสียมารยาทจริงๆ ว่าแต่น้องชายให้เช่าหรือปล่าว)) เขายกมือไหว้จรดเหนือหัวก่อนหยิบวัตถุมงคลไปเพ่งดูใกล้ๆ เมื่อผมอนุมัติ
((คุณคิดค่าเช่าบูชาเท่าไร?)) เขายิ้มพร้อมถูมือไปมา ดูท่าเขาร้อนใจพอดู ((สี่พันห้า)) ผมพยายามพูดดึงน้ำเสียงช้าๆ กลั้นหายใจรอฟังคำตอบ
((โอเค))
ผมมีหมวกผ้าใบใหม่ ใส่ให้มันเฉียงไปทางซ้าย ซื้อขนมขบเคี้ยว น้ำเย็นๆซักขวด พร้อมนิตสารอ่านฆ่าเวลาบนรถทัวร์ ผมรู้จุดหมายปลายทางแล้ว ด้วยเงินที่ได้มาจากฝีมือการทำวัถตุมงคลปลอมของ ลุงหนำ ทำให้ผมได้เงินเกินคาด "กรุงเทพ-เชียงราย กรุงเทพเชียงราย" เสียงคนใช้โทรโข่งประกาศเรียก คนเริ่มทยอยขึ้นรถทัวร์ ผมเหลือบไปเห็น พ่อ แม่ และลูกชายตัวน้อย นั่งเยื้องไปทางข้างหน้าผม ลูกชายนอนอมยิ้มบนตักพ่อ หลังจากดื่มนมขวดที่แม่พึ่งชงให้ แสงแดดอ่อนแรง ....... และตัวผมก็เริ่มล้า ผมปิดตาลงก่อนที่ความมืดจะคลืบคลาน ผมมั่นใจว่าคืนนั้นผมไม่ได้ฝัน . . . . . .
หมอกลงที่ดอยหลวง อากาศเย็นจนชื้น เสียงนกร้องระงม ผมเดินตัดบริเวณต้นสนเขาไปจนเจอทางเล็ก ที่ทำการเจ้าหน้าที่ จึงถามถึงลุงหนำว่าอยู่หรือปล่าว เจ้าหน้าที่ชี้ไปตรงน้ำตกปูแกง
ลุงหนำ แกไม่ใช่ลุงแท้ๆของผมหรอก แกรับจ้างทำเต็นท์ให้ที่พักต่างๆ กินบริเวณ สามจังหวัด ลำปาง เชียงราย พะเยา ก่อนหน้านี้ แกเป็นช่างฝีมือ แกะบล๊อคนี่ชำนาญนัก ไอ้วัตถุมงคลที่ผมพึ่งจะขายฝรั่งไปนั่นแหล่ะฝีมือแกล่ะ แกบอกลองทำดู ทำเสร็จแกก็ทำลายบล๊อคเลย ผมแซวแกอยู่บ่อยๆ ว่าทำปลอมซะเหมือน แกโมโหเลยนะ บอกผมว่า -ของจริงโว๊ยไอ้ตุ้ย วัตถุดิบกับวิธีทำนี่เด๊ะๆเลยโว๊ย- ผมบอกแกว่า ปลอมสิลุง ลุงปลุกเสกด้วยเหล้าขาว กับเนื้อเก้ง จะไม่ปลอมได้ไง แกบ่นกระปอดกระแปด อยู่ในลำคอ
ผมเจอลุงหนำที่กรุงเทพ แกมาหาซื้อหนังสือเก่าๆที่จตุจักร หนังสือวิธีการทำเต็นท์ ในนั้นมีวัตถุดิบของผ้าทำเต็นท์ การขึ้นรูป การเก็บ เต็นท์รูปแบบต่างๆ การลงสีผ้า
ผมเดินไปหาหนังสือโป๊แถวนั้น เห็นแกงกๆเงิ่นๆ หนังสือแปลไทย แต่มันก็มีทับศํพท์บางอย่างที่แกไม่เข้าใจ เราเสียเวลาในร้านอาหารที่สวน พอสมควร เลือกร้านที่ฝรั่งมานั่ง และผมก็ถามถึงศัพท์บางคำในนั้นที่ไม่เข้าใจ "ลุงต้องนำเข้า ผ้าใบว่ะ ถ้าจะให้เหนียวทนนาน และแตกต่างจากชาวบ้าน"
"มึงบอกกูที"
"ผมหาข้อมูลพวกแขกแถวพาหุรัดให้ได้ มันนำเข้าผ้าจากจีน น่าจะถูก"
"แขกกับจีน.... และหนังสือฝรั่ง?"
"โลกเราแคบขึ้นไม่ดีหรือลุง"
"แล้วกูจะมีโอกาสปี้อีพวกชาติที่มึงพูดมาบ้างไหมวะ"
"อยู่ที่ว่าเจี๊ยวลุงใหญ่พอรึปล่าว"
"มึงนี่กวนตีน"
ผมได้วัตถุมงคลเป็นสินน้ำใจ จากลุงหนำ ลูกสาวของแขกแถวพาหุรัด เรียนที่เดียวกับผม และก็เป็นเหตุให้ผมถูกไล่ออกจากโรงเรียน เมื่อมดแดงประจำห้องหมั่นไส้ที่มาเกาะแกะ มะม่วงของมัน -ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ทำตัวตามตูดผู้หญิง ไอ้หน้าตัวเมีย- ผมบอกอาจารย์ว่าผมจำเหตุการณ์ไม่ได้ รู้ตัวอีกที หูของมดแดงตัวนั้นก็อยู่ที่ปากผม ใบหน้ามันดูยับเยิน น้ำตาผมไม่มีซักหยด วันต่อมาผมก็มีบ้านใหม่ และคืนนั้นผมฝันร้าย
ลุงหนำนั่งตกปลาอยู่ริมน้ำตก ใกล้ๆต้นเฟินก้านดำ ผมค่อยๆเดินย่องไปข้างหลัง ถอดเสื้อและกางเกงออก เสร็จแล้วก็กระโดดลงน้ำไปใกล้ๆเบ็ดแก
"ไอ้ตุ้ยมึงกวนตีนกูอีกแล้ว มึงไปเล่นที่อื่นไม่เป็นรึ ปลากูหนีหมด" คำทักทายของลุง ที่ไม่ได้เจอผมเสียนาน แทนที่จะบอกคิดถึงกัน
หลังจากนอนเล่นลอยคอ ฟังเสียงกระแสน้ำไหล่เอื่อยผ่านตัวไปซักพัก ตัวผมก็เริ่มสั่นหนาว
"ลุงไม่ไปส่งเต๊นท์รึวันนี้"
"มีแต่งานซ่อมว่ะ แถมซ่อมของคนอื่นด้วย ช่วงบ่ายๆ"
เต็นท์ลุงหนำตอนแรก ก็เจาะตลาดเขายากพอควร แกอาศัยการซ่อมเต็นท์ให้จุดเที่ยวอื่นๆก่อน และพอจะรู้จักเจ้าหน้าที่ในอุทยานต่างๆอยู่บ้าง ไม่นาน ชื่อเสียงความเหนียวทนของเต็นท์แก บวกการเพนท์ลายสวยๆลงบนเต็นท ์ ก็เป็นที่ต้องการของแขกที่มาเที่ยว แค่สามปี แกขยายฐานลูกค้ามาได้สามจังหวัดแล้ว แต่ก็ยังคงเจาะตลาดเชียงใหม่ลำบากอยู่ สามปีมานี่ แกเก็บเงินได้มากโข ออกกระบะใหม่ หาลูกหลานมาดูแลกิจการ ตามสาขาต่างๆ
"ไอ้ตุ้ย ฝรั่งเริ่มขึ้นมาที่นี่เยอะแล้วว่ะ จะว่าไปกูก็ชอบหรอกนะเงิน แต่ก็กลัวที่นี่มันแออัดไปว่ะ"
"ไม่ดีหรือ เผื่อลุงจะได้ปี้ไง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม"
ลุงหนำยิ้มอย่างมีเลศนัย หัวเราะในลำคอ หึๆ
"มึงมาก็ดีแล้ว ร้านกาแฟเปิดใหม่ในหมู่บ้านก่อนเข้าอุทยาน ไม่มีใครพูดฝรั่งได้เลย กูจ้างมึงช่วงมึงปิดเทอมได้ใช่ไหม"
"ได้ซิลุง" ผมยิ้มเหงา เมื่อลุงหนำคิดว่าผมพึ่งจะปิดเทอม จริงๆผมปิดมานานแล้ว
"ว่าแต่ทำไม มึงต้องสักรูปคนหัวเป็น สังคตังไว้ที่หัวไหล่ด้วยฟะ" ลุงหนำถามถึงรูป บ๊อบ มาเล่ย์ที่ผมสักไว้ ตอนอายุสิบสี่
"เขาเป็นคนคิดค้นการทำเต๊นท์น่ะ ลุง คนสำคัญในประวัติศาสตร์"
"เออ แหมคนนี้เองรึที่ทำให้กูพอจะมีกินวันนี้ มีตัวอักษรเขียนไว้ใต้รูปสักด้วยมันแปลว่าไรฟะ ไอ้ตุ้ย"
-NO WOMEN NO CRY-
"ไม่มีมูล หมาไม่ขี้" ผลแปลส่งๆไป
"สงสัยมันมาเที่ยวเมืองไทยแล้วได้โคลงนี้ไป กูนึกว่าฝรั่งมามันจะมาแต่พัฒพงษ์เสียอีก ไปไอ้ตุ้ย กูจะพามึงไปร้านกาแฟจะได้จัดที่นอน" . . . . . . . . . . . โรงเรียนผมยังไม่เปิดเทอมเสียที เมื่อผ่านไปแล้วสี่เดือน ลุงหนำไม่เคยถามถึง เนื่องเพราะลูกค้าฝรั่งเริ่มหนาตามากขึ้นกว่าแต่ก่อน สองเท่าตัว แกถามถึงวัตถุมงคลที่แกเป็นคนทำขึ้นมา ผมบอกไปตามความจริง แกหัวร่อลั่นว่าไม่เสียที หลอกฝรั่งได้
ร้านกาแฟ ซึ่งในตอนนี้ สัดส่วนการขายกาแฟในร้าน ไม่มากเท่ากับขายเหล้าและเบียร์ จากการแนะนำของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เราต่อเติมที่เพิ่ม เปิดเย็นขึ้น จะว่าไปก็คือดึกพอสมควร เปลี่ยนแสงไฟในร้าน จัดให้มันดูมีบรรยากาศคันทรี่เล็กน้อย โต๊ะไม้ยาว ต้นไม้หลากชนิดประดับ กีตาร์สองตัววางทาบแสงไฟหราหน้าเวที วันไหนโชคดี ซินญอ กอนซาเลสที่มาพักเดือนละครั้ง จะมาสีไวโอลินคลอเสียงกีตาร์โปร่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ
วันนั้นผมนั่งเช็ดแก้วไวน์อยู่หน้าเคาท์เตอร์ ดนตรีจากกีตาร์โปร่งยังเล่นคลอเบาๆ เสียงไวโอลิน แหลมหวาน ซินญอค่อยๆคลี่คลายจังหวะด้วยน้ำหนักการเล่น ราวกับเขากำลังล่อวัวกระทิง ด้วยผ้าสีแดง ผมบอกไม่ถูกมันดูมีชั้นเชิง และเมื่อบทเพลงมาถึงท่อนที่เร่าร้อน ราวกับซินญอ หยิบดาบที่ซ่อนไว้หลังผ้าแทงเข้าไปที่จุดตายของกระทิง เสียงคนดูเงียบกริบหลังเพลงจบ สามี ภรรยาหลายคู่ กระซิบกระซาบกันเบาๆใต้แสงเทียนบนโต๊ะ เป็นประโยคที่ผมคุ้นเคยเสมอ เมื่อซินญอ เล่นเพลงจบ -คุณยังจำวันนั้นได้ไหม- อดีตอันหวานหอมของคู่สามีภรรยา ถูกจุดขึ้นมาด้วยการสีไวโอลินของซินญอแค่เพลงเดียว
แล้วเธอก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ทำให้ผมรู้ว่าวันนั้น ฝนตก ผมที่เธอรวบไว้ด้านหลังเปียกหมาดๆ เธอดูสง่าและลึกลับ เสื้อกล้ามสีขาว เว้าหลังเผยให้เห็น รอยสักมังกร น่าจะเป็นศิลปะการวาดและลงสีของญี่ปุ่น กางเกงเดินป่าสี่ส่วนสีขี้ม้า ยังไม่อาจปิดเรียวขา ที่งดงามนั้นได้ แขกผู้ชายที่นั่งอยู่ในร้านทั้งหลาย ดูจะปรับเปลี่ยนกริยาท่าทาง ไปทางกรุ้มกริ่ม ไฟที่โต๊ะเธอดูจะสว่างกว่าโต๊ะคนอื่นๆทั่วไป ผมคิดว่าเธอจะจุดบุหรี่สูบ แต่ก็เปล่า เธอสั่งไวน์จากฝรั่งเศษมาหนึ่งขวด เวลาของผมหยุดชะงักชั่วครู่เมื่อเธอมองมา แวบนึงในความคิด ผมกลับอยากเห็นหน้าตาของแม่ผู้ให้กำเนิดผม
ในขณะที่ผมตกอยู่ในภวังค์ มีเสียงหนึ่งเล็ดรอดเข้ามาผ่านรูหูของผม เป็นเสียงชายแก่ๆ แถวหลังเคาท์เตอร์
"อยู่ที่ว่าเจี๊ยวมึงใหญ่พอรึปล่าว" กระแสน้ำเสียงเจือความกวนตีนไม่น้อยในความคิดผม
ผมยังจำวันนั้นได้ แม้เสียงไวโอลินจาก ซินญอ กอนซาเลส จะยังดูห่างไกลออกไปก็ตามที
. . . . . . . . . .
เธอพักอยู่หลายวัน เช่าเต็นท์ในอุทยาน เดินชมธรรมชาติ ตกเย็นก็มานั่งฟังเพลง จิบไวน์ การคงอยู่ของเธอในหลายวันมานี้ ทำให้ผมต้องช่วยตัวเองบ่อยครั้ง แก่นกายผมแข็งตัวเร็ว และก็สิ้นสุดเร็ว อย่างน้อยในวัยหนุ่มนี้ก็ทำให้ผมฟื้นตัวเร็วเช่นกัน ผมช่วยตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนใบหน้าเธอพร่าเลือน
"ชื่อตุ้ยใช่ไหม"
"ครับ" ผมสงสัยเล็กน้อยที่อยู่ดีๆเธอก็เดินเข้ามาทัก
"พี่คุยกับลุงหนำแล้ว ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้เธอเตรียมตัว ไปอินเดียได้เลยนะ"
ได้ความว่า เธอสนใจเต็นท์ที่ลุงแกทำ จะส่งไปขายต่างประเทศ แบ่งเงินให้ลุงหนำตามสมควร ผมพูดอังกฤษได้ และลุงหนำก็ให้เครดิตผมย่างล้นหลาม 'มันถึงกับสักรูป คนที่คิดค้นการทำเต็นท์ไว้ที่หัวไหล่เชียวนะครับคุณผู้หญิง'
เธอต้องการให้ลูกค้ามั่นใจ และสินค้าดูมีที่มา เธอต้องการคนมีความรู้ในเรื่องเต็นท์และพูดอังกฤษพอได้ ผมใช้เวลา สามวัน ตระเวณไปกับลุงหนำ จัดฉากให้ชาวเขาใส่ชุดตามเผ่า แล้วทำท่าลงมือวาดรูปบนผืนผ้าใบ อีกสองวัน ผมให้ชาวเขาขี่ช้าง แล้วให้ถือพานเงินสลักลวดลาย มีเต็นท์ที่เพนท์แล้ว วางไว้บนพานนั้น
จากรูปถ่ายที่จัดฉาก เต็นท์ลุงหนำดูมีประวัติศาสตร์ หรือความขลังอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น วันพรุ่งนี้ต้องเดินทาง ผมเตรียมจัดข้าวของ
"แล้วทางนี้ใครจะช่วยลุงล่ะ" ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ลุงหนำยิ้มอย่างมีเลศนัยเหมือนวันนั้น ข้างตัวแกมีหญิงวัยกลางคนชาวฮอลแลนด์รูปร่างท้วมนั่งอยู่ข้างๆ ผมพึ่งจะสังเกตุ เพราะเธอคนนี้แวะมานั่งที่ร้านบ่อย โดยแกปรากฏตัวเวลาใกล้เคียงกับ ลุงหนำเสมอ
"รุด กุลลิท" อยู่ดีๆลุงหนำแกก็เอ่ยทะลุกลางป้องขึ้นมา
"อะไรของลุงวะ รุดกุลลิท"
"กูแค่รู้ว่าเธอเป็นคนฮอลแลนด์ และคนฮอลแลนด์ที่กูรู้จัก ก็มีอยู่คนเดียว กูพูดประโยคนั้นทักเธอ" [***รุด กุลริท นักฟุตบอลทีมชาติฮอลแลนด์ที่เคยพาทีมชาติไปถึงแชมป์ยูโร ปี 1988 ด้วยทรงผมทรงงูเก็งกองและด้วยการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ***]
"แต่ก็อย่างที่มึงว่าวะไอ้ตุ้ย อะไรก็ไม่สำคัญเท่าขนาดเจี๊ยว"
"ผมรู้มาตั้งนานแล้ว ว่าพวกฝรั่งมันชอบของแปลก"
"แต่ตอนนี้กูก็พูดอังกฤษพอได้และฟังเข้าใจมากขึ้นนะโว๊ย เช่น Women แปลว่าผู้หญิง Cry แปลว่า ร้องไห้"
"ถือว่าได้อาจารย์ดี" ผมเหน็บเล็กๆ
"อายครูไม่รู้วิชา อายภรรยาไม่มีบุตร แต่ถ้าเอาครูมาเป็นภรรยาจะได้ทั้งวิชาและบุตร" ลุงหนำพูดหน้านิ่งๆ เหมือนปราชญ์สอนหนังสือ
"ลุงหนำแม่งมีปรัชญา"
ลุงหนำกระดกเหล้าขาวเข้าปากอึกสุดท้าย พูดคำว่า 'วัวล่า' เลียนแบบ ซินญอ กอนซาเลส หลังเล่นเพลงจบ แกจูงมือสาวฮอลแลนด์ลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ประตูร้าน
"คืนนี้กูไม่ต้องการปรัชญา ขอแค่ ไวอะกร้าซักเม็ด"
แกหันมาพูดกับผมก่อนเดินจากไป ผมรู้สึกว่าคืนนี้หนาวเหมือนเมื่อคืนก่อนที่ผ่านๆมา . . . . .
รุ่งเช้า เธอคนนั้นขับรถส่งผมไปที่สนามบินเชียงใหม่ พาสปอร์ตและวีซ่า เตรียมไว้พร้อม มันเป็นชื่อใหม่ เธอบอกกับผมว่า ลุงหนำรู้แล้วว่าผม หนีออกจากบ้าน เมื่ออ่านจากหนังสือพิมพ์ มีรูปผม ชื่อผมกับเพื่อนอีกสามคนหรา เธอจัดเตรียมให้ใหม่หมด รวมทั้งประวัติผมด้วย
'ตุ้ยยังต้องเรียนรู้อีกมาก' เธอบอกผมอย่างนี้
เรานั่งซักซ้อม การพูดคุยเมื่อเจอลูกค้า กลิ่นหอมของเธอทำแก่นกายผมผงาดอีกครั้ง เสื้อเธอคอลึกจนเห็นร่องอก ชุดชั้นในลูกไม้สีดำ เวลาเธอเอาผมไปทัดที่หู กริยาเธองามงดหมดจด ผมลืมการพูดคุยในรถ เอาแต่จินตนาการถึงตอนร่วมรักกับเธอ
เธอมองหน้าผม เมื่อเธอเห็นว่าผมเอาแต่จ้องอกเธอ ผมหน้าแดงซ่าน 'กลับมาพี่จะสอนให้ทุกอย่าง เธอยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ' เธอลูบหน้าผมช้าๆ ดูอบอุ่นอ่อนโยน
เธอหันมาพูดกับผมก่อนผมลงจากรถเข้าสนามบิน "พี่ชื่อ ดา นะ" . . . . . ไม่น่าเชื่อว่า การพูดคุยครั้งแรกที่อินเดีย ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี บางทีผมอาจจะไม่ได้พูดอะไรเลย รูปภาพที่ถ่ายมามันพูดแทนหมดแล้ว ล๊อตแรกที่สั่ง เพียงพอจะให้ผมกับ ลุงหนำมีเงินใช้แบบพอเพียงเป็นปีๆ
พี่ดาขึ้นมาที่ ร้านกาแฟในอีกสองอาทิตย์ต่อมา ผมยิ้มหน้าบาน รีบรายงานผลให้พี่ดาฟัง
"เล่าเรื่อง คงคา แม่น้ำแห่งชีวิตให้พี่ฟังหน่อย" พี่ดา ดูจะไม่สนใจเรื่องค้าขายที่ผมพึ่งทำสำเร็จเลย
ค่ำนั้นในห้องของผม พี่ดาเรียกผมเข้าไปในห้องอาบน้ำ ผมสั่นไม่ใช่ด้วยไอน้ำ พี่ดาหันหลัง....เธอบอกถูหลังให้พี่ที รอยสักรูปมังกร เลื้อยไล่จากแผ่นหลังจนเกือบถึงลำคอ ผมถูที่หลังเธอเบาๆ
พี่ดาจับมือผม มาด้านหน้าและบีบไปที่หน้าอกของพี่ดา สบู่เหลวลื่น แต่เมื่อถูไปที่หน้าอกพี่ดา หัวนมก็เป็นจุดที่นิ้วผมสะดุด เมื่อถูไถไปมา ท่อนผมแข็งและร้อ***เซ็นเซอร์***นราวกับเหล็กตีดาบ และมันบดเบียดไปกับแนวสะโพกของพี่ดา พี่ดาครางเบาๆ เอามือเอื้อมมาข้างหลังลูบไล้แก่นกายผมอย่างทะนุถนอม เวลาผ่านไปแช่มช้า จนกระทั่งพี่ดาหันหน้ามา ผมเธอเปียก รูปปากดูสวยงาม ลิปสติกยังล้างไม่หมดจด เธอมองที่รอยสัก นักคิดค้นเต็นท์ของผม และเราก็เริ่มหัวเราะ จนกระทั่ง พี่ดาจับแก้มผมด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้ลิ้นลากช้าๆ จากลำคอของผม ผ่านหน้าอก พี่ดาดูดขบเม้มมัน แก่นกายผมมีปฏิกริยาแทบระเบิด ผมหลับตาแล้ว
ลิ้นพี่ดา เลียตวัดตรงหัวหยัก น้ำจากฝักบัวยังราดรดที่ตัวเราสอง ผมเผลอบดเอว แทงแก่นลึกจนสุดคอพี่ดา เธอครางอย่างพึ่งพอใจ ใช้ลำคอบีบรัดเป็นจังหวะอย่างช่ำชอง ผมจิกผมพี่ดาแน่น และเริ่มครางไม่เป็นภาษา พี่ดาถอนป***เซ็นเซอร์***ากจากท่อนผม และใช้มือชักมันอย่างแรงและเร็ว ผมรู้สึกเจ็บนิดๆ ความสุขกับความเจ็บปวดเป็นของคู่กันมีใช่หรือ น้ำรักผมกระฉูด หลั่งถั่งท้น เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พี่ดาอ้าปากรอ น้ำเหนียวบางส่วนเปรอะผมพี่ดา ตรงปลายเส้น ส่วนใหญ่จะละเลงไปบนใบหน้าเธอ หัวหยักผมผงกเมื่อเสร็จ พี่ดา อมและดูดมันอีกครั้งทำความสะอาด
"เสร็จเร็วจัง นี่เคยเอาผู้หญิงมาบ้างไหมเนี่ย"
"เคยครับ" ผมโกหก แต่หน้านี่แดงฉาน
เราไปต่อกันที่เตียง ครั้งที่สอง ผมเสร็จช้าพอควร พี่ดาโกนขนตรงนั้นซะเกลี้ยง เธอสอนให้ผมใช้ลิ้น เธอสอนให้ผมเล้าโลม
เสียงพี่ดา ครางสุดกระสันต์ เมื่อผมขยับเอวเร็วขึ้นเล็กน้อย ในท่านอน เธอบอกจะถึงแล้ว จะถึงแล้ว และครางลั่นไม่เป็นภาษา ผมทนเสียงนั่นไม่ไหว ปล่อยให้มันทะลักทลายอีกครั้ง คราวนี้พี่ดาหยุด จ้องหน้าผม "นี่ก็เป็น อีกมารยา ของหญิง จำไว้ให้ดีนะตุ้ย" . . . . . . . . อีกสองอาทิตย์ ผมต้องไปญี่ปุ่น และเหมือนเคยการเจรจา ราบลื่น "ตุ้ยเห็น ภูเขาฟูจิรึปล่าว เธอค่อนข้างขี้อายนะ ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นง่ายๆ" พี่ดาก็ไม่เคยฟังเรื่องงานของผมเลย
ช่วงนี้ลุงหนำ ทำงานราวกับทาสผิวดำในเมืองคนขาว "ไม่มีเวลากระทั่งจะปี้ มึงไม่ต้องเอาออร์เดอร์มาขนาดนี้ก็ได้ไอ้ตุ้ย กูเหนื่อย"
ฝนเริ่มลงเม็ดหนักในเดือนนี้ พี่ดาโทรมา มีงานเรื่องเต็นท์ให้ผมไปเจรจาอีกครั้ง ยอดเขาสูงชันที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เทือกเขาอะคอนคากัว ผมสวมเสื้อหลายชั้นด้วยความหนาว ปากหายใจเป็นไอ การเจรจาคราวนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ผมบอกพี่ดาว่า เป็นเพราะชาวบ้านกลัวข่าวลือเรื่องโจรบนภูเขา ไม่มีกะใจจะซื้อเต็นท์ แต่เหตุผลที่แท้จริง เพราะผู้เฒ่า ยูเร แห่งเทือกเขานั้น อนุรักษณ์นิยม แกยังใช้กระโจมของแกด้วยความภูมิใจ ไม่ยอมใช้ของนอก
"เสียงขลุ่ยไผ่ ของผู้เฒ่าเป็นอย่างไร" พี่ดาถาม "งดงามเหมือน ร่องหลืบ ของพี่ดา" ผมตอบทะลึ่ง
-----------------------------------
ฝนยังไม่หยุดตก ร้านกาแฟคนเบาบาง ชายร่างสูงใหญ่ เดินเข้ามาในร้าน ร่างกายเปียกปอน เขายังคงยิ้มอย่างร่าเริง ดูอารมณ์ดี หนวดเคราของเขาถูกโกนเกลี้ยง มีเพียงวัตถุมงคลกลมใหญ่ ที่ทำให้ผมจำเขาได้ มือเขาสั่น แต่ปากเขาพูดชัดเจน ((เตกิล่าขวดนึงครับ))
เขาจงใจนั่งโต๊ะเดียวกับผม หญิงวัยกลางคนชาวฮอลแลนด์ผู้ดูแลร้านยกเหล้ามาเสริฟร์
((ผมขอเพลง กับนักดนตรีได้ไหม)) ชายร่างใหญ่พูด ((เพลงอะไร)) หญิงฮอลแลนด์ถาม
"No women No Cry"
เมื่อเตกีล่าเข้าปาก มือเขาหายสั่น และเขาก็เริ่มพูดกับผมช้าๆ ((ผมจำคุณได้ คุณขายสิ่งนี้ให้ผม)) เขาชูอวด ((ใช่))
((มันเป็นของปลอม))
((ใช่)) ผมไม่กล้าโกหก
((คุณรู้ไหม อย่างน้อยผมก็ศรัธธาว่ะ จริงหรือปลอมมันอยู่ที่ใจ ทำใจยอมรับมันได้หรือปล่าว ก็แค่นั้น ผมไม่โกรธคุณนะ)) ชายร่างใหญ่บอก ผมหันไปขอแก้วเพิ่ม พร้อมบอกชายร่างใหญ่ว่า ขวดนี้ขอเลี้ยง
((คุณมีความหลังกับเพลงนี้รึ)) ผมถาม ((มากๆ เป็นที่สุด)) เขาปรบมือหลังเพลงจบ นักร้องร้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในความคิดผม
ผมเล่าให้เขาฟังเช่นกัน เมื่ออายุสิบสี่โดนผู้หญิงหักอก ตอนแรกกะสักแค่บ๊อบมาเล่ย์ แต่พี่ที่สักเห็นร้องไห้ไม่หยุดเลยเพิ่มประโยคใต้รูปให้ฟรี ในขณะที่ผมพูดคุยเรื่องธุระของ เขาว่ามาเที่ยว หรือมาดูลู่ทางธุรกิจ ประตูร้านก็เปิดออก พี่ดาทำให้ผมรู้ว่า ฝนหยุดตกแล้ว
((เสตลล่า!!!!! ในที่สุดผมก็หาคุณเจอ)) ชายร่างใหญ่ทานเสียงดังเมื่อมองไปยังทิศทางที่พี่ดาเดินมาหา
((คุณมาหาฉันทำไม)) พี่ดาเอ่ยเสียงเรียบๆ
((ผมคิดถึงคุณ)) . . . . . . . . ความคิดถึงของชายร่างใหญ่ มาพร้อมกับฤดูฝน เจือกลิ่นดินที่ลอยมาหลังฝนโปรย เขาเป็นศัลยแพทย์ชื่อดัง และพี่ดา หรือ สเตลล่า หรือ ชื่ออะไรอีกหลายชื่อ ตามแต่เธอต้องการจะเปลี่ยน เป็นลูกค้าของเขา จะว่าไปมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ประหลาด เขาซ่อนความเป็นชายของพี่ดาเอาไว้ได้มิดชิด หรืออีกนัยน์หนึ่ง เขาปลดปล่อยความเป็นหญิงของพี่ดา การผ่าตัดแปลงเพศ ของพี่ดา สมบูรณ์แบบมาก โดยเฉพาะตรงร่องหลืบนั้น หลายคนในวงการแพทย์ ถือว่ามันเป็นศิลปะขั้นสูง นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นธรรมชาติ กระทั่งภายในเมื่อเขาทดลองใช้แล้วเขาพบว่า มันคือของจริง มันมีกล้ามเนื้อ การบีบรัด และการคลาย จะมีก็แต่น้ำหล่อลื่น น้ำรัก และความตื้นของช่อง ที่ไม่สามารถทำให้เหมือนจริงได้ เขาบอกผมว่า เป็นธรรมดาที่เด็กประสบการณ์น้อยอย่างเธอจะไม่รู้
-เธอยังต้องเรียนรู้อีกมาก- เสียงพี่ดาดังแว่วที่หูผมข้างซ้าย -จริงหรือปลอมมันอยู่ที่ใจ ทำใจยอมรับมันได้หรือปล่าว ก็แค่นั้น- เสียงเขาเข้าไปที่หูขวา ความรู้สึกของผมตอนนี้ คงเหมือนกับกระทิงที่ถูกล่อลวงด้วยผ้าสีแดงสด และมาธาร์ดอร์ก็ค่อยๆเสียบดาบเข้ามาตรงจุดตายของผมช้าๆ
พี่ดาจากเขามา เมื่อเขากลับไปหาภรรยาเก่า นับแต่นั้นมา เขาบอกผมว่า เขาผ่าตัดตรงส่วนนั้นไม่ได้อีกต่อไป เพราะเมื่อคิดถึง ผลงานอันแสนสมบูรณ์แล้ว มือจะสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ต้องใช้เหล้าช่วย ซึ่งลูกค้าก็หมดความศรัธธา ((ผมหย่ากับเมียแล้ว)) เขาบอกพี่ดา โดยมีผมเป็นพยาน
พี่ดาน้ำตาไหล เขาคนนั้นคือผู้ชุบชีวิตให้พี่ดาให้เป็นในสิ่งที่เธออยากเป็น
เฉกเช่นเดียวกับพี่ดา ที่ให้โอกาส และสอนผมในหลายๆเรื่อง พี่ดากอดผมเนิ่นนาน ก่อนจากลา ความบอุ่นจากตัวพี่ดา แผ่ซ่านมาถึงผม แวบนึงในความคิดที่ผมอยากเห็นหน้าของแม่ พี่ดาจากไปในคืนนั้น บอกแค่ว่าคงไม่ได้เจอกันอีก แต่จะมีคนมาดีลงานแทนเธอ ลุงหนำมองผมนิ่งไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่า พี่ดาทำอาชีพอะไรกันแน่
รู้แต่เพียงว่า บ๊อบมาเล่ย์ พูดผิดไปอย่าง เมื่อน้ำตาอาบเสื้อชุ่มไปถึงไหล่ ตัวอักษรใต้รูปสัก มองเห็นจางๆ
----------
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ