"memory" ความทรงจำไม่อาจลบเลือน
9.4
เขียนโดย candle
วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.57 น.
9 บท
18 วิจารณ์
15.16K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 14.28 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันนี้ฝนตกหนักตั้งแต่เช้าตรู่ บรรยากาศไม่ชวนให้ออกไปไหนมาไหนสักนิด หมอนัดทำซีทีวันนี้เวลาประมาณทุ่มเศษๆ (เป็นการนัดนอกเวลาของทางโรงพยาบาล)
อากาศหนาวกับความเย็นมีผลกระทบกับร่างกายของพ่อ ต้องใส่เสื้อหนาวแขนยาวตลอด เราออกจากบ้านกันช่วงห้าโมงเย็น ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ กับการเดินทางไปยังโรงพยาบาลมอ.
มีคนนั่งรอกันอยู่เกือบยี่สิบคนได้ เมื่อยื่นบัตรกันเป็นที่เรียบร้อยพ่อพร้อมอยู่ในชุดเอ๊กซเรย์ มีการชั่งน้ำหนักวัดความดันและซักประวัติกันนิดหน่อย ช่วงซักประวัตินี้เองมีเรื่องตลกเล็กๆ เกิดขึ้นหลังจากพ่อไป 2-3 คน
"มีโรคประจำตัวอะไรบ้างลุง" พยาบาลถามลุงคนหนึ่งขณะวัดความดันให้ แกก็หัวเราะแล้วว่า
"โรคประจำตัวอย่างอื่นไม่มีหรอก ที่มีก็มะเร็งนี่แหละ" จบประโยคเท่านั้น เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าเศร้าหมองในห้องนั้นได้มากโข
"อารมณ์ดีอย่างนี้ไม่เป็นไรหรอกลุง" พยาบาลว่ายิ้มๆ ลุงแกก็หัวเราะอีก
"ดื่มน้ำในเหยือกนี้ให้หมดนะคะ" พยาบาลส่งเหยือกน้ำให้
มันเป็นน้ำสีแดงๆ ซึ่งฉันก็ไม่รูว่ามันคือน้ำอะไรรสชาดเป็นยังไงมียาอะไรผสมอยู่บ้าง จากการคำนวณด้วยสายตาคิดว่าไม่น้อยกว่าหนึ่งลิตรที่แต่ละคนต้องกินก่อนทำซีที แต่ในคราวนี้ของพ่อไม่ต้อง
รอบๆ ตัวมีการพูดคุยถามกันถึงเรื่องอาการป่วย บางคนดูอายุน้อยมากแบบที่ฉันคิดว่าไม่น่าที่จะเป็นโรคนี้ได้ แต่โรคมันเลือกอายุซะที่ไหนกันนะ บางคนเป็นตรงลำใส้ บ้างก็ตับ บ้างก็ปอด ดูท่าว่าเจ้ามะเร็งมันชมชอบอวัยวะภายในเป็นพิเศษ
"ทานข้าวเยอะๆ นะคะ" พยาบาลพูดประโยคนี้กับคนไข้แทบทุกคน รวมถึงพ่อด้วย
"มันกินไม่ค่อยได้นะลูก" พ่อบอก
"กินครั้งละนิดก็ได้ค่ะ แต่กินบ่อยๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นสู้กับมันไม่ไหว" ฉันยิ้มให้กับพยาบาลใจดีคนนั้น
อาการของโรคนี้คือเบื่ออาหาร อันโน้นก็ไม่อยากกินอันนี้ก็กินไม่ได้ และในห้องนั้นก็มีคนบ่นว่าอยากกินข้าวหมูแดงจะแย่แล้ว (คนเป็นโรคนี้ห้ามเนื้อสัตว์จำพวก หมู วัว จริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่เห็นว่าหมอจะห้ามอะไร) โดยปกติพ่อจะทานข้าวครบสามมื้อตลอดแล้วก็ทานได้เยอะด้วย แต่ไม่ชอบอาหารรสจัด จะเน้นเป็น ต้ม ทอด ผัด เป็นส่วนใหญ่ พ่อทานข้าวได้เยอะขึ้นตั้งแต่เลิกสูบบุหรี่เกือบสิบปีมาแล้ว
ย้อนไปเมื่อสี่ห้าปีก่อนหน้านี้พ่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการตับอ่อนอักเสบ ตอนนั้นกว่าจะรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ก็เล่นเอาเครียดด้วยเหมือนกัน พ่อมีอาการปวดท้องมากอย่างรุนแรง ปวดมากจนถึงขนาดว่าหน้าขาวซีดทั้งที่พ่อเป็นคนผิวดำ ไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดฉันแทบคลั่งกับความใจเย็นของพวกแพทย์พยาบาล เข้าห้อง er ซะด้วย คนไข้ปวดท้องจะตายอยู่แล้วยังไม่มีที่ท่าว่าจะทำอะไรสักอย่าง (ฉันอยากเผาโรงพยาบาลประจำจังหวัดนักเชียว)
จนผ่านไปเกือบชม.ถึงค่อยฉีดยาให้ บอกว่าต้องนอนโรงพยาบาล สามคืนได้รับแต่ยาพาราเซตามอน ไม่มีการให้น้ำเกลือทั้งที่คนไข้ทานอาหารได้น้อย ฉันบอกจะย้ายออกไม่ยอมให้ออกอีกบอกให้รอดูอาการ จนต้องโวยวายสุดท้ายก็ว่า
"ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนออกไปจะโทษโรงพยาบาลไม่ได้นะ"
นับจากวันนั้นพ่อจะไม่ยอมไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกเลย
หมายเหตุสำหรับอาการของโรคตับอักเสบ
- ท้องอืดท้องเฟ้อ
- อ่อนเพลีย
- ปวดท้อง
มักเกิดการเข้าใจผิดว่าเป็นโรคกระเพาะเสมอ หากมีอาการท้องอืดโดยไม่ทราบสาเหตุทานยาแก้ท้องอืดหรือยาโรคกระเพาะแล้วยังไม่หาย ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นอาการของโรคเกี่ยวกับตับ
**
**
กลับถึงบ้านกันสามทุ่มกว่า พ่ออ่อนเพลียจากการเดินทางพอสมควรเริ่มมีอาการหนาวสั่นร้องหาผ้าห่มกับถุงน้ำร้อน แต่ด้วยบทเรียนที่ผ่านมาหลายครั้งหลายครา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคุณหมอท่านหนึ่งกำชับไว้ว่าหากมีอาการหนาวสั่นอย่าประคบด้วยน้ำร้อนเป็นอันขาด มันจะไปเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกายแล้วจะทำให้ผู้ป่วยช๊อค
ทั้งที่สงสารเพราะอาการพ่อหนาวสั่น แต่ฉันก็ต้องทำในสิ่งตรงกันข้ามนั่นคือ เช็ดตัวให้พ่อด้วยน้ำธรรมดา (อุณหภูมิห้อง)
"ไม่เป็นไรนะพ่อสักพักก็หาย" ฉันพร่ำพูดประโยคนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าขณะเช็ดตัวให้พ่อ เวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที พ่อเริ่มมีอาการดีขึ้นไม่หนาวสั่น ใจฉันเริ่มกลับมาเป็นปกติก้มลงไปกอดพ่อแล้วน้ำตาก็ไหล.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ