นาฬิกาทราย
3) รอคอย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมจำได้ว่าเมื่อคืนนอนกระสับกระส่ายนัก
เป็นเพราะกังวลว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรบ้างในสิ่งที่ผมได้กระทำลงไป ครั้นพอพระอาทิตย์สอดส่องพยายามดึงดันผมให้ตื่นขึ้นเพื่อรีบไปมหาลัย เสร็จสิ้นกิจธุระในตอนเช้าก็เดินทางไปอย่างคนเหม่อลอย เหมือนมีความวาบหวามอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เหมือนหลุดลอยอยู่ในวิมาน
ท่าทางผมจะเพ้อไปกันใหญ่แล้ว สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วก้มหน้างุดกินก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกในชามต่อ
เหลียวดูนาฬิกาบนผนังปูนภายในโรงอาหารพลันดูดเส้นเข้าปาก ถอดถอนใจกับการเสียเวลาล่วงเลยมากไปในการกิน “15 นาทีเลยหรอเนี่ย ทำไมเราถึงกินได้ช้าขนาดนี้นะ”
ว่าพลางซดน้ำซุปร้อนๆควันพวยพุ่งเข้าปาก ยังไม่ทันกลืนเส้นร่วงลงคอดี เพื่อนในชมรมดนตรีฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสียเต็มแรง
“เฮ้ยโฟรค วันนี้ตอนเย็นมีซ้อมดนตรีกันบนตึก ถ้าว่างก็มาเล่นกีตาร์ลิทึ่มให้หน่อยดิวะ” เคนพูดพลันนั่งลงข้างๆ “แล้วเล่นเพลงอะไรกันบ้างอ่ะ จดชื่อเพลงไว้ในสมุดนี้ก่อนละกัน จะได้ไปซักซ้อมก่อน เพราะวันนี้ไม่มีเรียนตอนบ่าย”
ไอเคนเพื่อนผมคนนี้ทำหน้าที่ในวงโดยเป็นนักร้องนำ ซึ่งเสียงของมันก็ไพเราะอยู่ทีเดียว แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในตัวของมันคือความมุ่งมั่น หลังจากที่เคนขยุกขยิกเขียนรายชื่อเพลงไล่ลำดับลงมา ก็ละปากกาลงแล้วเลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวออกจากเบื้องหน้าแทรกกระดาษรายชื่อเพลงทั้ง6 รายการไว้แทน
“สี่โมงเย็นเจอกันที่ลานบนตึก” ครั้นพอสิ้นเสียงเพื่อน ผมมองตามด้านหลังจนลับสายตาแล้วจดจ่ออยู่ที่ชื่อเพลง เกิดสะดุดตาขึ้นทันที เนื่องจากทุกเพลงนั้นล้วนมีความหมายเกี่ยวกับการแอบชอบใครสักคนหนึ่งอย่างหมดหัวใจ ผมกอดแผ่นกระดาษพลางยิ้มแก้มปริ นักศึกษาคนอื่นต่างสะกิดไหล่เพื่อนคนข้างๆให้หันมามองทางผม แต่เวลานี้หัวใจผมกำลังเบ่งบานยากฉุดรั้งให้กลับมาเป็นดังเดิม ใครจะว่าผมบ้าก็ไม่สนเสียแล้วเวลานี้
ซักซ้อมเพลงทั้งหมดนั้นคุ้นชินมือทีเดียว ผมรีบรุดหน้าไปยังจุดนัดหมาย กายร้อนอบอ้าว กระพือเสื้อพร้อมขาก้าวเดินกระฉับกระเฉง สัมภาระพะรุงพะรังนั้นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับคนเล่นดนตรี
ผมจะรู้สึกชอบที่สุดครั้นเวลาเย็นซึ่งนักศึกษาวนเวียนน้อยดั่งมหาลัยร้าง กดลิฟต์ขึ้นไปชั้น 9 ยังไม่ทันหายใจทั่วท้องดี ประตูลิฟต์ก็เปิดรอรับให้เดินเข้าไป
อากาศข้างบนปลอดโปล่งโล่งสบายยิ่ง มองเห็นท้องฟ้ายามเย็นย่ำมีริ้วรอยรัศมีสีส้มชวนสะกดใจ ริ้วเมฆเคลื่อนบดบังริมขอบด้านล่างของพระอาทิตย์ดั่งลวดลายจิตรกรขึ้นแต่งแต้มบนท้องฟ้า
ทอดสายตามองโต๊ะกลมสีขาวที่เรียงรายอยู่รายล้อมรอบข้าง เห็นกลุ่มเพื่อนนั่งรอพลันมองเห็นผมจึงกวักมือเรียกให้เดินเข้าไป ผมนั่งลงพลางเปิดกระเป๋าหนังสีดำ นำกีตาร์ออกมาวางไว้บนตัก ตั้งใจเล่นดั่งเช่นฝึกซ้อมไว้ ผมและเหล่าเพื่อนเล่นดนตรีร่วมกันโดนมีผิดเพี้ยนบ้าง แต่ก็ทำให้รู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก ผ่านไปราวชั่วโมงหนึ่งจึงขอตัวกลับก่อน เพราะกลัวฝนจะตกเช่นคราวที่แล้ว
ขณะที่เดินตรงไปยังลิฟต์ สายตาได้เหลียวไปเห็นแพรวซึ่งกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่ เสียงที่แผ่วผ่านเข้ามาทำให้ห้วงอารมณ์ในความรู้สึกล่องลอยไปตามกระแสสายลม ผมเดินตรงไปยังที่แพรวนั่งอยู่ หยุดฝีเท้าและนั่งลงข้างกาย เธอหันมาสบตา แต่เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็ดึงสายตามาจดจ้องที่หนังสือดนตรี ผมพินิจดู แพรวแต่งกายด้วยชุดนักศึกษา กระโปรงสีดำจีบรอบยาวเสมอเข่าทั้งสอง รองเท้าหุ้มส้นสีเทา
“เล่นเพลงอะไรอยู่ครับแพรว” ผมกล่าวทักทายสั้นๆทั้งประหม่าอยู่ในน้ำเสียง
“เธอคือใครของอีทีซี โฟรครู้จักมั้ยคะ”
“เพลงนี้มีคอร์ดที่ต้องใช้นิ้วทาบด้วยนะ แพรวเล่นได้หรอครับ” สายตามองไปที่เรียวนิ้วที่กำลังจับคอร์ดบนบาร์กีตาร์ เธอคลายนิ้วออกจากเส้นกีตาร์พลันก้มหน้ามองดู
“ก็พยายามฝึกอยู่ แต่เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้วละคะ เพราะแพรวเล่นมาสักพักแล้วละ”
ผมเห็นนิ้วที่บวมแดงนั้นแล้วอยากเข้าไปสัมผัสและเอ่ยถามว่าเจ็บมากไหม ทว่าผมคงได้แต่คิดอยู่คนเดียวเงียบๆเช่นนี้
“ถ้ารู้สึกเจ็บแพรวก็พักก่อนก็ได้ครับ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มต่อ”
“ก็คงดีเหมือนกันคะ เพราะดูท้องฟ้าเริ่มมีความมืดเข้าปกคลุม เกรงว่าจะไม่ถึงบ้านสภาพปกติดี”
เธอกุลีกุจอเก็บข้าวของพร้อมกับเอ่ยชักชวนเดินออกจากตึกไปด้วยกัน คำตอบของผมนั้นแสดงได้จากการเดินเคียงข้างพลางชวนเธอพูดคุยเรื่องราวต่างๆจนเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ผมหวนนึกขึ้นมาได้ว่าลืมหยิบร่มในบ้านมา จึงบอกกับเธอล่วงหน้าถึงความไม่มั่นคงหากจะเดินถึงป้ายรถเมล์ทั้งสภาพตัวแห้งเช่นนี้
แพรวเล่าถึงความรู้สึกที่ดีครั้นเวลาได้เล่นกีตาร์ เธอบอกว่าเหมือนกับใจของเธอนั้นกำลังคุยกับเสียงเพลงเป็นภาษาเดียวกัน มีความสุขทุกครั้งที่เปลี่ยนคีย์บนสายทั้ง 6 เส้น แววตาเธอเปี่ยมไปด้วยสาวที่มีความฝัน ผมมิอาจละสายตาออกจากวงหน้าเธอได้ จะด้วยเป็นการรักษามรรยาทก็ดี ความปรารถนาเป็นการส่วนตัวก็ดี แต่ว่าตอนนี้ผมคิดอยู่ว่าเธอนั้นสวยงามหมดจดจริงเชียว
เสียงกัมปนาทเบื้องบนเวิ้งฟ้าทำให้ผมกับแพรวสะดุ้งประหนึ่งมีผู้คว้าปืนไล่ยิงแมวสองตัวที่เดินเลียบฟุตปาธอย่างเพลินใจ ไม่ช้าฝนก็เริ่มลงเม็ดประปราย เป็นสายสู่ลงศีรษะและลำตัวจนเปียกชุ่ม
ผมคว้ามือแพรวชวนเธอวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อหนีฝน ทว่าเราทั้งสองกลับแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างสนุกสนาน ผมสบตาเธอคล้ายกำลังบอกว่ารู้สึกเป็นอิสระเหลือเกิน เย็นฉ่ำ สดชื่น ทั้งเสียงฝีเท้าที่ย่ำไปมานั้นเกิดเป็นจังหวะที่เราร่วมกันบรรเลงอย่างไพเราะ พร้อมกับน้ำกระเซ็นเปียกชุ่มเท้าไปหมด ผมค่อยๆบีบมือเธอเบาๆให้ความอบอุ่นนั้นซึมซาบไปตามเรียวนิ้วมือ เราวิ่งกันจนถึงป้ายรถเมล์ ผมถามเธอว่าสายไหนที่ผ่านบ้านของเธอบ้าง ผมยืนรอเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งรถดังกล่าวพลันจอดลงเบื้องหน้า
ผมตามเธอขึ้นมาตามแรงปรารถนา เราทั้งสองนั่งลงข้างกัน ปล่อยให้ความเงียบแผ่ปกคลุม มือประสาน สายตาจดจ้องไม่ละวาง ไหล่อันแข็งแรงกลายเป็นที่พักพิง เธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ กายนั้นเย็นเฉียบ ผมยกแขนขึ้น เลื่อนช่องระบายปรับอากาศให้หันไปทางอื่นเพื่อไม่ให้โลมเลียผิวเธอ ฝ่ามือถูกันไปมา ประกบมือเธอเพื่อถ่ายเทความอุ่นไปยังร่างกาย คงช่วยเธอได้เท่านี้ ลำพังเสื้อนักศึกษานั้นเปียกโชกไปทั้งตัว
ทอดสายตามองออกไปยังกระจกที่พร่างพราย เห็นทัศนียภาพรอบนอกเคลื่อนตามความเร็วของรถ
ใจนั้นหลุดลอยประหนึ่งตรึงความทรงจำในอดีตให้คงที่ แพรวคือผู้หญิงที่ผมอยากดูแล ความซื่อสัตย์ที่มีอยู่ผมมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจในความภักดี ผมจะคอยเติมเต็มสิ่งต่างๆให้แพรวมีความสุข นึกคิด ใจดั่งท้น กระวนกระวาย อยากจะแสดงความเป็นตัวตนให้เธอได้รับรู้เสียจริง
แพรว ผมรู้สึกมากกว่าเพื่อนคนหนึ่งจะเป็นได้ อ่อนไหวเกินกว่าพี่กับน้องจะคงอยู่ในทางเดียวกัน ฐานะคนรู้จักผมก็มิอาจต้านทานแรงกระเพื่อมที่โอนอ่อนปรารถนาจะทะนุถนอมเธอดั่งดอกไม้ที่ต้องการสายน้ำที่นุ่มนวลไหลรดริน ผมนั่งปล่อยความคิดให้โลดแล่นอยู่ในสำนึกอันแจ่มจรัส ครั้นปรายตามองหญิงสาวอันเป็นที่รัก เห็นเธอหลับตาพริ้มเนิ่นนานกว่าจะทันชวนคุยเรื่องสถานที่ที่เธอชอบไป
รถเมล์ปรับอากาศสาย 84 อบอวลไปด้วยแรงอารมณ์อันบริสุทธิ์ ที่แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังยากชั่งใจจะเชิญชวน
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ