พรุ่งนี้ไม่สาย...ที่จะรักกัน(มากกว่าเดิม)

8.3

เขียนโดย beeyakuzaa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.49 น.

  2 chapter
  19 วิจารณ์
  7,461 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556 20.20 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ความจริงที่ยังไม่สายเกินไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ผมยืนมองเด็กผู้ชายหน้าม้าสั้นเสมอคิ้ววิ่งเล่น เตะฟุตบอลในสนามหญ้าของโรงเรียน  อืม...น่าจะเป็นโรงเรียนผมสมัยอนุบาลผมจำได้ลางๆอ่ะนะ ผู้ชายคนนั้นดูมีอายุหน่อยเตะบอลเล่นกับเด็กคนนั้น  ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่จูงมือกลับบ้านไปแล้ว รู้สึกว่าปกติทั้งสองก็ชอบเล่่นกันตอนเลิกเรียนแบบนี้ทุกวันไป

 

"เย็นแล้วลูก เรากลับบ้านกันเถอะนะ" ชายสูงวัยพูดกับเด็กชายคนนั้น

"ไม่เอา ผมอยากเล่นฟุตบอลกับพ่ออีก นะพ่อนะ"

 

          เด็กชายกอดลูกฟุตบอลลงไปนั่งกับพื้นแล้วน้ำตาไหล  ชายสูงวัยคนนั้นโน้มตัวลงไปอุ้มเด็กชายที่กอดลูกบอลคนนั้น แล้วพูดคุยกันระหว่างเดินกลับบ้าน

 

"พ่อๆ พ่อต้องเล่นฟุตบอลกับผมทุกวันนะ" เด็กน้อยในอ้อมกอดพูดพลางหมุนๆลูกบอล

"พ่อเล่นกับลูกทุกวันอยู่แล้วนิ วันนี้เราต้องรีบกลับก่อนนะ พ่อหิวข้าวแล้ว ย่าทำกับข้าวอร่อยอีกแล้วนะวันนี้ ถ้ากลับค่ำๆ เดี๋ยวผีหลอกเราสองคนนะ"

 

          ทั้งสองหัวเราะชื่นบาน หยอกล้อกันไป จู่ๆลูกบอลก็หลุดมือเด็กคนกระเด็นไปอยู่กลางทาง ผมพยามยามจะวิ่งไปหยิบลูกบอลนั้น แต่ผมก็หยิบมันไม่ได้ ผมพยายามตะโกนหาชายผู้นั้นว่าอย่าเข้ามานะ ผมได้ยินเสียงรถเหมือนขับมาด้วยความเร็ว แต่ทำไมชายคนนั้นไม่ได้ยินหรือไร ผมตะโกนจนเหนื่อย แต่....

"รอพ่อตรงนี้นะ เดี๋ยวพ่อไปเก็บมาให้"

          มือสองข้างที่อุ้มเด็กชายอยู่ก็วางเขาลงริมข้างทาง ส่วนชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาเก็บลูกบอลพร้อมๆกับแสงไฟที่สาดเข้ามา โครม!!!.........ผมสะดุ้งสุดตัว เพราะไม่เคยเห็นอุับัติเหตุต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ ผมไม่ได้ยินเสียงผู้ชายคนนี้ดังสักเอะเดียว แต่เสียงที่ผมได้ยินคือ เด็กผู้ชายเรียกร้องหาพ่อสะอึกสะอื้น คนขับรถคันนี้รีบวิ่งลงมาดูคนเจ็บ ผมก็วิ่งเข้าไปหาชายคนนั้นที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ผมพยายามจะประคองเขาขึ้นมาแต่ผมพยายามมากเท่าไรผมยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น เมื่อคนขับรถนั้นมาถึงเขารีบอุ้มคนเจ็บขึ้นรถซึ่งขาของคนเจ็บนั้นดูแหลกละเอียด วินาทีนั้นผมเห็นหน้าคนเจ็บ สายตาเขามองมาที่ผมอย่างไรผมอธิบายไม่ถูกจริงๆ ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว หายใจไม่ออก เหงื่อผุดขึ้นมาเหมือนน้ำเดือด ผมไม่มีแรง ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะแตกสลายหายไป บวกกับเสียงเด็กผู้ชายคนนั้น มันทำให้ผมถูกเข็มนับพันทิ่มลงหัวใจ ผมร้องไห้ออกมาแต่ไม่มีใครสนใจ...ผม...ผมทนไม่ได้แล้ว!!!

 

"ริน...ริน..."

 

          น้ำเสียงที่คุ้นเคย น้ำเสียงคล้ายๆกับชายคนนั้น ผมค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ กระพริบตาถี่แสงสีขาวนวลสาดเข้ามาในตาผม ผมมองเห็นห้องสี่เหลี่ยมสีขาว รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบรัดที่มือ

"ริน...ริน ฟื้นแล้วหรือลูก"

          ใช่ เสียงพ่อผมจริงๆด้วย น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผมหันมาตามเสียงนั้น รอยยิ้มของพ่อที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ทั้งรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นัยต์ตาแดงก่ำของพ่อ มือที่หยาบกร้านของพ่อกุมมือผมอยู่ ผมไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของพ่อไปเลย เวลาผ่านล่วงเลยมาเท่าไหรไม่รู้นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น

 

"พ่อ..."

 

          ผมเรียกได้แค่นั้นจริงๆ เพราะข้างในผมมันจุกไปหมด ผมแอบส่งยิ้มให้พ่อเพื่อให้พ่อได้รู้ว่าผมรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว

 

"ลูกหลับไปสามวันแล้วนะรู้มั้ย หมอบอกว่าไม่กี่วันลูกก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว"

"ครับ แล้วพี่ละไม่มาเหรอพ่อ"

          ผมเพิ่งสังเกตเห็นแค่พ่อ กับย่าที่หลับอยู่ที่โซฟามุมหนึ่งของห้องแคบๆนี่

"พี่แกมีตรวจคนไข้ เดี๋ยวเย็นๆ คงจะเข้ามา"

          พ่อบอกผมแต่ผมก็ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของพ่อ ในใจหนึ่งก็ว้าวุ่นอยากจะพูดคุยกับพ่อหลายอย่าง และผมก็คิดว่าสมควรที่จะพูดมันออกมาบ้าง ขีนปล่อยให้ค้างคาแบบนี้ผมคงอกแตกตายไปก่อน

 

"พ่อ ขาพ่อไปโดนอะไรมา"

คำถามครั้งที่ร้อยของผม และคำตอบผมก็คิดไว้ไม่มีผิด

"พ่อ...เอ่อ พ่อเป็นเบาหวานไงถึงโดนตัดขา"

"พ่อไม่ได้โกหกผมใช่มั้ย" ผมพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด

"อืม..." พ่อเบือนหน้าหนีผมทั้งๆที่มือยังจับมือผมอยู่

"ทำไมพ่อไม่บอกความจริงกับผม..." ผมพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายร่วงออกมา เหมือนที่พ่อบอกไว้ว่าเป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ออกมาเป็นอันขาด

"พ่อไม่เคยบอกความจริงกับผมเลย พ่อเป็นเบาหวานหรือแล้วทำไมตอนเด็กๆ ผมชอบกินขนมหวานพ่อก็มานั่งกินกับผมทุกวัน ผมชอบเล่นฟุตบอลพ่อทำงานเหนื่อยแล้วพ่อยังจะมาเล่นกับผมแต่ตอนหลังจากวันนั้นพ่อไม่เคยเล่นกับผมเลย"

 

          พูดถึงตอนนี้ภาพที่ติดตาผมอยู่ตลอดมันก็เริ่มออกมา...จนน้ำตาลูกผู้ชายที่มีอยู่มันกลั้นไม่ได้แล้ว

 

"ผมทำให้พ่อต้องถูกตัดขา พ่อเล่นฟุตบอลกับผมไม่ได้ ผมถามพ่อนับร้อยครั้งพ่อบอกว่าพ่อไม่ว่าง พ่อไม่อยากเล่น พ่อรู้มั้ยมันทำร้ายจิตใจผมขนาดไหน จากสิ่งที่ผมเคยชอบมากที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นผมเกลียดฟุตบอลมากที่สุด เพราะมันทำให้พ่อของผมเปลี่ยนไป"

 

          น้ำตาที่กลั่นมาจากใจความรู้สึกของผมล้วนๆ

"พ่อรู้มั้ย ตอนที่ผมอยู่โรงเรียน พ่อไม่สบายเข้าโรงพยาบาลไม่มีใครบอกผม พ่อรู้มั้ยว่าผมอยากดูแลพ่อมากขนาดไหน ผมเป็นห่วงพ่อมากขนาดไหน มีแต่พี่ชายเท่านั้นเหรอที่พ่อไว้วางใจ มีแต่พี่ที่ดูแลพ่อ แล้วผมล่ะ ในสายตาพ่อไม่มีผมอยู่แล้วใช่มั้ย!!!"

    

          ผมปล่อยน้ำตาอาบสองแก้ม โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นัยต์ตาของพ่อยังคงแดงก่ำ พ่อบีบมือผมแน่นขึ้น

 

"ฟังพ่อนะลูก ที่พ่อทำไปพ่อไม่อยากให้ลูกไม่สบายใจนะ พ่อไม่อยากให้ลูกมาเครียดกับเรื่องของพ่อหรอกนะ พ่ออยากให้ลูกคนเด็กที่ร่าเริงเหมือนเดิม" พูดจบพ่อก็เงียบ

"ริน ฟื้นแล้วหรือลูก เป็นยังไงบ้างลูกเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า" ย่าที่เพิ่งรู้สึกตัวรีบเดินมาที่เตียงผม

"นนท์ ไหนๆรินก็ฟื้นแล้ว ลูกไปกินข้าวกินน้ำก่อนเถอะนะ เดี๋ยวแม่จะดูรินให้ ไม่ได้กินไม่ได้นอนมาสามวันแล้วนะลูก เดี๋ยวจะไม่มีแรงนะ" ย่าบอกพ่อผม

"ได้แม่ ริน เดี๋ยวพ่อมานะ" พ่อปล่อยมือผมช้าๆ แล้วเดินออกไป

"นี่ริน พ่อแกไม่ได้นอนมาสามวันแล้วนะ เพราะเป็นห่วงริน นั่งอยู่ขอบเตียงคอยเช็ดตัวให้ตลอด ย่าบอกว่าย่าจะทำเองก็ไม่ให้ทำ ไล่ย่าไปนั่งที่โซฟาทุกที แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าละ"

"ไม่ครับย่า ไม่เจ็บตรงไหนเลย แล้วหมอบอกว่าผมเป็นยังไงบ้างครับ"

"หมอบอกว่ารินนะเสียเลือดไปเยอะ ถ้ามาช้ากว่านี้มีหวังไม่รอดแน่ แล้วหมอบอกว่าเลือดกรุ๊ปนี้มีไม่พอ หากต้องรอจากอีกทีหนึ่งคงจะไม่ทันแน่เพราะว่าอยู่ำไกลกัน ดีนะที่เพื่อนรินโทรไปบอกพ่อเราหน่ะ พ่อรินก็เลยให้ตาชาติขับรถมาที่โรงพยาบาลนี่แหละ"

"ถ้างั้นเลือดนี้ก็น่าจะเป็นของพ่อใช่มั้ยย่า"

"ไม่ใช่น่าจะนะ แต่ใช่เลยล่ะ พ่อเรานี่แหละรีบถ่ายเลือดให้เพราะกลัวจะไม่ทัน จากที่ผ่าตัดเสร็จพ่อรินก็เฝ้าไม่ห่างเลยละ"  ย่าอมยิ้มเบาๆ

"พ่อคงดีใจมากที่รินฟื้นขึ้นมา ฮึๆ"

"ย่า ทำไมขาผมมันไม่มีความรู้สึกอะไรเลยล่ะ"

"หมอบอกว่ารินต้องทำกายภาพบำบัดนะลูก น่าจะสามสี่เดือนได้มั้ง" อันที่จริงเหมือนผมสมควรจะตกใจ แต่เปล่าเลยผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เหมือนผมจะรู้สึกดีขึ้นมากกว่า

ก๊อกๆๆ .....ประตูห้องเปิดออกช้าๆ

"โอ้ย!!! ดูสิ พ่อนนท์ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย ของชอบรินทั้งนั้นเลยลูก"

ผมแอบเห็นพ่ออมยิ้มด้วยล่ะ....

 

          ผมออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน ก็ต้องกลับมาอยู่บ้านกับพ่อและย่า พี่ชายผมเขาเป็นหมออยู่โรงพยาบาลของอีกอำเภอหนึ่งงานเขายุ่ง เขาจะกลับมาหาผมกับพ่อเดือนละครั้ง จะพาพ่อให้ตรวจสุขภาพอยู่บ่อยๆ เพราะช่วงนี้พ่อก็สุขภาพไม่ค่อยดีแล้ว  โรงเรียนผมก็ไม่ได้ไปเพราะเดินยังไม่ค่อยได้ ไม่รู้เมื่อไหร่จะหายเป็นปกติ เพื่อนๆผมทั้งโรงเรียนเก่า-ใหม่ ก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน   ในตอนเย็นๆช่วงเสาร์ อาทิตย์ บ้างก็นั่งเล่นดนตรีที่บ้านผมสนุกสนานดี แต่ตอนเช้าๆ พ่อก็จะพาผมไปหัดเดินที่สวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน

 

          ผมไม่เสียใจนะที่ขาผมเดินได้แค่ข้างเดียวในวันนี้ เพราะพ่อของผมก็มีขาข้างเดียวเหมือนกัน ต่างกันที่พ่อใส่ขาเทียม แต่ผมยังเข้าเฝือกอยู่ เป็นแบบนี้ทุกวันก่อนที่พ่อผมจะเปิดร้าน อ้อ..ลืมบอกไปว่า พ่อผมเปิดร้านซ่อมรถ ช่วงนี้ผมก็เลยถือโอกาสช่วยพ่อซ่อมรถไปด้วย เทอมนี้ผมคงเรียนไม่ทันเพื่อนแล้วล่ะ คงต้องรอไปอีกปีละมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไร ผมได้อยู่ไกล้ชิดกับพ่อโลกทั้งใบตอนนี้ของผมเหมือนต้นไม้ที่ผลิใบ แตกใบอ่อนขึ้นมาใหม่ ที่ผ่านมาเจอพายุฝนหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมก็ผลัดใบได้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนเด็กๆตั้งแต่จำความได้ ผมก็มีแต่พ่อ ย่า พี่ชาย ที่อยู่ข้างๆกันตลอด

 

          เวลาผ่านไปเร็วอีกแล้ว ผมมีความสุขเมื่อไหร่ก็จะเป็นแบบนี้ทุกที ผมก็คิดว่าคนอื่นๆก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนะ ผ่านไปหนึ่งปีผมก็ไปสมัครเข้าเรียนใหม่ แต่ผมเลือกที่จะเรียนสายอาชีพนะของวิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่ง ช่างยนต์เนี่ยแหละที่เหมาะสมกับผมเพราะผมจะได้สานต่อร้านซ่อมรถ  และที่สำคัญผมจะได้อยู่ใกล้ๆ ดูแลพ่อไปด้วย ตอนนี้ผมอยากจะบอกว่าความสุขที่แท้จริงมันมาจากการมอบสิ่งดีดีให้คนที่รัก ในขณะที่เราและเขายังหายใจอยู่ พ่อทำอะไรเพื่อผมมามาก แม้ว่าท่านจะเจ็บปวดมากมายขนาดไหน ท่านไม่เคยปริปากบ่นสักคำ  มีแต่ผมเท่านั้นที่มัวแต่คิดไปเอง ไม่ได้เปิดใจ เปิดตาเพื่อรับรู้ถึงเหตุและผล โชคดีที่มันยังไม่สายเกินไปที่เราจะปรับความเข้าใจกันและกัน ทำให้วันดีดีอย่างนี้เกิดขึ้น

 

          ผ่านมาจนวันนี้วันที่ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผมรู้จักคิดอะไรมากขึ้น ผมไม่เสียใจที่ผมเดินได้ไม่ปกติ แต่ใจผมกลับมีความสุขมากกว่า

 

"พ่อเย็นนี้ผมจะพาพ่อไปที่สวนสาธารณะ ไปดูเขาออกกำลังกายกัน"

 

          ผมอุ้มพ่อขึ้นรถวีลแชร์พาท่านไปสูดอากาศบริสุทธ์ในสวนสาธารณะ ดูพ่อหน้าตาสดใสสดชื่นขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใส พอไปถึงสวนสาธารณะก็มีคนรู้จักกันที่มาออกกำลังกายเดินมาทักทายถามสารทุกข์สุขดิบ พ่อก็ดูมีความสุขที่ได้พูดคุยกับหลายๆคน นี่แหละคือความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของผม พี่หมอบอกว่าพ่อคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะมีหลายโรคแทรกซ้อน ตอนนี้พ่อถูกตัดขาไปสองข้างแล้ว จะใส่ขาเทียมพ่อบอกว่าเจ็บ ผมก็เลยไม่อยากให้ท่านใส่ขาเทียม และผมก็ได้เป็นบุรุษพยาบาลของพ่อแล้วสิ และตอนนี้พี่หมอผมก็กลับมาทำงานที่โรงพยาบาลในอำเภอแล้วไปเช้า เย็นกลับ ช่วยกันดูแลพ่อทุกวัน เห็นพ่อมีความสุขเราก็มีความสุข แต่ผมกับพี่หมดไม่บอกพ่อหรอกนะว่ามีอะไรที่ท่านจะต้องเผชิญ ขอแค่เรามีความสุขกับพ่อทุกวันแค่นั้นพอ

                                          ........................................

เสียงปรบมือดังสนั่นห้องเรียน บ้างก็รีบเช็ดน้ำตา บ้างก็ตาแดง

"ทางวิทยาลัยเทคนิคเปรมฤทัย ต้องขอขอบคุณ รุ่นพี่ธาริน ของเรา ที่มาถ่ายทอดความรู้สึกดีดีที่เกี่ยวกับพ่อในปี 2556 นี้ ทางคณะครู นักศึกษาก็ขอมอบของที่ระลึกให้แก่พี่ธารินด้วยนะครับ ขอเสียงปรบมือให้พี่ธารินอีกครั้งหนึ่งนะครับ ขอบคุณครับ"

 

          ผมได้รับของที่ระลึกจากวิทยาลัยเทคนิคฯที่ผมเคยศึกษามา เป็นภาพที่ผมกำลังอุ้มพ่อของผมขึ้นรถเข็น ผมไม่รู้ว่าน้องๆ ไปถ่ายรูปนี้มาตอนไหน แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นภาพที่สวยมากที่สุดในชีวิตผม

 

จบบริบูรณ์

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา