10 Years Later...
เขียนโดย The_Paper
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.40 น.
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556 14.49 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) ตอนที่ 2 เรื่องราวที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งนาม “ชินอิจิ”
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 2 เรื่องราวที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งนาม “ชินอิจิ”
อาริทสุในวัยสิบห้าปีกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการท่องจำตัวอักษรจากหนังสือเล่มหน้าปึกเสียจนลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัวไปเสียหมด ถึงวันนี้จะเป็นวันแรกที่เธอจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตสาวมัธยมปลายอย่างเต็มตัวก็ตามทีเถอะ แต่เธอก็มุ่งหวังมานานแล้วว่าตนเองจะต้องสอบเข้าโรงเรียนแพทย์ให้ได้ การที่จะไปให้ถึงฝันเธอจะต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดตั้งแต่วันนี้ วันแรกเนี่ยล่ะ...อาริทสุสาบานกับตนเองว่าเอจะไม่ยอมไขว้เขวไปกับอะไรๆอย่างแน่นอน
“ฟิ้ว!” จู่ๆลมแรงก็หวนพัดมาหาอาริทสุโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว หน้าหนังสือพลันปลิววุ่นเสียจนยุ่งเหยิงไปหมด เด็กสาวอุทานออกมาด้วยความตกใจเธอรีบยึดหนังสือเอาไว้แน่น แต่แล้วแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมของเธอก็กลับถูกลมพัดปลิวไปแทน
“ไม่นะ!” สำหรับอาริทสุแว่นคือสิ่งสำคัญที่ห่างไปจากตัวไม่ได้เลย เด็กสาวพลันลุกขึ้นยืนพลางเอี้ยวตัวไปหมายจะคว้าแว่นของตนเองเอาไว้ แต่ด้วยความไม่ระวังตัวนี้เองอาริทสุก็เสียการทรงตัวไปก่อนที่จะทันรู้ตัวเสียอีก
“ว้าย...” เด้กสาวร้องเสียงดังลั่น
“หมับ!” ทันใดนั้นเองก็มีมือคู่หนึ่งมารั้งข้อมือของอาริทสุเอาไว้ได้อย่างทันการณ์ อีกฝ่ายแข็งแรงเสียจนสามารถรั้งตัวของอาริทสุให้กลับมาทรงตัวได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย ระหว่างที่เธอยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นก็ก้มตัวลงไปหยิบแว่นที่ตกอยู่กับพื้นมาคืนให้เด็กสาวอย่างสุภาพ
“เธอไม่เป็นอะไรนะ?” เสียงของเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นดังขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่หน้าอาริทสุกลับแดงซ่านขณะที่สวมแว่นของตนเอง ทันทีที่เธอเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน เด็กสาวก็รับรู้ว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงเสียจนจะทะลุอกออกมาอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ในวัยเดียวกับเธอ เขามาพร้อมกับจักรยานที่จอดอยู่ใกล้ๆกันนั้น เด็กหนุ่มของเขาสูงโปร่งแต่แลดูแข็งแรงอย่างคนสุขภาพดี ที่สำคัญหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนั้นยังดีอย่างไม่น่าเชื่อ อาริทสุลอบสังเกตว่าเขใส่ชุดนักเรียนมัธยมเดียวกับที่เธออยู่ เพราะเหตุผลอะไรกันแน่นะ...ทั้งๆที่เขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น แต่กลับทำให้อาริทสุหวั่นไหวขนาดนี้ได้
“คะ....ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมาก” ในไม่ช้าอาริทสุก็รวบรวมสติแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของเขาแทบจะทำเอาหัวใจของอาริทสุเต้นแรงเสียจนระเบิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“คราวหลังระวังหน่อยล่ะ...ฉันไปล่ะ”
ยังไม่ทันที่อาริทสุจะเอ่ยตอบอะไรออกไปอีก เด็กหนุ่มคนนั้นก็ควบจักรยานจากไปอย่างว่องไวราวกับสายลมเสียแล้ว อาริทสุยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว...เธอยิ้มอยู่อย่างนั้นในขณะที่ยกมือขึ้นแตะแว่นพลางจ้องมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังเคลื่อนห่างจนลับจากสายตาไป
“อ๊า....ช่างเป็นวันเปิดเทอมที่อากาศดีอะไรแบบนี้นะ” อายาเมะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีอารมณ์ดีสุดขีด เธอรักที่จะปั่นจักรยานในวันที่อากาศกำลังเย็นสบายแบบนี้ที่สุดเลย
“ยัยอาริทสุจะมาถึงหรือยังนะ เฮอะ....คนอย่างยัยนั่นคงมาถึงนานแล้วล่ะมั้ง?” อายาเมะบ่นพึมพำกับตนเอง เด็กสาวกำลังจะมาถึงตัวอาคารเรียนในไม่ช้านี้อยู่แล้ว
อายาเมะไม่รู้เลยจริงๆว่าในอนาคตตนเองอยากจะทำอะไรกันแน่ คนอย่างเธอ...นอกจากหัวไม่ดีแล้วยังไม่ชอบเรียนเป็นอย่างมากอีกด้วย อายาเมะไม่ชอบที่จะมีชีวิตตามกรอบเอาซะเลย การทำอะไรตามที่คนอื่นๆตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ชีวิตมันจะไปมีค่าอะไร จบมัธยมปลายแล้วต้องเข้ามหาวิทยาลัยอย่างนั้นเหรอ? สิ่งที่อายาเมะฝันก็คือการที่จะมีชีวิตเป็นของตนเอง มีชีวิตตามแบบที่ตนเองต้องการ และแน่นอนว่าต้องได้ทำในสิ่งที่เธอชอบด้วย
สำหรับนาทีนี้อายาเมะยังมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดที่เธอจะรักมากไปกว่าความเร็วเลย
“ฟึบส์” แต่แล้วในวินาทีนั้นเองก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่จักรยานแซงหน้าอายาเมะไปได้อย่างง่ายดาย หญิงสาวหันขวับพลางจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาที่มุ่งมั่น อายาเมะลงมือปั่นจักรยานตามไปติดๆอย่างไม่ลังเล
“ฮึ่ยส์...เรื่องความเร็วฉันไม่ยอมแพ้ใครหรอกนะ เจ้านั่นเป็นใครกันแน่? บังอาจมาแซงฉันได้” อายาเมะเอ่ยกับตนเอง เธอปั่นจักรยานให้เคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง อีกไม่นานเธอก็กำลังจะไล่เด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นทันอยู่แล้ว
ในที่สุดจักรยานของอายาเมะและเด็กหนุ่มคนนั้นก็วิ่งเคียงคู่กันไปจนได้ ทั้งสองเคลื่อนที่เร็วมากจนรอบตัวของทั้งสองลมพัดแรงเสียจนร่างกายเย็นเฉียบแต่อายาเมะยามนั้นไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เธอมุ่งมั่นแต่เพียงการเอาชนะเท่านั้น อายาเมะกำลังจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่มคนนั้น แต่แล้วอีกฝ่ายก็กลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“นี่เธอ....ปั่นเร็วขนาดนั้นไม่กลัวกระโปรงเปิดเลยหรือไง?”
“อะไรนะ!” อายาเมะไม่เคยรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เธอก้มลงมองกระโปรงตนเองขณะที่หยุดจักรยานแทบไม่ทัน กระโปรงเธอคงกำลังเปิดอยู่จริง....เด็กสาวหยุดจักรยานจองตนเองแทบจะในทันทีใบหน้าของเธอแดงจ้าขณะที่รีบเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย อายาเมะกำลังตั้งท่าจะตะโกนอะไรออกไปสักอย่างเพื่อกลบเกลื่อนความอายในครั้งนี้ แต่แล้วก็กลับถูกขัดขวางอีกครั้ง
“ไว้ครั้งหน้าเธอใส่กางเกงแล้วเราค่อยมาแข่งปั่นจักรยานกันใหม่นะ ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานนั้นทำให้อายาเมะพลันรู้สึกแปลกๆ พูดจบเด็กหนุ่มก็ปั่นจักรยานนำหน้าเด็กสาวไปไกลโขแล้ว เขาทิ้งให้อายาเมะยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นแต่เพียงลำพัง....แต่การกระทำนั้นกลับทำให้เด็กสาวรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
**********
กองเอกสารที่ซ้อนกันสูงชันเสียจนบังมิดศีรษะของโทโมโกะนั้นกำลังโงนเงนไปมาอย่างน่ากลัว เด็กสาวพยายามทรงตัวให้ดีขณะที่ก้าวไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า เธอเริ่มรู้สึกคิดผิดที่รับอาสามาแบกเอกสารกองนี้เสียแล้ว มาถึงวันแรกก็โดนอาจารย์ใช้งานซะแบบนี้ ซึ่งโดยนิสัยโทโมโกะก็ปฏิเสธอะไรใครไม่เป็นเสียด้วยสิ เธอจะต้องแบกของไปแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย...ห้องเรียนก็อยู่อีกตั้งไกล
ทุกๆคนที่รู้จักโทโมโกะต่างก็รู้ดีว่าโทโมโกะเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อย และมีน้ำใจกับทุกคนอยู่เสมอ แม้ตอนนี้โทโมะโกะอาจจะยังไม่แน่ใจว่าตนเองอยากเป็นอะไรกันแน่ แต่ทุกคนต่างบอกเธอเป็นเสียงเดียวว่าอาชีพนี้เหมาะกับเธอมากที่สุด ไปๆมาๆยิ่งได้ฟังเสียงจากเพื่อนและอาจารย์ความชอบก็เอนเอียงไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นตอนนี้เธอจึงสามารถตั้งเป้าสำหรับอนาคตได้อย่างไม่ลังเล เธอจะต้องเป็นพยาบาลที่ดีให้ได้
ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ในตอนนี้โทโมโกะแทบจะมองไม่เห็นทางเดินที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงเหลือบมองด้านล่างตามพื้นไปเรื่อยๆพลางภาวนาอย่าให้ใครโผล่พรวดพราดเข้ามา หรือมีอะไรมาขวางเพื่อให้เธอสะดุดล้มอยู่เลย
“เฮ้อ...ตะกี้เราน่าจะหาคนช่วยสักคนนะเนี่ย” โทโมโกะเริ่มยอมรับขึ้นมานิดๆว่างานนี้มันเกินกว่าที่เธอจะรับมือเพียงลำพัง
“ยกไปห้องไหนล่ะ?” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆโดยที่โทโมโกะไม่ทันตั้งตัว
“ห้องหนึ่งเอจ๊ะ” โทโมโกะเอ่ยตอบไปแบบอัตโนมัติ เธอมองไม่เห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้นหรอก
“งั้นเดี๋ยวฉันยกไปให้เองแล้วกัน” สิ้นเสียงนั้นมือของโทโมโกะก็พลันสัมผัสกับมือของเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น แต่ก็เพียงแค่แว่บเดียวเท่านั้นเขาแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำหนักพลันหายไปจากแขนทั้งสองข้างของเด็กสาว โทโมโกะรู้สึกวูบในใจอย่างแปลกประหลาดมือของเด็กสาวเย็นวูบราวกับถูกไฟช็อต เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“อ๊ะ!” โทโมโกะได้สติในนาทีถัดมา เธอรีบเงยหน้าขึ้นมาแต่ก็ได้เห็นใบหน้านั้นแค่เพียงแว่บเดียวเท่านั้น แต่นั่นมันเกินพอแล้วสำหรับเธอ เขาจากไปเร็วเกินกว่าที่เด็กสาวจะเอ่ยคำขอบคุณออกไปด้วยซ้ำ โทโมโกะไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังยิ้มออกมาอยู่ เธอกุมมือข้างที่ถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบานั้นขึ้นมา และแล้ววินาทีนั้นเธอก็รู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน การได้เจอกับใครคนหนึ่งจะทำให้โลกสดใสได้ถึงขนาดนี้เลยนะเหรอ
“ใครกันนะใจดีจัง บ้าจริงๆที่เรามันแต่ยืนตะลึงจนไม่ทันขอบคุณเลย เอาเถอะ....ถ้าได้เจอกันอีกค่อยขอบคุณตอนนั้นก็ได้ล่ะมั้ง” โทโมโกะกระซิบออกมาอย่างแผ่วเบา
“โทโมะจัง!” จู่ๆเสียงเรียกอันเต็มไปด้วยความคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง เมื่อเธอหันกลับไปก็เห็นอาริทสุกับอายาเมะเดินกอดคอกันมาอยู่ อันที่จริงต้องบอกว่าอยาเมะกอดคออาริทสุไว้โดยที่เจ้าตัวไม่สู้จะเต็มใจเสียมากกว่า
“อายะจัง...อาริทจัง!” โทโมโกะรีบลบภาพเด็กหนุ่มคนนั้นออกไปจากหัวในขณะที่ตะโกนตอบทั้งสองกลับไป
เสียงเพลงกำลังดังก้องอยู่ในหัวของฮารุเนะซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการเคลื่อนไหวของดินสอกดที่อยู่ในมือของเด็กสาว เช้าเกินไปจนทั้งห้องเรียนไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเธอเพียงคนเดียว ฮารุเนะแง้มหน้าต่างเอาไว้นิดหน่อยเพื่อให้ลมเย็นได้มีโอกาสพัดผ่านเข้ามา เด็กสาวใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นนักเขียนมากที่สุด แต่ท่าทางจะไปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ผลงานเธอไม่ได้เป็นที่โดดเด่นแถมทางบ้านยังไม่สนับสนุนอีก เธอเสียใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังดีที่เธอยังสามารถนำการเขียนมาเป็นงานอดิเรกชิ้นโปรดได้ อย่างน้อยเธอก็ยังเขียนในสิ่งที่ต้องการได้
พักๆฮารุเนะก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยความสำราญใจ โชคเป็นของเธอที่เธอได้ที่นั่งชิดหน้าต่างตามแบบที่ชอบพอดี เป็นเพราะโชคในการจับฉลากและเลขที่ของเธอแท้ๆ แต่ในไม่ช้าฮารุเนะก็เริ่มหวนคิดถึงเพื่อนสนิททั้งสามคนเสียแล้วสิ
ป่านนี้ทั้งสามคนน่าจะมาถึงกันแล้วนี่หน่า....
ฮารุเนะก้มลงไปเขียนหนังสือก่อนจะติดอยู่ในโลกส่วนตัวเสียจนไม่ทันรู้สึกว่ามีเพื่อนร่วมห้องอีกคนเดินเข้ามาแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นเองก็ไม่สังเกตเห็นฮารุเนะแต่แรกเหมือนกัน เขามัวแต่จดจ่ออยู่กับการวางกองเอกสารอันหนักอึ้งมาวางที่หน้าชั้นเรียนมากกว่า หลังจากนั้นเขาก็มองแผนผังที่นั่งบนกระดานก่อนจะสำรวจเลขที่ของตัวเอง จนเขาหันกลับไปนี่เอง...นั่นแหละเขาถึงจะเพิ่งสังเกตเห็นฮารุเนะ
ท่าทางของฮารุเนะที่กำลังเพลิดเพลินกับการทำในสิ่งที่ตนเองรักเรียกร้องความสนใจจากเขาได้อย่างน่าประหลาด เขายิ้มเมื่อเห็นเธอขยับไปตามเสียงเพลง เพลงหูฟังที่เธอเสียบอยู่ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงเขาที่ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเด็กหนุ่มพบว่าที่นั่งของตนเองอยู่ข้างๆเธอคนนี้พอดี
ฮารุเนะสะดุ้งเมื่อพบว่ามีคนมานั่งลงข้างๆ เธอหันขวับพลางปิดเครื่องเล่นเพลงโดยเร็ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังหันหน้ามามองเธอ เมื่อนั้นโดยสัญชาตญาณฮารุเนะก็พลันปิดสมุดลงดังฉับ
“ฉันมารบกวนเธอหรือเปล่าเนี่ย?” น้ำเสียงของเขาฟังดูรู้สึกผิดหวังจากได้เห็นปฏิกิริยาของฮารุเนะแบบนั้น
ฮารุเนะพลันสั่นหน้า
“ไม่หรอก...ฉันแค่ตกใจไปหน่อย ที่นั่งของเธออยู่ตรงนี้งั้นเหรอ?”
“อืม ถ้างั้นก็ยินดีที่รู้จักนะ ฉันชื่อทัตสึยะ ชินอิจิ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน ฉันโคสึกิ ฮารุเนะจ๊ะ” ฮารุเนะเอ่ยตอบ อาการตกใจเมื่อครู่คลายลงไปมากแล้ว พอแนะนำตัวกันเสร็จระหว่างทั้งสองก็เงียบลงอีกครั้ง ทั้งสองเอาแต่นั่งจ้องมองกันเพราะหาเรื่องที่จะคุยต่อไม่ได้
“โครม!” ตอนนั้นเองประตูห้องก็พลันเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกันนั่นเหล่าเพื่อนสนิทของฮารุเนะทั้งสามก็โผล่พรวดเข้ามา
**********
“พอนึกย้อนไปแล้วอดขำไม่ได้จริงๆน่ะแหละ สีหน้าของพวกเราแต่ละคนในตอนนั้นน่ะ” ฮารุเนะเอ่ยขณะที่กลั้นหัวเราะ
“ใช่ๆ อายะจังยกมือขึ้นชี้หน้าชินอิจิเฉยเลย ส่วนอาริทจังก็หน้าแดงแป้ดอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย เอ....ตอนนั้นเหมือนโทโมะจังก็จ้องชินอิจิคุงค้างไปเหมือนกันนะ เหมือนกับช็อคหรืออะไรสักอย่าง ตอนนั้นมีแต่ฉันเนี่ยล่ะที่ได้แต่นั่งงงอยู่คนเดียว”
อาริทสุพลันกระแอมขึ้นมาเบาๆก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง
“แหมๆเธอทำเป็นไม่รู้เรื่องแรงดึงดูดที่ชินอิจิมีต่อคนรอบข้างได้ยังไงกัน ผู้ชายที่สามารถทำให้พวกเราใจเต้นได้เพียงแค่อยู่ใกล้เนี่ยนะ”
“ใช่แล้ว มีแต่ชินอิจิเนี่ยล่ะที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆได้” อายาเมะพูดสนับสนุน
“บอกเหตุผลเป็นคำพูดไม่ถูกเลยจริงๆ เพราะงั้นก็ไม่น่าแปลกใจหรอกเนอะที่หลังจากนั้นสาวๆรุ่นเดียวกับเราก็ชอบชินอิจิกันหมด เขาดังมากเลยนะตอนนั้น” โทโมโกะเอ่ยขึ้นมาขณะที่ทบทวนความทรงจำ
“ผลการเรียนระดับปานกลางจนถึงดี ฐานะทางบ้านก็ไม่เลว ทักษะกีฬาโดดเด่นเกินใคร ยิ่งหน้าตาก็ยิ่งกินขาด แถมยังนิสัยดีชอบช่วยเหลือและเป็นมิตรอีก จะเรียกเขาว่าเจ้าชายก็คงไม่แปลกหรอกหน่า”อาริทสุยังคงจำรายละเอียดได้มากถึงขนาดนี้
“แต่สุดท้ายชินอิจิก็กลับไม่ยอมตกลงคบกับผู้หญิงคนไหนจนกระทั่งพวกเราเรียนจบเลยน่ะสิ เท่าที่ฉันรู้อะนะ”
“สิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อที่สุดก็คือกลุ่มผู้หญิงที่สนิทกับชินอิจิมากที่สุดกลับเป็นพวกเราเหล่าชมรมประสานเสียงเนี่ยน่ะสิ” ฮารุเนะเองก็จำช่วงเวลานี้ได้ไม่น้อยไปกว่าคนอื่น
“ก็สิ่งที่ชินอิจิรักที่สุดก็คือดนตรีนี่หน่า” โทโมโกะเอ่ยตอบ
“ใช่...ชินอิจิมักบอกว่าชอบเวลาที่พวกเราทั้งสี่คนร้องเพลงประสานเสียงกันมาก พวกเธอรู้กันใช่ไหมว่าชินอิจิอยู่ชมรมเปียโนด้วยน่ะ” อาริทสุจำได้ทุกอย่าง ทุกอย่างในความทรงจำอันแสนสุขเมื่อครั้งนั้น
“ชินอิจิ...เป็นเด็กหนุ่มในฝัน ฉันประทับใจที่เขาแข่งปั่นจักรยานชนะฉัน” อายาเมะเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางสีหน้าแปลกประหลาดของเพื่อนๆ
“เธอเนี่ยนะ....” อาริทสุเอือมระอาเพื่อนคนนี้เสียจริงๆ
“เอาหน่า....ฉันเองก็ประทับใจที่ชินอิจิมักจะมาช่วยฉันทำงานเอกสารอยู่เสมอเลย” โทโมโกะเสริมขึ้นมาอีกคน
“ฉันมีโอกาสติวหนังสือให้ชินอิจิบ้างด้วยนะ” อาริทสุเอ่ยออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
ฮารุเนะกวาดตามองเพื่อนทุกคนก่อนเอ่ยออกมาเป็นคนสุดท้ายว่า “สำหรับฉัน...ชินอิจิเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันเขียนหนังสือได้หลายเล่มเชียวล่ะ หลายต่อหลายครั้งเพราะเขาทำให้ฉันเขียนงานจนจบจนได้”
“เฮ้อ...ตอนนั้นพวกเราทั้งสี่คนต่างคนก็ต่างชอบชินอิจิอยู่ล่ะสินะ” อายาเมะเอ่ยออกมาอย่างเปิดใจซึ่งไม่มีใครปฏิเสธ
“อยากย้อนเวลากลับไปจัง ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่พวกเรามีแต่ความสนุกสนานเท่านั้น”
“นี่...ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามพวกเธอทุกคนมานานแล้วล่ะ” จู่ๆอาริทสุก็เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางที่จริงจัง
“อะไรเหรอ?”
“จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็หลายปีมากแล้ว แต่ฉันรู้ว่าทุกคนไม่มีใครลืมแน่....ฉันอยากถามเรื่องวันวาเลนไทน์ครั้งนั้น วันวาเลนไทน์ตอนที่พวกเราอยู่มัธยมปลายปีสุดท้ายมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทุกคนคงตั้งใจทำช็อคโกแลตเพื่อที่จะมอบให้ชินอิจิพร้อมกับสารภาพรักสินะ แต่ทำไมสุดท้ายชินอิจิถึงมีท่าทางแบบนั้นไปได้ล่ะ ฉันอยากจะขอให้ทุกคนพูดออกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะหลังจากนั้นชินอิจิกับพวกเราก็แทบไม่สนิทกันเหมือนแต่ก่อนอีกเลยราวกับเขาโกรธอะไรสักอย่าง พวกเธอรู้ไหมว่าเรื่องราววันนั้นมันยังคาใจฉันมาจนถึงวันนี้”
ทุกคนในวงสนทนาพากันเงียบกริบ พออาริทสุเอ่ยขึ้นมาทุกคนก็หวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นกันอย่างพร้อมเพรียง มันคือเหตุการณ์ที่ไม่ว่าใครก็คงลืมไม่ลง
“ฉันจะเล่าให้ทุกคนฟังจ๊ะ” ในที่สุดใครคนหนึ่งก็อาสาเป็นคนแรก คนๆนั้นก็คือ โทโมโกะ
**********
มาลงต่อแล้วจ้า แหะๆ....ตอนต่อไปก็อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์เช่นเคยเนอะ มีอะไรแนะนำหรือวิจารณ์ก็ตามสบายนะ น้อมรับทุกคำติชมจ้า
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ