ความฝัน สิ่งสำคัญ ห่างกัน หายไป
9.0
เขียนโดย นายน่าเบื่อ
วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.28 น.
3 ตอน
4 วิจารณ์
7,551 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556 16.16 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ตอน หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอน หายไป
“เปาะแปะ เปาะแปะ ๆ ซ่าซ่าๆ ๆ” เสียงน้ำที่โปรยลง จากเบา ๆ และแรงขึ้นตามแรงลมและขนาดของหยดน้ำนับไม่ถ้วนที่เกิดจากเมฆครึ้มหนา ร่วงกระทบกับหลังคาและไหลลงสู่ผืนดิน ฝนตก ทั้ง ๆ ที่ผืนฟ้าในเวลานี้ควรจะแต่งแต้มไปด้วยสีสันของพระอาทิตที่ทอแสงสีแดงอมม่วง เพื่อจะบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ตนเองจะรับขอบฟ้าพร้อมเรียกจันทราที่เต็มดวง ทอแสงสีนวลมองแล้วสบายตาให้ขึ้นแทนที่ แต่เวลานี้กลับมีเมฆครึ้มที่นำพาหยดน้ำน้อยใหญ่เรียงรายตกลงมา ไม่มีแสงสีของดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ และก็คิดว่าอาจจะไม่เห็นพระจันทร์ ในวันสำคัญวันนี้ วันอาสาฬหบูชา
ผมยืนอยู่หน้าร้าน หน้าบ้าน หรือจะพูดให้ถูกมันเป็นทั้งสองอย่าง ผมมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อรอยไร้ซึ่งจุดโฟกัสที่น่าสนใจ ภาพในตาพล่ามัวไร้จุดหมาย ภาพในใจล่องลอยและหงอยเหงาอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อันน้อยนิดที่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมาก่อนจะขอตัวกลับมาปิดร้าน ฝนตก ผมไม่ชอบฤดูนี้ แต่ก็ไม่ได้เกียจมัน เมื่อไหลที่ผมมองสายฝน ที่โปรยลงมาผมมักจะเหงา ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเหงาทำไม ไม่มีสาเหตุหลัก รู้แต่ว่า ช่วงเวลาที่ฝนตกอากาศจะเย็นลงละอองฝนจะสาดกระเด็นมาโดนเรา เป็นใจให้เหงา นี้ละมั่ง เหตุผลลอง ^ ^
“โป๊ก” “โอ๊ย !”
เสียงแรกคือเสียงมะเหงกสั่งตายของพี่ชายร่างหมีของผม และเสียงที่สองคงไม่ต้องบอกว่าใครก็น่าจะพอเดากันได้ เสียงของผมเองแหะ ๆ มาขัดจังหวะตอนเหม่อของผมจริง ๆ = =
“เหม่อ อยู่ได้ฝนตกก็ปิดร้านดิ มัวยืนเหม่ออยู่นั้น เดี๋ยวก็ไปเวียนเทียนกะสาวไม่ทันหลอก” พี่ชายบ่นพร้อมกับหันหลังเดินเข้าไปดูทีวีต่อในบ้านโดยที่ไม่ลืม “ปิดไวไว พี่จะพาเมียไปเวียนเทียน” เป็นประโยคค่ำสั่งส่งท้ายให้ผมผู้ที่เป็นน้อง อายุ17 ปิดร้านตามรำพังกลางสายฝนกระหน่ำ โดยที่พี่ชายไม่คิดจะมาช่วยกันปิดเลยแม้ แต่นิด ฮื้ม! “รักน้องจริง ๆ”
ผมบ่นไปขณะที่เดินไปหยิบหมวกมาใส่กันฝนแล้วรีบเก็บของอย่างเหม่อ ๆ แล้วปิดร้าน ให้ไว เพื่อจะได้ไปเวียนเทียนที่วัดในคืนนี้ ในตอนที่ผมกำลังจะลงกรประดูร้านอยู่นั้น ตาซ้าย ของผมก็กระตุก กระตุก และกระตุกอย่างน่ารำคาญ
ผมลุกขึ้นขยี้ตา และไม่รู้อะไรดลใจให้หันหน้าไปทางถนนหน้าบ้าน อาจจะเป็นเพราะหนุ่มสาว ที่เดินกางรมมาเก็บดอกไม้ด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะเจ้าด่างที่เหาอยู่ หรือเพราะรถมอไซค์ของเพื่อน ที่แล่นผ่าสายฝนมาด้วยความเร็ว และความแดงของขอบตาเพื่อน สนิท ที่ตาเจ้ากำของผมเห็นเต็มๆ
“เฮ้ย มึง !” ผมเรียกมันด้วยเสียงที่คิดว่าดังในระดับต่ำกว่าตะโกนน้อยนิด แต่มันกับไม่แม้แต่หันมามองผมด้วยซ้ำ ความคิดมากมายเริ่มผุดขึ้นพร้อมกับคำถาม “มันร้องไห้เหรอ?”
ผมยืนนิ่งคิดเรื่องของภาพเพื่อนที่พึ่งผ่านไปเมื่อกี้ได้ไม่นาน ก็ต้องตัดสินใจขึ้นนั่งค่อมมอไซค์คู่ใจ แล้วสตาร์ท และบิดรถฝ่าสายฝนออกมาจากบ้านเพื่อตามมันไป ด้วยความเป็นห้วง และความอยากรู้
“แฉ๊ดดด เอี๊ยด” เสียงล้อวิ่งมาบนถนนที่มีน้ำขังและเบรคอย่างกระทันหันหน้าศาลาลมริมทางข้างถนนใหญ่สายหนึ่งที่ผ่านหมู่บ้านที่ผมอยู่ ผมหยุดรถจงใจให้เสียงดัง แต่นั้นกลับไม่ได้ทำให้คนที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลาเพียงลำพังหันมามองผมเลยแม้แต่นิด ผมเจอมันแล้ว หลังจากที่ขี่วนหาอยู่ไม่นาน อย่างที่คิดมันร้องไห้ ผมไม่รู้ว่ามันร้องเพราะอะไร แต่น้ำที่ไหลออกจากตาของมันเป็นสายนั้นมันสะเทือนใจผมอย่างมาก ผมเดินเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว นั่งลงข้าง ๆ แล้วตบบ่ามันเบา ๆ ยากเหลือเกินในสถานการณ์นี้ที่จะหาคำใดมาพูดปลอบเพื่อนข้าง ๆ ให้หายร้องไห้ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีค่ำพูดแต่ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเสียใจเพราะอะไร คงจะมีเพียงคำนี้เท่านั้นที่บอกมันได้ “มึงยังมีกูนะ”
ด้วยคำพูดที่ผมพูดไปรึเปล่าไม่แน่ใจ สิ่งที่คิดไว้ว่าจะต้องได้กลับมาแน่ ๆ ก็เป็นจริง มันเริ่มร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า กะแล้ว เหอะ ๆ นั่งดูเพื่อนสนิทคนเดียวร้องไห้ได้ไม่นาน ผมที่คิดหาเหตุผลร้อยพันถึงสาเหตุของมัน ว่าทำไมเพื่อนที่เคยเข้มแข็งและโตมาด้วยกันถึงร้องได้ขนาดนี้ และก็ร้องได้ประจวบเหมาะกับสายฝนจริง ๆ ดูแล้วเหมือนนั่งทำเอมวี ไม่มีผิด
เอะ หรือจะอกหัก? ไม่ดิมันไม่เคยมีแฟนนิ รึว่ามันแอบชอบเค้าหว่า ? ความคิดนี้เป็นความคิดสุดท้ายของผมที่คิดหาสาเหตุที่ทำให้มันร้อง ผมอึดอัน เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร
“มึงเป็นไรวะ มีเรื่องไรบอกกูได้มั้ย” ในขณะที่แสงแลบสว่างวาบไปทั่วฟ้า และมีเสียงดังก้องกังวานของฟ้าฝ่าเกิดขึ้น ผมตัดสินใจถามเพื่อนข้าง ๆ ออกไป มันหันมามองผมพร้อมกับที่ผมเห็นหน้าและตาที่แดงก่ำของมัน ไม่มีเสียงไหนออกมาจากปากของเราสองคนอีกพักหนึ่ง แต่แค่แววตาที่เสียใจของมัน ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะไม่เซ้าซี้และถามต่อถึงต้นตอแห้งความเศร้า
“มึงไปเก็บเสื้อผ้ากูให้หน่อย เอาให้หมดบ้านเลย” เป็นประโยคแรกที่หูของผมได้ยินจากปากของเพื่อนสนิทที่ยังมีน้ำไหลออกมาจากตาที่แน่วแน่อาบสองแก้มนั้น แต่ไม่มีเสียงสะอื่น มีเพียงน้ำเสียงแข็ง ๆของการตัดสินใจอะไรซักอย่างด้วยการหักดิบของความคิดเท่านั้น ผมอึ้ง อึ้งที่ได้ยินคำนี้จากปากของมัน คำตอบของคำถามที่ถามไปเมื่อหลายนาทีที่แล้วกระจ่างชัดขึ้น ปัญหาครอบครัวสินะ ผมไม่รู้จะทำยังไง แต่แววตาของมันนั้น ทำให้ผมคิดได้แค่มันคงจะไปอยู่หอ ในเมืองละมั่ง
“ได้ กูจะไปเอาให้ แต่บอกได้มั้ยเกิดไรขึ้น” ผมถามมันอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงกับคำถามที่ตรงขึ้น เพื่อบอกให้มันรู้ ว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วและห่วงมันมาก ไม่ใช่ว่าจะยุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่นเลย แต่เราก็เป็นญาติกันอยู่ นะถึงจะห่างไปซักนิด ก็เถอะ
“มึงอย่ายุ่งเลย เรื่องมันไร้สาระวะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหล ผมได้ยินดังนั้นจึงมีความรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับความคิดน้อยใจในตัวเอง ผมคงยุ่งกับเรื่องของมันมากไปสินะ?
ผมตัดสินใจไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของเพื่อนสนิท ให้ตามที่มันขอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ว่าเมื่อมันกล้าขอผมก็กล้าให้มันในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของมันเอง
“ถ้ากูไม่ห่วงมึงกูไม่ยุ่งหลอกนะ” เป็นคำพูดที่ผมพูดทิ้งท้ายไว้ให้มันก่อนที่จะขี่รถออกมาด้วยความน้อยใจ และหงุดหงิด ไม่รู้ว่ามันจะคิดไรมั้ยกับคำพูดนี้ แต่คำพูดนี้ต้องเข้าหูมันมั่งหละ หึ
เมื่อผมมาถึงบ้านของเพื่อนสนิทผมกลับเจอพ่อของผมที่กำลังปลอบพ่อของมัน อยู่กับเพื่อนของพ่อ ๆ อีกสองคนคงจะนั่งก๊งกันก่อนหน้านี้สินะ อ่อ ยังมีแม่มันอีกคน ทั้งพ่อและแม่ของเพื่อนสนิท มีใบหน้าที่ถูกแต้มไว้ด้วยสีแดงของความเสียใจและสายน้ำตาแห่งความเศร้า ไม่ต่างอะไรกับคนที่นั่งในศาลาลมริมทางเมื่อกี้เลย
“มีไรเหรอลูก” แม่ของมันเมื่อเห็นผมท่านก็เช็ดน้ำตาและถามผม
“มันบอกให้มาเก็บเสื้อผ้า ไปให้” เพียงผมพูดเท่านี้ น้ำตาของแม่เพื่อนสนิทก็ไหลลงมาอีกครั้ง พ่อผมและพ่อของมัน หันมามองผม ไม่รู้ว่าท่านทั้งสามคิดอะไรแต่อ่านจากแววตาที่ผมเห็น มีแต่ความทุกใจกันทั้งนั้น ไม่น่าเลยจริง ๆ ครอบครัวที่เคยอบอุ่น ของมัน เกิดอะไรขึ้นกันนะ ?
ผมขี่รถกลับมาที่ศาลาริมทางอีกครั้ง ด้วยความว่างเปล่าเหมือนก่อนจะออกไปเพื่อเก็บของให้มัน ไม่ได้มา ซึ่งเสื้อผ้า มีแต่คำถามที่ออกมาจากปากของแม่ เพื่อน “มันจะทำอะไร?” ผมจอดรถและเดินเข้าไปหามันอีกครั้ง ตบบ่ามัน นั่งลงข้าง ๆ และยังคงมีสายฝนกระหน่ำอยู่เหมือนกับน้ำตาของมันที่ยังไหล ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ และผมยังคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง
“ไม่ได้วะ แม่เค้าไม่ยอมให้เอามา เค้าฝากมาถามด้วยว่า มึงจะทำอะไร? “ ผมพูดบอก ด้วยความอัดอั้นตันในอก ข้างซ้าย ผมไม่รู้สาเหตุที่มา ผมไม่รู้จะพูดปลอบยังไง ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเพื่อนสนิทคิดจะทำไรต่อ
“อือ กูจะกลับหอละนะ มึงมีไรทำก็ไปทำเหอะ” มันพูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองมาที่ผม มันมองเหม่อออกไปพร้อมกับลุกขึ้น และเดินไปที่รถมอไซค์ของมันเอง แถมคำพูดนั้น มันยังแทงลงมาที่ หัวจิตหัวใจของผมจริง ๆ ไล่กูทำไมฟระ -*-
“เฮ้ย มึงจะไปไงฝนตกหนักขนาดนี้ ใจเย็น ๆ สิ” ผมบอกมันพร้อมกับวิ่งไปที่รถของตัวเอง ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากมัน เพราะ มันบิดรถออกไปแล้ว ผมรั้งไว้ไม่ทันสินะ = = เมื่อเป็นแบบนี้สิ่งที่คิดได้ในตอนนั้นคือ ต้องตามให้ทัน ไอ้หมอนั้นคิดจะทิ้งให้คาใจได้ไง หึหึหึ แต่ที่จริงผมก็ห่วงมันแหละ
ผมบิดรถ จนสุดสายคันเร่ง จนอยากให้มันบิดได้ไวกว่านี้ ขี่ไปอย่างเร็วบนถนนที่มีน้ำไหลเป็นสายและ ฝนกระหน่ำหนักขึ้นทุกที และผมก็ตามทัน ผมแซงมันไปดักข้างหน้า มันเบรก ผมเบรก เรามองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง
“กูไปด้วย (ยิ้ม)” ผมยิ้มให้มันพร้อมกับคำพูดที่ออกมาจากใจ และความหวังว่ามันจะให้ไปด้วย
“กูไปได้จริง ๆ มึงกลับไปอาบน้ำเหอะ” แต่คำตอบกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แต่ใครจะปล่อยให้มันไปคนเดียวหละฝนลงเยอะลมแรงขนาดนี้
“กูจะไป” ผมบอกมันอีกครั้ง ถึงความตั้งใจแน่วแน่ แต่แล้วน้ำตาของมันก็ไหล ลงมาอีกละลอก เพราะผม มั่ง
“ซ้างงงงง งง” รถสิบล้อวิ่งผ่านไปบนถนนที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ มันทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนเราสองคน แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรายังคงมองหน้ากัน ในตอนที่รถวิ่งผ่านนั้น ปากของมันขยับ พูดบางประโยคออกมา ซึ้งผมไม่ได้ยิน อาจจะเพราะเสียงรถแล่นผ่าน หรือเพราะเสียงฝนตกลงมา กลบเสียงของมันรึเปล่า รถสิบล้อแล่นผ่านไป ฝนเริ่มเบาลง เสียงเพื่อนสนิทสตาร์ทรถอีกครั้ง ผมยังคงนิ่งคิดอยู่ ว่ามันพูดอะไร แล้วมันก็ขี้รถกลับเข้าไปทางหมู่บ้านด้วยความไวกว่าตอนแรกมาก ผมตกใจและได้สติ รีบสตาร์ทรถเพื่อจะตามมันแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังและท้ายรถของมันที่เรี้ยวรกเข้าซอยหายไปเท่านั้น
ผมรีบขี่ฝ่าสายฝนที่โปรยลงมา เพื่อจะตาม เผื่อว่าจะทัน แต่ก็ช้าไปแล้ว และใครจะรู้ว่า นั้นเป็นครั้งสุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุดที่ผมเจอมัน T^T
…
..
.
ผมกลับมานั่งที่ศาลาริมทางอีกครั้ง พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรหามัน ท้ามกลางสายฝนที่ตกอยู่หัวใจผมอยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความเป็นห่วงและความเจ็บใจ ผมกดโทรไปไม่รู้กี่ครั้ง โทรซ้ำ ๆ จนมันรับ
“ มึงไม่ต้องตามหากูนะ มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย กูดีใจนะเว้ย ที่มีมึงเป็นเพื่อน ติ๊ด” มันพูดและตัดสายผมทิ้ง ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ทันพุดอะไรเลย คำพูดของมัน น้ำเสียงของมัน ภาพของมันร้องไห้ ยังติดตาผมอยู่ ผมนั่งนิ่งไปกับคำพูดนั้น
ในหัวมีความคิดหลากหลาย มากมาย จนบรรยายไม่หมด ไม่รู้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานมั้ย ไม่รู้เวลาเดินไปเท่าไหร่ จนผมรู้สึกหนาว ยกมือขึ้นมากอดอก และมองออกไปนอกศาลา
“อ่าว หยุดแล้วนิ” พายุฝนที่ผ่านมาหยุดตกลง แต่ท้องฟ้ายังคงไม่สดใสฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆที่อุ้มน้ำและยังมืดมัวอยู่แม้จะตกลงมารอบหนึ่งแล้ว และยังคงไม่แน่นอนว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่ คงเหมือนหัวใจของเพื่อนสนิทก็คงยังไม่สดใส และไม่แน่นอนเหมือนกับเมฆฝนในเวลานี้อย่างแน่นอน ในตอนที่ผมนั่งคิดอยู่นั้น ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาแทรกทุกความคิด
อย่าให้เจอนะมึง ขอต่อยซักทีเหอะ หึ้ และใครจะรู้ว่ามันก็ยังคงเป็นได้แค่ความคิด และใครจะรู้ว่าวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ที่ผมได้เจอมัน
ผมลุกขึ้นและเดินไปที่รถ สตาร์ทรถ และฝนก็โปรยลงมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ฟ้าที่ตอนนี้มีแสงเพียงน้อยส่องผ่านเมฆฝนหมองมัวมันทำให้อารมณ์ของผมกลับมานิ่งเหงาอีกครั้ง เมื่อได้มองมัน
“เปาะแปะ เปาะแปะ ๆ ซ่าซ่าๆ ๆ” เสียงน้ำที่โปรยลง จากเบา ๆ และแรงขึ้นตามแรงลมและขนาดของหยดน้ำนับไม่ถ้วนที่เกิดจากเมฆครึ้มหนา ร่วงกระทบกับหลังคาและไหลลงสู่ผืนดิน ฝนตก ทั้ง ๆ ที่ผืนฟ้าในเวลานี้ควรจะแต่งแต้มไปด้วยสีสันของพระอาทิตที่ทอแสงสีแดงอมม่วง เพื่อจะบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ตนเองจะรับขอบฟ้าพร้อมเรียกจันทราที่เต็มดวง ทอแสงสีนวลมองแล้วสบายตาให้ขึ้นแทนที่ แต่เวลานี้กลับมีเมฆครึ้มที่นำพาหยดน้ำน้อยใหญ่เรียงรายตกลงมา ไม่มีแสงสีของดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ และก็คิดว่าอาจจะไม่เห็นพระจันทร์ ในวันสำคัญวันนี้ วันอาสาฬหบูชา
ผมยืนอยู่หน้าร้าน หน้าบ้าน หรือจะพูดให้ถูกมันเป็นทั้งสองอย่าง ผมมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อรอยไร้ซึ่งจุดโฟกัสที่น่าสนใจ ภาพในตาพล่ามัวไร้จุดหมาย ภาพในใจล่องลอยและหงอยเหงาอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อันน้อยนิดที่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมาก่อนจะขอตัวกลับมาปิดร้าน ฝนตก ผมไม่ชอบฤดูนี้ แต่ก็ไม่ได้เกียจมัน เมื่อไหลที่ผมมองสายฝน ที่โปรยลงมาผมมักจะเหงา ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเหงาทำไม ไม่มีสาเหตุหลัก รู้แต่ว่า ช่วงเวลาที่ฝนตกอากาศจะเย็นลงละอองฝนจะสาดกระเด็นมาโดนเรา เป็นใจให้เหงา นี้ละมั่ง เหตุผลลอง ^ ^
“โป๊ก” “โอ๊ย !”
เสียงแรกคือเสียงมะเหงกสั่งตายของพี่ชายร่างหมีของผม และเสียงที่สองคงไม่ต้องบอกว่าใครก็น่าจะพอเดากันได้ เสียงของผมเองแหะ ๆ มาขัดจังหวะตอนเหม่อของผมจริง ๆ = =
“เหม่อ อยู่ได้ฝนตกก็ปิดร้านดิ มัวยืนเหม่ออยู่นั้น เดี๋ยวก็ไปเวียนเทียนกะสาวไม่ทันหลอก” พี่ชายบ่นพร้อมกับหันหลังเดินเข้าไปดูทีวีต่อในบ้านโดยที่ไม่ลืม “ปิดไวไว พี่จะพาเมียไปเวียนเทียน” เป็นประโยคค่ำสั่งส่งท้ายให้ผมผู้ที่เป็นน้อง อายุ17 ปิดร้านตามรำพังกลางสายฝนกระหน่ำ โดยที่พี่ชายไม่คิดจะมาช่วยกันปิดเลยแม้ แต่นิด ฮื้ม! “รักน้องจริง ๆ”
ผมบ่นไปขณะที่เดินไปหยิบหมวกมาใส่กันฝนแล้วรีบเก็บของอย่างเหม่อ ๆ แล้วปิดร้าน ให้ไว เพื่อจะได้ไปเวียนเทียนที่วัดในคืนนี้ ในตอนที่ผมกำลังจะลงกรประดูร้านอยู่นั้น ตาซ้าย ของผมก็กระตุก กระตุก และกระตุกอย่างน่ารำคาญ
ผมลุกขึ้นขยี้ตา และไม่รู้อะไรดลใจให้หันหน้าไปทางถนนหน้าบ้าน อาจจะเป็นเพราะหนุ่มสาว ที่เดินกางรมมาเก็บดอกไม้ด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะเจ้าด่างที่เหาอยู่ หรือเพราะรถมอไซค์ของเพื่อน ที่แล่นผ่าสายฝนมาด้วยความเร็ว และความแดงของขอบตาเพื่อน สนิท ที่ตาเจ้ากำของผมเห็นเต็มๆ
“เฮ้ย มึง !” ผมเรียกมันด้วยเสียงที่คิดว่าดังในระดับต่ำกว่าตะโกนน้อยนิด แต่มันกับไม่แม้แต่หันมามองผมด้วยซ้ำ ความคิดมากมายเริ่มผุดขึ้นพร้อมกับคำถาม “มันร้องไห้เหรอ?”
ผมยืนนิ่งคิดเรื่องของภาพเพื่อนที่พึ่งผ่านไปเมื่อกี้ได้ไม่นาน ก็ต้องตัดสินใจขึ้นนั่งค่อมมอไซค์คู่ใจ แล้วสตาร์ท และบิดรถฝ่าสายฝนออกมาจากบ้านเพื่อตามมันไป ด้วยความเป็นห้วง และความอยากรู้
“แฉ๊ดดด เอี๊ยด” เสียงล้อวิ่งมาบนถนนที่มีน้ำขังและเบรคอย่างกระทันหันหน้าศาลาลมริมทางข้างถนนใหญ่สายหนึ่งที่ผ่านหมู่บ้านที่ผมอยู่ ผมหยุดรถจงใจให้เสียงดัง แต่นั้นกลับไม่ได้ทำให้คนที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลาเพียงลำพังหันมามองผมเลยแม้แต่นิด ผมเจอมันแล้ว หลังจากที่ขี่วนหาอยู่ไม่นาน อย่างที่คิดมันร้องไห้ ผมไม่รู้ว่ามันร้องเพราะอะไร แต่น้ำที่ไหลออกจากตาของมันเป็นสายนั้นมันสะเทือนใจผมอย่างมาก ผมเดินเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว นั่งลงข้าง ๆ แล้วตบบ่ามันเบา ๆ ยากเหลือเกินในสถานการณ์นี้ที่จะหาคำใดมาพูดปลอบเพื่อนข้าง ๆ ให้หายร้องไห้ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีค่ำพูดแต่ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเสียใจเพราะอะไร คงจะมีเพียงคำนี้เท่านั้นที่บอกมันได้ “มึงยังมีกูนะ”
ด้วยคำพูดที่ผมพูดไปรึเปล่าไม่แน่ใจ สิ่งที่คิดไว้ว่าจะต้องได้กลับมาแน่ ๆ ก็เป็นจริง มันเริ่มร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า กะแล้ว เหอะ ๆ นั่งดูเพื่อนสนิทคนเดียวร้องไห้ได้ไม่นาน ผมที่คิดหาเหตุผลร้อยพันถึงสาเหตุของมัน ว่าทำไมเพื่อนที่เคยเข้มแข็งและโตมาด้วยกันถึงร้องได้ขนาดนี้ และก็ร้องได้ประจวบเหมาะกับสายฝนจริง ๆ ดูแล้วเหมือนนั่งทำเอมวี ไม่มีผิด
เอะ หรือจะอกหัก? ไม่ดิมันไม่เคยมีแฟนนิ รึว่ามันแอบชอบเค้าหว่า ? ความคิดนี้เป็นความคิดสุดท้ายของผมที่คิดหาสาเหตุที่ทำให้มันร้อง ผมอึดอัน เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร
“มึงเป็นไรวะ มีเรื่องไรบอกกูได้มั้ย” ในขณะที่แสงแลบสว่างวาบไปทั่วฟ้า และมีเสียงดังก้องกังวานของฟ้าฝ่าเกิดขึ้น ผมตัดสินใจถามเพื่อนข้าง ๆ ออกไป มันหันมามองผมพร้อมกับที่ผมเห็นหน้าและตาที่แดงก่ำของมัน ไม่มีเสียงไหนออกมาจากปากของเราสองคนอีกพักหนึ่ง แต่แค่แววตาที่เสียใจของมัน ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะไม่เซ้าซี้และถามต่อถึงต้นตอแห้งความเศร้า
“มึงไปเก็บเสื้อผ้ากูให้หน่อย เอาให้หมดบ้านเลย” เป็นประโยคแรกที่หูของผมได้ยินจากปากของเพื่อนสนิทที่ยังมีน้ำไหลออกมาจากตาที่แน่วแน่อาบสองแก้มนั้น แต่ไม่มีเสียงสะอื่น มีเพียงน้ำเสียงแข็ง ๆของการตัดสินใจอะไรซักอย่างด้วยการหักดิบของความคิดเท่านั้น ผมอึ้ง อึ้งที่ได้ยินคำนี้จากปากของมัน คำตอบของคำถามที่ถามไปเมื่อหลายนาทีที่แล้วกระจ่างชัดขึ้น ปัญหาครอบครัวสินะ ผมไม่รู้จะทำยังไง แต่แววตาของมันนั้น ทำให้ผมคิดได้แค่มันคงจะไปอยู่หอ ในเมืองละมั่ง
“ได้ กูจะไปเอาให้ แต่บอกได้มั้ยเกิดไรขึ้น” ผมถามมันอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงกับคำถามที่ตรงขึ้น เพื่อบอกให้มันรู้ ว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วและห่วงมันมาก ไม่ใช่ว่าจะยุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่นเลย แต่เราก็เป็นญาติกันอยู่ นะถึงจะห่างไปซักนิด ก็เถอะ
“มึงอย่ายุ่งเลย เรื่องมันไร้สาระวะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหล ผมได้ยินดังนั้นจึงมีความรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับความคิดน้อยใจในตัวเอง ผมคงยุ่งกับเรื่องของมันมากไปสินะ?
ผมตัดสินใจไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของเพื่อนสนิท ให้ตามที่มันขอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ว่าเมื่อมันกล้าขอผมก็กล้าให้มันในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของมันเอง
“ถ้ากูไม่ห่วงมึงกูไม่ยุ่งหลอกนะ” เป็นคำพูดที่ผมพูดทิ้งท้ายไว้ให้มันก่อนที่จะขี่รถออกมาด้วยความน้อยใจ และหงุดหงิด ไม่รู้ว่ามันจะคิดไรมั้ยกับคำพูดนี้ แต่คำพูดนี้ต้องเข้าหูมันมั่งหละ หึ
เมื่อผมมาถึงบ้านของเพื่อนสนิทผมกลับเจอพ่อของผมที่กำลังปลอบพ่อของมัน อยู่กับเพื่อนของพ่อ ๆ อีกสองคนคงจะนั่งก๊งกันก่อนหน้านี้สินะ อ่อ ยังมีแม่มันอีกคน ทั้งพ่อและแม่ของเพื่อนสนิท มีใบหน้าที่ถูกแต้มไว้ด้วยสีแดงของความเสียใจและสายน้ำตาแห่งความเศร้า ไม่ต่างอะไรกับคนที่นั่งในศาลาลมริมทางเมื่อกี้เลย
“มีไรเหรอลูก” แม่ของมันเมื่อเห็นผมท่านก็เช็ดน้ำตาและถามผม
“มันบอกให้มาเก็บเสื้อผ้า ไปให้” เพียงผมพูดเท่านี้ น้ำตาของแม่เพื่อนสนิทก็ไหลลงมาอีกครั้ง พ่อผมและพ่อของมัน หันมามองผม ไม่รู้ว่าท่านทั้งสามคิดอะไรแต่อ่านจากแววตาที่ผมเห็น มีแต่ความทุกใจกันทั้งนั้น ไม่น่าเลยจริง ๆ ครอบครัวที่เคยอบอุ่น ของมัน เกิดอะไรขึ้นกันนะ ?
ผมขี่รถกลับมาที่ศาลาริมทางอีกครั้ง ด้วยความว่างเปล่าเหมือนก่อนจะออกไปเพื่อเก็บของให้มัน ไม่ได้มา ซึ่งเสื้อผ้า มีแต่คำถามที่ออกมาจากปากของแม่ เพื่อน “มันจะทำอะไร?” ผมจอดรถและเดินเข้าไปหามันอีกครั้ง ตบบ่ามัน นั่งลงข้าง ๆ และยังคงมีสายฝนกระหน่ำอยู่เหมือนกับน้ำตาของมันที่ยังไหล ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ และผมยังคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง
“ไม่ได้วะ แม่เค้าไม่ยอมให้เอามา เค้าฝากมาถามด้วยว่า มึงจะทำอะไร? “ ผมพูดบอก ด้วยความอัดอั้นตันในอก ข้างซ้าย ผมไม่รู้สาเหตุที่มา ผมไม่รู้จะพูดปลอบยังไง ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเพื่อนสนิทคิดจะทำไรต่อ
“อือ กูจะกลับหอละนะ มึงมีไรทำก็ไปทำเหอะ” มันพูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองมาที่ผม มันมองเหม่อออกไปพร้อมกับลุกขึ้น และเดินไปที่รถมอไซค์ของมันเอง แถมคำพูดนั้น มันยังแทงลงมาที่ หัวจิตหัวใจของผมจริง ๆ ไล่กูทำไมฟระ -*-
“เฮ้ย มึงจะไปไงฝนตกหนักขนาดนี้ ใจเย็น ๆ สิ” ผมบอกมันพร้อมกับวิ่งไปที่รถของตัวเอง ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากมัน เพราะ มันบิดรถออกไปแล้ว ผมรั้งไว้ไม่ทันสินะ = = เมื่อเป็นแบบนี้สิ่งที่คิดได้ในตอนนั้นคือ ต้องตามให้ทัน ไอ้หมอนั้นคิดจะทิ้งให้คาใจได้ไง หึหึหึ แต่ที่จริงผมก็ห่วงมันแหละ
ผมบิดรถ จนสุดสายคันเร่ง จนอยากให้มันบิดได้ไวกว่านี้ ขี่ไปอย่างเร็วบนถนนที่มีน้ำไหลเป็นสายและ ฝนกระหน่ำหนักขึ้นทุกที และผมก็ตามทัน ผมแซงมันไปดักข้างหน้า มันเบรก ผมเบรก เรามองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง
“กูไปด้วย (ยิ้ม)” ผมยิ้มให้มันพร้อมกับคำพูดที่ออกมาจากใจ และความหวังว่ามันจะให้ไปด้วย
“กูไปได้จริง ๆ มึงกลับไปอาบน้ำเหอะ” แต่คำตอบกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แต่ใครจะปล่อยให้มันไปคนเดียวหละฝนลงเยอะลมแรงขนาดนี้
“กูจะไป” ผมบอกมันอีกครั้ง ถึงความตั้งใจแน่วแน่ แต่แล้วน้ำตาของมันก็ไหล ลงมาอีกละลอก เพราะผม มั่ง
“ซ้างงงงง งง” รถสิบล้อวิ่งผ่านไปบนถนนที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ มันทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนเราสองคน แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรายังคงมองหน้ากัน ในตอนที่รถวิ่งผ่านนั้น ปากของมันขยับ พูดบางประโยคออกมา ซึ้งผมไม่ได้ยิน อาจจะเพราะเสียงรถแล่นผ่าน หรือเพราะเสียงฝนตกลงมา กลบเสียงของมันรึเปล่า รถสิบล้อแล่นผ่านไป ฝนเริ่มเบาลง เสียงเพื่อนสนิทสตาร์ทรถอีกครั้ง ผมยังคงนิ่งคิดอยู่ ว่ามันพูดอะไร แล้วมันก็ขี้รถกลับเข้าไปทางหมู่บ้านด้วยความไวกว่าตอนแรกมาก ผมตกใจและได้สติ รีบสตาร์ทรถเพื่อจะตามมันแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังและท้ายรถของมันที่เรี้ยวรกเข้าซอยหายไปเท่านั้น
ผมรีบขี่ฝ่าสายฝนที่โปรยลงมา เพื่อจะตาม เผื่อว่าจะทัน แต่ก็ช้าไปแล้ว และใครจะรู้ว่า นั้นเป็นครั้งสุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุดที่ผมเจอมัน T^T
…
..
.
ผมกลับมานั่งที่ศาลาริมทางอีกครั้ง พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรหามัน ท้ามกลางสายฝนที่ตกอยู่หัวใจผมอยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความเป็นห่วงและความเจ็บใจ ผมกดโทรไปไม่รู้กี่ครั้ง โทรซ้ำ ๆ จนมันรับ
“ มึงไม่ต้องตามหากูนะ มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย กูดีใจนะเว้ย ที่มีมึงเป็นเพื่อน ติ๊ด” มันพูดและตัดสายผมทิ้ง ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ทันพุดอะไรเลย คำพูดของมัน น้ำเสียงของมัน ภาพของมันร้องไห้ ยังติดตาผมอยู่ ผมนั่งนิ่งไปกับคำพูดนั้น
ในหัวมีความคิดหลากหลาย มากมาย จนบรรยายไม่หมด ไม่รู้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานมั้ย ไม่รู้เวลาเดินไปเท่าไหร่ จนผมรู้สึกหนาว ยกมือขึ้นมากอดอก และมองออกไปนอกศาลา
“อ่าว หยุดแล้วนิ” พายุฝนที่ผ่านมาหยุดตกลง แต่ท้องฟ้ายังคงไม่สดใสฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆที่อุ้มน้ำและยังมืดมัวอยู่แม้จะตกลงมารอบหนึ่งแล้ว และยังคงไม่แน่นอนว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่ คงเหมือนหัวใจของเพื่อนสนิทก็คงยังไม่สดใส และไม่แน่นอนเหมือนกับเมฆฝนในเวลานี้อย่างแน่นอน ในตอนที่ผมนั่งคิดอยู่นั้น ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาแทรกทุกความคิด
อย่าให้เจอนะมึง ขอต่อยซักทีเหอะ หึ้ และใครจะรู้ว่ามันก็ยังคงเป็นได้แค่ความคิด และใครจะรู้ว่าวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ที่ผมได้เจอมัน
ผมลุกขึ้นและเดินไปที่รถ สตาร์ทรถ และฝนก็โปรยลงมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ฟ้าที่ตอนนี้มีแสงเพียงน้อยส่องผ่านเมฆฝนหมองมัวมันทำให้อารมณ์ของผมกลับมานิ่งเหงาอีกครั้ง เมื่อได้มองมัน
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ