ความฝัน สิ่งสำคัญ ห่างกัน หายไป

9.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.28 น.

  3 ตอน
  4 วิจารณ์
  7,540 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556 16.16 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ตอน หายไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอน หายไป 

“เปาะแปะ เปาะแปะ  ๆ ซ่าซ่าๆ  ๆ” เสียงน้ำที่โปรยลง จากเบา ๆ และแรงขึ้นตามแรงลมและขนาดของหยดน้ำนับไม่ถ้วนที่เกิดจากเมฆครึ้มหนา ร่วงกระทบกับหลังคาและไหลลงสู่ผืนดิน ฝนตก ทั้ง ๆ ที่ผืนฟ้าในเวลานี้ควรจะแต่งแต้มไปด้วยสีสันของพระอาทิตที่ทอแสงสีแดงอมม่วง เพื่อจะบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ตนเองจะรับขอบฟ้าพร้อมเรียกจันทราที่เต็มดวง ทอแสงสีนวลมองแล้วสบายตาให้ขึ้นแทนที่ แต่เวลานี้กลับมีเมฆครึ้มที่นำพาหยดน้ำน้อยใหญ่เรียงรายตกลงมา  ไม่มีแสงสีของดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ และก็คิดว่าอาจจะไม่เห็นพระจันทร์ ในวันสำคัญวันนี้   วันอาสาฬหบูชา

 

ผมยืนอยู่หน้าร้าน  หน้าบ้าน  หรือจะพูดให้ถูกมันเป็นทั้งสองอย่าง  ผมมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อรอยไร้ซึ่งจุดโฟกัสที่น่าสนใจ  ภาพในตาพล่ามัวไร้จุดหมาย ภาพในใจล่องลอยและหงอยเหงาอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อันน้อยนิดที่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมาก่อนจะขอตัวกลับมาปิดร้าน ฝนตก ผมไม่ชอบฤดูนี้ แต่ก็ไม่ได้เกียจมัน  เมื่อไหลที่ผมมองสายฝน ที่โปรยลงมาผมมักจะเหงา ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเหงาทำไม ไม่มีสาเหตุหลัก รู้แต่ว่า ช่วงเวลาที่ฝนตกอากาศจะเย็นลงละอองฝนจะสาดกระเด็นมาโดนเรา  เป็นใจให้เหงา นี้ละมั่ง เหตุผลลอง ^ ^

 

“โป๊ก”  “โอ๊ย !”

 

เสียงแรกคือเสียงมะเหงกสั่งตายของพี่ชายร่างหมีของผม และเสียงที่สองคงไม่ต้องบอกว่าใครก็น่าจะพอเดากันได้ เสียงของผมเองแหะ ๆ มาขัดจังหวะตอนเหม่อของผมจริง ๆ = =

“เหม่อ อยู่ได้ฝนตกก็ปิดร้านดิ  มัวยืนเหม่ออยู่นั้น เดี๋ยวก็ไปเวียนเทียนกะสาวไม่ทันหลอก” พี่ชายบ่นพร้อมกับหันหลังเดินเข้าไปดูทีวีต่อในบ้านโดยที่ไม่ลืม “ปิดไวไว พี่จะพาเมียไปเวียนเทียน”  เป็นประโยคค่ำสั่งส่งท้ายให้ผมผู้ที่เป็นน้อง อายุ17 ปิดร้านตามรำพังกลางสายฝนกระหน่ำ โดยที่พี่ชายไม่คิดจะมาช่วยกันปิดเลยแม้ แต่นิด ฮื้ม!  “รักน้องจริง ๆ”

 

ผมบ่นไปขณะที่เดินไปหยิบหมวกมาใส่กันฝนแล้วรีบเก็บของอย่างเหม่อ ๆ แล้วปิดร้าน ให้ไว เพื่อจะได้ไปเวียนเทียนที่วัดในคืนนี้  ในตอนที่ผมกำลังจะลงกรประดูร้านอยู่นั้น  ตาซ้าย ของผมก็กระตุก กระตุก และกระตุกอย่างน่ารำคาญ

 

ผมลุกขึ้นขยี้ตา และไม่รู้อะไรดลใจให้หันหน้าไปทางถนนหน้าบ้าน  อาจจะเป็นเพราะหนุ่มสาว ที่เดินกางรมมาเก็บดอกไม้ด้วยกัน   อาจจะเป็นเพราะเจ้าด่างที่เหาอยู่  หรือเพราะรถมอไซค์ของเพื่อน ที่แล่นผ่าสายฝนมาด้วยความเร็ว  และความแดงของขอบตาเพื่อน สนิท  ที่ตาเจ้ากำของผมเห็นเต็มๆ  

 

“เฮ้ย มึง !”  ผมเรียกมันด้วยเสียงที่คิดว่าดังในระดับต่ำกว่าตะโกนน้อยนิด  แต่มันกับไม่แม้แต่หันมามองผมด้วยซ้ำ ความคิดมากมายเริ่มผุดขึ้นพร้อมกับคำถาม “มันร้องไห้เหรอ?”

ผมยืนนิ่งคิดเรื่องของภาพเพื่อนที่พึ่งผ่านไปเมื่อกี้ได้ไม่นาน  ก็ต้องตัดสินใจขึ้นนั่งค่อมมอไซค์คู่ใจ แล้วสตาร์ท และบิดรถฝ่าสายฝนออกมาจากบ้านเพื่อตามมันไป  ด้วยความเป็นห้วง และความอยากรู้

 

 

“แฉ๊ดดด  เอี๊ยด”  เสียงล้อวิ่งมาบนถนนที่มีน้ำขังและเบรคอย่างกระทันหันหน้าศาลาลมริมทางข้างถนนใหญ่สายหนึ่งที่ผ่านหมู่บ้านที่ผมอยู่  ผมหยุดรถจงใจให้เสียงดัง  แต่นั้นกลับไม่ได้ทำให้คนที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลาเพียงลำพังหันมามองผมเลยแม้แต่นิด  ผมเจอมันแล้ว  หลังจากที่ขี่วนหาอยู่ไม่นาน  อย่างที่คิดมันร้องไห้  ผมไม่รู้ว่ามันร้องเพราะอะไร แต่น้ำที่ไหลออกจากตาของมันเป็นสายนั้นมันสะเทือนใจผมอย่างมาก  ผมเดินเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว  นั่งลงข้าง ๆ แล้วตบบ่ามันเบา ๆ  ยากเหลือเกินในสถานการณ์นี้ที่จะหาคำใดมาพูดปลอบเพื่อนข้าง ๆ ให้หายร้องไห้ได้   ไม่ใช่ว่าไม่มีค่ำพูดแต่ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเสียใจเพราะอะไร    คงจะมีเพียงคำนี้เท่านั้นที่บอกมันได้ “มึงยังมีกูนะ”

 

ด้วยคำพูดที่ผมพูดไปรึเปล่าไม่แน่ใจ  สิ่งที่คิดไว้ว่าจะต้องได้กลับมาแน่ ๆ ก็เป็นจริง มันเริ่มร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า  กะแล้ว เหอะ ๆ นั่งดูเพื่อนสนิทคนเดียวร้องไห้ได้ไม่นาน ผมที่คิดหาเหตุผลร้อยพันถึงสาเหตุของมัน ว่าทำไมเพื่อนที่เคยเข้มแข็งและโตมาด้วยกันถึงร้องได้ขนาดนี้  และก็ร้องได้ประจวบเหมาะกับสายฝนจริง ๆ ดูแล้วเหมือนนั่งทำเอมวี ไม่มีผิด

เอะ หรือจะอกหัก? ไม่ดิมันไม่เคยมีแฟนนิ  รึว่ามันแอบชอบเค้าหว่า ?  ความคิดนี้เป็นความคิดสุดท้ายของผมที่คิดหาสาเหตุที่ทำให้มันร้อง  ผมอึดอัน  เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร 

 

“มึงเป็นไรวะ  มีเรื่องไรบอกกูได้มั้ย”  ในขณะที่แสงแลบสว่างวาบไปทั่วฟ้า และมีเสียงดังก้องกังวานของฟ้าฝ่าเกิดขึ้น ผมตัดสินใจถามเพื่อนข้าง ๆ ออกไป  มันหันมามองผมพร้อมกับที่ผมเห็นหน้าและตาที่แดงก่ำของมัน  ไม่มีเสียงไหนออกมาจากปากของเราสองคนอีกพักหนึ่ง แต่แค่แววตาที่เสียใจของมัน ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะไม่เซ้าซี้และถามต่อถึงต้นตอแห้งความเศร้า   

            

    “มึงไปเก็บเสื้อผ้ากูให้หน่อย เอาให้หมดบ้านเลย”  เป็นประโยคแรกที่หูของผมได้ยินจากปากของเพื่อนสนิทที่ยังมีน้ำไหลออกมาจากตาที่แน่วแน่อาบสองแก้มนั้น แต่ไม่มีเสียงสะอื่น  มีเพียงน้ำเสียงแข็ง ๆของการตัดสินใจอะไรซักอย่างด้วยการหักดิบของความคิดเท่านั้น  ผมอึ้ง  อึ้งที่ได้ยินคำนี้จากปากของมัน  คำตอบของคำถามที่ถามไปเมื่อหลายนาทีที่แล้วกระจ่างชัดขึ้น  ปัญหาครอบครัวสินะ  ผมไม่รู้จะทำยังไง แต่แววตาของมันนั้น  ทำให้ผมคิดได้แค่มันคงจะไปอยู่หอ ในเมืองละมั่ง

               

“ได้ กูจะไปเอาให้ แต่บอกได้มั้ยเกิดไรขึ้น” ผมถามมันอีกครั้ง  ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงกับคำถามที่ตรงขึ้น เพื่อบอกให้มันรู้ ว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วและห่วงมันมาก  ไม่ใช่ว่าจะยุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่นเลย  แต่เราก็เป็นญาติกันอยู่  นะถึงจะห่างไปซักนิด ก็เถอะ

              

  “มึงอย่ายุ่งเลย  เรื่องมันไร้สาระวะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหล  ผมได้ยินดังนั้นจึงมีความรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับความคิดน้อยใจในตัวเอง  ผมคงยุ่งกับเรื่องของมันมากไปสินะ?

ผมตัดสินใจไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของเพื่อนสนิท  ให้ตามที่มันขอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ว่าเมื่อมันกล้าขอผมก็กล้าให้มันในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของมันเอง 

“ถ้ากูไม่ห่วงมึงกูไม่ยุ่งหลอกนะ” เป็นคำพูดที่ผมพูดทิ้งท้ายไว้ให้มันก่อนที่จะขี่รถออกมาด้วยความน้อยใจ และหงุดหงิด ไม่รู้ว่ามันจะคิดไรมั้ยกับคำพูดนี้ แต่คำพูดนี้ต้องเข้าหูมันมั่งหละ หึ

             

   เมื่อผมมาถึงบ้านของเพื่อนสนิทผมกลับเจอพ่อของผมที่กำลังปลอบพ่อของมัน อยู่กับเพื่อนของพ่อ ๆ อีกสองคนคงจะนั่งก๊งกันก่อนหน้านี้สินะ อ่อ ยังมีแม่มันอีกคน  ทั้งพ่อและแม่ของเพื่อนสนิท มีใบหน้าที่ถูกแต้มไว้ด้วยสีแดงของความเสียใจและสายน้ำตาแห่งความเศร้า ไม่ต่างอะไรกับคนที่นั่งในศาลาลมริมทางเมื่อกี้เลย 

 

“มีไรเหรอลูก” แม่ของมันเมื่อเห็นผมท่านก็เช็ดน้ำตาและถามผม

 

“มันบอกให้มาเก็บเสื้อผ้า  ไปให้” เพียงผมพูดเท่านี้ น้ำตาของแม่เพื่อนสนิทก็ไหลลงมาอีกครั้ง  พ่อผมและพ่อของมัน หันมามองผม ไม่รู้ว่าท่านทั้งสามคิดอะไรแต่อ่านจากแววตาที่ผมเห็น มีแต่ความทุกใจกันทั้งนั้น  ไม่น่าเลยจริง ๆ ครอบครัวที่เคยอบอุ่น  ของมัน เกิดอะไรขึ้นกันนะ ?

    

  ผมขี่รถกลับมาที่ศาลาริมทางอีกครั้ง  ด้วยความว่างเปล่าเหมือนก่อนจะออกไปเพื่อเก็บของให้มัน  ไม่ได้มา ซึ่งเสื้อผ้า มีแต่คำถามที่ออกมาจากปากของแม่ เพื่อน  “มันจะทำอะไร?”  ผมจอดรถและเดินเข้าไปหามันอีกครั้ง  ตบบ่ามัน  นั่งลงข้าง ๆ และยังคงมีสายฝนกระหน่ำอยู่เหมือนกับน้ำตาของมันที่ยังไหล  ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่  และผมยังคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง

 

“ไม่ได้วะ  แม่เค้าไม่ยอมให้เอามา  เค้าฝากมาถามด้วยว่า มึงจะทำอะไร? “ ผมพูดบอก  ด้วยความอัดอั้นตันในอก ข้างซ้าย ผมไม่รู้สาเหตุที่มา  ผมไม่รู้จะพูดปลอบยังไง  ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเพื่อนสนิทคิดจะทำไรต่อ 

 

“อือ กูจะกลับหอละนะ มึงมีไรทำก็ไปทำเหอะ” มันพูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองมาที่ผม มันมองเหม่อออกไปพร้อมกับลุกขึ้น  และเดินไปที่รถมอไซค์ของมันเอง   แถมคำพูดนั้น มันยังแทงลงมาที่ หัวจิตหัวใจของผมจริง ๆ ไล่กูทำไมฟระ -*-

 

“เฮ้ย มึงจะไปไงฝนตกหนักขนาดนี้  ใจเย็น ๆ สิ” ผมบอกมันพร้อมกับวิ่งไปที่รถของตัวเอง  ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากมัน เพราะ มันบิดรถออกไปแล้ว  ผมรั้งไว้ไม่ทันสินะ = = เมื่อเป็นแบบนี้สิ่งที่คิดได้ในตอนนั้นคือ ต้องตามให้ทัน ไอ้หมอนั้นคิดจะทิ้งให้คาใจได้ไง หึหึหึ   แต่ที่จริงผมก็ห่วงมันแหละ

ผมบิดรถ จนสุดสายคันเร่ง  จนอยากให้มันบิดได้ไวกว่านี้  ขี่ไปอย่างเร็วบนถนนที่มีน้ำไหลเป็นสายและ ฝนกระหน่ำหนักขึ้นทุกที  และผมก็ตามทัน  ผมแซงมันไปดักข้างหน้า  มันเบรก ผมเบรก  เรามองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง

 

“กูไปด้วย (ยิ้ม)”  ผมยิ้มให้มันพร้อมกับคำพูดที่ออกมาจากใจ  และความหวังว่ามันจะให้ไปด้วย

 

“กูไปได้จริง ๆ มึงกลับไปอาบน้ำเหอะ” แต่คำตอบกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แต่ใครจะปล่อยให้มันไปคนเดียวหละฝนลงเยอะลมแรงขนาดนี้

 

“กูจะไป”  ผมบอกมันอีกครั้ง ถึงความตั้งใจแน่วแน่  แต่แล้วน้ำตาของมันก็ไหล ลงมาอีกละลอก เพราะผม มั่ง

 

“ซ้างงงงง งง” รถสิบล้อวิ่งผ่านไปบนถนนที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ   มันทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนเราสองคน แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรายังคงมองหน้ากัน ในตอนที่รถวิ่งผ่านนั้น ปากของมันขยับ พูดบางประโยคออกมา ซึ้งผมไม่ได้ยิน  อาจจะเพราะเสียงรถแล่นผ่าน หรือเพราะเสียงฝนตกลงมา  กลบเสียงของมันรึเปล่า  รถสิบล้อแล่นผ่านไป  ฝนเริ่มเบาลง  เสียงเพื่อนสนิทสตาร์ทรถอีกครั้ง  ผมยังคงนิ่งคิดอยู่ ว่ามันพูดอะไร   แล้วมันก็ขี้รถกลับเข้าไปทางหมู่บ้านด้วยความไวกว่าตอนแรกมาก  ผมตกใจและได้สติ รีบสตาร์ทรถเพื่อจะตามมันแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังและท้ายรถของมันที่เรี้ยวรกเข้าซอยหายไปเท่านั้น

ผมรีบขี่ฝ่าสายฝนที่โปรยลงมา เพื่อจะตาม  เผื่อว่าจะทัน  แต่ก็ช้าไปแล้ว    และใครจะรู้ว่า นั้นเป็นครั้งสุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุดที่ผมเจอมัน  T^T

..

.

ผมกลับมานั่งที่ศาลาริมทางอีกครั้ง  พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรหามัน  ท้ามกลางสายฝนที่ตกอยู่หัวใจผมอยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความเป็นห่วงและความเจ็บใจ  ผมกดโทรไปไม่รู้กี่ครั้ง โทรซ้ำ ๆ จนมันรับ

 

“ มึงไม่ต้องตามหากูนะ  มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย กูดีใจนะเว้ย  ที่มีมึงเป็นเพื่อน  ติ๊ด” มันพูดและตัดสายผมทิ้ง  ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ทันพุดอะไรเลย   คำพูดของมัน  น้ำเสียงของมัน  ภาพของมันร้องไห้  ยังติดตาผมอยู่  ผมนั่งนิ่งไปกับคำพูดนั้น

 

ในหัวมีความคิดหลากหลาย  มากมาย  จนบรรยายไม่หมด  ไม่รู้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานมั้ย ไม่รู้เวลาเดินไปเท่าไหร่ จนผมรู้สึกหนาว  ยกมือขึ้นมากอดอก  และมองออกไปนอกศาลา 

 

“อ่าว หยุดแล้วนิ” พายุฝนที่ผ่านมาหยุดตกลง  แต่ท้องฟ้ายังคงไม่สดใสฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆที่อุ้มน้ำและยังมืดมัวอยู่แม้จะตกลงมารอบหนึ่งแล้ว และยังคงไม่แน่นอนว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่ คงเหมือนหัวใจของเพื่อนสนิทก็คงยังไม่สดใส และไม่แน่นอนเหมือนกับเมฆฝนในเวลานี้อย่างแน่นอน   ในตอนที่ผมนั่งคิดอยู่นั้น  ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาแทรกทุกความคิด

อย่าให้เจอนะมึง  ขอต่อยซักทีเหอะ หึ้  และใครจะรู้ว่ามันก็ยังคงเป็นได้แค่ความคิด  และใครจะรู้ว่าวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ที่ผมได้เจอมัน 

ผมลุกขึ้นและเดินไปที่รถ  สตาร์ทรถ  และฝนก็โปรยลงมาอีกครั้ง  ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า  ฟ้าที่ตอนนี้มีแสงเพียงน้อยส่องผ่านเมฆฝนหมองมัวมันทำให้อารมณ์ของผมกลับมานิ่งเหงาอีกครั้ง  เมื่อได้มองมัน

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา