มิติลี้ลับ

6.9

เขียนโดย อันตัง

วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 05.00 น.

  1 ตอน
  14 วิจารณ์
  6,444 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) เสียงเรียกของคุณตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ณ บ้านแห่งหนึ่งในอัมพวาจังหวัดสมุทรสงคราม หรือเรียกสั้นๆว่า แม่กลอง เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ทางด้านซ้ายของบ้านปลูกต้นไม้จำพวกผลไม้ไว้หลายชนิด เช่น ต้นมะม่วง ต้นขนุน ต้นชมพู่ ทางด้านขวาของบ้านเป็นไร่กล้วย หลังบ้านปลูกผักสวนครัว ทางเข้าบ้านขนาดพอดีรถยนต์หนึ่งคันสองข้างทางปลูกด้วยต้นเฟื้องฟ้าหลากหลายสีตัดแต่งเป็นพุ่มไว้อย่างสวยงาม

 

     คุณตาวัย 77 กำลังนั่งมองหลานสาว2คนเล่นของเล่นอยู่หน้าบ้านด้วยความห่วงใย ยิ้มแย้มทุกครั้งที่หลานสาวหันมามอง เป็นคุณตาที่ใจดีมากสำหรับหลาน พ่อกับแม่เด็กไปทำงานคุณตาจึงรับหน้าที่เลี้ยงดูหลาน

 

     "2คนเลิกเล่นไปล้างมือกินข้าวได้แล้วลูก" เสียงคุณตาเรียก เด็กๆรีบเก็บของเล่น วิ่งไปล้างมือโอ่งหน้าบ้านแล้วช่วยคุณตาจัดจานที่ชานหน้าบ้าน

 

      "น้องอ็อบดูสิมีของชอบน้องด้วย" เด็กหญิงคนคนหนึ่งผู้มีวัยมากกว่าพูด ขณะยกกับข้าวเข้ามาวาง

 

      "จริงเหรอพี่เอ๋" อ็อบรีบเข้ามาดู เห็นต้มไข่พะโล้ของโปรดก็ยิ้มอย่างดีใจเข้าไปกอดคุณตาอย่างประจบ คุณตาลูบหัวหลานสาวด้วยความเอ็นดู

 

       "มาลูก กินกันเถอะ"

 

       "จ้า" เอ๋กับอ็อบขานพร้อมกัน หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เอ๋กับอ็อบก็ช่วยคุณตาเก็บกับข้าวและล้างจานเก็บเหมือนเช่นทุกวัน

 

       ทุกๆวัน คุณตาจะเรียกสองพี่น้องมานั่งอ่านหนังสือและเล่านิทานให้ฟัง จนกระทั่งสองพี่น้องถึงวัยเข้าโรงเรียนแล้วคุณตาก็ยังไม่ลืมหาเวลาว่างชวนสองพี่น้องมานั่งอ่านหนังสืและเล่านิทาน

 

       "อ็อบชอบอ่านหนังสือกับคุณตา" อ็อบพูด

 

       "แล้วไม่ชอบนิทานที่ตาเล่าให้ฟังเหรอ" คุณตาถามคล้ายน้อยใจ สองพี่น้องรีบตอบ

 

        "ชอบสิคะ คุณตาเล่าสนุก"

 

         "งั้นวันนี้ตาจะเล่าให้ฟังอีกนะ" เสียงคุณตาบอก สองพี่น้องรีบเข้ามาใกล้คุณตา ฟังคุณตาเล่าอย่างตั้งใจ

 

          "คุณตาคะได้ยินเสียงอะไรไหม" เอ๋ถามขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ คุณตาส่ายหน้าแล้วพูดกับหลาน

 

          "ไม่มีอะไรหรอกลูก เสียงมะพร้าวหล่นนะ"

 

          "คะ" เอ๋ตอบเข้าใจถึงเหตุผลที่ตัวเองได้ยินเสียงแปลกๆ

 

         "ถ้าเป็นเวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไร ห้ามทักหรือได้ยินเสียงใครเรียกห้ามขานรับเด็ดขาด จำไว้นะลูก"

 

          "ทำไมคะ" เอ๋ถามอย่างสงสัย

 

          "ระวังไว้ดีกว่าเพื่อความปลอดภัย รู้ไหม" คุณตาไม่อยากอธิบายเหตุผลที่ยากเกินไปสำหรับเด็ก จึงแค่อยากเตือนหลานสาวไว้ สองพี่น้องพยักหน้าเข้าใจ เพราะคุณตาสอนอะไรเด็กๆก็เชื่อฟังเสมอ

 

           วันหนึ่งในฤดูร้อน อากาศร้อนมาก สองพี่น้องเลยชวนกันไปเล่นน้ำท้ายสวน เล่นเพลินจนลืมเวลากลับมาก็ใกล้อาหารเย็นแล้ว สองพี่น้องจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวมาช่วยคุณตาเหมือนเช่นทุกวัน

 

           "คุณตาไม่สบายหรือเปล่าคะ" อ็อบเห็นคุณตาไม่ร่าเริงเหมือนเดิมก็ถามด้วยความสงสัย

 

          "นั่นสิคะ" เอ๋สนับสนุน เพราะดูคุณตาซีดๆไป

 

         "ตาไม่ค่อยสบายนะ"

 

          "ไม่สบายมากหรือเปล่าคะ" อ็อบถามด้วยความเป็นห่วง

 

          "ไม่เป็นไรมากหรอกหลาน"

 

          "งั้นเดียวคุณตากินข้าวเสร็จไปนอนพักเลยนะคะ" เอ๋พูด

 

           "จ๊ะหลาน"

 

          หลังจากกินข้าวเสร็จและเก็บกับข้าวเรียร้อยแล้ว สองพี่น้องก็พาคุณตามาส่งที่ห้องนอน ทั้งสองจัดที่นอนให้ เมื่อเสร็จจึงให้ตาล้มตัวนอน ห่มผ้าให้เหมือนเวลาที่คุรตาส่งหลานเข้านอน

 

         "พักผ่อนเยอะๆนะคะ" เอ๋พูด

 

         "นอนหลับฝันดีนะคะ คุณตา" อ็อบบอก

 

         "จ๊ะ หลานก็ไปนอนกันเถอะ" เมื่อคุณตาหลับตาลง สองพี่น้องจึงออกมาจากห้องปิดประตูให้คุณตาแล้วพากันเดินเข้าห้องของตัวเอง เมื่อหัวถึงหมอนเด็กๆก็หลับ ด้วยความเหนื่อยมาจากการเล่นน้ำทั้งวัน

 

         เช้าบรรยากาศอึ้มครึ้ม เพราะมีเมฆฝน เอ๋นอนมองบรรยากาศข้างนอกผ่านหน้าต่างห้องนอน ซึ่งเปิดรับลม สายลมอ่อนๆพัดผ่านเข้ามา เอ๋ทำท่าจะเคลี้ยมหลับไปอีกก็ได้ยินเสียงคุณตาเรียกเสียก่อน เอ๋จึงรีบลุกไปที่ห้องของคุณตาทันที

 

          "คุณตาเรียกหนูมีไรจ๊ะ"

 

          "หลานช่วยหยิบหนังสือตรงนั้นอ่านให้ตาหน่อย" เอ๋เดินไปหยิบหนังสือตามที่คุณตาบอก หยิบเสร็จก็มานั่งข้างๆที่นอนของคุณตา

 

           "คุณตาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" เอ๋ถามด้วยความตกใจ เพิ่งสังเกตเห็นว่าตาดูซีดมากกว่าเมื่อวาน แถมมีอาการสั่นๆ ผิดปกติ

 

            "ตาไม่สบาย หลานรีบอ่านหน้าที่ตาพลับไว้" เอ๋มองตามมือคุณตาที่ชี้ไป เห็นหนังสือแล้วจึงเดินเข้าไปหยิบแล้วมานั่งข้างๆ ตา

 

            "อ่านทั้งหมดนี้หรือคะ" เอ๋เปิดเห็นแล้วอึ้ง เพราะหน้าที่คุณตาให้อ่านเป็นภาษาบาลีทั้งหมด ซึ่งอ่านยากมากสำหรับเด็กอย่างเอ๋ เนื่องจากภาษาบาลีไม่มีพยัญชนะประสมหรือควบกล้ำ

 

            "อ่านเลยลูก ดังๆเลย" คุณตาพูดด้วยความร้อนร้น เร่งหลานสาวให้รีบอ่าน

 

            "อ่านทำไมหรือคะ" เอ๋ยังไม่เข้าใจเลยถามต่อ

 

            "ตาจะได้ปลอดภัยจากอันตราย อ่านเลยลูก" คุณตาตอบแล้วเร่งอีกครั้ง เอ่ยังคงไม่เข้าใจ ยิ่งเห็นอาการของคุณตาแปลกๆ ส่ายไปส่ายมา ก็รู้สึกกลัว แต่ก็อ่านหน้าตามที่คุณตาบอกโดยดี

 

             เอ๋นั่งอ่านไปมองคุณตาไป ก็สังเกตเห็นอาการสั่นๆ ของคุณตาค่อยๆ สั่นน้อยลง จนกระทั่งเอ๋อ่านจบคุณตาก็นอนเหมือนปกติ สีหน้าดูดีกว่าตอนที่เข้ามาเมื่อสักพักก่อน

 

            "ขอบใจหลานมาก" คุณตายิ้มบอกหลาน ซึ่งตอนนี้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาก

 

            "คุณตาไม่เป็นไรแล้วหรือคะ" เอ๋ถามงงๆ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับหนังสืออย่างไง

 

            "หนังสือเล่มนี้มีคาถาหลายบท ที่หลานอ่านไปเป็นคาถาปัดเป่าเพศภัยนะลูก" คุณตารู้ว่าหลานสาวสงสัยจึงอธิบายให้ฟัง

 

             "ดีจังคะ งั้นคุณตาพักผ่อนเถอะนะคะ" เอ๋เห็นคุณตาดีขึ้นก็ดีใจอยากให้คุณตาพักผ่อนด้วยความห่วงใย

 

              "จ๊ะ" คุณตายิ้มให้เหมือนเช่นเคย

 

              "หนูไม่กวนคุณตาแล้วคะ" เด็กน้อยบอกแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องไป

 

            เช้าวันต่อมาสองพี่น้องไปโรงเรียน โดยรอรถประจำที่หน้าบ้าน คุณตาเดินมาส่งเหมือนทุกวัน สองพี่น้องสวัสดีคุณตาเมื่อรถมาจอดรับ

 

            "ตั้งใจเรียนนะลูก" คุณตาพูดเมื่อรถเริ่มขยับ สองพี่น้องโบกมือให้คุณตา

 

           เย็นรถนักเรียนมาส่งหน้าบ้าน สองพี่น้องมองหาคุณตา ไม่มีคุณตามารับเหมือนอย่างเคย ทั้งคู่มองหน้ากัน รีบวิ่งเข้าบ้านทันที ตรงไปยังห้องนอนของคุณตา

 

           "คุณตาคะ" เมื่อมาถึงห้องทั้งสองคนก็ต้องตกใจเรียกคุณตาแต่คุณตาไม่ยอมตื่น เอ๋เห็นท่าไม่ดี จึงรีบบอกให้น้องสาวไปโทรตามพ่อกับแม่ อ็อบก็รีบออกไปทันที

 

           "คุณตาคะ คุณตา" เอ๋พยายามเรียก แต่คุณตายังนิ่ง แล้วจู่ๆ คุณตาก็ตัวสั่น ส่ายไปมาอย่างแรง เอ๋ตกใจ หันซ้ายหันขวา นึกถึงหนังสือที่อ่านให้คุณตาเมื่อวานได้ จึงรีบหา

 

            "อยู่ไหนนะ" เอ๋มองหาไม่เห็นว่าหนังสือจะอยู่ที่เดิม พยายามหา เอ๋มองคุณตาที่บัดนี้เหมือนอาการคนชักแล้วรู้สึกกลัวมาก ร้องไห้ไปหาหนังสือไป

 

            "เจอแล้ว" เมื่อเจอรีบเปิดหน้าที่ตาบอกทันที ประโยคแล้วประโยคเล่า แต่ไม่มีทีท่าว่าคุณตาจะดีขึ้น เอ๋อ่านไปน้ำตาไหลหยดลงหนังสือ พยายามอ่านต่อไปซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

            "คุณตา คุณตา" เอ๋วางหนังสือเขย่าตัวให้คุณตาตื่น เรียกคุณตาซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณตาก็ไม่ตื่นขึ้นมา ยังคงนอนตัวสั่นอยู่อย่างนั้น

 

            "คุณตาอย่าเป็นอะไรนะคะ คุณตา" เอ๋ร้องไห้ปาดจะขาดใจ ไม่รู้จะช่วยคุณตาได้ยังไง สักพักพ่อกับแม่ก็มา คุณตาถูกส่งเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

 

           "พ่อคะ แม่คะ คุณตาจะเป็นอะไรไหมคะ" อ็อบถามเสียงเศร้า

 

           "รอคุณหมอมาบอกนะลูก" พ่อเอามือลูบหัวลูกสาวปลอบขวัญ เด็กน้อยพยักหน้า ไม่รู้ว่าคุณตาเป็นอะไรด้วยความเป็นเด็กจึงได้แต่รอด้วยความเป็นห่วง

 

           สักพักคุณหมอก็ออกมา พ่อกับแม่รีบเข้าไปถามอาการของคุณตาทันที

 

          "หมอคะ คุณพ่อท่านเป็นอย่างไงบ้าง" เสียงแม่ถาม

 

          "ผมอยากให้ญาติทำใจหน่อยนะครับ" คุณหมดพูดมาประโยคแรก แม่ได้ยินร้องไห้ซบอกพ่อ

 

          "ครับ" พ่อตอบ

 

          "หมอช่วยเต็มที่แต่คนไข้หัวใจวายไปก่อนแล้ว ช่วยไม่ทัน หมอเสียใจด้วยครับ" คุณหมอบอกแค่นั้นแล้วถอยเดินออกไป แม่ร้องไห้เสียงดัง ส่วนพ่อก็เงียบไม่พูดอะไรเลย เด็กๆมองตาปริบๆ ไม่เข้าใจความหมาย

 

         "หมอว่าไงคะ" เอ๋เดินเข้ามาถาม

 

          "คุณตาไปสบายแล้วลูก" พ่อตอบ

 

          "ไปไหนคะ" อ็อบถามด้วยความสงสัย

 

          พ่อมองลูกสาวสองคนด้วยความสงสาร โอบทั้งคู่เข้ามากอด ไม่รู้จะอธิบายให้ลูกสาวสองคนฟังยังไงดี ว่าคุณตาที่รักของลูกๆจะไม่อยู่ให้เห็นหน้าอีกแล้ว

 

          งานศพของคุณตาจัดอย่างเรียบง่าย แต่คนมาช่วยเยอะ เพราะคุณตาเป็นที่รักและรู้จักของคนแถบนั้น บ้านใกล้เรือนเคียงต่างมาช่วยจัดของภายในงาน เอ๋กับอ็อบใส่ชุดดำ นั่งร้องไห้คิดถึงคุณตาอยู่หน้าโลงศพภายในงาน เด็กๆ เพิ่งเข้าใจว่าคุณตาได้ตายไป เด็กๆ ไม่มีวันได้เจอคุณตาอีกแล้ว

 

         "ลูกๆ กลับไปนอนที่บ้านนะ เช้าๆ ค่อยมา" เสียงแม่บอกกับลูกสาว

 

         "คะ" สองพี่น้องพยักหน้า โดยมีพ่อมาส่งที่บ้าน

 

         สองคนพี่น้องกอดกันนอนหลับ เพราะความเหนื่อย ร้องไห้ให้คุณตามาตลอดทั้งวัน กลางดึกเอ๋ได้ยินเสียงเหมือนของหล่น แต่ด้วยความง่วง คิดว่าแมวคงวิ่งชนอะไรเลยไม่ได้ใส่ใจ หลับต่อไปจนสว่าง

 

         วันที่ 2 ของงาน

 

         คนมาช่วยยิ่งเพิ่มขึ้น คนรู้จักคุณตา บรรดาญาติๆ จากที่อื่นพากันมาไว้อาลัย เด็กๆ ช่วยทำอาหารในครัว ตกเย็นก็ช่วยกันแจกน้ำ แจกด้ายแดงให้คนที่มาร่วมงาน หลังจากงานคืนที่สองจบลง พ่อก็มาส่งสองคนพี่น้องที่บ้านเช่นเคย

 

          ตกกลางดึก เงียบสงั่ด ไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงลมหายใจของสองสาวพี่น้อง ที่หลับกันสนิท เอ๋ตื่นขึ้นมากลางดึก รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ จึงลุกไปเข้า โดยไม่ได้คิดอะไร เอ๋เดินผ่านห้องของคุณตา ยืนมองด้วยความคิดถึง แล้วส่ายหน้า เดินตรงเข้าห้องน้ำไป หลังจากทำธุระเสร็จ เอ๋ก็เดินกลับห้อง แต่ระหว่างทางเดิน ก็ได้กลิ่นธูป

 

          "เอ๊ะ กลิ่นธูปนี่หน่า" เอ๋บ่นในใจ จำได้ว่าคุณตาเคยบอกว่าถ้าได้ยินเสียงหรือกลิ่นแปลกๆ ห้ามทัก" จึงรีบเดินกลับเข้าห้องแล้วนอนทันที

 

          เช้าวันที่ 3

 

          วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่แม่บอกจะไว้ศพคุณตา คนมากมายหลังไหลมารวมกัน ทุกคนต่างเข้ามาจุดธูปร่วมไว้อาลัย จากนั้นก็นั่งรอพระมาสวดอภิธรรมภายในงาน เด็กๆ ไปรวมกันในครัว รอจนกระทั่งพระสวดจบ จึงออกมา สองคนพี่น้องมารอพ่อที่หน้างาน เพื่อที่จะกลับบ้าน

 

            ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่คืนนี้เอ๋รู้สึกว่าบ้านเงียบมากผิดปกติ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย รู้สึกวังเวงมาก แต่จะแสดงออกไปว่ากลัวก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้น้องสาวกลัว จึงชวนน้องไปนอนเหมือนเช่นทุกคืน

 

             ตกกลางดึก เอ๋กำลังนอนหลับสบาย ก็ได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ จึงลืมตามองขึ้นมาในความมืด มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีอะไร

 

             "เอ๋ เอ๋เอ้ย" เสียงของใครบอกคนเรียกอยู่หน้าประตูห้อง

 

             เอ๋ลุกขึ้นฟังทันที เสียงเรียกคุ้นเคยมาก พยายามฟัง

 

             "เอ๋ เอ๋เอ้ย"

 

             "ใช่แล้วเสียงคุณตานี่หน่า" เอ๋ตะโกนบอกตัวเองในใจ หันไปจะปลุกน้องเห็นนอนหลับเลยไม่อยากปลุก

 

              "เอ๋ หลานได้ยินไหมลูก" เสียงของคุณตาเรียกเอ๋ได้ยินชัดเจนมาก

 

             "บางทีเราคงหูฝาดคุณตาตายไปแล้วนี่หน่า" เอ๋ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองที่ได้ยินเสียงของคุณตาเรียก

 

             "คุณตาตายแล้วจะมาเรียกเราได้ไง"

 

            "เอ๋ เอ๋" เสียงของคุณตาเรียกอีกครั้ง เอ๋ไม่กล้าขานรับ เพราะคุณตาเคยสั่งไว้

 

           "เอาแล้วไง กลัวเหมือนกันนะ" เอ๋นึกในใจ

 

           "คุณตาหนูขอโทษนะคะ" เอ๋กล่าวพลางยกมือพนม แล้วคลุมผ้าห่มแน่นหนา ปานว่ากลัวใครจะแย่งไป ไม่กล้าหลับจนกระทั่งเช้า

 

           พอฟ้าสว่างเอ๋รีบชวนน้องไปหาพ่อกับแม่ที่งาน เล่าเรื่องให้ฟังทันที

 

          "คุณตาคงคิดถึงลูกนะ" แม่กล่าว

 

           "ดีแล้วที่ลูกเชื่อฟังคุณตาไม่ขานรับ" พ่อเสริม

 

           "ทำไมคะ" เอ๋ถามด้วยความงง พ่อมองหน้าแม่

 

            "เชื่อคุณตาไว้ไม่ผิดหรอกลูก" พ่อไม่อยากอธิบายให้เด็กๆกลัว จึงเลี่ยงที่จะไม่ตอบ

 

           "คุณตาหวังให้เราสองคนเติบโตเป็นคนดี รู้ไหมลูก" แม่เสริม

 

           "คะ เราจะจำไว้" เด็กๆ รับปากแข็งขัน

 

           "คุณตายังคงอยู่ในใจตลอดไป" สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน       

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา