มอนี้ ชุลมุนวุ่นซะ

5.6

เขียนโดย sugarkoi

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 09.46 น.

  4 ตอน
  14 วิจารณ์
  11.70K อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) เกินคาด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

.

 

 


อิงผละออกจากห้องชมรมสื่อของมิวอย่างรวดเร็ว เธอได้เบอร์โทรศัพท์ของอีกสามคนมาแล้ว ขาดไปคนหนึ่ง มิวบอกว่าต้องถามเอาจากหนึ่งในสองคนนั้น ที่น่าจะมีเบอร์โทรศัพท์ของคนที่สี่...


 หากเป็นไปตามที่มิวบอก ทั้งสามคนน่าจะอยู่ที่โรงอาหาร และอีกหนึ่งคน อยู่ที่ห้องพักอาจารย์ ทั้งสามคนที่ว่าเป็นรุ่นพี่ปีสามพี่ออย พี่เกด และพี่โบ้ท ส่วนคนที่อยู่ห้องพักอาจารย์นั่น คืออาจารย์เอ๋ (ที่มิวไม่มีเบอร์)อาจารย์สุดเท่ที่ปรึกษาชมรมสื่อเค้าละ หากเป็นเวลาอื่นอิงคงดีใจเป็นล้นพ้นที่ได้มีเรื่องเข้าพูดคุยกับอาจารย์เอ๋ แต่ตอนนี้ความดีใจไปมุดหัวอยู่ไหนไม่รู้มีแต่ความกังวลใจเต็มหัวไปหมด


เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อิงควานมือลงในกระเป๋าสำหรับช่องใส่โทรศัพท์มือถือ เสียงเพลงที่เธอตั้งไว้เป็นเสียงเรียกเข้าเงียบไปแล้ว ที่ปรากฏบนจอเป็นสายที่ไม่ได้รับถึงสิบสองครั้ง เมื่อกดดูก็รู้ว่าเป็นโน้ตที่โทรมา อิงสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นอีก


“โน้ต” อิงอุทานในใจ

...เจ้านี่ มันจะโทรมาทำไมนักหนา

แล้วเธอจะรับดีมั้ยนะ? คนยิ่งกำลังรีบอยู่

 ...ไม่รับดีกว่า แต่...ลองรับดูเถอะ...

อิงสับสนในใจ เดินวนไปวนหน้าอยู่หน้าตึกสาม ซึ่งเป็นตึกที่อยู่ของชมรมสื่อ นักศึกษาที่เดินไปเดินมา บางคนเหลียวมองเธออย่างสงสัย อิงร้อนๆหนาวๆ

“หายหัวไปไหนมา ไม่รับโทรศัพท์น่ะ ฉันโทรมาเป็นครั้งที่ร้อยแล้วนะ!!”

เสียงปลายสายดังแสบแก้วหู หลังจากที่อิงใคร่ครวญอีกซักพักก็ตัดสินใจรับโทรศัพท์จากโน้ต

 


แค่สิบสามครั้งเองโว้ย...รวมครั้งนี้ด้วย

อิงโต้แย้งในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

“ฉันเพิ่งเห็นน่ะ...นายมีไรเหรอโน้ต ฉันกำลังยุ่ง...”

“แล้วเธออยู่ไหน ไมไม่เข้าเรียน สายแล้วนะกะจะโดดหรือไง ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันรมณ์เสียเมื่อกี้ก็อย่าถือสากัน...”

อิงยืนนิ่งอึ้ง ข้อดีข้อหนึ่งของโน้ตเลยแหละ เขาเป็นคนที่รู้ว่าตัวเองควรขอโทษในเหตุการณ์ไหนบ้าง

“โน้ตฉันไม่ได้โกรธอะไรนาย ฉันมีธุระอื่นของฉันน่ะ...”

อิงพูดพร้อมกับสาวเท้าเดินตรงไปที่ตึกวายุ (อิงคิดว่าเป็นชื่อที่ดีมาก เอ่อ...มาจากชื่อลูกชายท่านผู้อำนวยการคนแรกที่สร้างมหาวิทยาลัยนี้ ซึ่งปัจจุบัน ท่านวายุ อายุแปดสิบปี เกษียณไปแล้ว และอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่นักศึกษารู้กันทุกคน) ตึกวายุเป็นห้องพักของอาจารย์เอ๋ หรือเอราวิทย์

“เออ...แล้วนายล่ะโน้ตไม่เรียนหรือไง ถึงมีเวลาโทรศัพท์มาหาฉันตั้งร้อยครั้งแน่ะ”

อิงมีแก่ใจประชดเขากลับไป นักศึกษาที่เดินสวนมาบางคนที่รู้จักกับเธอก็ส่งยิ้มมาให้ บ้างก็พยักหน้าทักทาย อิงยิ้มและพยักหน้าตอบ พร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย

“ไม่เรียน ฉันก็มีธุระ พอดีเจ้าป๊อปมันส่งข้อความมา นัดฉันไปเจอ...จำเป็นต้องโดด”

 


ป๊อป เป็นเพื่อนของโน้ตแต่ก็ไม่สนิทกันนัก แต่ก็จัดเข้ากลุ่มชายหนุ่มหน้าตาดี มีกองทุน(ครอบครัว)เลิศ เธอเคยคิดเล่นๆว่า ที่ป๊อปไม่ยอมมาสนิทหรือไปไหนมาไหนกับโน้ตก็เพราะว่ามาจากสาเหตุ “ความโดดเด่น” ที่ยอมกันไม่ได้เป็นอันขาด จึงสมัครใจแยกกันอยู่ ประมาณว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้แน่ๆ แต่วันนี้มีการนัดพบปะกันนี่ออกจะแปลก

 

 


 

 


“จำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ? แปลกว่ะ”

อิงเปรยออกไปอย่างที่ใจนึก

“เออ มันเจอเรื่องคล้ายๆกันน่ะ รู้จักน้องหลินใช่ปะ...เลิกกันแล้ว มันบอกว่าเพราะงานเขียนบ้าๆนั่นแหละ เลยนัดฉันออกมาคุย เพราะมันรู้เรื่องฉันกับน้องก้อยเหมือนกัน...เออ แค่นี้ก่อนนะ มันโทรเข้ามาแล้ว ส่วนเธอ ...เดี๋ยวฉันจะโทรกลับมาอีก รับด้วยล่ะ อย่าให้ฉันต้องรออีกนะ”

คำท้ายๆนั่นดูจะบังคับเอาแต่ใจเหลือเกิน หากเป็นเวลาอื่นเธออาจจะโวยออกไปว่า

...ทำไมต้องรับ ถ้าไม่รับมีไรมั้ย... เผื่อฉันยุ่งล่ะ...

อะไรประมาณนี้แหละ แต่ตอนนี้มันพูดไม่ออก และไม่ต่อล้อต่อเถียงน่าจะดีกว่า

รีบเถอะเรา


อิงบอกตัวเอง รีบสาวเท้าไปยังตึกเป้าหมาย น่าจะใช้เวลาซักสิบนาที พอไปถึงตึกวายุ เธอค่อยโทรไปหารุ่นพี่ปีสามที่เธอได้เบอร์มา แล้วค่อยขอเข้าพบอาจารย์เอ๋

มีโทรศัพท์ดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นโทรศัพท์จากเพื่อนๆร่วมมหาวิทยาลัย แต่อิงก็เลือกที่จะไม่รับ

“โทรมาทำไมกันจังโว้ย...”

อิงดาวเอะอะในใจ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถึงได้วุ่นวายหนักขนาดนี้ อิงดาว นักศึกษาที่มีชื่อในทางเรียนดีอย่างเธอต้องโดดเรียน ต้องว้าวุ่นใจเพราะเรื่องงานเขียนที่เธอไม่ตั้งใจจะทำร้ายใครเลย...



            ระหว่างทางขณะที่กำลังรีบๆเดินอิงก็ชะงักกึก เมื่อเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูอะไรซักอย่าง ตอนแรกว่าจะไม่สนใจแล้วเดินผ่านไป แต่...ด้วยความอยากรู้จึงขอมุงด้วยคน (แล้วบอกว่ารีบ) พอแทรกๆตัวเข้าไปดู พอที่จะเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการมุงขึ้นแล้ว ก็ยิ่งทำให้ผละจากไปไม่ได้เลย


            “เจนครับ ผมทำผิดอะไรกันแน่ จู่ๆก็มาขอเลิกแบบนี้ มันไม่มีเหตุผลเลย”

            คำพูดนั้นมาจากปากของนักศึกษาปีหนึ่งหน้าตาท่าทางดูดีมากๆๆๆ เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวแท้สาวเทียมในมหาวิทยาลัยอีกคน ซึ่งอิงจำได้ว่า นักศึกษาคนนี้คือ โจ มีแฟนเป็นนักศึกษารุ่นพี่ปีสุดท้ายที่แสนสวยและโด่งดัง พี่เจน...


            “โจคะ โจพูดถูกแล้ว เจนไม่มีเหตุผลหรอกค่ะ เจนเป็นคนไม่ดีละมั้ง ?ไม่เหมือนโจ โจคนมีเหตุผล...อย่ามาคบกับเจนเลยดีกว่า”

            เสียงของพี่เจนไม่ดังนัก แต่อิงก็รู้สึกได้ถึงความไพเราะของน้ำเสียง...สวยแถมพูดเพราะสุดๆเลย ผิดกับน้องโจ ที่ยืนหน้าเหยเก(แต่ก็ยังดูดี น่ารัก) เสียงดังฟังชัดด้วยอารมณ์โกรธ เสียใจกันเห็นๆ

            “เจน ทำไมพูดแบบนั้น ผมไม่...”


            “อย่ามาตะโกนใส่เจน เจนอายคนเค้า ขอให้เราเลิกกันด้วยดีเถอะ คนหน้าตาดี พร้อมทุกอย่างแบบโจ เดี๋ยวก็หาแฟนได้...ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อเถอะ”

            พี่เจนไม่ทันให้โจพูดจบ ก็แย้งออกมา แม้เสียงจะดังขึ้น แต่ก็ยังไพเราะ นักศึกษาคนอื่นที่มุงอยู่ส่งเสียงอื้อหือ พี่เจนหน้าแดงก่ำ สะบัดหน้าพรืดจนผมยาวสลวยพลิ้วกระจาย ราวกับภาพเคลื่อนไหวช้าๆ อิงไม่ได้ยินอะไรอีก ในหัวมีเสียงของโน้ตดังแว่วเข้ามา

“ฉันจะไปกระชากคอมันมาถามซักหน่อย มันทำให้คู่รักต้องแตกแยก ฮึ่ย...เธอรู้มั้ยคนเขียนเนี่ย ใครกัน อยู่ปีไหน...”

            อิงถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น พยายามสลัดคำพูดของโน้ตออกไปก็ไม่สำเร็จ อิงทรุดตัวลงบนม้านั่งใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ซึ่งเป็นระยะที่ใกล้จะถึงตึกวายุแล้ว

 


 


 


            จะเป็นเพราะผลจากงานเขียนของเธอหรือเปล่านะ? อิงไม่อยากจะเชื่อว่ามันมีสาเหตุอย่างนั้น...


            อิงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า คลี่กระดาษที่มิวจดเบอร์โทรศัพท์ของพี่ๆอีกสามคน คนแรกที่อิงโทรศัพท์ไปคุยด้วย คือพี่ออย พี่ออยก็ถามคล้ายๆมิว บอกว่าในกองรู้สึกตื่นเต้นที่งานเขียนของเธอได้ผลมาก แถมเล่าให้ฟังคร่าวๆอีกว่า มีสาวๆหลายรายที่เริ่มเชื่อในข้อเขียน พวกชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังตกกระป๋อง จากที่เคยเป็นเทพ ไปไหนๆสาวๆกรี๊ดใส่ ก็ลดดีกรีลงมาก(จากการสังเกตของพวกพี่ๆ)

 


            อิงไม่ได้อยากฟัง เธอทนฟังอยู่ได้อีกซักพักก็เข้าเรื่องด้วยการขอร้องไม่ให้บอกใครว่าเป็นเธอเอง ที่ใช้นามปากกานั้น พี่ออยสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ก็บอกว่าพอจะเข้าใจอยู่ เพราะงั้นจะช่วยบอกพี่ๆอีกสองคน คือพี่เกดกับพี่โบ้ทให้ พี่ออยยังบอกอีกด้วยว่าให้เธอเขียนมาส่งอีก และทุกคนฝากขอบใจคนเขียนคอลัมน์ไว้ให้พี่ๆชมรมสื่อมากมาย ทั้งจากเวบบอร์ดของมหาวิทยาลัยด้วย เนื่องจากงานนี้ทำให้ชมรมได้รับการกล่าวถึงมาก ยอดขายของนิตยสารก็สูงขึ้น ...อิงเอ่ยขอบคุณและย้ำอีกครั้งว่าไม่ให้บอกใคร ก่อนจะวางสายจากพี่ออย

 



 

 


            หลังจากที่อิงวางสายไปแล้ว ออย โบ้ทและเกดมองหน้ากัน ออยทำหน้าจืดๆใส่เพื่อน

            “อะไรยะ...”

            โบ้ท อารมณ์หญิงสาวในร่างชายเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

            “ทำหน้าพิลึก น้องนารีสยามเหรอ ?...ว่าไงล่ะ?”

            ออยเล่าให้เพื่อนฟังเรื่องที่นารีสยามขอร้องมา

            “ไม่ค่อยดีนะ”

            โบ้ท เปรยขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเธอทั้งสามคนยังนั่งกินของว่างและคุยกันอย่างออกรส ถึงความสำเร็จจากข้อเขียนของ นารีสยาม เกดวางส้อมที่กำลังจิ้มมะม่วงกับน้ำปลาหวาน ส่วนเหล่ากองบรรณาธิการที่มาร่วมโต๊ะด้วยอีก ๔ คนออกอาการงงๆ

            “สงสัยว่า นารีสยามจะโดนผลกระทบนะ”

เกดเอ่ยขึ้น พลางครุ่นคิดไปด้วย อาการรื่นเริงก่อนหน้าโทรศัพท์ของ นารีสยาม หายไปแล้ว

            “อืมม เราอาจจะมัวดีใจจนลืมคิดในแง่ลบไปหรือเปล่า? ลองคิดดูดีๆซิ...”

            ออยพูดต่อ มองหน้าเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างต้องการความเห็น

            “จะยังไงก็ตาม ฉันถือว่างานนี้ชมรมเราทำสำเร็จ แล้วก็อยากช่วยน้องเค้านะ ตามที่น้องเค้าขอมา แต่ไม่น่าจะทัน...”

            เพื่อนในโต๊ะหันมามองโบ้ทกันเขม็ง โบ้ทขยับตัวส่งยิ้มจืดๆให้เพื่อนแล้วค้อนขวับ

            “ฉันตื่นเต้น ใครถามอะไรมาก็ตอบหมดล่ะ อย่างน้องๆในชมรมเค้าก็มารุมถามว่างานเขียนที่แสนเลิศนั่นน่ะของใคร? ใครคือนารีสยาม? ฉันก็ตอบไปแล้ว”

            เพื่อนทั้งโต๊ะนิ่งอึ้ง อ้าปากหวอ ออยถอนหายใจออกมาเสียงดังท่ามกลางความตกตะลึง

            “ฉันไม่ได้บอกหมดหรอกนะ ก็แค่บอกไปว่าเป็นงานเขียนจากคนนอกชมรมเรา อยู่ปี ๒...”

            โบ้ทจีบปากจีบคอทำตาปะหลับปะเหลือกใส่เพื่อนๆ ก่อนจะหยิบขนมขบเคี้ยวที่วางอยู่โยนเข้าปาก

            “อย่าซีเรียสเลยน่า อาจจะไม่มีอะไรก็ด้าย”

โบ้ทเสียงแหลมในท้ายๆประโยค

“จะไม่มีอะไร หรือมีอะไรก็ช่างเถอะ ไหนชมรมเรามีกฏว่าอะไรบ้างโบ้ท?”

เกดพูดเสียงเย็น แบบที่รู้ในทันทีว่าที่ถามมานั้นต้องการคำตอบจริงๆไม่ได้ถามไปงั้นๆเหมือนที่คุยกันเล่นๆ

 


“อะไรยะเธอ? มาทำเสียงแบบนี้ใส่ฉันได้ยังไงกัน...เออๆๆ รู้ๆๆละว่า กฏมีว่างี้ ...ข้อที่สิบวรรคที่สองนะ...นักเขียนที่เขียนงานให้เรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ เราต้องปกป้องดูแล เพราะงานที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อลงตีพิมพ์ในนิตยสารของเรา ก็เหมือนลูกของเราเอง...แต่แหม ฉันก็ไม่ใช่ไม่ปกป้องนี่นา เห็นมั้ยว่าฉันไม่ได้ระบุอะไรมากมายนี่ ไม่มีใครรู้หรอกน่า”


โบ้ทพูดจบก็สะบัดหน้าอย่างงอนๆ

“พูดงี้ไม่ดีนะโบ้ท เราตกลงกันแล้วไง ไม่ว่าจะเผยแพร่เรื่องราวใดๆของชมรมเราต้องประชุมกันก่อน เราต้องรักษาภาพลักษณ์ของชมรม สิ นี่มันก็เป็นกฏอีกข้อที่สำคัญนะ”

เกดแย้งขึ้นเสียงดัง กฏชมรมที่มีขึ้นนี้ เนื่องด้วยชมรมสื่อนั้นมีมายาวนาน บางช่วงเวลาก็มีกลุ่มนักศึกษาอาศัยชมรมสื่อในทางส่วนตัว การค้า พวกอยากดังอยากเด่นเอย... ที่ผ่านมาจึงมีการเรียกหากฏอยู่เสมอ

“นี่เธอแม่กด...เอ๊ยแม่เกด ฉันไม่มีเจตนาอื่นหรอกย่ะ หล่อนมาพูดแบบนี้ฉันเสียหายนะยะ...!!”

โบ้ทเสียงดัง จนคนอื่นๆในโรงอาหาร มองกันเลิ่กลั่ก โต๊ะที่มาของเสียงดังนั้น ส่วนมากจะรู้กันว่าเป็นพวกรุ่นพี่ แถมเป็นรุ่นพี่ชมรมสื่ออีกต่างหาก คนอื่นๆต่างกลัวเกรงกันทั้งนั้น ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อนุญาตให้ชมรมสื่อดูแลเวบไซต์ นิตยสาร ที่ผลิตขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางนักศึกษา เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ในสายตาคนหมู่มากละ

“เอาละ พอก่อน พอแล้วเสียงดังแบบนี้ อายคนเถอะน่ะ เป็นรุ่นพี่กันแล้ว...เฮ้อ”

ออยพูดขึ้นเสียงเข้ม เพื่อนร่วมโต๊ะที่เหลือพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

“ฉันคิดดูแล้ว เรื่องแบบนี้มันพูดยากนะ ยิ่งปิดก็ยิ่งมีคนรู้ ...ไม่มีควันก็ไม่มีไฟ...คงต้องทำใจยอมรับปัญหาด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้น ครั้งนี้หากต้องตอบคำถามอะไรอีกละก็ขอให้ปรึกษากันก่อน ส่วนเรื่องน้องนารีสยาม ก็พยายามทำให้ได้ตามที่น้องเค้าขอมา ถือว่าเป็นกฏไปนะ ทุกคนคงเข้าใจ...”

ก่อนที่ออยจะพูดจบ นักศึกษาหนุ่มน้อยปีสองที่เพิ่งรับเข้าชมรมมาทำมือเป็นท่าขอเวลานอก แล้วชี้ๆมาที่โบ้ท

“ฉันขอตัวแป๊บนะ อย่าเพิ่งคุยกัน รอฉันเดี๋ยว ท่าจะมีเรื่องอะไรสำคัญ”

โบ้ทพูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกจากโต๊ะ

ตรงไปหารุ่นน้องปีหนึ่งทันที รุ่นน้องคนนั้นพูดๆให้โบ้ทฟังซักพักก็เดินจากไป เพื่อนในโต๊ะนิ่งเงียบ พากันมองไปที่โบ้ทหลังจากที่เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม

“ชาม ที่อยู่ปีสามสวยๆคณะอักษรให้สัมภาษณ์ว่ากำลังคบกับแดนเพื่อนร่วมคณะ หลังจากเลิกกับวินมาสองวัน”

โบ้ทอธิบาย เพื่อนในกลุ่มที่จดจ่อฟังอยู่ทำตาโต จะว่าไปในกลุ่มกองบรรณาธิการทั้งสิบของ มอขอขยาย ที่พูดได้ว่าเป็นสาวงามก็มีอยู่คนเดียว คือเกด นอกนั้นก็พอดูได้จนถึงไม่ไหว แต่ถ้าเป็นเรื่องการเรียนแล้ว กลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นอนาคตของชาติทีเดียว เพราะแต่ละคนติดอันดับเรียนดีล้วนๆ เรื่องราวความรัก ในแง่มุมของรุ่นพี่กองบรรณาธิการกลุ่มชมรมสื่อจึงค่อนข้างไกลตัว เพราะแต่ละคนจะมุ่งมั่นกับการเรียนและกิจกรรมชมรม ว่ากันง่ายๆคือ กลุ่มนี้จะสนใจเรื่องไกลตัวกันเป็นพิเศษนั่นเอง...


“แดนหน้าบ้านๆนั่นน่ะเหรอ?”

เจี๊ยบถามขึ้นอย่างสงสัย

“ใช่สิยะ แดนนั่นแหละ”

“โอ๊ย ยังไงกัน...ชามออกจะสวย ไปคบกับอีตาแดนนั่นนะ ไม่ไหวแล้ว...!!”

เกดร้องออกมา ทำสีหน้าเจ็บปวด เป็นที่รู้กันในกลุ่มว่าเกดที่เห็นว่าสวยสดงดงามนั้น ชอบผู้หญิงด้วยกันเอง แล้วออกอาการแบบนี้อาจมีปลื้ม “ชาม” สาวงามที่ถูกเอ่ยถึงอยู่แน่ๆ

“แต่แดนก็เท่ดีนี่ ไม่หล่อแต่เท่นะ”

เพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนแย้งขึ้น ส่วนคนที่เหลือทำหน้าเบ้แล้วส่ายหน้าแถมให้ด้วย

“เฮ้อ...”

ออยและเกดถอนใจออกมาพร้อมกัน

“ฉันขอยังไม่ฟันธงแล้วกัน ว่ามาจากข้อเขียนของน้องนารีสยาม”

ออยเอ่ยขึ้นคนแรก เมื่อเห็นเพื่อนๆพากันเงียบลง

“...แต่ฉันขอฟันธงว่าใช่”

 โบ้ทโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น


 


 

 


* จบตอนที่ 2 แล้วค่ะ *

แปะภาพ"โน้ต"ให้ดูประกอบการอ่าน

ยังไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมค่ะ อิอิ


http://www.keedkean.com


ภาพเต็มตัวค่ะ

V

V

http://www.keedkean.com

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านด้วยค่ะ ที่เข้ามาติดตามอ่าน ^^

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา