มอนี้ ชุลมุนวุ่นซะ
1) ความลับของอิงดาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
๑.
ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง
ซึ่งรวบรวมนักศึกษาทุนหนา(บ้านมีอันจะกิน)เอาไว้เสียส่วนมาก เนื่องด้วยค่าเล่าเรียนที่แพงลิบลิ่ว บริเวณสถาบันแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ต่างๆ ราวกับจะปลูกไว้เพื่อเป็นกำแพงกั้นมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้ห่างไกลจากสายตาผู้คน จากหน้าประตูมหาวิทยาลัยระยะทางร่วมยี่สิบกิโลเมตร ถึงตัวอาคารเรียนรูปทรงหรูหรา รวบรวมนักศึกษากว่าเก้าพันคนจากทั่วประเทศและต่างประเทศ
เสียงดังพรึ่บ ที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ “อิง”หรือ อิงดาว ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับหันไปมอง
“อ้าว โน้ต!!?”
โน้ต หรือดุสิต ชายหนุ่มหน้าตาดี สูง ผิวขาว... ขาวเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก หลายคนในห้องหันมามอง แต่ก็ไม่มากนัก เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงพักเที่ยง การเปลี่ยนชั่วโมงเรียนจึงต้องรอเวลาอีก สามสิบนาที นักศึกษาปีสองที่มาเตร็ดเตร่อยู่ในห้องจึงมีไม่กี่คน
“เออ อิง เธอเห็นนิตยสารนั่นยังอะ?
โน้ตพูดพลางหันไปทางนิตยสารที่ร่วงอยู่บนพื้นเพราะแรงขว้างของเขาเมื่อครู่ เด็กสาวที่ชื่ออิงเลิกคิ้ว ทำให้ดวงตาเรียวเล็กโตขึ้นอีกนิดหน่อย
“นิตยสารอะไร ทำให้นายโมโหขนาดขว้างปาทิ้งเนี่ยนะ...หนังสือนะ หนังสือ ...นิสัยเสียจริงๆ...”
ท้ายประโยค อิงทำเสียงอย่างระอา ทำเอาคนโดนประโยคนั้นเข้าไปถึงกับสะอึกและพุ่งพรวดมาที่เธอ
“อิง ไหงชอบพูดงี้วะ...เออ ฉันมันนิสัยเสีย แล้วไง ทุกคนมันนิสัยดีกันหมดสินะ !?”
ใบหน้าคม คิ้วหนา จมูกโด่งสวยได้รูปรับกับคาง ปากเข้าขั้นสวยและแดงอย่างคนมีสุขภาพผิวดี(ผู้ชายนะเนี่ย)เจ้าตัวเปล่งเสียงหยามหยันแถมอารมณ์โกรธที่กระจายออกมากับประโยคดังกล่าว ทำให้อิงละสายตาจากหนังสือเล่มหนาที่อ่านอยู่ แล้วถอนหายใจดังเฮือก สายตาจับจ้องที่ชายหนุ่มเบื้องหน้า แม้จะดูเกรี้ยวกราดแต่ก็ยังหน้าตาดีได้อย่างเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะวันนี้ที่เขาใส่เสื้อยืดสีแดงสด ด้านหน้าสกรีนเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีขาวตัวใหญ่ สวมทับด้วยเสื้อนอกแขนยาวสีเขียวเข้มเกือบดำ และกางเกงผ้ายีนส์หลวมๆกำลังพอดีอีกตัว และ...อ้อ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อแพงที่ดูค่อนข้างเก่า
“ก็ถูก ที่ว่าไม่มีใครนิสัยดีไปซะทุกคน โทษทีแล้วกัน ฉันเองก็นิสัยเสียนะ อย่างเวลาอ่านหนังสืออยู่ไม่ชอบให้ใครมารบกวน เพราะงั้น จบได้ยัง...ฉันจะได้อ่านหนังสือต่อ”
อิงพูดรวดเดียว ไม่มีติดขัด เธอเองก็อารมณ์ไม่ดีอย่างที่บอกไป เธอไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาอ่านหนังสือ เธอคิดว่าตัวเองก็อุตส่าห์ทักทายด้วยความเป็นมิตรต่ออีกฝ่ายแล้ว
“นี่ แม่นักอ่าน ถ้าอยากได้ความสงบ ทำไมไม่ไปห้องสมุดล่ะ ? มานั่งอยู่นี่ทำไม”
คนพูดทำหน้าตายียวนกวนประสาท โน้ตรู้ตัวดี ว่าเขากำลังอารมณ์เสียสุดๆ แล้วก็เริ่มมันส์ปากที่ได้โต้เถียงกับ “อิง” นักศึกษาตัวอย่างคณะ แม้จะรู้ตัว แต่เขาก็ยังไม่อยากหยุด เริ่มรู้สึกว่าเขากำลังทำตัวกวนประสาท ด้วยเหตุผลที่ไร้สาระ แต่เขาก็ยังหยุดปากไม่ได้ นี่น่าจะเป็นนิสัยอีกอย่างที่อยากแก้ไข แต่พอเอาเข้าจริง เวลาอย่างนี้เขากลับไม่ทำอย่างที่ตั้งใจไว้
“อ้อ โอเค ได้ ได้ ฉันไม่อ่านก็ได้หนังสือนี่ ไม่อ่านแล้ว เพราะฉันคงไม่มีสมาธิอ่าน แต่ฉัน...จะอยู่ที่ห้องนี้ละ รอเวลาเรียน...”
เพื่อนคนอื่นๆเริ่มหันมาจับจ้องทั้งสองอย่างจริงจังมากขึ้น เมื่อเห็นว่าการโต้เถียงอย่างไม่มีใครยอมใครนี้ จะจบลงได้อย่างไร
บ่อยครั้งที่เพื่อนร่วมเรียนเห็นสองคนนี้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และบ่อยครั้งอีกเหมือนกันที่เห็นสองคนนี้นั่งคุยกันปกติดี บางทีมีสีสันขนาดนั่งหัวเราะกันเสียงดังให้บ่อยไป หลายคนออกจะงงกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และอีกหลายคนก็เห็นจนชินตาเสียแล้ว แต่ไม่ว่าครั้งไหนที่ทั้งสองโต้เถียงกัน ก็มักจะมีกลุ่มคนให้ความสนใจเสมอ
“ไหน ว่ามาซิ อะไรทำให้นายปวดประสาทใส่ฉันขนาดนี้ คายมันออกมาเลย”
อิงว่าพลางโยนหนังสือลงบนโต๊ะ ดังปัง จนทำให้เพื่อนคนอื่นสะดุ้งไปตามๆกัน
“คาย ฉันไม่ใช่ช้างใช่หมานะอิง ใช้คำให้มันสมกับเป็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้รึไง”
คนพูดพูดจบ ก็นั่งแปะลงบนเก้าอี้ว่างหันหน้ามาสบตากับอีกฝ่ายอย่างงอนๆ
“ค่ะ ขอโทษค่ะ คุณโน้ตช่วยกรุณาสาธยายเรื่องที่ทำให้คุณอารมณ์เสียออกมาให้ดิฉันรับฟังเถอะนะคะ เพื่อที่ว่าดิฉันอาจจะช่วยแก้ไขได้ คุณจะได้ไม่อารมณ์เสียแบบนี้...และจะบอกให้นะคะว่าช้างหรือหมาเนี่ยมันน่ารักออกจะตาย...”
อิงจีบปากจีบคอ พูดจาเพราะพริ้งใส่ โน้ตอึ้งไปชั่วขณะ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายประชดประชัน แต่ไม่รู้เป็นไง เขาชอบที่อิงประชดเขาด้วยการพูดแบบนี้ แค่ไม่ถึงนาที แต่เขาก็ชอบฟังเอามากๆ อยากให้เจ้าหล่อนพูดเพราะๆแบบนั้นไปตลอด
แล้วการที่อิงดูจะสนใจหนังสือเล่มหนาปึ้กเล่มนั้นมากกว่าเขา มันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดอารมณ์เสีย อยากจะกระชากหนังสือนั่นทิ้ง แล้วก็เอามากระทืบๆเหยียบๆ เพื่อที่ว่าสายตาที่เอาแต่จับจ้องหนังสือนั่นจะหันมาทางเขาเสียที
โน้ตนั่งหอบน้อยๆ หน้าตาบึ้งตึง แต่อิงก็ยังมองว่า
“ไอ้ผู้ชายคนนี้มันหล่อไม่มีวันหยุดจริงๆ”
แถมหน่วยสนับสนุน(ครอบครัว)ก็เลิศปานนั้น
ผิดกับอิงดาว ที่เข้ามาที่นี่เพราะทุนเรียนดีของเธอ หากต้องเข้ามาด้วยวิธีปกติละก็ อย่าได้คิดเชียว แม้จะไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ถึงกับยากจนค่นแค้น เพียงแค่ เอ่อ...เสียดายเงิน ที่จะต้องมาเสียไปกับค่าเล่าเรียนแพงลิบลิ่ว
เธอชอบคิดเทียบตัวเองกับโน้ตบ่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องคิดแบบนั้น เฉพาะกับเขาเท่านั้นด้วยน วันนี้การแต่งตัวของเธอ ก็แค่กางเกงยีนส์ราคาสองร้อย(ซื้อจากตลาดนัด ที่แอบหนีตาคนนี้ไปเดินมา แถมไม่อยากบอกให้เขารู้ด้วย)เสื้อยืด รองเท้า พบเห็นได้ทั่วไป กระเป๋าดีหน่อย ที่ไม่ซ้ำแบบใคร เพราะทำเอง นาฬิกาไม่มี อาศัยดูเวลาจากโทรศัพท์
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะอิง ฉันโดนทิ้งอีกแล้ว”
เสียงเข้มของโน้ต ทำให้อิงตื่นจากความคิดที่ลอยล่องของตัวเอง
“อะไร ทิ้งอะไร?”
“ฉัน ถูก สาว ทิ้ง”
“อ้อ อืม...ว่าแล้ว”
อิงพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ทำหน้าแปลกใจ จนอีกฝ่ายหงุดหงิด(อีกแล้ว)
“นี่ เธอ...อิง พูดงี้ได้ไง?!”
“แล้วเป็นไร ทำไมต้องมาเสียงดังใส่กัน อารมณ์เสียน่ะเข้าใจ แต่ให้รู้เรื่องกันหน่อย ฉันไม่ใช่กระโถนนะ พูดจาให้มันดีๆ ไม่ต้องเสียงดัง”
คนรอบๆเริ่มหันมามองอีกครั้ง เมื่อทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างเสียงดัง โน้ตหน้าจืดเจื่อนดูเจี๋ยมเจี้ยมลงนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคนเริ่มมอง หากเป็นเพราะแววตาเอาจริง ที่ส่งประกายวับๆออกมาจากสาวน้อยตรงหน้านี่ต่างหาก
ไม่รู้เป็นไง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน โน้ตจะรู้สึกใจหายทุกครั้งที่เห็นแววตาอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะได้เห็นบ่อยๆหรอกนะเพราะนานๆครั้งถึงจะเห็นอิงแสดงอาการ“โกรธ” ออกมาแต่หากโน้ตอยู่ด้วย เขารู้สึกราวกับว่าสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้อิงเลิก “โกรธ” เสียทีเป็นความคิดที่ออกจะแปลกๆอยู่นะ ?
“นายมีเวลาอีกยี่สิบนาที ในการเล่าเรื่องของนาย”
อิงมองนาฬิกาสีเหลืองสดบนข้อมือ พลางลอบมองใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายอย่างขำๆ
เธอแกล้งขึงขังไปอย่างนั้นเอง ด้วยความที่เริ่มรำคาญเต็มที่กับอาการร้อนรนกระวนกระวาย โมโหดะไปทุกเรื่องของโน้ต แล้วก็ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา
ดูสงบเรียบร้อยดี
...อิงคิดในใจ
อิงนั่งฟังคำอธิบายจากโน้ต เรื่องที่เขาถูกน้อง“ก้อย” แฟนสาวคนล่าสุด (ไม่รู้ว่าทำไม ต้องเรียกแฟนเพื่อนด้วยคำนำหน้าว่า “น้อง”ด้วยนะ ทั้งๆที่ก็เรียนอยู่ปีเดียวกันนี่แหละ)เชิดใส่มาหมาดๆ ด้วยเหตุที่ว่า เจ้าหล่อนไปเห็นโน้ตกำลังส่งเบอร์โทรศัพท์ให้สาวรุ่นพี่ปีสี่คนหนึ่งอยู่พอดี ซึ่งรุ่นพี่ปีสี่คนนี้ก็โด่งดังในเรื่องความงามที่ล้ำเลิศอีกคน
น้องก้อยร้องห่มร้องไห้อยู่นาน สุดท้ายก็เชิดหน้ามองโน้ตอย่างเหยียดหยาม(ตามที่โน้ตเล่าน่ะ)แล้วก็บอกว่า
“ก้อยขอเลิกกับโน้ต”
แค่นั้นแหละ แล้วเจ้าหล่อน(น้องก้อย)ก็โยนนิตยสารเล่มหนึ่งใส่โน้ต แล้วบอกว่าให้เอาไปอ่าน
“ก้อยทนโน้ตไม่ไหวแล้ว โน้ตแย่ที่สุด ทำให้ก้อยเสียใจ เสียหน้า ก่อนที่ก้อยจะเสียใจมากกว่านี้ ...แล้วต่อไปนี้ก้อยจะไม่คบกับผู้ชายที่ดีแต่หน้าตา อย่างโน้ตอีกแล้ว...อย่าลืมอ่านด้วยนะ หน้านี้ คอลัมน์นี้ด้วย โน้ตจะได้รู้ว่า หน้าตาดีน่ะ มันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพราะก้อยเกลียดผู้ชายหล่อๆแล้วละ โฮๆๆๆ”
แล้วในนิตยสารมีอะไรที่โน้ตควรอ่านน่ะเหรอ?...อืม ม มันคือข้อเขียนในคอลัมน์ที่จั่วหัวไว้ว่า
หล่อนิสัยเสีย คบไปมีแต่เพลียหัวใจ มองผู้ชายที่อย่างอื่นมากกว่าความหล่อกันเถอะ
“อยากรู้ตัวคนเขียนจริงๆ”
เขาส่งเสียงหงุดหงิดต่อ
“ฉันจะไปกระชากคอมันมาถามซักหน่อย มันทำให้คู่รักต้องแตกแยก ฮึ่ย...เธอรู้มั้ยคนเขียนเนี่ย ใครกัน อยู่ปีไหน...”
“ดูสิ อ่านดู”
โน้ตใช้นิ้วจิ้มๆๆลงไป ที่หน้าหนึ่งในนิตยสารเล่มที่ว่า ด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างมาก แถมด้วยถ้อยคำประชดประชันไม่หยุด เช่น
“...พวกคนหน้าตาดี กลายเป็นคนน่ารังเกียจไปแล้ว ต่อไป พี่ๆน้องๆนางฟ้า จะพากันเดินเคียงคู่กับผู้ชายพื้นๆทั้งหลาย...”
และอีกมากมายหลายคำที่โน้ตสรรหามาพล่าม ผู้ชายพื้นๆ อีกคำ เจ้าพวกหน้าแหนม นี่ก็ด้วย หมอนี่มันนิสัยเสียของจริงใช่มั้ยล่ะ? แต่อิงก็ไม่คิดจะใส่ใจ เพราะเธอกำลังสะดุ้งเฮือกๆกับนิตยสารในมือ ที่เธอไปเก็บมา(ตอนแรกที่โน้ตขว้างทิ้งอยู่มุมห้อง) มันเป็นนิตยสารรายเดือนของสถาบันเราเอง
“ถ้าเธอรู้ว่าใครเป็นคนเขียนคอลัมน์บ้าๆนี่ก็บอกมาเลยอิง...”
คนเขียนคอลัมน์ก็ต้องเป็นนักศึกษานี่แหละ ใช้นามปากกาว่า “นารีสยาม” แถมเจ้าของนามปากกาก็เป็นคนที่เธอรู้จักดีเสียด้วย แต่เมื่อคิดพิจารณาให้ดีแล้วในเวลานี้ เธอไม่ควรเปิดเผยใดๆให้โน้ตได้รับรู้น่าจะดีที่สุด
“คนเขียนเป็นพวกขี้อิจฉาแหงๆ นารีสยาม นารีสยาม ...เฮอะ นารีสยองละมากกว่าว่ะ เธออ่านดูนะอิงแล้วเธอจะเห็นด้วยกับฉัน...ฉันไม่เข้าใจจริงจริ๊ง”
ทั้งดุดัน ทั้งลงท้ายบางคำด้วยเสียงสูง สงสัยจะโมโหมากจริงๆ
“ไอ้ข้อความพวกนี้มันใส่ร้ายกันชัดๆ น่าจะเป็นพวกผู้หญิงขี้เหร่ ไม่เคยมีใครจีบ พวกคนหน้าตาดีๆก็คงไม่เคยแลเจ้าหล่อนแหงๆ หรือไม่คนเขียนก็เป็นผู้ชายหน้าเห่ยๆ แล้วก็เป็นอีแอบด้วย ถึงมาใช้นามปากกาแบบนี้...เขียนออกมาได้ ใช่ฉันก็ไม่ใช่นิสัยดีเด่อะไรนัก แต่ฉันก็ไม่ได้ชั่วร้ายอะไรนี่นา...ใช่มั้ยๆ? แต่ไอ้คนเขียนมันเขียนซะจนน่ากลัว เว่อมาก ๆ ๆ...”
โน้ตก็พูดถูกนะ เขาไม่ได้ชั่วร้ายอะไร แค่หน้าตาดี หุ่นดี(สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร) ...บ้านมีฐานะ แล้วก็เอ่อ...เอาแต่ใจสุดๆ ปากเสีย ขี้โมโห เรื่องมากๆๆ
“ฉันรู้ว่าเธอต้องรู้ อิงดาว เธอเป็นพวกหนอนหนังสือ แถมเธอก็รู้จักกับพวกขาใหญ่ชมรมสื่อ!!”
อิงส่ายหน้า ทำหน้างงๆใสซื่อใส่โน้ต
“ฉันไม่รู้”
“เธอไม่รู้จักเหรอ?ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะสืบดูเอง ฉันต้องรู้ให้ได้...ทำไมถึงเขียนแบบนี้...โธ่น้องก้อย...น้องก้อย”
อิงปล่อยให้โน้ตพร่ำรำพันไปตามสะดวก ส่วนตัวเองเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเป้ส่วนตัว แล้วเดินจากมาเงียบๆ(แต่ในใจเร่งรีบและร้อนรน) ไม่สนใจเพื่อนที่เดินสวนทางมาเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนสะกิดบอกว่า ได้เวลาเรียนแล้ว... อิงยังคงเดินต่อพร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตัก โครมคราม...
“ว่าไงนะ ห้ามบอกใคร”
ใบหน้าสงสัยเต็มแก่ของมิว ทำให้อิงลำบากใจมากขึ้นเรื่อยๆ
มิวเป็นเพื่อนที่อยู่หอพักด้วยกันห้องเดียวกันเนื่องจากมหาวิทยาลัยมีบริการหอพักนักศึกษา ที่แบ่งเป็นระดับชั้นปีและระดับการจ่ายเงินค่าหอพัก ทั้งเธอและมิวระบุว่าสามารถจ่ายค่าหอพักด้วยจำนวนเงินตรงกัน จึงถูกให้พักห้องเดียวกัน
“มิว ฉันขอร้องนะ นะ ห้ามบอกใครว่างานเขียนเนี่ยๆๆ...”
อิงพูดพร้อมจิ้มๆลงไปบนหน้าคอลัมน์ในนิตยสารของมหาวิทยาลัยที่ทำให้โน้ตฮึดฮัดขัดใจจนน่ากลัวเมื่อครู่
“ว่าฉันเป็นคนเขียน”
อิงเน้นคำอย่างร้อนใจ ที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมรับปากเสียที
“ทำไมละวะ? ทำไม?...มันต้องปิดเป็นความลับด้วย”
แถมมิว ยังเป็นหนึ่งในกองบรรณาธิการทั้งสิบของนิตยสารมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเก๋ไก๋(??)ว่า มอขอขยาย อิงไม่ได้อยู่ชมรมสื่อเหมือนมิว เธอเพียงแค่มีแววเขียนได้(ตามที่หลายๆคนบอก) และเธอเองก็ไม่คิดจะเข้าชมรมที่ว่านี้แบบเป็นทางการหรอก
“แล้วเธอจะทำให้ได้มั้ย...ห้าม บอก ใคร น่ะ”
อิงถามย้ำอีกครั้ง เธอเริ่มหน่ายกับประโยคฮิตของเธอเองในวันนี้ “ห้าม บอก ใคร” ประโยคนี้แหละ ที่บังเอิญซะเหลือนเกิน ที่ไปคล้ายกับนิยายที่เธอรักนักหนา “อย่าบอกใคร(Tell No One)” ที่เขียนโดย ฮาร์ลาน โคเบน(Harlan Coben) นักเขียนแนวสืบสวน ซ่อนปม ที่เธอชื่นชอบ
ด้วยความจริงแล้วอิงไม่ได้กลัวเกรงอะไร ว่าใครจะรู้ว่าเธอเขียนเป็นเจ้าของนามปากกา “นารีสยาม” แต่ถ้อยคำที่โน้ตกล่าวหาคนเขียนก่อนหน้านี้ทำให้เธอร้อนใจอย่างไรพิกล ไม่อยากให้เขารู้ ไม่อยากให้ใครรู้อีกด้วย ...มิหนำซ้ำงานเขียนของเธออาจจะทำให้โน้ตและน้องก้อยต้องเลิกกันเสียอีก
อิงยกมือประกบกันเป็นทำท่าพนมขึ้นเหนือหัว สีหน้ายุ่งยากใจเป็นอย่างมากจนมิวนึกแปลกใจปนสงสาร
“เออๆ ไม่บอกก็ไม่บอก ประมาณว่าใครมาถามก็ห้ามบอกว่าเธอเขียนคอลัมน์นี่ใช่มั้ย?”
“ใช่จ้ะ”
“ตกลงตามนั้น แต่มีเงื่อนไขนะ”
“เธอต้องเลี้ยงข้าวฉันหนึ่งมื้ออิงดาว”
“โห...ว่าไงนะ แค่นี้ก็ต้องเลี้ยงข้าวด้วยเหรอ?”
อิงอุทานออกมา ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยกลัวใคร และเธอเห็นว่างานนี้เพื่อนร่วมงานและร่วมหอพักอย่างมิว สมควรที่ต้องช่วยเธอ ไม่น่าจะต้องให้ตอบแทนอะไร แถมช่วงนี้เงินทองยิ่งไม่ค่อยมี(ก็เอาไปขนซื้อหนังสือ ทั้งการ์ตูนและนิยายจนแทบไม่เหลือ)
“...นี่ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่ามันอะไรกันนักหนาต้องให้ปิดเป็นความลับ ทั้งๆที่งานเขียนของเธออันนี้ดูจะโดดเด่นกว่างานที่ผ่านมาของเธออีก ได้รับการตอบรับดีจะตายใครๆก็พูดถึงกันทั้งนั้น แต่ตัวคนเขียนกลับไม่อยากเป็นที่รู้จัก...”
มิวเบ้ปาก ทำหน้าสงสัยปนบูดๆ
“แต่เธอก็จริงจังซะจน ฉันจะยอมทำตามนั้น ตกลงจะให้ฉันปิดข่าว ทั้งๆที่ฉันอยู่ชมรมสื่ออะนะ มันก็ต้องมีการตอบแทน ว่าไงล่ะแก?”
มิวทำหน้าสีจริงจัง อิงจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เอาไงก็เอาละ ยอมไปก่อน
“มิวในกองบรรณาธิการของเธอมีใครรู้อีกมั้ย ว่าฉันเป็นเจ้าของนามปากกา ?”
“มีสิ อีกสี่คน”
“หา!!”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ