สูญเสีย เศร้า แล้วเข้าใจ

7.8

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.34 น.

  1 ตอน
  7 วิจารณ์
  5,391 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556 17.49 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) สูญเสีย เศร้า แล้วเข้าใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
สูญเสีย  เศร้า แล้วเข้าใจ
สายลมพัดผ่านยอดหญ้าเขียวขจีในทุ่งกว้างข้างทาง  ทำให้หยดน้ำบนปลายยอดร่วงลงสู่พื้นดิน และต้นหญ้าเอนพลิ้วไหวไปตามแรงลมไล่ไปเป็นลูกคลื่นตามที่ลมพัดผ่าน  เมฆครึ้มสีเทา มีแสงส่องผ่านเพียงน้อยนิด ทำให้ใครที่พบเห็นอาจคิดว่าภาพนี้ติดลบลง 1 – 2 คะแนนเลยก็เป็นได้ แต่ว่ามันกลับดูงดงามในสายตาผม  จนอดทนไม่ได้ต้องยกกล้องขึ้นมากด บันทึกภาพไว้เพื่อจดจำความงามของธรรมชาติน้อยนิดของวันนี้   วันที่เหล่าญาติทางฝั่งของแม่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ของการเวลาที่มาในรูปแบบของความชรา 
ผมซึ่งแม่โทรตามมา เผ่าศพญาติ ของท่าน ในวันที่เขาเสียไปแม่โทรมาบอกผมแล้วร้องไห้อย่างหนัก  ผมจึงบอกปลอบใจแม่ “แม่ เค้าไปดีแล้วนะ” แม่หยุดร้องไปชั่วขณะนะหนึ่ง  ท่านคิดอะไรอยู่ผมไม่อาจรู้ได้เลย แล้วแม่ก็ร้องไห้อีกครั้ง 
 
“กลับมาเผ่าลุงด้วยนะ ลูก”  เป็นคำพูดสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดของแม่ในวันนั้น  ไม่สิฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่า
 
ผมไม่เข้าใจจริง ๆ การที่สูญเสียคนสำคัญไป  กับการที่ห่างคนสำคัญอันไหนจะเสียใจมากกว่ากัน  ? ไม่ใช่ว่าชีวิตของผม ไม่เคยสูญเสียคนสำคัญ   ผมสูญเสียตา ไปเมือปีที่แล้ว  ตาจากไปด้วยโรคชรา  ในวันที่ตาเสีย  แม่ร้องไห้หนักมาก  จนผมเกือบร้องตาม  ถ้าไม่ได้เห็นยาย  เสียก่อน  
 ยายผมยื่นยิ้ม จับมือตาลูบเบา ๆ แล้วพูดกับร้างที่ไร้วิญญาณของตาว่า  “ แกไปก่อนฉันแบบนี้แกต้องเหงาแน่  เพราะฉันยังมีลูก มีหลาน  และอาจจะอยู่เห็นเหลน โหลน เลยก็ได้ (ยิ้ม)”  แม่ยังคงร้องไห้  พ่อเข้าไปพยุงแม่ออกมาแล้วนั่งปลอบ
ผมยังคงยืนดุยายอยู่อย่างนั้นกับ พี่ชาย   ที่มีน้ำตาไหลอาบแก้มไม่เหลือมาดคุณชายจอมถึงที่เพื่อน ๆ พากันตั้งให้เลย  ผมเห็นพี่ร้องแล้วน้ำตามันก็คลอ ๆ อยู่ แต่ไม่ร้อง
 
“ยายไม่เสียใจเหรอ หึก ที่ตา จากไปหืออ” พี่ชาย ถามยายทั้งน้ำตา
 
“เสียใจสิลูก มานี้มา ” ยายดึงพี่ชายเข้าไปกอดแล้วยิ้มให้ผม  “คนเรานะ  ตั้งแต่เกิดก็มีร่างกายติดตัวมาตลอด แต่ร่างกายนะมันไม่ใช้ของเราหลอกลูก  คนเราสักวันก็ต้องตายกันทุกคน” 
 
ผมได้ยินดังนั้นก็ซึ้งในรสพระธรรมของยายจริง ๆ น้ำตาที่คลอ ๆ เพราะมองดูพี่ชายร้องไห้นั้นก็หายไปหมด ยายชั่งเป็นคนธรรมมะจริง ๆ  แล้วผมก็ยิ้มให้ยาย อย่างขอบคุณ   เมื่อเราเข้าใจโลกแบบยาย  เราคงจะมีความสุขกว่านี้สินะ
ยายยังลูบหัวพี่ที่นั่งคุกเข่ากอดยายอยู่ ผมเห็นภาพนี้แล้วก็อดขำไม่ได้  มีความรู้สึกเหมือนเห็น หญิงชราตัวเล็กที่กำลังปลอบหมี(ควาย) ตัวใหญ่จริง ๆ
เล่ามาถึงตรงนี้ ผมก็ขับรถมาถึงศาสนสถานทำพิธีชาปนกิจ ให้คนที่แม่เรียกว่าลุงวันนี้  เป็นเมรุที่ตั้งอยู่ในป่าที่ไม่ลึก ห่างจากชุมชนไม่มาก   ผู้คนใส่ชุดดำ นั่งพนมมือไหว  พระสวดกันเต็มสารา  ผมมาช้าไปรึเปล่านะ   ผมจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไรเหมือนกัน  = =
เมื่อลงจากรถก็เดินเข้าไปหาแม่ใน ศาลาพิธี อ่อบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ทำเมรุไว้ในวัด ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในความคิดผมคือที่นี้เป็นป่าช้า  ที่นี้ คือที่ ๆ เค้าเคยใช้เผาตั้งแต่ยังไม่มีเมรุ 
ผมเดินไปนั่งข้าง ๆ แม่ที่ไหวพระอย่างใจลอยอยู่กับยาย ผมสะกิดแขนแม่เบา ๆ  แม่ตกใจเล็กน้อย แล้วหันมา ตาของแม่บวมแดง  คงจะร้องไห้หนักสินะ
 
“ไม่เป็นไรนะ  แม่”  ผมยิ้มให้แม่แล้วก็กอดไว้  กลางงานศพขณะพระสวด  ยายหันมาทำตาดุใส่แล้วก็ตีแขนผมหนึ่งที
 
“มาช้านะ หลานคนนี้นิ (ยิ้ม)” ยายยิ้มให้ผม ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ผิดกับแม่มาก  ยายยังคงเข้มแข็ง เหมือนเดิม
 
“พ่อหละคับแม่”  เมื่อสังเกตแล้วว่าพ่อไม่ได้อยู่กับแม่  ผมก็ถามหาตามมารยาท ลูกที่ดี = =
 
“พ่อ ออกไปอ่านประวัตินะ”  หือ พ่อเนี่ยนะ - -
 
ผมหันไปมองดูข้างหน้าที่มีโฆษก กำลังอ่านรายนามของผู้วางผ้าสุกุลอยู่   หลังจากที่โฆษกอ่านรายนามหมด พ่อก็ขึ้นอ่านประวัติของลุงคนนั้น ทำให้ผมรู้ว่าเค้าคือพี่ คนละแม่ของแม่ผม  หรือลูกของตากับเมียอีกคน  และยังเป็นเพื่อนกับพ่ออีกด้วย  เมื่อ พิธีเสร็จหมดโฆษกก็ประกาศให้ชาวบ้านขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์  ผู้คนหลั่งไหลกันไปวางดอกไม้จันทน์บนโลงที่ตั่งอยู่หน้าเตาเผาบนเมรุอย่างคับแน่น  เหล่าญาติแบ่งกันไปยืน อยู่สองฝั่งทางลงเพื่อไหวขอบคุณละแจกของชำร่วยแก่ผู้มาร่วมงานวันนี้  เมื่อคนหมด เหล่าญาติก็พากันไปวางดอกไม้จันทน์และดูหน้า ลุงครั้งสุดท้าย ถึงตรงนี้ ทุกคนต่างพากันโร้องไห้เสียใจกับการจากไปของลุงออกมาอีกครั้ง  ผมที่เดินประคองยาย อยู่กลับอดยิ้มกับภาพของศพในโลงไม่ได้ 
ภาพที่เค้าหลับตาแล้วยิ้ม อย่างสบายใจ เหมือนคนนอนหลับไปพร้อมกับความสุขที่ได้ฝันดี  มาตลอด63 ปีด้วยซ้ำ
 
ผมหันไปดูคนอื่นที่ร้องไห้  แล้วกลับมาหยุดที่ยายอีกครั้ง  ยายก็ยังคงยิ้ม อย่างอบอุ่นให้กับร่างไร้วิญญาณของลุงคนนี้เหมือนเดิม 
         
   มาถึงตรงนี้ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า บางครั้งที่คนเราเอาแต่เสียใจ  จนลืมนึกถึงบางสิงที่ทำให้มีความสุขก็อาจจะทำให้ทุกอย่างนั้นหยุดนิ่งจนกว่าเราจะลืมตามองโลกใหม่ในแบบที่ทำใจได้แล้ว  นั้นละมั่ง เราถึงจะหยุดเสียใจและเดินไปอย่างสุข  ต่างกับคนที่นึกถึงความเป็นจริง  แม้จากไปให้คนข่างหลังเสียใจ แต่เค้าก็ยังมีความสุข เพราะเค้าคงรู้ว่าทุกคน ก็จะมีความสุขแน่ถ้าผ่านเวลา 
     
ซา   ๆ ๆ  แล้วสายฝนก็โปรยลงมาชำละล่างความเศร้า  ความเสียใจ  ตกลงมาสวนทางกับควันไฟ  ที่ลอยหายเข้าไปในอากาศ  
พื้นดินชุ่มฉ่ำ
 
ท้องฟ้า โปรงขึ้น  แต่ยังคงไม่โปรงใส  เหมือนใจของเหล่าญาติ
 
ผมลาแม่ ยาย พ่อและญาติ ๆ กลับทันทีที่เผ่าเสร็จ  ขับรถไปเลื่อย ๆ อย่างเอื่อย ๆ จนถึงทุ่งหญ้าที่เดิม แต่ตอนนี้ มันกลับดูหม่น ๆ เพราะความมืด ของเวลาเย็น ที่ไม่มีแสงแดดสีแดง  อมม่วง  ของพระอาทิตย์ มีเพียงก้องเมฆสีเทาแดง และแสงรอดออกมา จากก้อนเมฆเท่านั้น   แต่ที่ยังคงมีคือความงามจากทุ่งหญ้า
 
และสายลมที่สดชื่นพัดผ่านไป
 
และผ่านมา ใหม่ เฟื่อทำให้หญ้าดูพลิ้วไหว   สวยเหมือนเดิม
ผมจอดรถกดถ่ายภาพอีกครั้ง   มันเปลี่ยนไป  ไม่ได้สวยเหมือนเมื่อตอนสาย ที่ถ่ายไว้ภาพแลก
 
แต่มันสวยในแบบของ มัน ในตอนเย็น 
 
ผมมองมัน เป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้ แต่ผมมีความสุข  ที่ได้นั่งมองมัน  นั่งมองโลกของมันที่เป็นไป
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา