หยาดเหงื่อแม่
6.3
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ หยาดเหงื่อแม่”
โดย
อิสระ ชีวา
กลุ่มวรรณกรรมอีสานใต้-น้ำยืน
....................................
เสียงโหวกเหวกของผู้คน ปะปนกับภาพรถวิ่งเข้าออก แม้จะคุ้นหูและชินกับสายตาอันน้อยๆ ของผม ทุกครั้งที่มาที่นี่ภาพอันซ้ำซากในความคิดแต่ผมก็ต้องพาหุ่นอันกะร่องกะแร่ง มือที่แห้งหยาบกร้าน ใบหน้าที่คล้ำกรำแดด ผิวที่เคยเป็นสีดำแดงจนเดียวนี้เป็นสีกาแฟที่เกือบไร้คอฟฟี่เมตของผม มายังสถานที่อบอวนและฟุ้งไปด้วยกลิ่นที่ไม่อยากสูดลมหายใจเข้าสู่ปอดสองข้างของผมแม้แต่น้อย
“จะเอาจั๊กถุง? หนุ่ม บักนัด เอาอยู่บ้อ? หรือจะเอาแต่บักส่มเขียวหวาน” ผู้หญิงที่กร้านแดด ทาปากสีหมากสุกแปร็ด ผมยาวหยิกมัดรวบไว้ ห่อหุ้มด้วยหมวกที่มีปกและปีกปิดบังแดด แต่กระนั้นฝ้าบาง ๆที่แก้มสองข้างยังเห็นได้อย่างเบาบางแม้จะปิดบังไดว้ด้วยแป้งเนียนๆแล้วก็ตาม ร้องถาม
“เอาสิบถุงน้าแดง...บักนัดบ่เอา เอาบักส่ม บักเขือกะพอ เดียวนี้หน้าฝนขายของบ่ค่อยดีคือหน้าแล้ง” ผม บอกสินค้าที่ต้องการกับน้าแดงผู้มีอาชีพแม่ค้าคนกลาง
“อาทิตย์หน้ากะจั่งเอาเงินมาไห่น้า เอาจั๊กอย่างละสิบห้าถุงเนาะ”น้าแดงพยายามยัดเยียด
“เอาเมือหลายบ่ได้หรอกน้าแดง รถมันหนัก จะได้ไปซื้อปุ๋ยอีก”
หลังจากเอาผักคะน้า บักส่ม บักเขือ ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็เกือบเต็มคันรถสีเหลืองอ๋อยคันเก่าๆ และรถอีแต็กไว้ให้ผมกับแม่ที่พ่อฝากไว้ก่อนจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวจากไปอย่างไม่หวนกลับ ทิ้งให้ผมกับแม่ต้องใช้ชีวิตอยู่สองคนตามลำพัง...ผมเหยียบเกียร์รถกลับสู่จุดเริ่มต้นที่ผมเดินทางออกไปหาจุดหมายตลาดเจริญศรีตั้งแต่ไก่โห่เพื่อย้อนกลับสู่จุดเดิมที่จากมา...น้ำยืน
# # #
ผมหวังและวาดฝันว่า ถ้าหากผมสอบเป็นตำรวจได้ ผมจะพยายามเข็นชีวิตของครอบครัวอันน้อยๆของผมให้มีความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องตากแดดตากฝน อยากให้แม่สบายไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนทุกวันนี้ให้ได้ แต่เมื่อใดที่กลับมาถึงบ้านหลังจากมาจากตลาดเจริญศรี เห็นแม่คลุกอยู่ในสวน แม้แม่จะมีรูปร่างไม่แตกต่างไปจากผมนัก ผมหยักศกจนเกือบจะหยิก และมีสีขาวแซมไปเกือบทั่วทั้งหัว มิหนำซ้ำจะตัวเล็กกว่าผมเสียด้วย ใส่บุ๊ตลุยดินแดงของสวนอยู่ทุกวันอย่างไม่เอ่ยสักคำว่าเหน็ดเหนื่อย มันก็ยิ่งทำให้ผมไม่มีแม้แต่เวลาที่จะได้หยุดพัก แม้แต่จะไปเล่นกับพวกพ้องที่ร่ำเรียนมาด้วยกันก็ตาม มีคนเขาบอกว่าลูกชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนแม่จะไม่อาภัพ แต่สำหรับผมกลับคิดว่ามันไม่ใช่...เพราะตลอดทั้งวัน ผมกับแม่จะใช้เวลาของชีวิตอยู่แต่ในสวนตั้งแต่เช้าตรู่ รถน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดินและเก็บผลผลิตจากเรี่ยวแรงที่ได้มาแล้วบรรจุถุง...บางวันก็ต้องทำอย่างนี้จนวิทยุจะปิดรายการ มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมจะต้องอยู่คนเดียว โดยให้แม่ผู้บังเกิดเกล้า หญิงแกร่งและกล้าทุก
สถานการณ์ของสงครามชีวิตได้หลับนอนก่อน หลังจากที่ต่อสู้กับสังขารอันอ่อนล้ามาทั้งวัน... หากวันใดเราไม่ทำสวนถือว่าวันนั้นเป็นวันหยุด ผมจะอยู่ข้าง ๆ แม่ เคลียคลอเหมือนกับแมวเชื่อง ตับเล็บมือ เล็บเท้า ตะไบให้เรียบร้อย ผมคิดว่านี่คือความสุขที่ผมจะถ่ายทอดออกจากหัวใจให้แม่รู้ว่าผมรักอย่างสุดหัวใจ
ตีสองไม่เกินตีสาม ผมจะต้องลุกเอาผลผลิตจากเหงื่อไคลสองแม่ลูก วิ่งไปขายที่ตลาดเจริญศรี ที่ต้องตื่นแต่เช้าก็เพราะระยะทางจากอำเภอน้ำยืนบ้านเกิดมาถึงอำเภอวารินชำราบมันไม่ใช่ของย่อย ก็เกือบๆร้อยกิโลเห็นจะได้ เมื่อเอามาตีราคาที่ตลาดเจริญศรีแล้ว ก็ขนกลับไปที่ตลาดอำเภอน้ำยืน ผมก็งงเหมือนกันทำไมพวกแม่ค้า แม้แต่ผมไม่เอาไปขายที่ตลาดน้ำยืน ซึ่งอยู่ใกล้ไม่ถึงสิบกิโล พี่สั้นแม่ค้าขายผักสดที่น้ำยืนบอกผมว่าจะต้องเอาไปตีราคาที่ตลาดเจริญศรีก่อนแล้วค่อยแลกเปลี่ยนหรือรับสินค้าชนิดอื่นกลับมาขายที่น้ำยืน จะทำให้ราคาดี แม้ว่าผมจะรู้คำตอบและทำตามที่หลายๆคนทำมาแล้ว แต่จนบัดนี้ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ซื้อของถูกไม่ชอบ ชอบซื้อของแพง ๆ
ผมเคยคิดในใจ...
# # #
ทุกข์ คัก คั๊ก...ทุกข์ คัก คั๊ก... เสียงรถไฟพยามยามก้าวขาลากส่วนตัวและหางของมันให้เลื่อนไหลออกจากชานชาลา ผมมองดูแม่ค้า ผู้คนที่นั่งสลอนตามฟุตบาตรเพื่อรอรถขบวนต่อไป เขาจะไปไหนหนอ? จากไปเพื่อหาสิ่งใดให้กับตนเอง คำว่า ครอบครัว ซึ่งอยู่กันถ้วนหน้า มีพ่อ แม่ ลูก นี้ไม่ใช่จุดหมายของทุกชีวิตหรือ? แล้วเราต้องไขว่คว้าหาสิ่งใดอีกเล่า!! เหมือนนกน้อยที่บินจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อค้นหาอิสระ แต่ก็ต้องไปติดร่างแหของชีวิตอย่างหาทางออกไม่ได้ ผมตีตั๋วและทนนั่งมันอย่างทรมานแทบซี่โครงจะทิ่มปอด ในยามที่รถไฟเคลื่อนขบวนไป ถ้าเรามีเงินมากกว่านี้ ผมคงอยากจะนั่งชั้นเฟริสคลาส...ชั้นหนึ่งของรถไฟคงจะสบายมิใช่น้อย ...ทุกข์ คัก คั๊ก... เสียงมันบอกเหมือนตอกย้ำความรู้สึกและตอกย้ำความเป็นอยู่ของชีวิตผมให้ปวดร้าวใจยิ่งนัก
“คันตีตั๋วออกจากวารินทุ่มหนึ่ง กะจะไปฮอดโคราชบ่เกินตีสาม คันไปฮอดล่ะไห่จ้างมอเตอร์ไซค์ไปนอนบ้านลุงสุขเด้อ” แม่บอกผมก่อนที่ผมจะออกจากบ้านมาขึ้นรถประจำทางจากน้ำยืนถึงอำเภอเดชอุดมแล้วนั่งรถบาสมาลงที่สถานีรถไฟวารินชำราบ
...โคราช...เมืองย่าโม...ทำไม?? การสมัครสอบเป็นตำรวจจะต้องมาไกลเพียงนี้นะ ผมไม่อยากเดินทางมาที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว...
“น้าไส...น้ามานอนกับแม่แน่เด้อ ผมจะไปโคราชสี่ห้ามื้อกะสิกลับมา...พวกของที่จะเอาไปขายกะไห่พวกแม่ค้าเขามาเอาอยู่เฮือนกะแล้วกัน ผมมาโพ้นล่ะจั่งจะได้เอาไปลงที่เจริญศรี” ผมบอกน้าไส ผู้มีอาชีพเดียวกันกับแม่และผม
“ไปสมัครสอบเทื่อนี้ จะได้สอบเลยอยู่บ่ล่ะหนุ่ม” น้าไสถามถึงการไปสมัครและสอบตำรวจซึ่งเป็นครั้งแรกของชีวิตหลังจากจบ ม.6 มาของผม
“สอบเลยครับน้า...ค่ากินค่าอยู่ที่แม่ไห่สามพันคงจะพอ
เบิ่งแม่ไห่ผมแน่เด้อน้า” ผมฝากแม่ไว้กับน้าไสอย่างอดห่วงไม่ได้
“บ่เป็นหยังดอก คุณพระคุ้มครองเด้อ สอบไห่มันได้ล่ะ น้าเอาใจช่อย” น้าไสบอกก่อนที่ผมจะขึ้นรถจากมา
# # #
“มา หนุ่ม มากินข้าว ลุงซื้อมาแล้วตำส้มกับปิ้งปลา” ลุงสุขเรียกผมกินข้าว หลังจากที่ผมตื่นขึ้นมางัวเงียกับขี้ตาที่พึ่งแกะออก แต่นั่นมันก็ปาเข้าไปเกือบเพลแล้ว
“ตำบักหุ่ง...ตำส้ม...ที่นี่มีขายเยอะเหมือนบ้านผมเลยลุง แต่ปลาแดก-ปลาร้าที่นี่ต่อน-ชิ้น ใหญ่กว่าบ้านผม”
“ปกติลุงก็จะตำส้มกินเองแหละ แต่หน้าฝนที่แล้วต้นมะละกอมันล้ม เลยต้องซื้อเขา ต้นที่ปลูกไว้อีกสองสามเดือนโน่นแหละถึงจะตกลูก” ลุงพูดพลางหยิบตำบักหุ่งเข้าปากท่าทางอร่อยอย่างสุดซึ้ง “ที่นี่ไม่ได้ปลูกมะละกอไว้มากหรอก ปลูก
ไว้แต่พอกินบ้านละต้นสองต้น ชาวบ้านที่นี่จะทำไร่อ้อยกัน ไม่ได้ทำไร่มะละกอเหมือนที่น้ำยืน...คนที่นี่ต้องซื้อกิน...ไม่แน่นะคนโคราชอาจได้กินมะละกอที่หนุ่มปลูกก็ได้” ลุงพูดหลังจากกลืนปิ้งปลาดุกลงคอแล้ว
“ตำส้มที่นี่ไม่เหมือนที่บ้านผม ที่บ้านเขาไม่ใส่ถั่วลิสง ที่โน่นบางบ้านก็ตำใส่ใบกระเทียม บางทีก็ตำใส่ใบ
แมงลัก มันยิ่งทำให้รสเผ็ดของตำส้มเผ็ดขึ้นอีก ผมกินทีไรน้ำตาไหล แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหยุดกินจนกว่าจะหมดจานเหลือแต่หัวปลาร้า เพราะตัวของมันกินหมดแล้ว” ผมคุยให้ลุงฟัง ก่อนพูดต่อ “ตอนพ่อไปทำงานที่กรุงเทพฯช่วงฤดูแล้ง ที่ไม่ได้ทำสวนก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อบอกว่าตำส้มที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนอุบล โดยเฉพาะส้มตำน้ำโจ้กที่วารินลุงว่าไหม?”
“ เมื่อก่อน แม่ค้าตำส้มจะใช้มีดฟักมะละกอ โขลกเครื่องก่อน มีมะนาว มะเขือเทศ น้ำมะขามเปียก พริก กระเทียม โขลกให้เข้ากันถึงจะเอามะละกอลงไปทีหลัง จึงใส่ปลาร้า น้ำปลา ชูรส
น้ำตาล บางครั้งก็จะใส่กุ้งแห้งผสมโรงด้วย ทำให้ส้มตำอร่อยดี แต่เดียวนี้ เขาเอาเหล็กขูดขูดมะละกอเป็นเส้นๆ และก็ไม่ได้โขลกหรือตำไปแต่ละอย่างเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งดูเหมือนเขาคลุกเอามากกว่า มันน่าจะไม่เรียกว่าตำส้ม แต่น่าจะเรียกยำมะละกอมากกว่าจึงจะถูก แถวเชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ หรือแม้แต่แถบนี้ก็ยำมะละกอขาย จะหาตำมะละกอกินยากเหมือนกัน แม้มันจะรวดเร็วทันใจแต่รสชาติก็หายไปตามวันเวลา” ลุงเล่าให้ฟังก่อนจะพูดต่อ “จะไปสมัครสอบพรุ่งนี้ อ่านหนังสือมาดียัง? แม่สบายดีนะหนุ่ม”
“แม่สบายดีครับ ผมวานให้น้าไสมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนผมก็เตรียมตัวมาบ้างครับ อาศัยความรู้ที่พึ่งจบมอหกมา และอ่านแนวข้อสอบเพิ่มเติมในเวลาว่างที่หยุดทำสวนหรือก็ตอนกลางคืนที่ไม่ได้เตรียมของออกขาย ไม่แน่นะลุงอาจจะมีหลานเป็นตำรวจน้อยก็ได้” ผมตอบลุงพร้อมบอกวันเวลาอ่านหนังสือของผม พร้อมวาดหวังอนาคตอันอาจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
# # #
“มาฮอดหว่างเที่ยงนี่ อา เก็บบักแฟงแล้วล่ะบ้อ” ผมตอบอาอี๊ด ผู้มีสวนติดกันกับสวนของผม
“มื้อคืนนอนวารินบ้อหนุ่ม” น้าไส ถาม
“มา มะกินเข้า กินหลาย ๆ คนจะได้แซบ ๆ” แม่ชวนอาอี๊ด น้าไส กินข้าวเที่ยงด้วยกัน “กินกับตำบักหุ่ง อาหารยอดฮิต ปลูกเองตำกินเอง” แม่พูดต่อ
“นั่นล่ะ มันจั่งบ่ได้ไปซื้อเขาไห่เปลืองเงินเปลืองทอง...ตำใส่บักกอกหรือใส่ใบบักขามล่ะ ใส่ปลาแดกต่อนหลาย ๆ เด้อ ข่อยจะสีกไห่หนอนขาดเคิ่งไห่เบิ่ง” น้าไสพูด ชวนให้ผมน้ำลายไหลจนต้องเอามือปาดออก
“มื้อคืน กลับมาแต่โคราชฮอดวารินบ่ทันค่ำ บักเล็กกะเลยพาไปกินตำบักหุ่งน้ำโจ้ก...แซ๊บ แซบ เขามีไห่เลือกหลายอย่าง มีเทิงตำป่า ใส่สู่แนว ตั้งแต่บักหอย หน่อไม้ต้ม ปลาแห้ง ส้มผักกาด ถั่วงอก บักถั่ว เข้าปุ้น ย่านท้องเสียอยู่ดอกแต่มันกะแซบอีหลี” ผมคุยในพาข้าวให้แม่ น้า และอาอี๊ดฟัง
“อย่าว่าแต่ตำป่าเลย ตำทะเลกะมี”อาอี๊ดพูดขึ้น “ตอนอาไปชลบุรี เขาตำบักหุ่งใส่ปลาหมึก คันใส่อีปูทะเลเขาเอิ้นตำปู ทางนั้นเขาอาจจะว่าแซบ แต่อาว่าจั่งใด๋กะบ่สู่ตำใส่กะปูนาดองของบ้านเฮาดอก ปลาแดกเพิ่นกะบ่มีต่อน จางกะจาง เขาเอาไปต้มผสมกับกะปิหลายโพด มันเลยจืดละกะบ่แซบคือบ้านเฮา”
“ผมว่านะอา...อยู่ไสกะมีตำบักหุ่งเบิ๊ดทุกม่อง แต่อาจจะเอิ้นหรือตำบ่คือกัน คืออยู่เมืองเลยเขาเอิ้นว่าตำบักกอ แต่ทั้งเบิ๊ดกะคือตำบักหุ่ง...ตำบักหุ่งที่แซบที่สุดอาฮู้บ่ว่าอยู่ไส” ผมถามอาอี๊ดก่อนจะลุกขึ้นกินน้ำ และไม่ลืมที่จะตักมาให้แม่กับพี่น้องบ้านข้างเคียงอีกคนละขัน
“อยู่อุบลเฮานี่ล่ะแซบที่สุด” อาตอบผม
“บ่แม่น”
“ล่ะโตว่าอยู่ไสหนุ่ม ตำบักหุ่งแซบที่สุด” น้าไสถามอย่างอยากรู้คำตอบ ก่อนกินน้ำที่ผมเตรียมมาไว้ให้
“อยู่ในจานที่เฮากินเบิ๊ดนั่นล่ะ แซบที่สุด อากับน้าไสว่าบ่”
“...........................”
# # #
หลากหลายครั้ง มากมายหลายคราที่สิ่งที่เราพยายามยื้ออย่างสุดความสามารถเพื่อให้เป็นของเรา แต่มันก็ไม่เป็นของเรา ผมไม่เสียใจที่สอบตำรวจไม่ติด เพราะอย่างน้อยผมก็ได้มีโอกาสสอบและผมได้ทำเต็มและสุดความสามารถของผมแล้ว แต่อาจเป็นว่าผมเตรียมตัวไม่พร้อม อ่านหนังสือน้อยเกินไป หรืออ่านไม่ถูกจุด ไม้ถูกตรงที่เขาออกข้อสอบ ปีต่อไปผมต้องอ่านและศึกษาค้นคว้าให้มากกว่านี้ ...แต่กลับกัน...อาจเป็นโอกาสดีที่สุดของผมที่ผมสอบไม่ติดก็ได้ เพราะหากผมสอบติด แม่จะอยู่กับใคร...
แม่...ผู้ไม่ได้หาอยู่หากินเลี้ยงแต่ผมผู้เป็นลูกเท่านั้น แต่แม่เป็นผู้หญิงที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ คือ รางวัลแม่ดีเด่นตลอดทุกปีที่ผ่านมาจากผม เพราะนอกจากจะเลี้ยงผมจนเติบใหญ่แล้ว สองมือของแม่อาจเลี้ยงผู้คนเกือบค่อนประเทศ เพราะบักหุ่งที่แม่ปลูกให้ผมไปขายที่ตลาดเจริญศรีจะถูกลำเลียงไปต่างหมู่บ้าน ต่างจังหวัด หรือแม้แต่ต่างประเทศ นั่นหมายความว่า “บักหุ่ง” เดินทางไปถึงเขตโขงตำบลใด “หยาดเหงื่อของแม่” ก็จะชุบเลี้ยงชีวิตของผู้คน ณ ที่นั่นเช่นกัน
บ่ายวันนี้ ผมช่วยแม่ทำสวนด้วยหัวใจอันเบิกบาน ซึ่งตรงข้ามกับแสงแดดที่แผดเผาไหม้เกรียม เหงื่อไหลหยาดจนเปียกชื้น ผมไม่คิดเสียใจสักนิดที่สอบไม่ได้ เพราะถ้าสอบได้ผมคงไม่ได้มามีโอกาสใส่ปุ๋ยมะละกอต้นที่แม่ปลูกและรดน้ำดังหยาดเหงื่อ หวังเพียงเพื่อจะใช้จ่ายในครัวเรือน แต่แม่ไม่อาจรู้ว่า ด้วยเม็ดเหงื่อผุดจากขุมขนของแม่นี้แหละเลี้ยงคน เลี้ยงชาติ ให้เติบโตด้วยบักหุ่ง...จากน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ...ด้วยบักหุ่ง..Made in Esan…
ปาดเหงื่อย้อย คล้อยลง ตรงหน้าผาก
ฝันคิดอยาก ชีวิตดี กว่าวิถี
ทำสวนผัก สองแม่ลูก เลี้ยงชีวี
เพื่อพรุ่งนี้ ความเป็นอยู่ ครบถ้วนพลัน
เพื่อเลี้ยงลูก เพื่อเลี้ยงตน คนทั้งชาติ
มะละกอ จากน้ำยืน กินสุขสันต์
ตำแบ่งกิน รินน้ำใจ ให้แก่กัน
จากเหงื่อนั้น ผันชาติให้ ไทยเจริญ
# # #
อิสระ ชีวา
กลุ่มวรรณกรรมอีสานใต้-น้ำยืน
11/01/50
โดย
อิสระ ชีวา
กลุ่มวรรณกรรมอีสานใต้-น้ำยืน
....................................
เสียงโหวกเหวกของผู้คน ปะปนกับภาพรถวิ่งเข้าออก แม้จะคุ้นหูและชินกับสายตาอันน้อยๆ ของผม ทุกครั้งที่มาที่นี่ภาพอันซ้ำซากในความคิดแต่ผมก็ต้องพาหุ่นอันกะร่องกะแร่ง มือที่แห้งหยาบกร้าน ใบหน้าที่คล้ำกรำแดด ผิวที่เคยเป็นสีดำแดงจนเดียวนี้เป็นสีกาแฟที่เกือบไร้คอฟฟี่เมตของผม มายังสถานที่อบอวนและฟุ้งไปด้วยกลิ่นที่ไม่อยากสูดลมหายใจเข้าสู่ปอดสองข้างของผมแม้แต่น้อย
“จะเอาจั๊กถุง? หนุ่ม บักนัด เอาอยู่บ้อ? หรือจะเอาแต่บักส่มเขียวหวาน” ผู้หญิงที่กร้านแดด ทาปากสีหมากสุกแปร็ด ผมยาวหยิกมัดรวบไว้ ห่อหุ้มด้วยหมวกที่มีปกและปีกปิดบังแดด แต่กระนั้นฝ้าบาง ๆที่แก้มสองข้างยังเห็นได้อย่างเบาบางแม้จะปิดบังไดว้ด้วยแป้งเนียนๆแล้วก็ตาม ร้องถาม
“เอาสิบถุงน้าแดง...บักนัดบ่เอา เอาบักส่ม บักเขือกะพอ เดียวนี้หน้าฝนขายของบ่ค่อยดีคือหน้าแล้ง” ผม บอกสินค้าที่ต้องการกับน้าแดงผู้มีอาชีพแม่ค้าคนกลาง
“อาทิตย์หน้ากะจั่งเอาเงินมาไห่น้า เอาจั๊กอย่างละสิบห้าถุงเนาะ”น้าแดงพยายามยัดเยียด
“เอาเมือหลายบ่ได้หรอกน้าแดง รถมันหนัก จะได้ไปซื้อปุ๋ยอีก”
หลังจากเอาผักคะน้า บักส่ม บักเขือ ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็เกือบเต็มคันรถสีเหลืองอ๋อยคันเก่าๆ และรถอีแต็กไว้ให้ผมกับแม่ที่พ่อฝากไว้ก่อนจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวจากไปอย่างไม่หวนกลับ ทิ้งให้ผมกับแม่ต้องใช้ชีวิตอยู่สองคนตามลำพัง...ผมเหยียบเกียร์รถกลับสู่จุดเริ่มต้นที่ผมเดินทางออกไปหาจุดหมายตลาดเจริญศรีตั้งแต่ไก่โห่เพื่อย้อนกลับสู่จุดเดิมที่จากมา...น้ำยืน
# # #
ผมหวังและวาดฝันว่า ถ้าหากผมสอบเป็นตำรวจได้ ผมจะพยายามเข็นชีวิตของครอบครัวอันน้อยๆของผมให้มีความเป็นอยู่ที่ไม่ต้องตากแดดตากฝน อยากให้แม่สบายไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนทุกวันนี้ให้ได้ แต่เมื่อใดที่กลับมาถึงบ้านหลังจากมาจากตลาดเจริญศรี เห็นแม่คลุกอยู่ในสวน แม้แม่จะมีรูปร่างไม่แตกต่างไปจากผมนัก ผมหยักศกจนเกือบจะหยิก และมีสีขาวแซมไปเกือบทั่วทั้งหัว มิหนำซ้ำจะตัวเล็กกว่าผมเสียด้วย ใส่บุ๊ตลุยดินแดงของสวนอยู่ทุกวันอย่างไม่เอ่ยสักคำว่าเหน็ดเหนื่อย มันก็ยิ่งทำให้ผมไม่มีแม้แต่เวลาที่จะได้หยุดพัก แม้แต่จะไปเล่นกับพวกพ้องที่ร่ำเรียนมาด้วยกันก็ตาม มีคนเขาบอกว่าลูกชายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนแม่จะไม่อาภัพ แต่สำหรับผมกลับคิดว่ามันไม่ใช่...เพราะตลอดทั้งวัน ผมกับแม่จะใช้เวลาของชีวิตอยู่แต่ในสวนตั้งแต่เช้าตรู่ รถน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดินและเก็บผลผลิตจากเรี่ยวแรงที่ได้มาแล้วบรรจุถุง...บางวันก็ต้องทำอย่างนี้จนวิทยุจะปิดรายการ มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมจะต้องอยู่คนเดียว โดยให้แม่ผู้บังเกิดเกล้า หญิงแกร่งและกล้าทุก
สถานการณ์ของสงครามชีวิตได้หลับนอนก่อน หลังจากที่ต่อสู้กับสังขารอันอ่อนล้ามาทั้งวัน... หากวันใดเราไม่ทำสวนถือว่าวันนั้นเป็นวันหยุด ผมจะอยู่ข้าง ๆ แม่ เคลียคลอเหมือนกับแมวเชื่อง ตับเล็บมือ เล็บเท้า ตะไบให้เรียบร้อย ผมคิดว่านี่คือความสุขที่ผมจะถ่ายทอดออกจากหัวใจให้แม่รู้ว่าผมรักอย่างสุดหัวใจ
ตีสองไม่เกินตีสาม ผมจะต้องลุกเอาผลผลิตจากเหงื่อไคลสองแม่ลูก วิ่งไปขายที่ตลาดเจริญศรี ที่ต้องตื่นแต่เช้าก็เพราะระยะทางจากอำเภอน้ำยืนบ้านเกิดมาถึงอำเภอวารินชำราบมันไม่ใช่ของย่อย ก็เกือบๆร้อยกิโลเห็นจะได้ เมื่อเอามาตีราคาที่ตลาดเจริญศรีแล้ว ก็ขนกลับไปที่ตลาดอำเภอน้ำยืน ผมก็งงเหมือนกันทำไมพวกแม่ค้า แม้แต่ผมไม่เอาไปขายที่ตลาดน้ำยืน ซึ่งอยู่ใกล้ไม่ถึงสิบกิโล พี่สั้นแม่ค้าขายผักสดที่น้ำยืนบอกผมว่าจะต้องเอาไปตีราคาที่ตลาดเจริญศรีก่อนแล้วค่อยแลกเปลี่ยนหรือรับสินค้าชนิดอื่นกลับมาขายที่น้ำยืน จะทำให้ราคาดี แม้ว่าผมจะรู้คำตอบและทำตามที่หลายๆคนทำมาแล้ว แต่จนบัดนี้ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ซื้อของถูกไม่ชอบ ชอบซื้อของแพง ๆ
ผมเคยคิดในใจ...
# # #
ทุกข์ คัก คั๊ก...ทุกข์ คัก คั๊ก... เสียงรถไฟพยามยามก้าวขาลากส่วนตัวและหางของมันให้เลื่อนไหลออกจากชานชาลา ผมมองดูแม่ค้า ผู้คนที่นั่งสลอนตามฟุตบาตรเพื่อรอรถขบวนต่อไป เขาจะไปไหนหนอ? จากไปเพื่อหาสิ่งใดให้กับตนเอง คำว่า ครอบครัว ซึ่งอยู่กันถ้วนหน้า มีพ่อ แม่ ลูก นี้ไม่ใช่จุดหมายของทุกชีวิตหรือ? แล้วเราต้องไขว่คว้าหาสิ่งใดอีกเล่า!! เหมือนนกน้อยที่บินจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อค้นหาอิสระ แต่ก็ต้องไปติดร่างแหของชีวิตอย่างหาทางออกไม่ได้ ผมตีตั๋วและทนนั่งมันอย่างทรมานแทบซี่โครงจะทิ่มปอด ในยามที่รถไฟเคลื่อนขบวนไป ถ้าเรามีเงินมากกว่านี้ ผมคงอยากจะนั่งชั้นเฟริสคลาส...ชั้นหนึ่งของรถไฟคงจะสบายมิใช่น้อย ...ทุกข์ คัก คั๊ก... เสียงมันบอกเหมือนตอกย้ำความรู้สึกและตอกย้ำความเป็นอยู่ของชีวิตผมให้ปวดร้าวใจยิ่งนัก
“คันตีตั๋วออกจากวารินทุ่มหนึ่ง กะจะไปฮอดโคราชบ่เกินตีสาม คันไปฮอดล่ะไห่จ้างมอเตอร์ไซค์ไปนอนบ้านลุงสุขเด้อ” แม่บอกผมก่อนที่ผมจะออกจากบ้านมาขึ้นรถประจำทางจากน้ำยืนถึงอำเภอเดชอุดมแล้วนั่งรถบาสมาลงที่สถานีรถไฟวารินชำราบ
...โคราช...เมืองย่าโม...ทำไม?? การสมัครสอบเป็นตำรวจจะต้องมาไกลเพียงนี้นะ ผมไม่อยากเดินทางมาที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว...
“น้าไส...น้ามานอนกับแม่แน่เด้อ ผมจะไปโคราชสี่ห้ามื้อกะสิกลับมา...พวกของที่จะเอาไปขายกะไห่พวกแม่ค้าเขามาเอาอยู่เฮือนกะแล้วกัน ผมมาโพ้นล่ะจั่งจะได้เอาไปลงที่เจริญศรี” ผมบอกน้าไส ผู้มีอาชีพเดียวกันกับแม่และผม
“ไปสมัครสอบเทื่อนี้ จะได้สอบเลยอยู่บ่ล่ะหนุ่ม” น้าไสถามถึงการไปสมัครและสอบตำรวจซึ่งเป็นครั้งแรกของชีวิตหลังจากจบ ม.6 มาของผม
“สอบเลยครับน้า...ค่ากินค่าอยู่ที่แม่ไห่สามพันคงจะพอ
เบิ่งแม่ไห่ผมแน่เด้อน้า” ผมฝากแม่ไว้กับน้าไสอย่างอดห่วงไม่ได้
“บ่เป็นหยังดอก คุณพระคุ้มครองเด้อ สอบไห่มันได้ล่ะ น้าเอาใจช่อย” น้าไสบอกก่อนที่ผมจะขึ้นรถจากมา
# # #
“มา หนุ่ม มากินข้าว ลุงซื้อมาแล้วตำส้มกับปิ้งปลา” ลุงสุขเรียกผมกินข้าว หลังจากที่ผมตื่นขึ้นมางัวเงียกับขี้ตาที่พึ่งแกะออก แต่นั่นมันก็ปาเข้าไปเกือบเพลแล้ว
“ตำบักหุ่ง...ตำส้ม...ที่นี่มีขายเยอะเหมือนบ้านผมเลยลุง แต่ปลาแดก-ปลาร้าที่นี่ต่อน-ชิ้น ใหญ่กว่าบ้านผม”
“ปกติลุงก็จะตำส้มกินเองแหละ แต่หน้าฝนที่แล้วต้นมะละกอมันล้ม เลยต้องซื้อเขา ต้นที่ปลูกไว้อีกสองสามเดือนโน่นแหละถึงจะตกลูก” ลุงพูดพลางหยิบตำบักหุ่งเข้าปากท่าทางอร่อยอย่างสุดซึ้ง “ที่นี่ไม่ได้ปลูกมะละกอไว้มากหรอก ปลูก
ไว้แต่พอกินบ้านละต้นสองต้น ชาวบ้านที่นี่จะทำไร่อ้อยกัน ไม่ได้ทำไร่มะละกอเหมือนที่น้ำยืน...คนที่นี่ต้องซื้อกิน...ไม่แน่นะคนโคราชอาจได้กินมะละกอที่หนุ่มปลูกก็ได้” ลุงพูดหลังจากกลืนปิ้งปลาดุกลงคอแล้ว
“ตำส้มที่นี่ไม่เหมือนที่บ้านผม ที่บ้านเขาไม่ใส่ถั่วลิสง ที่โน่นบางบ้านก็ตำใส่ใบกระเทียม บางทีก็ตำใส่ใบ
แมงลัก มันยิ่งทำให้รสเผ็ดของตำส้มเผ็ดขึ้นอีก ผมกินทีไรน้ำตาไหล แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหยุดกินจนกว่าจะหมดจานเหลือแต่หัวปลาร้า เพราะตัวของมันกินหมดแล้ว” ผมคุยให้ลุงฟัง ก่อนพูดต่อ “ตอนพ่อไปทำงานที่กรุงเทพฯช่วงฤดูแล้ง ที่ไม่ได้ทำสวนก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อบอกว่าตำส้มที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนอุบล โดยเฉพาะส้มตำน้ำโจ้กที่วารินลุงว่าไหม?”
“ เมื่อก่อน แม่ค้าตำส้มจะใช้มีดฟักมะละกอ โขลกเครื่องก่อน มีมะนาว มะเขือเทศ น้ำมะขามเปียก พริก กระเทียม โขลกให้เข้ากันถึงจะเอามะละกอลงไปทีหลัง จึงใส่ปลาร้า น้ำปลา ชูรส
น้ำตาล บางครั้งก็จะใส่กุ้งแห้งผสมโรงด้วย ทำให้ส้มตำอร่อยดี แต่เดียวนี้ เขาเอาเหล็กขูดขูดมะละกอเป็นเส้นๆ และก็ไม่ได้โขลกหรือตำไปแต่ละอย่างเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งดูเหมือนเขาคลุกเอามากกว่า มันน่าจะไม่เรียกว่าตำส้ม แต่น่าจะเรียกยำมะละกอมากกว่าจึงจะถูก แถวเชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ หรือแม้แต่แถบนี้ก็ยำมะละกอขาย จะหาตำมะละกอกินยากเหมือนกัน แม้มันจะรวดเร็วทันใจแต่รสชาติก็หายไปตามวันเวลา” ลุงเล่าให้ฟังก่อนจะพูดต่อ “จะไปสมัครสอบพรุ่งนี้ อ่านหนังสือมาดียัง? แม่สบายดีนะหนุ่ม”
“แม่สบายดีครับ ผมวานให้น้าไสมาอยู่เป็นเพื่อน ส่วนผมก็เตรียมตัวมาบ้างครับ อาศัยความรู้ที่พึ่งจบมอหกมา และอ่านแนวข้อสอบเพิ่มเติมในเวลาว่างที่หยุดทำสวนหรือก็ตอนกลางคืนที่ไม่ได้เตรียมของออกขาย ไม่แน่นะลุงอาจจะมีหลานเป็นตำรวจน้อยก็ได้” ผมตอบลุงพร้อมบอกวันเวลาอ่านหนังสือของผม พร้อมวาดหวังอนาคตอันอาจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
# # #
“มาฮอดหว่างเที่ยงนี่ อา เก็บบักแฟงแล้วล่ะบ้อ” ผมตอบอาอี๊ด ผู้มีสวนติดกันกับสวนของผม
“มื้อคืนนอนวารินบ้อหนุ่ม” น้าไส ถาม
“มา มะกินเข้า กินหลาย ๆ คนจะได้แซบ ๆ” แม่ชวนอาอี๊ด น้าไส กินข้าวเที่ยงด้วยกัน “กินกับตำบักหุ่ง อาหารยอดฮิต ปลูกเองตำกินเอง” แม่พูดต่อ
“นั่นล่ะ มันจั่งบ่ได้ไปซื้อเขาไห่เปลืองเงินเปลืองทอง...ตำใส่บักกอกหรือใส่ใบบักขามล่ะ ใส่ปลาแดกต่อนหลาย ๆ เด้อ ข่อยจะสีกไห่หนอนขาดเคิ่งไห่เบิ่ง” น้าไสพูด ชวนให้ผมน้ำลายไหลจนต้องเอามือปาดออก
“มื้อคืน กลับมาแต่โคราชฮอดวารินบ่ทันค่ำ บักเล็กกะเลยพาไปกินตำบักหุ่งน้ำโจ้ก...แซ๊บ แซบ เขามีไห่เลือกหลายอย่าง มีเทิงตำป่า ใส่สู่แนว ตั้งแต่บักหอย หน่อไม้ต้ม ปลาแห้ง ส้มผักกาด ถั่วงอก บักถั่ว เข้าปุ้น ย่านท้องเสียอยู่ดอกแต่มันกะแซบอีหลี” ผมคุยในพาข้าวให้แม่ น้า และอาอี๊ดฟัง
“อย่าว่าแต่ตำป่าเลย ตำทะเลกะมี”อาอี๊ดพูดขึ้น “ตอนอาไปชลบุรี เขาตำบักหุ่งใส่ปลาหมึก คันใส่อีปูทะเลเขาเอิ้นตำปู ทางนั้นเขาอาจจะว่าแซบ แต่อาว่าจั่งใด๋กะบ่สู่ตำใส่กะปูนาดองของบ้านเฮาดอก ปลาแดกเพิ่นกะบ่มีต่อน จางกะจาง เขาเอาไปต้มผสมกับกะปิหลายโพด มันเลยจืดละกะบ่แซบคือบ้านเฮา”
“ผมว่านะอา...อยู่ไสกะมีตำบักหุ่งเบิ๊ดทุกม่อง แต่อาจจะเอิ้นหรือตำบ่คือกัน คืออยู่เมืองเลยเขาเอิ้นว่าตำบักกอ แต่ทั้งเบิ๊ดกะคือตำบักหุ่ง...ตำบักหุ่งที่แซบที่สุดอาฮู้บ่ว่าอยู่ไส” ผมถามอาอี๊ดก่อนจะลุกขึ้นกินน้ำ และไม่ลืมที่จะตักมาให้แม่กับพี่น้องบ้านข้างเคียงอีกคนละขัน
“อยู่อุบลเฮานี่ล่ะแซบที่สุด” อาตอบผม
“บ่แม่น”
“ล่ะโตว่าอยู่ไสหนุ่ม ตำบักหุ่งแซบที่สุด” น้าไสถามอย่างอยากรู้คำตอบ ก่อนกินน้ำที่ผมเตรียมมาไว้ให้
“อยู่ในจานที่เฮากินเบิ๊ดนั่นล่ะ แซบที่สุด อากับน้าไสว่าบ่”
“...........................”
# # #
หลากหลายครั้ง มากมายหลายคราที่สิ่งที่เราพยายามยื้ออย่างสุดความสามารถเพื่อให้เป็นของเรา แต่มันก็ไม่เป็นของเรา ผมไม่เสียใจที่สอบตำรวจไม่ติด เพราะอย่างน้อยผมก็ได้มีโอกาสสอบและผมได้ทำเต็มและสุดความสามารถของผมแล้ว แต่อาจเป็นว่าผมเตรียมตัวไม่พร้อม อ่านหนังสือน้อยเกินไป หรืออ่านไม่ถูกจุด ไม้ถูกตรงที่เขาออกข้อสอบ ปีต่อไปผมต้องอ่านและศึกษาค้นคว้าให้มากกว่านี้ ...แต่กลับกัน...อาจเป็นโอกาสดีที่สุดของผมที่ผมสอบไม่ติดก็ได้ เพราะหากผมสอบติด แม่จะอยู่กับใคร...
แม่...ผู้ไม่ได้หาอยู่หากินเลี้ยงแต่ผมผู้เป็นลูกเท่านั้น แต่แม่เป็นผู้หญิงที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ คือ รางวัลแม่ดีเด่นตลอดทุกปีที่ผ่านมาจากผม เพราะนอกจากจะเลี้ยงผมจนเติบใหญ่แล้ว สองมือของแม่อาจเลี้ยงผู้คนเกือบค่อนประเทศ เพราะบักหุ่งที่แม่ปลูกให้ผมไปขายที่ตลาดเจริญศรีจะถูกลำเลียงไปต่างหมู่บ้าน ต่างจังหวัด หรือแม้แต่ต่างประเทศ นั่นหมายความว่า “บักหุ่ง” เดินทางไปถึงเขตโขงตำบลใด “หยาดเหงื่อของแม่” ก็จะชุบเลี้ยงชีวิตของผู้คน ณ ที่นั่นเช่นกัน
บ่ายวันนี้ ผมช่วยแม่ทำสวนด้วยหัวใจอันเบิกบาน ซึ่งตรงข้ามกับแสงแดดที่แผดเผาไหม้เกรียม เหงื่อไหลหยาดจนเปียกชื้น ผมไม่คิดเสียใจสักนิดที่สอบไม่ได้ เพราะถ้าสอบได้ผมคงไม่ได้มามีโอกาสใส่ปุ๋ยมะละกอต้นที่แม่ปลูกและรดน้ำดังหยาดเหงื่อ หวังเพียงเพื่อจะใช้จ่ายในครัวเรือน แต่แม่ไม่อาจรู้ว่า ด้วยเม็ดเหงื่อผุดจากขุมขนของแม่นี้แหละเลี้ยงคน เลี้ยงชาติ ให้เติบโตด้วยบักหุ่ง...จากน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ...ด้วยบักหุ่ง..Made in Esan…
ปาดเหงื่อย้อย คล้อยลง ตรงหน้าผาก
ฝันคิดอยาก ชีวิตดี กว่าวิถี
ทำสวนผัก สองแม่ลูก เลี้ยงชีวี
เพื่อพรุ่งนี้ ความเป็นอยู่ ครบถ้วนพลัน
เพื่อเลี้ยงลูก เพื่อเลี้ยงตน คนทั้งชาติ
มะละกอ จากน้ำยืน กินสุขสันต์
ตำแบ่งกิน รินน้ำใจ ให้แก่กัน
จากเหงื่อนั้น ผันชาติให้ ไทยเจริญ
# # #
อิสระ ชีวา
กลุ่มวรรณกรรมอีสานใต้-น้ำยืน
11/01/50
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ