ความฝัน สิ่งสำคัญ ห่างกัน หายไป
เขียนโดย นายน่าเบื่อ
วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.28 น.
แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556 16.16 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ตอน หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอน หายไป
“เปาะแปะ เปาะแปะ ๆ ซ่าซ่าๆ ๆ” เสียงน้ำที่โปรยลง จากเบา ๆ และแรงขึ้นตามแรงลมและขนาดของหยดน้ำนับไม่ถ้วนที่เกิดจากเมฆครึ้มหนา ร่วงกระทบกับหลังคาและไหลลงสู่ผืนดิน ฝนตก ทั้ง ๆ ที่ผืนฟ้าในเวลานี้ควรจะแต่งแต้มไปด้วยสีสันของพระอาทิตที่ทอแสงสีแดงอมม่วง เพื่อจะบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ตนเองจะรับขอบฟ้าพร้อมเรียกจันทราที่เต็มดวง ทอแสงสีนวลมองแล้วสบายตาให้ขึ้นแทนที่ แต่เวลานี้กลับมีเมฆครึ้มที่นำพาหยดน้ำน้อยใหญ่เรียงรายตกลงมา ไม่มีแสงสีของดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ และก็คิดว่าอาจจะไม่เห็นพระจันทร์ ในวันสำคัญวันนี้ วันอาสาฬหบูชา
ผมยืนอยู่หน้าร้าน หน้าบ้าน หรือจะพูดให้ถูกมันเป็นทั้งสองอย่าง ผมมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อรอยไร้ซึ่งจุดโฟกัสที่น่าสนใจ ภาพในตาพล่ามัวไร้จุดหมาย ภาพในใจล่องลอยและหงอยเหงาอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อันน้อยนิดที่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมาก่อนจะขอตัวกลับมาปิดร้าน ฝนตก ผมไม่ชอบฤดูนี้ แต่ก็ไม่ได้เกียจมัน เมื่อไหลที่ผมมองสายฝน ที่โปรยลงมาผมมักจะเหงา ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเหงาทำไม ไม่มีสาเหตุหลัก รู้แต่ว่า ช่วงเวลาที่ฝนตกอากาศจะเย็นลงละอองฝนจะสาดกระเด็นมาโดนเรา เป็นใจให้เหงา นี้ละมั่ง เหตุผลลอง ^ ^
“โป๊ก” “โอ๊ย !”
เสียงแรกคือเสียงมะเหงกสั่งตายของพี่ชายร่างหมีของผม และเสียงที่สองคงไม่ต้องบอกว่าใครก็น่าจะพอเดากันได้ เสียงของผมเองแหะ ๆ มาขัดจังหวะตอนเหม่อของผมจริง ๆ = =
“เหม่อ อยู่ได้ฝนตกก็ปิดร้านดิ มัวยืนเหม่ออยู่นั้น เดี๋ยวก็ไปเวียนเทียนกะสาวไม่ทันหลอก” พี่ชายบ่นพร้อมกับหันหลังเดินเข้าไปดูทีวีต่อในบ้านโดยที่ไม่ลืม “ปิดไวไว พี่จะพาเมียไปเวียนเทียน” เป็นประโยคค่ำสั่งส่งท้ายให้ผมผู้ที่เป็นน้อง อายุ17 ปิดร้านตามรำพังกลางสายฝนกระหน่ำ โดยที่พี่ชายไม่คิดจะมาช่วยกันปิดเลยแม้ แต่นิด ฮื้ม! “รักน้องจริง ๆ”
ผมบ่นไปขณะที่เดินไปหยิบหมวกมาใส่กันฝนแล้วรีบเก็บของอย่างเหม่อ ๆ แล้วปิดร้าน ให้ไว เพื่อจะได้ไปเวียนเทียนที่วัดในคืนนี้ ในตอนที่ผมกำลังจะลงกรประดูร้านอยู่นั้น ตาซ้าย ของผมก็กระตุก กระตุก และกระตุกอย่างน่ารำคาญ
ผมลุกขึ้นขยี้ตา และไม่รู้อะไรดลใจให้หันหน้าไปทางถนนหน้าบ้าน อาจจะเป็นเพราะหนุ่มสาว ที่เดินกางรมมาเก็บดอกไม้ด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะเจ้าด่างที่เหาอยู่ หรือเพราะรถมอไซค์ของเพื่อน ที่แล่นผ่าสายฝนมาด้วยความเร็ว และความแดงของขอบตาเพื่อน สนิท ที่ตาเจ้ากำของผมเห็นเต็มๆ
“เฮ้ย มึง !” ผมเรียกมันด้วยเสียงที่คิดว่าดังในระดับต่ำกว่าตะโกนน้อยนิด แต่มันกับไม่แม้แต่หันมามองผมด้วยซ้ำ ความคิดมากมายเริ่มผุดขึ้นพร้อมกับคำถาม “มันร้องไห้เหรอ?”
ผมยืนนิ่งคิดเรื่องของภาพเพื่อนที่พึ่งผ่านไปเมื่อกี้ได้ไม่นาน ก็ต้องตัดสินใจขึ้นนั่งค่อมมอไซค์คู่ใจ แล้วสตาร์ท และบิดรถฝ่าสายฝนออกมาจากบ้านเพื่อตามมันไป ด้วยความเป็นห้วง และความอยากรู้
“แฉ๊ดดด เอี๊ยด” เสียงล้อวิ่งมาบนถนนที่มีน้ำขังและเบรคอย่างกระทันหันหน้าศาลาลมริมทางข้างถนนใหญ่สายหนึ่งที่ผ่านหมู่บ้านที่ผมอยู่ ผมหยุดรถจงใจให้เสียงดัง แต่นั้นกลับไม่ได้ทำให้คนที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลาเพียงลำพังหันมามองผมเลยแม้แต่นิด ผมเจอมันแล้ว หลังจากที่ขี่วนหาอยู่ไม่นาน อย่างที่คิดมันร้องไห้ ผมไม่รู้ว่ามันร้องเพราะอะไร แต่น้ำที่ไหลออกจากตาของมันเป็นสายนั้นมันสะเทือนใจผมอย่างมาก ผมเดินเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว นั่งลงข้าง ๆ แล้วตบบ่ามันเบา ๆ ยากเหลือเกินในสถานการณ์นี้ที่จะหาคำใดมาพูดปลอบเพื่อนข้าง ๆ ให้หายร้องไห้ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีค่ำพูดแต่ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเสียใจเพราะอะไร คงจะมีเพียงคำนี้เท่านั้นที่บอกมันได้ “มึงยังมีกูนะ”
ด้วยคำพูดที่ผมพูดไปรึเปล่าไม่แน่ใจ สิ่งที่คิดไว้ว่าจะต้องได้กลับมาแน่ ๆ ก็เป็นจริง มันเริ่มร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่า กะแล้ว เหอะ ๆ นั่งดูเพื่อนสนิทคนเดียวร้องไห้ได้ไม่นาน ผมที่คิดหาเหตุผลร้อยพันถึงสาเหตุของมัน ว่าทำไมเพื่อนที่เคยเข้มแข็งและโตมาด้วยกันถึงร้องได้ขนาดนี้ และก็ร้องได้ประจวบเหมาะกับสายฝนจริง ๆ ดูแล้วเหมือนนั่งทำเอมวี ไม่มีผิด
เอะ หรือจะอกหัก? ไม่ดิมันไม่เคยมีแฟนนิ รึว่ามันแอบชอบเค้าหว่า ? ความคิดนี้เป็นความคิดสุดท้ายของผมที่คิดหาสาเหตุที่ทำให้มันร้อง ผมอึดอัน เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร
“มึงเป็นไรวะ มีเรื่องไรบอกกูได้มั้ย” ในขณะที่แสงแลบสว่างวาบไปทั่วฟ้า และมีเสียงดังก้องกังวานของฟ้าฝ่าเกิดขึ้น ผมตัดสินใจถามเพื่อนข้าง ๆ ออกไป มันหันมามองผมพร้อมกับที่ผมเห็นหน้าและตาที่แดงก่ำของมัน ไม่มีเสียงไหนออกมาจากปากของเราสองคนอีกพักหนึ่ง แต่แค่แววตาที่เสียใจของมัน ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะไม่เซ้าซี้และถามต่อถึงต้นตอแห้งความเศร้า
“มึงไปเก็บเสื้อผ้ากูให้หน่อย เอาให้หมดบ้านเลย” เป็นประโยคแรกที่หูของผมได้ยินจากปากของเพื่อนสนิทที่ยังมีน้ำไหลออกมาจากตาที่แน่วแน่อาบสองแก้มนั้น แต่ไม่มีเสียงสะอื่น มีเพียงน้ำเสียงแข็ง ๆของการตัดสินใจอะไรซักอย่างด้วยการหักดิบของความคิดเท่านั้น ผมอึ้ง อึ้งที่ได้ยินคำนี้จากปากของมัน คำตอบของคำถามที่ถามไปเมื่อหลายนาทีที่แล้วกระจ่างชัดขึ้น ปัญหาครอบครัวสินะ ผมไม่รู้จะทำยังไง แต่แววตาของมันนั้น ทำให้ผมคิดได้แค่มันคงจะไปอยู่หอ ในเมืองละมั่ง
“ได้ กูจะไปเอาให้ แต่บอกได้มั้ยเกิดไรขึ้น” ผมถามมันอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงกับคำถามที่ตรงขึ้น เพื่อบอกให้มันรู้ ว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วและห่วงมันมาก ไม่ใช่ว่าจะยุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่นเลย แต่เราก็เป็นญาติกันอยู่ นะถึงจะห่างไปซักนิด ก็เถอะ
“มึงอย่ายุ่งเลย เรื่องมันไร้สาระวะ” มันตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหล ผมได้ยินดังนั้นจึงมีความรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับความคิดน้อยใจในตัวเอง ผมคงยุ่งกับเรื่องของมันมากไปสินะ?
ผมตัดสินใจไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของเพื่อนสนิท ให้ตามที่มันขอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ว่าเมื่อมันกล้าขอผมก็กล้าให้มันในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของมันเอง
“ถ้ากูไม่ห่วงมึงกูไม่ยุ่งหลอกนะ” เป็นคำพูดที่ผมพูดทิ้งท้ายไว้ให้มันก่อนที่จะขี่รถออกมาด้วยความน้อยใจ และหงุดหงิด ไม่รู้ว่ามันจะคิดไรมั้ยกับคำพูดนี้ แต่คำพูดนี้ต้องเข้าหูมันมั่งหละ หึ
เมื่อผมมาถึงบ้านของเพื่อนสนิทผมกลับเจอพ่อของผมที่กำลังปลอบพ่อของมัน อยู่กับเพื่อนของพ่อ ๆ อีกสองคนคงจะนั่งก๊งกันก่อนหน้านี้สินะ อ่อ ยังมีแม่มันอีกคน ทั้งพ่อและแม่ของเพื่อนสนิท มีใบหน้าที่ถูกแต้มไว้ด้วยสีแดงของความเสียใจและสายน้ำตาแห่งความเศร้า ไม่ต่างอะไรกับคนที่นั่งในศาลาลมริมทางเมื่อกี้เลย
“มีไรเหรอลูก” แม่ของมันเมื่อเห็นผมท่านก็เช็ดน้ำตาและถามผม
“มันบอกให้มาเก็บเสื้อผ้า ไปให้” เพียงผมพูดเท่านี้ น้ำตาของแม่เพื่อนสนิทก็ไหลลงมาอีกครั้ง พ่อผมและพ่อของมัน หันมามองผม ไม่รู้ว่าท่านทั้งสามคิดอะไรแต่อ่านจากแววตาที่ผมเห็น มีแต่ความทุกใจกันทั้งนั้น ไม่น่าเลยจริง ๆ ครอบครัวที่เคยอบอุ่น ของมัน เกิดอะไรขึ้นกันนะ ?
ผมขี่รถกลับมาที่ศาลาริมทางอีกครั้ง ด้วยความว่างเปล่าเหมือนก่อนจะออกไปเพื่อเก็บของให้มัน ไม่ได้มา ซึ่งเสื้อผ้า มีแต่คำถามที่ออกมาจากปากของแม่ เพื่อน “มันจะทำอะไร?” ผมจอดรถและเดินเข้าไปหามันอีกครั้ง ตบบ่ามัน นั่งลงข้าง ๆ และยังคงมีสายฝนกระหน่ำอยู่เหมือนกับน้ำตาของมันที่ยังไหล ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ และผมยังคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง
“ไม่ได้วะ แม่เค้าไม่ยอมให้เอามา เค้าฝากมาถามด้วยว่า มึงจะทำอะไร? “ ผมพูดบอก ด้วยความอัดอั้นตันในอก ข้างซ้าย ผมไม่รู้สาเหตุที่มา ผมไม่รู้จะพูดปลอบยังไง ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเพื่อนสนิทคิดจะทำไรต่อ
“อือ กูจะกลับหอละนะ มึงมีไรทำก็ไปทำเหอะ” มันพูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองมาที่ผม มันมองเหม่อออกไปพร้อมกับลุกขึ้น และเดินไปที่รถมอไซค์ของมันเอง แถมคำพูดนั้น มันยังแทงลงมาที่ หัวจิตหัวใจของผมจริง ๆ ไล่กูทำไมฟระ -*-
“เฮ้ย มึงจะไปไงฝนตกหนักขนาดนี้ ใจเย็น ๆ สิ” ผมบอกมันพร้อมกับวิ่งไปที่รถของตัวเอง ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากมัน เพราะ มันบิดรถออกไปแล้ว ผมรั้งไว้ไม่ทันสินะ = = เมื่อเป็นแบบนี้สิ่งที่คิดได้ในตอนนั้นคือ ต้องตามให้ทัน ไอ้หมอนั้นคิดจะทิ้งให้คาใจได้ไง หึหึหึ แต่ที่จริงผมก็ห่วงมันแหละ
ผมบิดรถ จนสุดสายคันเร่ง จนอยากให้มันบิดได้ไวกว่านี้ ขี่ไปอย่างเร็วบนถนนที่มีน้ำไหลเป็นสายและ ฝนกระหน่ำหนักขึ้นทุกที และผมก็ตามทัน ผมแซงมันไปดักข้างหน้า มันเบรก ผมเบรก เรามองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง
“กูไปด้วย (ยิ้ม)” ผมยิ้มให้มันพร้อมกับคำพูดที่ออกมาจากใจ และความหวังว่ามันจะให้ไปด้วย
“กูไปได้จริง ๆ มึงกลับไปอาบน้ำเหอะ” แต่คำตอบกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แต่ใครจะปล่อยให้มันไปคนเดียวหละฝนลงเยอะลมแรงขนาดนี้
“กูจะไป” ผมบอกมันอีกครั้ง ถึงความตั้งใจแน่วแน่ แต่แล้วน้ำตาของมันก็ไหล ลงมาอีกละลอก เพราะผม มั่ง
“ซ้างงงงง งง” รถสิบล้อวิ่งผ่านไปบนถนนที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ มันทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนเราสองคน แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรายังคงมองหน้ากัน ในตอนที่รถวิ่งผ่านนั้น ปากของมันขยับ พูดบางประโยคออกมา ซึ้งผมไม่ได้ยิน อาจจะเพราะเสียงรถแล่นผ่าน หรือเพราะเสียงฝนตกลงมา กลบเสียงของมันรึเปล่า รถสิบล้อแล่นผ่านไป ฝนเริ่มเบาลง เสียงเพื่อนสนิทสตาร์ทรถอีกครั้ง ผมยังคงนิ่งคิดอยู่ ว่ามันพูดอะไร แล้วมันก็ขี้รถกลับเข้าไปทางหมู่บ้านด้วยความไวกว่าตอนแรกมาก ผมตกใจและได้สติ รีบสตาร์ทรถเพื่อจะตามมันแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังและท้ายรถของมันที่เรี้ยวรกเข้าซอยหายไปเท่านั้น
ผมรีบขี่ฝ่าสายฝนที่โปรยลงมา เพื่อจะตาม เผื่อว่าจะทัน แต่ก็ช้าไปแล้ว และใครจะรู้ว่า นั้นเป็นครั้งสุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุดที่ผมเจอมัน T^T
…
..
.
ผมกลับมานั่งที่ศาลาริมทางอีกครั้ง พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรหามัน ท้ามกลางสายฝนที่ตกอยู่หัวใจผมอยู่ไม่เป็นสุข มีแต่ความเป็นห่วงและความเจ็บใจ ผมกดโทรไปไม่รู้กี่ครั้ง โทรซ้ำ ๆ จนมันรับ
“ มึงไม่ต้องตามหากูนะ มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย กูดีใจนะเว้ย ที่มีมึงเป็นเพื่อน ติ๊ด” มันพูดและตัดสายผมทิ้ง ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่ทันพุดอะไรเลย คำพูดของมัน น้ำเสียงของมัน ภาพของมันร้องไห้ ยังติดตาผมอยู่ ผมนั่งนิ่งไปกับคำพูดนั้น
ในหัวมีความคิดหลากหลาย มากมาย จนบรรยายไม่หมด ไม่รู้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานมั้ย ไม่รู้เวลาเดินไปเท่าไหร่ จนผมรู้สึกหนาว ยกมือขึ้นมากอดอก และมองออกไปนอกศาลา
“อ่าว หยุดแล้วนิ” พายุฝนที่ผ่านมาหยุดตกลง แต่ท้องฟ้ายังคงไม่สดใสฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆที่อุ้มน้ำและยังมืดมัวอยู่แม้จะตกลงมารอบหนึ่งแล้ว และยังคงไม่แน่นอนว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่ คงเหมือนหัวใจของเพื่อนสนิทก็คงยังไม่สดใส และไม่แน่นอนเหมือนกับเมฆฝนในเวลานี้อย่างแน่นอน ในตอนที่ผมนั่งคิดอยู่นั้น ก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาแทรกทุกความคิด
อย่าให้เจอนะมึง ขอต่อยซักทีเหอะ หึ้ และใครจะรู้ว่ามันก็ยังคงเป็นได้แค่ความคิด และใครจะรู้ว่าวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ที่ผมได้เจอมัน
ผมลุกขึ้นและเดินไปที่รถ สตาร์ทรถ และฝนก็โปรยลงมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ฟ้าที่ตอนนี้มีแสงเพียงน้อยส่องผ่านเมฆฝนหมองมัวมันทำให้อารมณ์ของผมกลับมานิ่งเหงาอีกครั้ง เมื่อได้มองมัน
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ